อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ - 3 วัยรุ่นวัยเรียน โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน

สารบัญ

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-1 คนขี้แพ้,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-2 เวอร์ชันใหม่,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-3 วัยรุ่นวัยเรียน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-4 เพื่อนชาย,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-5 ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-6 แผนสอง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-7 วัยทำงาน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-8 กลับมาหาความสุข,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-9 กองทัพเดินด้วยท้อง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-10 พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-11 เอาไงดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-12 ความสุขของผม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-13 ดีใจ...ใจดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-14 เปรียบเทียบ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-15 คนไม่สำคัญ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-16 อุ่นใจ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-17 สนิท,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-18 คนพิเศษ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-19 ขอจันทร์

เนื้อหา

3 วัยรุ่นวัยเรียน

โดย : Chavaroj



ตื่นเช้ามาวันนี้ กินมื้อเช้าแสนอร่อยของแม่พร้อมกันพ่อแม่ลูก พ่อกับแม่ยังดูมึนตึงกับผม และมื้ออาหารมื้อนี้ก็ดูจะอึดอัดเล็กน้อย 

ผมเห็นพ่อกับแม่สลับกันแอบดูหน้าผม แต่พอผมหันหน้าไปมอง ทั้งสองคนก็จะหันหน้าหนีไป และกลืนคำพูดลงไว้ในอก 

จนกินข้าวด้วยกันเสร็จ ผมก็เก็บกวาดล้างจานจนสะอาด เพื่อให้แม่ไปทำงานบ้านอื่น ๆ ตามใจ และผมก็เดินไปขึ้นรถกับพ่อ เพื่อให้พ่อซึ่งขับรถไปทำงานและมีโรงเรียนของผมเป็นทางผ่านอยู่แล้ว

แน่นอนว่าเรานั่งอึดอัดกันอยู่ในรถ โดยผมก็เอาหนังสือมาอ่านเพื่อไม่ให้อึดอัด และพ่อก็เปิดวิทยุเพื่อฟังข่าวอะไรไปเรื่อยเปื่อย

"พ่อบอกหลายทีแล้วตอนนั่งรถอย่าอ่านหนังสือ สายตามันจะเสียเอา" พ่อบ่นและผมก็รีบเก็บหนังสือลงกระเป๋า 

"พ่อหายโกรธตุลหรือยัง?" ผมถามออกไปตรง ๆ เพราะรู้สึกว่ามันแสนอึดอัดใจ

"โกรธอะไร?" พ่อพูดแต่ทำหน้าเรียบเฉยและทำราวกับการขับรถมันสำคัญเสียเหลือเกิน

"ก็โกรธเรื่องที่ตุลชอบผู้ชายไง" ผมพูดและหันออกไปมองนอกหน้าต่าง

"ใครบอกว่าพ่อโกรธกันเล่า พ่อเป็นห่วงตุลต่างหาก" พ่อพูดแล้วก็ถอนใจ

"พ่อห่วงอะไรตุลหรอ?" ผมถามซ้ำและหันมามองหน้าพ่อตรง ๆ 

"สารพัดเรื่องนั่นแหละ จริง ๆ พ่อคุยกับแม่ มันก็ตลกดีนะ ถ้าลูกเป็นผู้หญิง พ่อแม่ก็ห่วงไปเรื่องนึง ถ้าลูกเป็นผู้ชายก็ห่วงไปอีกแบบ แล้วก็ถ้าลูกเป็นแบบนี้ มันก็ต้องห่วงเพิ่มเป็นสองเท่าไหมล่ะ" พ่อว่าและผมก็ตั้งใจฟังแต่ไม่ได้ค้านความคิดอะไรออกไป ออกจะซึ้งใจด้วยซ้ำ

