อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ - 2 เวอร์ชันใหม่ โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน

สารบัญ

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-1 คนขี้แพ้,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-2 เวอร์ชันใหม่,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-3 วัยรุ่นวัยเรียน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-4 เพื่อนชาย,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-5 ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-6 แผนสอง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-7 วัยทำงาน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-8 กลับมาหาความสุข,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-9 กองทัพเดินด้วยท้อง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-10 พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-11 เอาไงดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-12 ความสุขของผม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-13 ดีใจ...ใจดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-14 เปรียบเทียบ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-15 คนไม่สำคัญ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-16 อุ่นใจ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-17 สนิท,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-18 คนพิเศษ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-19 ขอจันทร์

เนื้อหา

2 เวอร์ชันใหม่

โดย : Chavaroj




ผมทิ้งตัวนั่งกับพื้น มองซากศพของตัวเองที่สภาพแสนดูไม่จืด ปกติตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้น่าดูอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้มันเริ่มบวม และถ้าผมได้กลิ่นผมก็คิดว่ามันคงส่งกลิ่นแล้วแหละ  เอาให้เหม็น ๆ เลยนะ คนจะได้ได้กลิ่นแล้วก็มาเอาศพที่เริ่มอืดของผมไปจัดการสักที


ผมไม่เหลือญาติมิตรที่ไหนแล้ว และอย่างดีก็คงจะเอาไปจัดการอย่างศพไร้ญาติ แต่จะว่าไปผมชักจะสงสารแล้วสิ ถ้าใครจะมาแบกศพของผม คงหนักแย่ทีเดียว


นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมก็ค่อย ๆ นึกถึงเรื่องราวในชีวิตตั้งแต่เด็กทุก ๆ ช่วงชีวิตที่ผ่านมา บางครั้งก็ทำให้ผมมีรอยยิ้ม บางเรื่องก็ทำให้ผมเบื่อหน่าย และบางเรื่องก็ทำให้ผมเสียดาย 


ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมมันไม่ได้รับความยุติธรรมเลย ไม่ว่าจะคิดไปในช่วงเวลาไหน ผมไม่อาจพูดได้เลยอย่างจริงจังว่าชีวิตของผมดีและมีความสุข ผมไม่ได้ตัดพ้อตัวเองนะ แต่ผมรู้สิ ก็นี่มันชีวิตของผมแท้ ๆ


"อยากไปลองกลับไปใช้ชีวิตใหม่ดูไหมล่ะ?"  เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว และผมก็มองหาต้นเสียงนั้น 


ผมรีบลุกและ หันไปมองแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีเจ้าของเสียงนั้นปรากฏกายออกมา 


ลมพัดอู้จนผมทรงบาร์โค้ดบนหัวกบาลล้านเลี่ยนของผมปลิวพะเยิบ และแสงสว่างจ้าก็สาดส่องมาทาบไปบนเนื้อตัวของผม มันสว่างจ้าจนผมกลัวว่าตาของผมจะบอดไป และผมรู้สึกว่าร่างกายของผมถูกลมหวนพัดจนร่างของผมปลิวและลอยละล่องไปตามสายลม


มันพัดจนผมปลิวว่อนไปมาจนผมชักจะเวียนหัว รอบกายของผมตอนนี้กลับมามืดสนิท มืดมิดจนแม้แต่มือของตัวเองก็ยังมองไม่เห็น และตอนนี้ผมรู้สึกว่าร่างของผมกำลังร่วงหล่นลงมาจากที่ไหนสักแห่ง 


ร่างของผมร่วงลงมาด้วยความเร็วจนผมรู้สึกเสียววาบไปที่ท้องน้อย และหูของผมก็อื้ออึงด้วยเสียวของลมที่พัดผ่านหู มันยาวนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ จนผมรู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนหล่นลงมาบนฟูกนุ่ม ๆ 


แต่ตาของผมยังคงมองไม่เห็น มันมืดมิด และตอนนี้ผมก็ชักจะเหนื่อยเหมือนเดินทางไกล และผมรู้สึกเหนื่อยอ่อนเกินกว่าที่จะคิดถึงอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ความรู้สึกตื้อ และคล้ายในหัวมันโคลงเคลงโลกหมุนจนคล้ายจะเป็นลม


ผ่านเวลาไม่รู้ว่านานเท่าไร แต่ผมชักจะรู้สึกตัวและอยากลืมตาตื่น แสงสว่างที่ลอดเข้ามาทำให้ผมต้องขยิบตาและกะพริบตาถี่ ๆ ซ้ำ ๆ อีกหลายทีเพื่อปรับสภาพ