"ตุลไม่สัญญานะพ่อว่าจะทำให้พ่อกับแม่ไม่ห่วง เพราะบางเรื่องมันอาจบังคับไม่ได้ แต่ตุลสัญญากับพ่อว่าตุลจะเป็นเด็กดี ไม่ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ" ผมพูดอีกและพ่อก็ถอนหายใจและเอามือมาขยี้หัวของผม

"เออ ทำดีได้มันก็ดีกับตัวเรานั่นแหละ ถึงโรงเรียนแล้ว ไปเรียนไป ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ" พ่อบอกและผมก็ยกมือไหว้ พร้อมกับยืนมองจนพ่อขับรถจากไป

ก้อนหินหนักในใจของผมตลอดชีวิตมันเหมือนค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมา ผมจำได้ว่าในชีวิตของผมก่อนหน้านี้ เราไม่เคยพูดคุยกันตรง ๆ อย่างนี้เลย แน่ล่ะตอนนั้นผมยังเด็กและยังขลาดเขลากว่านี้นัก

ตอนนี้ผม อายุ 58 และเรียนรู้ที่จะพุ่งกับปัญหาตรง ๆ จะดีกว่า ถ้าเรามัวแต่หนี เราก็ต้องเจอปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก สู้จัดการให้มันจบ ๆ ไป ผลจะเป็นอย่างไร เราก็จะได้บอกกับตัวเองว่าเราทำดีที่สุดแล้ว

หันกลับมามองโรงเรียน ที่ซึ่งผมสารภาพตรง ๆ ว่ามันไม่เคยให้ความสุขกับผมเลย แต่ผมก็คิดว่าถ้าการได้กลับมาใหม่นี้ การเรียนเป็นหนึ่งในภารกิจ และผมก็หลีกเลี่ยงมันไม่ได้ ดังนั้นผมก็ต้องสู้กับมัน เป็นอีกภารกิจหนึ่งให้ผมต้องฝ่าฟันสินะ

เทอมนี้ผมยังอยู่ ปวช. ปีหนึ่ง เทอมสอง และเมื่อเดินเข้าไปเพื่อจะเข้าแถวก่อนเข้าเรียน เพื่อน ๆ หลายคนก็เดินมาทัก ถึงหุ่นของผมที่มันเปลี่ยนไป

"ตุลาไปทำอะไรมา ผอมลงหุ่นดีมาก ๆ เลย"  เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งตรงปรี่เข้ามาทัก และผมก็ต้องพยายามนึกชื่อเธออยู่นาน

"ก็ออกกำลังแล้วก็ ควบคุมอาหารน่ะ" ผมตอบเพื่อนคนนั้น และเพิ่งนึกออกว่าเจ้าหล่อนชื่อเหมย ก็เวลามันผ่านมาเป็นสิบ ๆ ปี ใครจะไปจำได้แม่นขนาดนั้นกันเล่า

"ต๊าย ตุล ผอมแล้วสวยเลยน๊า" เพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก และจับเนื้อจับตัวของผม พร้อมกับทำหน้าประหลาดใจ

"สวยสู้เธอไม่ได้หรอก" ผมตอบกลับและอมยิ้ม แต่ตอนนี้พยายามนึกถึงชื่อยายม้าเต่อนี่ก่อน

"ไม่ยักรู้เดี๋ยวนี่ตุลจะปากหวานเป็นกับเขาด้วยเนอะปู" เหมยหันไปพูดกับเพื่อน ผมถึงนึกออกว่ายายนี่ชื่อยายปูนั่นเอง

เราสามคนเดินไปด้วยกันเพื่อไปเข้าแถวเคารพธงชาติ ออกจะนึกขำที่ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนั้น แต่หลายสิบปีก่อนมันเป็นเรื่องธรรมดา เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามสินะ

แน่นอนว่าเสียงทักทายกิ๊วก๊าว ดังมาตลอดที่ผมเดินผ่านเพราะใคร ๆ ก็ทักเรื่องผมที่เปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่ผมก็อดจะไม่ค่อยมั่นใจนิด ๆ เพราะพอผมผอมลง เสื้อผ้าที่ผมใส่ก็เลยหลวมโพรก มองตัวเองในกระจกผมก็อดจะขำ ๆ ตัวเองหน่อย ๆ 

และเมื่อเข้าแถว ร้องเพลงเสร็จ สวดมนต์  และฟังอาจารย์บ่นอะไรของแกไป จากนั้นพวกเราก็ได้เวลาเข้าห้องเรียนกันสักที

ผมเข้ามาเรียนและเจอเพื่อน ๆ ก็อดจะตื่นเต้นและพยายามระลึกถึงเพื่อน ๆ ในห้องพวกนี้แต่ผมจำได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ก็สมัยนั้นผมไม่ได้เป็นที่สะดุดตา หรือดูกลืนไปกับฝูงชน ไม่มีใครจำผมได้ และผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับใครด้วย

แต่ตอนนี้ผมคิดว่าการมีเพื่อนในวัยนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งดี และยายเหมยกับยายปู สองเพื่อนซี้หนึ่งอ้วนหนึ่งผอม ก็ชักจะทำให้ผมหัวเราะได้บ่อย ๆ เสียแล้วสิ

แต่คนนึงที่ผมจำมันได้แน่ ๆ ก็คือผู้ชายที่นั่งหลังห้องคนนั้น ในอดีตผมรู้สึกว่าหมอนี่มันหล่อวัวตายควายล้ม แต่พอกลับมาตอนนี้มองเขาด้วยสายตาของคนอายุ 58 ที่วัน ๆ อ่านแต่นิยาย ผมก็รู้สึกว่าหมอนี่มันน่าเบื่อสิ้นดี

แต่ภารกิจหาผัวให้ได้ก็ยังติดอยู่ในใจของผม และด้วยคำสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อ ผมก็รู้สึกว่าในตอนอายุสิบห้าของผมนี้ผมจะตั้งใจเรียนให้ดีเสียก่อน และเจ้าสุดหล่อที่เคยใฝ่ฝันก็รู้สึกว่ามันเด็กรุ่นลูกรุ่นหลาน เราแก่กว่ามันตั้งเยอะ และดูเหมือนตัวเองเป็นเฒ่าหัวงูถ้าไปชอบเด็กขนาดนั้น

และด้วยข้าราชการใกล้เกษียณที่วัน ๆ อยู่แต่กับกองเอกสาร และผมไม่ได้อวดนะ ผมพิมพ์ดีดได้ไวที่สุดในแผนกทีเดียวแหละ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

ในวันแรกการเรียนพิมพ์ดีดอันเป็นสกิลของเด็กพาณิชย์อย่างพวกเรา ผมจึงพิมพ์รัวเป็นข้าวตอกแตก และเดินไปส่งงานกับอาจารย์เป็นคนแรก และเพื่อน ๆ ก็พากันมองดูผมยามเมื่อเดินกลับมานั่งที่โต๊ะทีเดียว

"อีตุล ๆ ช่วยดูให้เราด้วยสิ เราแก้มาสองรอบแล้วเนี่ย" ยายเหมยสาวอวบบอกผมและผมก็ชะโงกหน้าเข้าไปดู 

"ตรงนี้เหมยต้องเคาะให้ได้อยู่กึ่งกลาง นับคำแล้วขีดครึ่งตรงนี้ไง" ผมบอกและสาธิตให้เหมยดู ซึ่งยายปูก็ชะโงกหน้ามาดูด้วย

รู้สึกว่าพอกลับมาเรียนแล้วมันทำได้ดี และเพื่อน ๆ ซุบซิบกันว่าผมเก่ง มันก็ทำให้ผมใจฟูยังไงก็ไม่รู้