สถานที่แสนคุ้นเคยและผมโคตรรู้สึกอุ่นใจ ราวกับอยู่ที่นี่มาแล้วทั้งชีวิต ผมหันไปมองรอบข้างและภาพของโต๊ะหนังสือเรียน และตู้ใส่หนังสือจำนวนมากมายที่กองอยู่บนพื้นและในตู้ 


"นี่มันห้องนอนของกูนี่หว่า" ผมพูดกับตัวเองออกมาเบา ๆ และรู้สึกประหลาดใจ 


"ก็กูตายห่าไปแล้ว ทำไมถึงเสือกมาอยู่ในห้องนี้อีกวะ" ผมบ่นและขยับเนื้อตัวที่เมื่อยล้า บิดไปมาและลุกขึ้นมานั่ง สูดหายใจอย่างเกียจคร้าน จนครั้งสุดท้าย ผมก็สูดมันลึก ๆ เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ตัวเองต้องฮึบขึ้นมาสักที 


ด้วยสัญชาตญาณ หรือด้วยความเคยชินก็แล้วแต่ ผมเดินไปถึงหน้าห้องน้ำเพื่อจะแปรงฟัน แต่ภาพที่ผมมองเห็นในกระจกก็ทำให้ผมจ้องมันอยู่เป็นเวลาหลายนาที


"เชี่ย"   ผมอุทานและมองหน้าของตัวเองในกระจก


ใบหน้ามนกลม ตาตี่เล็กเรียว และผมชี้สั้นโด่เด่ สองข้างแก้มพราวด้วยเม็ดสิวที่ผมชอบบีบจนในเวลาถัดมา หน้าของผมก็เป็นหลุม แบบที่เขาเรียกว่า "หน้ามดเหนื่อย" 


ก็มันเล่นต้องลงหลุมแล้วไต่ขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าน่ะสิ ผมมองแขนทั้งสองข้าง มันอวบแน่นแต่ก็ยังเนียนและขาวใส พุงของผมถึงจะกลมแต่ก็ยังไม่มาก และขาของผมก็ยังไม่โก่ง และยามเดินขยับไปมา ก็ไม่ปวดเข่าและปวดข้อเท้าด้วย


ผมตกใจจนต้องถอยตัวลงมานั่งที่เก้าอี้ พลางคิดว่าไอ้สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือผมตกนรก ผมขึ้นสวรรค์ หรือผมกำลังฝันไปกันแน่วะ จนได้ยินเสียงที่มาปลุกให้ผมจากความงงงวย


"ตุลเอ้าตื่นแล้วเหรอ ตื่นแล้วก็ลงมาช่วยแม่ข้างล่างสิ" เสียงคุ้นเคยของแม่เอ่ยออกมา และใบหน้าของแม่ที่ชะโงกออกมาจากจากขอบประตูห้องครัวทำให้ผมจ้องมองและเดินไปหาแม่อย่างใจลอย


"แม่" ผมเรียกแม่เสียงเครือ และน้ำตาไหลรินอย่างแสนยินดี ผมคิดถึงแม่ที่สุดในโลกและตระหนักได้ทันทีว่า ถึงในชีวิตนี้จะไม่เคยมีคนที่รักผม แต่แม่ของผมคนนี้นี่ไง คนที่ผมพูดได้เต็มปากว่า รักผมที่สุด  และเหนืออื่นใดแม่ยังไม่ตาย และยังดูสุขภาพดี


ผมเรียกแม่และเดินเข้าไปกอด กลิ่นเหงื่อของแม่ลอยเข้ามาในจมูก มันเป็นกลิ่นเหงื่อที่ถ้าเป็นของคนอื่น ผมคงนึกรังเกียจ แต่กลิ่นเหงื่อของแม่นี้มันเป็นกลิ่นที่ผมแสนคุ้นเคย 


"โอ๊ย กอดทำไมเนี่ย คนจะทำงานทำการ" แม่บ่นอย่างไม่จริงจัง แต่ผมก็ยังคงกอดแม่ไว้อย่างนั้น


"ซึ้งอะไรยะ แหมเห็นทำของโปรดหน่อย ดีใจเลยล่ะสิ อีอ้วน" แม่หันมาบ่นและมองใบหน้าของผมที่เปรอะไปด้วยน้ำตา


"ตุลเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมลูก" แม่หันมาถามอย่างจริงจังเมื่อเห็นว่าผมร้องไห้จริง ๆ 


"ตุลคิดถึงแม่" ผมบอกแม่ด้วยเสียงสั่น และสูดน้ำมูกเสียงดัง และสะอื้นจนตัวโยน


"มาไม้ไหนยะ เห็นว่าเป็นวันเกิดเลยอยากอ้อนจะขอของขวัญล่ะสิ" แม่ยิ้มให้และเขย่าหัวของผมจนหัวคลอน


"ตุลคิดถึงแม่จริง ๆ" ผมบอกและยื่นหน้าไปหอมแก้มของแม่ อันที่จริงก็เขินนะ ผมไม่เคยทำอย่างนี้กับแม่หรอก แต่ตอนเป็นเด็กมาก ๆ คงเคยทำ และคงทำบ่อย ๆ


"อี๋ สกปรก ขี้มูกเอยน้ำตาเอย เดี๋ยวแม่ฟาดด้วยตะหลิว รีบไปอาบน้ำ แล้วลงมาช่วยแม่ทำกับข้าว" แม่เสียงแข็งอย่างเคย และผมก็คิดในตอนนั้นว่าแม่โคตรดุ แต่ตอนนี้จะดุจะว่าอะไรผมก็ยอมหมดทั้งนั้น


ผมหันมายิ้มหวาน ๆ และมองแม่หัวจรดเท้าอย่างดีใจ ราวกับกลัวว่าถ้าทิ้งแม่จากสายตาแล้วแม่จะหายไปจากผมอีก


"นี่ถ้านับหนึ่งถึงสามแล้วยังยืนทื่อมะลื่อ เป็นได้โดนนะยะ" แม่แหว และทำท่าจะเดินเข้ามาจนผมต้องรีบขยับตัวขึ้นไปชั้นบนเพื่ออาบน้ำและแต่งตัว


มองจากเสื้อผ้าผมว่าตอนนี้ผมน่าจะอยู่ในวัยเชื่อมต่อระหว่างเด็กชายเป็นนาย และเสื้อสีส้มตัวโปรดของผมก็ถูกหยิบมาใส่พร้อมกับกางเกงบอลเก่า ๆ ที่ขอบย้วยไปหมดแล้ว 


ผมรีบเดินลงมาและแม่ก็ออกคำสั่งให้ผมมีงานทำในมือในทันที


"วันนี้วันเกิดตุลหรอแม่?" ผมถามอีกครั้งให้แน่ใจ


"ย่ะ" แม่ตอบและค้อนใส่


"แล้วปีนี้ตุลอายุเท่าไหร่ล่ะ?" ผมถามอีกและแม่ก็ถึงกับชักสีหน้าและหันมามองหน้าผม คงคิดว่าผมกวนประสาทแม่กระมัง


"สิบห้าย่ะ เป็นผู้ใหญ่แล้วนา วันไหนว่างก็ไปทำบัตรประชาชนด้วยนะ" แม่บ่นและผมก็พยักหน้าและยังรู้สึกงวยงง


"สิบห้าอย่างนั้นเหรอ?" ผมถามตัวเองในใจ และรู้สึกว่านี่มันเหมือนมาเล่นเกมใหม่จริง ๆ และผมก็รู้สึกว่าถ้าได้เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ผมควรจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างนะ


อันดับแรกเปลี่ยนตัวเอง ถ้าผมเริ่มต้นออกกำลังกายเสียตั้งแต่ตอนนี้ กินอาหารดี ๆ ลดละเลิกน้ำหวาน น้ำอัดลม ในวัยสิบห้า เขาว่าการเผาผลาญดี  และเป้าหมายการเป็นชายหนุ่มสุขภาพดีของผมก็ผุดขึ้นมาในหัว


"แม่ต่อไปทำกับข้าว ทำพวกผักเยอะ ๆ ได้ป่าว พวกของทอดของมันตุลกินน้อยลงก็ได้" ผมบอกและมองชะอมที่อยู่ในมือ ซึ่งแม่ให้ผมเด็ดเพื่อจะได้ทำไข่เจียวชะอม เอาไว้กินกับน้ำพริกกะปิสินะ


"ผีเข้าหรอยะ?" แม่หันมาถามและผมก็ยิ้มให้


"ตุลอยากหุ่นดี ๆ กับเขาบ้างน่ะแม่ แม่ก็กินผักเยอะ ๆ จะได้สวย ๆ ตลอดไป" ผมบอกและมองแม่ที่ตอนนี้เริ่มมีไขมันส่วนเกินตามเนื้อตัวแล้ว


"แน๊ะ อย่ามาว่าชั้น หาว่าแม่อ้วนหรออีนี่" แม่หันมาบ่นแต่ผมก็อมยิ้มให้แม่ 


"อย่ามัวแต่คุย เร่งมือ เดี๋ยวพ่อก็ใกล้จะกลับมาแล้ว" แม่บ่นและหันหลังกลับไปยุ่งกับหม้อและกระทะข้างหน้า ส่วนผมก็รีบเร่งมือเด็ดผักและเอาไข่ไก่มาตีใส่ชาม เหยาะน้ำปลาและใช้ช้อนส้อมตีจนเข้ากัน


"แม่รู้เปล่า กับข้าวฝีมือแม่น่ะอร่อยที่สุดในโลกเลย" ผมเอ่ยปากชม และยื่นชามไข่ที่ตีจนได้ที่แล้วไปให้แม่


"รู้สิยะ ฝีมือแม่น่ะ ถ่ายทอดมาจากยายเลยนะ สมัยก่อนตอนแม่เด็ก ๆ ยายทำข้าวราดแกงขายนะ โอ๊ยลูกค้าเยอะแยะ" แม่เล่าถึงความหลังแล้วก็อมยิ้ม


"งั้นต่อไปถ้าแม่ทำกับข้าว ให้ตุลเป็นลูกมือนะ ตุลจะได้ทำกับข้าวเก่งอย่างแม่ด้วยไง" ผมอ้อน  และคิดในใจว่าเสน่ห์ปลายจวักผัวรักจนตาย ถ้ากูสวยแล้ว คราวนี้ก็ต้องมีผัว และนี่คือไม้ตายที่จะรั้งหัวใจผัวกันล่ะ


ผมคิดแล้วก็อมยิ้ม จนแม่หันมามองหน้าและยื่นตะหลิวมาให้


"งั้นก็เริ่มเลยย่ะ ไม่ต้องรอวันหน้า อยากทำก็ทำวันนี้เลยให้สำเร็จ" แม่พูดและคำพูดของแม่มันก็โดนใจผมราวกับ ธนูที่วิ่งจากแล่น ตรงเข้าสู่หัวใจ


"ต่อไปตุลจะไม่ผัดวันประกันพรุ่งแล้วล่ะแม่" ผมเอ่ยปากและแม่ก็อมยิ้มอย่างเอ็นดู 


แน่ล่ะ ในชีวิตเก่าที่ผมใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ และไม่เคยจริงจังอะไร มันทำให้ผมพลาดกับเรื่องราวดี ๆ ไปตั้งมากมายนี่หว่า เอาล่ะต่อไปนี้ผมคือนิวตุล นายตุลา และไอ้ตุลาคนนี้จะไม่ใช่ตุลา ไอ้อ้วนขี้แพ้คนเก่าอีกแล้ว


กับข้าวสำรับใหญ่ถูกลำเลียงมาจนถึงโต๊ะกินข้าว ผมจำได้ว่าในตอนอายุสิบห้าพ่อของผมยังเป็นพนักงานบริษัท และตอนนั้นครอบครัวของเราก็ถือว่าค่อนข้างเป็นครอบครัวที่มีความสุข พ่อในตอนนั้นเป็นพ่อบ้านที่ดี 


ตื่นมาพ่อก็ไปทำงาน เลิกงานมาพ่อก็กลับบ้าน และนั่นไงเสียงรถยนต์ของพ่อดับลงที่หลังบ้านแล้ว และพ่อก็เดินหล่อ ๆ เข้ามา พร้อมด้วยรอยยิ้ม


"โอ้โห วันเกิดไอ้ตุลทำกับข้าวอะไรเยอะแยะเนี่ย" พ่อพูดอย่างใจดี และเดินเข้ามาเท้ามือที่ขอบโต๊ะ และมองอาหารละลานตา


"มีของโปรดของพ่อด้วยนะ นี่ตุลทำเอง แม่เป็นคนสอน" ผมรีบอวด และพ่อก็ทำตาโตและเอามือมายีหัวของผม


"เธอไปอาบน้ำก่อนสิไป เดี๋ยวจะได้มากินข้าวด้วยกัน" แม่บ่นและพ่อก็เดินหนีไปอาบน้ำอย่างที่ว่า ส่วนผมตอนนี้ก็ตักข้าวใส่จานเตรียมให้ทุกคน