พอกลับมาเรียนแบบนี้บางวิชาที่ผมก็ลืมเลือนไปแล้วอย่างเช่นวิชาภาษาจีน ที่ผมบอกตรง ๆ ว่าแม้ว่าผมจะชอบดูซีรีส์จีน เพราะนักแสดงหล่อ แต่เรื่องภาษาจีนของผมมันไม่เอาอ่าวเสียจริง ๆ 

"ตั้งใจเรียนจีน เผื่อจะได้ผัวฮ่องกง" ผมบอกกับตัวเอง และตั้งหน้าตั้งตาคัดอักษรภาษาจีนซึ่งเหล่าซือเขียนให้เราดูและให้เราเขียนตาม

ผมรู้ตัวเองเลยว่าศักยภาพของคนเรามันมีจำกัด และภาษาจีนของผมก็คงไม่ได้รุ่งแน่ ๆ ถ้ารุ่งริ่งล่ะเห็นจะตรงกับผมมากกว่า

แต่ในวิชาอื่น ๆ เช่นภาษาอังกฤษ หรือวิชาการตลาดผมก็เรียนได้ดีพอใช้

และเมื่อกริ่งดังขึ้นและมันก็บอกว่าพวกเราเป็นไทเสียที

"ไป ๆ กลับบ้านกันดีกว่าแต่ว่าไปกินไอศกรีมกันก่อนดีไหมหน้าโรงเรียนนี่เอง" เหมยเอ่ยปากชวน แต่ผมที่อุตส่าห์อดอาหารและออกกำลังกายมาขนาดนี้เรื่องอะไรจะยอมแพ้กับกิเลสง่าย ๆ 

"เราอยากรีบกลับบ้านไปช่วยแม่น่ะ" ผมบอกไปตรง ๆ และโบกมืออำลาสองเพื่อนสาว และเดินตรงและข้ามฝั่งเพื่อจะได้นั่งรถเมล์กลับบ้าน

นั่งรถไปก็อดจะนึกถึงแม่ไม่ได้ว่า เดี๋ยวกลับไปเราต้องอยู่ด้วยกันสองคนผมจะรู้สึกอึดอัดเหมือนตอนนั่งรถมากับพ่อแบบเมื่อเช้าอีกไหมหนอ

แต่คิดไปก็เท่านั้นเพราะผมก็ไม่ได้มีทางเลือก และถ้าชั่งน้ำหนักกันแล้ว ผมก็ยังรักและคิดถึงแม่มากอยู่ดี และยามที่เราอยู่ด้วยกันสองคน คุยกันกระจุ๋งกระจิ๋งตามประสาแม่ลูก พร้อมกับช่วยแม่ทำงานไปด้วย มันเป็นความสุขในยามที่ผมนึกถึงแม่เสมอ ๆ 

และเมื่อรถมาจอดถึงปากซอย ผมก็เดินเข้าบ้านและยืนลังเลที่หน้าบ้านอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อผมตัดสินใจสูดหายใจเข้าลึก  และเดินยิ้มเข้าไป เมื่อเจอแม่ผมก็ยิ้มหวานให้ได้มากที่สุด พร้อมกับยกมือไหว้

"กลับมาแล้วเหรอ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนสิไป" แม่พูดซ้ำเหมือนทุกๆ ที และผมก็รีบทำตามคำสั่ง ลงมาพร้อมกับเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น เดินตรงไปที่ครัวเพื่อเอาผักสดที่แม่เตรียมสำหรับทำอาหารมาไว้ตรงหน้าพร้อมกับถามแม่ว่าให้ผมทำอะไร

"เด็ดใบตำลึงให้แม่หน่อยก็แล้วกัน" แม่ว่าและผมก็แกะห่อตำลึงออกมา มองใบตำลึงแล้วผมก็อมยิ้ม เพราะในบั้นปลายชีวิตของผม ผักพื้นบ้านง่าย ๆ ที่ตอนเด็ก ๆ ผมกินมันบ่อย ๆ และตอนนั้นถ้าโดนใช้ให้ช่วยเด็ดใบและยอดของมันผมมักจะเอาแต่ทำหน้างอ