"กินข้าวเยอะไม่ดี มีแต่แป้ง" ผมบ่นและตักข้าวในจานออกครึ่งหนึ่ง รวมถึงของพ่อและของแม่ด้วย


"ต่อไปเรากินข้าวกล้องดีไหมแม่มันมีประโยชน์กว่านะ" ผมเอ่ยปากบอกและแม่ก็ขมวดคิ้วมองหน้าผม


"คิดยังไงยะ วันนี้ทำตัวแปลก ๆ หลายทีแล้วนะ" แม่ไม่วายบ่น


"ก็ข้าวมันแป้งเยอะ กินเยอะ ๆ เดี๋ยวเป็นเบาหวานนา" ผมบอกแม่และแม่ก็พยักหน้างึกงัก  รอจนพ่อแต่งตัวเสร็จ และลงมานั่งกินข้าวพร้อมกัน 


ผมไม่ค่อยพูดเอาแต่ฟังพ่อกับแม่คุยกัน ภาพที่ผมไม่ได้เห็นมาหลายสิบปี ทำให้ผมเอาแต่นั่งอมยิ้ม


"วันนี้ไอ้ตุลมันแปลก ๆ เดินมากอดชั้นด้วย" แม่นินทาผมกับพ่อ


"ก็ตุลคิดถึงแม่ไง รักแม่ด้วย รักพ่อด้วย" ผมบอกจนทั้งสองคนเอาแต่มองหน้าผมราวกับตัวประหลาด


"เป็นไข้หรืออ่านนิยายเล่มไหนแล้วอินวะ?" พ่อหันมาถาม 


"เปล่าก็ตุลมีความสุข" ผมบอกและตักน้ำพริกราดกับผักต้มและเอาเข้าปากและเคี้ยวอย่างแสนมีความสุข  


จริงสินะ ผมเคยคิดว่าตลอดชีวิตของผมไม่เคยสัมผัสกับความสุขเลย แต่ตอนนี้ กับอีแค่การได้กินข้าวพร้อมกันทั้งครอบครัว มันก็โคตรเป็นความสุขของผมแล้ว


"เอ๊า วันเกิดทั้งที พ่อไม่มีอะไรจะให้หรอกนะ มีแต่นี่" พ่อบอกและหยิบซองกระดาษยื่นมาให้ผม


"อะไรอ่ะพ่อ อุ๊ย ...ขอบคุณครับ" ผมพูดอย่างดีใจ และรีบหยิบหนังสือที่พ่อซื้อให้ออกมา


พ่อและแม่รู้ว่าผมชอบอ่านหนังสือ และนี่มันก็เป็นของขวัญวันเกิดที่ผมชอบที่สุดชิ้นหนึ่ง ผมยังจำได้ว่าไอ้เล่มนี้ผมยังเก็บไว้จนถึงวันที่ผมตาย อยู่ในเซ็ทหนังสือวรรณกรรมเยาวชนเล่มโปรดของผมทีเดียว


ผมยิ้มอย่างยินดี และเดินไปนั่งคุกเข่าระหว่างเก้าอี้ของพ่อและแม่ ผมก้มลงไปกราบที่ตักของทั้งคู่จนพ่อกับแม่เลิกลักเพราะบ้านเราไม่เคยทำอะไรกันอย่างนี้


"ต่อไปนี้ตุลสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี จะไม่ดื้อ จะตั้งใจเรียน จะช่วยงานพ่อกับแม่ด้วย" ผมหันไปบอกจนแม่ดึงผมไปกอดจนกลม ส่วนพ่อก็เอาแต่ยิ้มและลูบหัวผมอยู่นั่น


"บุญรักษานะลูกนะ" แม่เอ่ยปากอวยพรและหอมที่หัวของผมเบา ๆ ส่วนพ่อก็ยิ้มกว้างจนผมคิดว่ารอยยิ้มของพ่อแบบนี้ผมจะจำมันไว้ไม่มีทางลืมแน่ ๆ


เมื่อกินข้าวเสร็จผมก็รับหน้าที่เอาจานชามทั้งหมดทั้งมวลไปล้างและคว่ำจนเรียบร้อย ผิดกับแต่ก่อนที่ผมไม่เคยแม้แต่จะสนใจ แค่เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ก็ทำให้ผมเข้าใจตัวเองได้แล้วว่าผมเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ 


"พ่อ...แม่...กินข้าวอิ่ม ๆ แล้วไปเดินย่อยออกกำลังกายกันเถอะ" ผมบอกและหยิบรองเท้าพละออกมาสวม


"เป็นไข้อะไรหรือเปล่าเนี่ย" แม่หันมามองผมและขมวดคิ้วอีก


"นะ...ไปออกกำลังกายกันนะแม่ ตุลอยากให้แม่แข็งแรงจะได้อยู่กับตุลนาน ๆ ไง" ผมอ้อนและดึงมือแม่ ส่วนแม่ก็หันไปมองพ่อ จนสุดท้ายพวกเราสามคนก็ออกไปเดินเล่นที่ลานวัดแถวบ้านด้วยกัน


ผมปล่อยให้พ่อกับแม่เดินด้วยกันช้า ๆ พูดคุยกันไปตามเรื่องส่วนผมน่ะก็วิ่งเหยาะ ๆ ไปรอบ ๆ สนาม นี่ดูเหมือนเป็นการวิ่งออกกำลังกายครั้งแรกในชีวิตของผม ที่ผมทำโดยไม่ต้องมีครูมาสั่งเหมือนในชั่วโมงวิชาพละ


ช่วงนี้ปิดเทอม ย่อย แน่ล่ะก็ชื่อตุลาของผม ก็มาจากผมที่เกิดเดือนตุลาคมนี่นา และผมคิดว่าช่วงเวลาปิดเทอมหนึ่งเดือน เมื่อกลับไปเรียนผมจะต้องเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนคนเห็นผมแล้วต้องประหลาดใจ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นให้ได้


ผมฮึดและบอกกับตัวเอง และในทุก ๆ เย็น ๆ ผมก็จะออกมาวิ่งแบบนี้จนน้ำหนักของผมมันค่อย ๆ ลดลงช้า ๆ จากเสื้อและกางเกงที่เคยใส่ขนาด  XL ตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นไซซ์ L  และถ้าเอาจริง ๆ ใส่ไซซ์ M ก็ได้นะแต่มันจะฟิตและรัดรึงไปหน่อย 


และตอนที่ผมมองเงาของตัวเองในกระจกตอนนี้ ผมก็อดจะชื่นชมกับความมีวินัยของผมไม่ได้ เอวที่เล็กลง หน้าที่เคยมีสิวผุดพรายก็กลับมาเกลี้ยงเกลา ก็ผมต้องอดกลั้นกับการกินขนมหวานและน้ำอัดลมมาขนาดนี้ 


เห็นพัฒนาการของตัวเองที่มันเป็นไปได้ดี คำว่ารักตัวเองก็ผุดพรายขึ้นมาในหัว


รักตัวเองในสมัยก่อนของผม คือการตามใจตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ และออกจะเข้าข้างตัวเองยามเมื่อขี้เกียจ หรือตะกละ 


ผมมีวินัยขึ้น จริงจังขึ้น และดูเหมือนทุกอย่างรอบตัวผมก็เริ่มดีขึ้นจริง ๆ แม่มีรอยยิ้ม และพ่อก็กลับมาเป็นพ่อที่แสนอบอุ่น และผมสัญญากับตัวเองว่าผมจะรักษาสภาพความสุขนี้ไว้ให้ได้  และในยามว่างผมก็จะเอาหนังสือมาอ่านอย่างแสนสบายใจ หลังจากที่ช่วยแม่ทำงานบ้านเสร็จแล้ว


ภาพของแม่ที่นอนร้องไห้ และเอาแต่สงสารตัวเอง จะต้องไม่เกิดขึ้น


ภาพของพ่อที่ใจร้าย และหมดเยื่อใยหมดความรักกับเมียและลูกจะต้องไม่เกิดขึ้น


ภาพของไอ้อ้วนขี้แพ้ ที่วัน ๆ เอาแต่ขี้เกียจ ไม่เคยสนใจใคร ใจดำ เห็นแก่ตัว แบบผมคนเก่าจะต้องไม่เกิดขึ้น


ผมมองภาพตัวเองในกระจกอีกครั้ง เสื้อผ้าชุดใหม่ที่ไม่ได้ราคาแพงอะไร เพราะแม่ซื้อให้จากตลาดนัด แต่มันก็สดใสและทำให้รูปร่างของผมที่เริ่มสะโอดสะองขึ้นชักจะดูดี และผมก็เริ่มรักร่างกายของตัวเองในตอนนี้ชะมัด