แต่ยามนี้ ผมเห็นมันแล้วผมก็อมยิ้ม และนึกรักผักพื้นบ้านพวกนี้ที่สุดในโลก และเหนืออื่นใด รักน้ำซุปกับ หมูสับหอม ๆ ในน้ำแกงของแม่ด้วย

ช่วยทำกันสองแรงแข็งขัน และแม่ก็ใช้ช้อนคันเล็ก ๆ ตักน้ำแกงขึ้นมาและเป่าให้ความร้อนคลายจาง

"ชิมซิได้ที่ดีหรือยัง?" แม่บอกและยื่นช้อนมาที่ริมฝีปากของผม

"อร่อยเหมือนเดิมเลยแม่ อร่อยที่สุดในโลก" ผมบอกและยิ้มกว้างให้แม่ และผมก็คิดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ 

"ปากหวาน" แม่พูดอย่างมันเขี้ยวและค้อนให้ 

"ไป ๆ ไปจัดจานจัดโต๊ะไป เดี๋ยวพ่อก็ใกล้จะกลับมาจากที่ทำงานแล้ว" แม่บ่นและผมก็กุลีกุจอ ทำตามคำสั่ง ไม่นานพ่อก็กลับมาจอดรถที่หลังบ้าน และเดินยิ้ม ๆ ให้แม่โดยไม่ได้พูดอะไรกัน

"เธอไปอาบน้ำไป เดี๋ยวจะได้มากินข้าวกัน วันนี้มีแกงจืดใบตำลึงของโปรดเธอเลยนะ" แม่บอก

"ของโปรดของตุลด้วยเหมือนกันแม่" ผมรีบบอกและแม่ก็หันมาค้อน ส่วนพ่อก็อมยิ้มน้อย ๆ แล้วรีบขึ้นไปอาบน้ำ

เมื่อกินข้าวด้วยกัน แรก ๆ ก็ไม่ค่อยพูดคุยกันอีกแล้ว และผมก็ไม่รู้จะคุยอะไร แต่โชคดีแม่เป็นคนเปิดหัวข้อการสนทนา

"วันนี้ไปเรียนเป็นยังไงบ้างล่ะ?" 

"ก็สนุกดีแม่ พิมพ์ดีดเนี่ยนะ ตุลทำเสร็จคนแรกเลย ยายเหมยกับยายปู ให้ตุลสอนด้วย เออ มีแต่คนทักว่าตุลผอมลง แล้วก็วิชาภาษาจีนยากชะมัด เหล่าซือก็เป็นอาม่าแก่ ๆ พูดไทยก็ไม่ชัดพูดจีนก็ฟังไม่รู้เรื่อง" ผมบ่นไปตามเรื่องจนพ่อกับแม่หัวเราะขำ

"วิชาอื่น ๆ ตุลพอสู้นะ แต่ตุลว่าภาษาจีนนี่ตุลไม่ได้คะแนนดีแน่ ๆ" ผมรีบออกตัวแต่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

ดูเหมือนบรรยากาศจะดีขึ้น เราก็ได้พูดคุยกันบ้าง ถึงจะไม่มาก แต่ถ้าเทียบกับในชีวิตก่อน นี่ก็เป็นการคุยที่มากที่สุดแล้วล่ะ และผมก็แสนจะดีใจที่เป็นพ่อกับแม่ได้หัวเราะไปกับเรื่องของผม

จนพ่อบ่นเรื่องงานกับแม่ นั่นแหละ ผมซึ่งถ้านับตามอายุ เจอไอ้เรื่องที่พ่อบ่นมาเสียนักต่อนัก และไอ้เรื่องการเมืองในออฟฟิศนี่มันก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ทีเดียว

และผมก็พูดกับพ่อจากประสบการณ์ของผม จนพ่อถึงกับนั่งฟังผมพูดอย่างตั้งใจทีเดียว

"ทำอย่างกับทำงานมาแล้วอย่างนั้นแหละ" พ่อบ่นและผมก็ได้แต่อมยิ้ม

ผมรู้ว่าสถานการณ์ของพ่อในบริษัทไม่ค่อยดี เพราะพ่อเป็นพนักงานเก่าแก่ อาศัยว่านายของพ่อเป็นคนสำคัญและคุ้มหัวให้ พ่อถึงทำงานได้โดยไม่มีอุปสรรคอะไรในตอนนี้

แต่นั่นมันกินเวลาอีกแค่สองปีสินะ เพราะผมจำได้ว่าตอนผมขึ้น ปวส. ปีหนึ่งพ่อก็ตัดสินใจลาออกจากงาน และนั่นก็คือจุดเปลี่ยนสำหรับครอบครัวของผมเหมือนกัน

แต่มันยังมีเวลาให้ผมคิดอีกสองปี ตอนนี้โดยรวมก็ยังมีความสุขดีอยู่ และผมก็นั่งคุยกับพ่ออยู่พักใหญ่ และเมื่อกินข้าวเสร็จผมก็ชวนแม่ไปเดินย่อยอาหาร และแน่นอนว่าแม่ก็ต้องชวนพ่อไปเดินเล่นด้วยกันเหมือนเคย

จนเมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมแอบเอาเชือกที่ผมแอบซื้อไว้ มากระโดดที่หลังบ้าน ซึ่งแรก ๆ มันก็ขัดเขินอยู่สักหน่อย แต่ผมคิดว่ามันเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายดี และไม่ต้องใช้พื้นที่มากด้วย

แต่ปัญหาตอนนี้คือผมมักจะเหยียบเชือกอยู่บ่อย ๆ 

"ใส่รองเท้าใส่ถุงเท้าด้วยตอนกระโดดน่ะ ไม่อย่างนั้นข้อต่อพังพอดี" พ่อที่เห็นตะโกนบอกและผมก็กลับเข้ามาเอารองเท้าพละและถุงเท้าสวมแล้วค่อยกลับไปกระโดดเชือกใหม่

เพียรพยายามอยู่จนผมคิดว่าตัวเองเริ่มทำได้ดี ตอนนี้ผมกระโดดเชือกได้ค่อนข้างไว และยังแอบมีการทำเทคนิคสลับมือและทำท่าพิสดารให้แม่เห็นแล้วหัวเราะได้ด้วย

ผมว่าพ่อกับแม่คงเริ่มทำใจกับผมได้ และคงเห็นว่าผมเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก แน่สิ ผมยังรู้สึกเลยว่าผมเปลี่ยนไปมากจริง ๆ 

ยิ่งตอนนี้ผมกลายเป็นคนขี้อ้อนและติดพ่อกับแม่อย่างหนัก จนบางทีแม่ถึงกับต้องเอ่ยปากไล่ให้ผมกลับมานอนที่ห้องนอนของตัวเองบ้าง ไม่อย่างนั้นผมก็ขอนอนที่พื้นข้าง ๆ เตียงนอนแม่อยู่บ่อย ๆ 

และวันนี้ผมก็ทำมึนขออยู่กับพ่อและแม่อีกคืน โดยอ้างว่าจะเหยียบขาให้พ่อกับแม่ทั้งสองคน

และเรื่องราวของละครบ้าง ข่าวบ้าง ก็จะเป็นหัวข้อให้เราได้คุยกัน สมัยก่อน ทีวีมันไม่ได้ฉายทั้งวันทั้งคืน ฉายเป็นช่วงเวลา จะมีก็วันเสาร์อาทิตย์เท่านั้นล่ะที่จะมีอะไรให้ดูทั้งวัน แต่มันก็จะจบที่เวลาเที่ยงคืน

แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับมันอยู่แล้ว เพราะผมรู้สึกว่าเวลาของการได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่นี้มันสำคัญกว่า