แต่งตัวดีแล้วผมก็ลงไปข้างล่างเพื่อช่วยงานบ้าน ปัดกวาดเช็ดถูจนบ้านสะอาดเรี่ยมเร้เรไร แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนน่ะเหรอ ผมพอจำได้เลา ๆ ว่าจะมีไอ้เด็กอ้วนที่วัน ๆ เอาแต่อ่านหนังสือ แดกขนม แดกน้ำอัดลม และไม่สนใจจะช่วยงานในบ้านอะไรเลย


ผมในเวอร์ชันใหม่ เป็นเด็กมีน้ำใจ และช่วยงานแม่เท่าที่ผมจะช่วยได้ เราสนิทกันมากขึ้นและผมก็รู้สึกว่าทุกวันที่ผมได้คุยกับแม่ และเวลาแม่ยิ้ม ผมโคตรมีความสุข


แน่นอนว่าผมชอบแม่ในเวอร์ชันยิ้มและมีความสุขมากกว่าแม่ที่อยู่ในเวอร์ชัน เอาแต่นอนร้องไห้ และสงสารตัวเอง มีความสุขกับการทุกข์ตรมโทษตัวเองแบบแม่คนเก่า


ตอนนั้นพ่อทิ้งแม่ไป และแม่ก็เอาแต่โทษตัวเอง และเมื่อแม่ใจสลาย แม่หมดอาลัยในทุกสิ่ง และทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้มันผ่านไปวัน ๆ 


"แม่สวยขนาดนี้มิน่าพ่อถึงรัก" ผมแอบแซวและแม่ก็หน้าแดงแต่แม่ก็แก้เขินด้วยกันสั่งให้ผมเอาน้ำที่เหลือจากการซักผ้าไปรดน้ำต้นไม้ที่หลังบ้าน


"ตุลพูดจริง ๆ นา แม่สวยขนาดนี้ ไปทำอีท่าไหนพ่อถึงจีบแม่ล่ะ?" ผมแหย่แม่อีกและรบเร้าให้แม่เล่าให้ฟัง


ฟังไปก็ขำไปแต่ผมก็รู้สึกว่าแม่เหมือนกลับไปเป็นสาวสะพรั่ง สาวน้อยที่พ่อเฝ้าตามจีบจนตาใจอ่อนยอมให้แม่มาอยู่กับพ่อจนได้


วันดีคืนดี ผมก็ขอไปนอนกับแม่ ขอนอนตรงพื้นข้าง ๆ เตียงแม่นี่แหละ แม้ว่าแม่จะบ่นแต่ผมก็โคตรรู้สึกอุ่นใจ 


ภาพของพวกเราพ่อแม่ลูก ที่นอนดูโทรทัศน์ด้วยกันในห้อง แบบนี้ผมจะไม่มีวันลืมมันได้เลยทีเดียว


และพวกเรายามดูละครน้ำเน่าด้วยกัน ก็คุยกันไปคุยกันมา จนเมื่อพ่อบ่นปวดขาเพราะขับรถเยอะผมก็อาสาเหยียบขาให้พ่อ


"แน่ใจนา ไม่ใช่เหยียบขาของพ่อหักแน่นา" พ่อพูดทีเล่นทีจริง


"เดี๋ยวนี้ตุลผอมลงตั้งเยอะแล้ว ขาพ่อไม่หักหรอกน่า" ผมบอกและดันตัวของพ่อให้นอนคว่ำลง และค่อย ๆ ใช้ขาเหยียบ และพ่อก็บ่นโอย ๆ บ้าง แต่โดยรวมพ่อก็ชมว่าสบายตัวมากขึ้นทีเดียว


"แม่ก็เมื่อยเป็นนะยะ เหยียบให้แม่บ้างสิ" แม่บอกและผมก็ขยับตัวไปเหยียบขาให้แม่อย่างแสนยินดี


"หนักพอไหมแม่หรือเอาอีก" ผมถามเพราะกะน้ำหนักไม่ถูก


"เอาหนัก ๆ เลยย่ะ ตรงนั้นแหละ โอ๊ยยยยย" แม่ร้องและพวกเราพ่อลูกก็หัวเราะด้วยกันเพราะขำกับเสียงร้องของแม่


"พรุ่งนี้ก็เปิดเทอมแล้ว เพื่อนจะจำตุลกันได้ไหมเนี่ย เวลาแค่ไม่กี่เดือนตุลเปลี่ยนไปขนาดนี้" แม่เปรยและผมก็ถึงกับอมยิ้ม