"แม่ตุลอยากกินไข่ลูกเขย พรุ่งนี้วันหยุดแม่สอนตุลทำหน่อยนะ" ผมออกความเห็น และพ่อก็เอ่ยปากเห็นด้วย

"คิดยังไงยะ จะบอกแม่อ้อม ๆ หรือเปล่าว่าจะมีแฟนเนี่ย" แม่พูดดักคอ และผมก็เขินแทบแย่

"แฟนเฟินอะไรกันแม่ตุลไม่มีหรอก คนอย่างตุลใครจะเอา" ผมตอบกลับไปด้วยความเคยชิน 



"ว่าไม่ได้นา เดี๋ยวนี้ตุลผอมลง หน้าก็ใส แถมน่ารักด้วย เพราะตุลหน้าคล้ายแม่  เห็นอย่างนี้ สมัยแม่เป็นสาว ๆ หนุ่ม ๆ งิตามจีบกันเป็นพรวนไม่เชื่อก็ถามพ่อสิ" แม่คุยโอ่

"ก็คือตุลหน้าเหมือนแม่ก็เลยจัดว่าเป็นคนหน้าตาดีว่างั้น" ผมตอบกลับและพวกเราก็หัวเราะกัน

"แม่ไม่ได้โม้นะ สมัยพ่อเจอแม่นี่ พ่ออึ้งไปเลย ถามตัวเองว่าใครวะทำไมน่ารักอย่างนั้น แต่ตากับยายของตุลก็ดุชะมัด พ่อตามจีบแม่อยู่ตั้งนาน" พ่อพูดเหมือนบ่น 

" แล้วไหงแม่ถึงเลือกพ่อล่ะ ไม่มีคนหล่อ ๆ รวย ๆ มาจีบแม่หรอ?" ผมแกล้งแซว

"โอ๊ยไม่อยากจะคุยย่ะ ถ้าเดินยักสะโพกไปปากซอยหน่อย ขากลับต้องเอาสามล้อมาขน ยิ่งไอ้หล่อ ๆ รวย ๆ นี่ขี้เกียจจะนับ" แม่คุยโม้

"เดี๋ยว ๆ แม่ยังไม่ตอบตุลเลยว่าทำไมแม่ถึงยอมเป็นคนรักกับพ่อล่ะ?" ผมเซ้าซี้อีก

"เออนั่นสิ ทำไมนะ พ่อทนเก่งมั้ง เช้าถึงเย็นถึง ตากับยายด่าเหน็บแนมเอาเจ็บ ๆ แสบ ๆ พ่อก็ยังมา แถมยังมาช่วยแม่ที่ร้านด้วย" แม่เล่าความหลังสมัยช่วยตากับยายขายข้าวแกง

"ใช้แรงงานแฟน" พ่อบ่นและแม่ก็หัวเราะ

"ก็อยากโง่เอง" แม่แซวกลับ และผมก็หัวเราะเสียแทบแย่ ไม่นึกว่าพ่อกับแม่จะมีมุมนี้ด้วย

นวดพ่อกับแม่ทั้งสองคนแล้ว รู้สึกว่าคืนนี้พ่อกับแม่คงมีอะไรที่อยากจะรำลึกถึงความหลังกัน ผมแกล้งทำเป็นหาวและเดินกลับมาบนห้องนอนของตัวเอง

ผมนั่งมองหนังสือที่ตั้งเป็นแถวอยู่บนตู้ ซึ่งผมซื้อเองบ้าง แม่ซื้อบ้าง หรือพ่อใจดีซื้อมาให้บ้าง แต่สุดท้ายหนังสือพวกนี้มันก็มากองอยู่ที่บ้านผมอยู่ดี 

จำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่ง ผมต้องไปต่างจังหวัดกับที่ทำงานสองสามวัน พอกลับมาบ้าน ผมนี่แทบจะล้มทั้งยืนเพราะหนังสือของผม โดนปลวกกินไปตั้งมากมาย 