"ก็คงมีคนถามเยอะแหละว่าตุลไปทำอะไรมา" ผมเอ่ยอย่างคาดเดา


"แล้วถ้าเกิดผอมลงจนเดี๋ยวนี้น่ารักขนาดนี้ จะมีใครมาชอบตุลหรือเปล่าเนี่ย มีรักในวัยเรียนเหมือนจุดเทียนกลางสายฝนนะ" แม่แซวและผมก็ถึงกับทิ้งตัวลงมานั่งที่พื้น


"พ่อแม่...ตุลมีอะไรจะปรึกษา" ผมบอกและคิดว่าในความคิดของคนวัย 58 ไอ้ความกลัวสมัยวัยเด็กของผมซึ่งมันตามมาหลอกหลอนผมมาตลอดชีวิต ผมจะต้องจัดการกับมัน


"มีอะไรหรือลูก?" แม่ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง และขยับตัวจากนอนคว่ำให้ผมเหยียบเมื่อกี้เป็นนั่ง


"คือตุลจะบอกพ่อกับแม่ว่าตุลไม่ได้ชอบผู้หญิง ตุลชอบผู้ชาย แต่ตุลไม่ใช่กะเทยนะ ตุลไม่ได้อยากแต่งเป็นผู้หญิง ตุลแค่รู้ตัวว่าถ้าจะมีแฟนตุลคงมีแฟนผู้ชาย" ผมละล่ำละลักอธิบาย และพ่อกับแม่ก็ชักสีหน้าทีเดียว


"คิดดีแล้วเหรอ ถ้าไม่มีเมีย ไม่มีคนคอยดูแลตอนแก่เฒ่า แล้วตอนนั้นจะอยู่ยังไง" พ่อหันมาบ่นและผมในวัย 58 ก็ตีความว่าสิ่งที่พ่อถามเพราะพ่อรักและเป็นห่วง


"ตุลก็บอกไม่ได้หรอกพ่อว่าจะมีคนมาคอยดูแลไหม แต่ตุลไม่อยากโกหกพ่อกับแม่ และมันแก้ไขไม่ได้ แต่ตุลสัญญาว่าตุลจะทำตัวให้ดี ตุลจะไม่เอาสิ่งที่ตุลเป็นมาทำให้พ่อกับแม่ต้องเสียใจ ต้องอายใครเขา" ผมรีบอธิบาย และพ่อกับแม่ก็เงียบงันกันไปทั้งคู่


ผมปล่อยให้คนในยุคนั้นได้ใช้เวลาปรึกษาหาหรือกันก่อน ยุคนั้นการมีลูกเป็นเกย์ เป็นสิ่งที่ยากจะยอมรับจริง ๆ ผมเข้าใจและไม่ได้โกรธพ่อกับแม่ทั้งสองคนเลย 


และตอนนี้ผมก็เดินกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง และเลือกหนังสือที่พ่อซื้อมาให้อ่าน เพื่อเอามาอ่านซ้ำ ๆ แต่มันจะเป็นรอบที่เท่าไหร่ผมก็จำมันไม่ได้ 


"เจ้าชายน้อย อองตวน เดอ แซงเตกซูเปรี เขียน" ผมออกเสียงอ่านเบา ๆ และนึกรักหนังสือที่พ่อซื้อให้ผมเป็นของขวัญวันเกิดปีนี้จัง 


ถึงยังไง ผมก็เป็นแค่คนธรรมดา แต่สำหรับพ่อกับแม่แล้ว ไม่ว่ายังไง ผมก็เป็น เจ้าชายน้อยของพ่อกับแม่เสมอ 


และผมในเวอร์ชันใหม่ จะทำให้พ่อกับแม่และท้ายที่สุดตัวของผมเอง มีความสุขในทุก ๆ วัน




ช่วงนี้เห่อเรื่องใหม่ และอารมณ์เขียนเรื่องมาเฟียบู๊ล้างผลาญยังไม่ผุด ไม่รู้ว่าคุณ ๆ จะชอบกันไหม แต่เราอยากจะบอกว่า เรื่องนี้เราเขียนมาจากตัวของเราด้วยส่วนหนึ่งเพื่อรำลึกถึงป๋ากับแม่ และถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้ เราก็จะรักป๋ากับแม่ให้มากกว่านี้ขึ้นไปอีก ....รักนะ