เมื่อนึกขึ้นมาได้ ก็ขอป้องกันไว้ดีกว่าแก้ไข ผมย่องลงมาที่ครัว หยิบเกลือแกงที่แม่ซื้อเก็บไว้เป็นแพค ๆ เอามาโรย รอบ ๆ ชั้นวางหนังสือ 

"ดูซิคราวนี้จะกล้ามาแดกหนังสือสุดที่รักของกูอีกมั๊ย" ผมบ่นกับตัวเองและอมยิ้ม และจัดแจงเอาสมุดคัดจีนออกมาดู 

ผมคัดวิชาภาษาจีนไปแล้วครึ่งหน้า เหลืออีกครึ่งนึง ถ้าเป็นสมัยก่อนผมก็คงเลือกที่จะปล่อยมัน ด้วยความขี้เกียจ แต่นิวตุลคนนี้จะเอาชนะไอ้ตุลคนเก่า 

จัดแจงคัดอย่างตั้งใจ และผมก็คิดว่ามันก็สวยพอใช้ได้เหมือนกันนะ ปิดสมุดคัดจีนและจัดตารางสอนสำหรับพรุ่งนี้ 

ก่อนนอนผมมักจะอ่านหนังสือสักหน่อย และวันนี้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการอยากเรียนภาษาจีนผมก็เลยไปเช่านิยายกำลังภายใน มาอ่านดูสักหน่อย

ว่ากันว่าถ้าเริ่มอ่านก็ควรจะเริ่มจากเรื่องของ กิมย้ง ที่แต่งเรื่องมังกรหยกนั่นไง และผมที่รู้สึกชอบ อึ้งย้ง ลูกสาวอึ้งเอี๊ยะซือเจ้าของเกาะดอกท้อ แน่ล่ะผมดูเรื่องนี้สมัยทำละครมาตั้งหลายครั้งแล้วนี่นา ลองอ่านเป็นนิยายเห็นทีว่าจะน่าสนุก

แรก ๆ ของการอ่านก็อาจจะเบื่อนิด ๆ เพราะเป็นการปูเนื้อเรื่อง แต่สำนวนการแปล ซึ่งผมเห็นว่ามันแปลกดี ก็ทำให้ผมอ่านได้อย่างสนุก และทันทีที่หันไปมองนาฬิกาผมก็อุทานออกมาทันที

"ตายห่าเที่ยงคืนแล้วเหรอ นอน ๆ" ผมบ่นกับตัวเองและรีบเดินจะไปปิดไฟ แต่กระจกที่แขวนไว้ข้าง ๆ สวิตช์ไฟก็ทำให้ผมเลือกที่จะหยุดมองใบหน้าของตัวเองอีกหน

ภาพของไอ้อ้วนหน้าสิว ในสมัยก่อนหายไป หน้าของผมตอนนี้ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ผมว่าตัวเองก็จัดเป็นคนหน้าตาดีพอใช้

ก็อย่างที่แม่บอกนั่นแหละ แม่ในวัยเยาว์นั้นจัดเป็นคนสวยน่ารัก และผมที่หน้าคล้ายแม่ ก็ควรจะน่ารักเหมือนแม่ด้วยประการนี้ 

ผมอมยิ้มและรู้สึกดีกับตัวเองมาก ๆ ที่ผ่านมาผมไม่เคยรักตัวเอง ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดีพอ และไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีอะไรที่จะเอาไปอวดกับเขาได้สักอย่างเพราะไม่ใช่คนสลักสำคัญ

แต่ตอนนี้มันแสนต่างกัน ผมรักตัวเอง ผมรักร่างกายนี้ ผมรักพ่อกับแม่ที่อยู่ข้าง ๆ กายผมไม่ว่าผมจะสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลว ผมรักเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน และรู้สึกว่าชีวิตนี้มันเป็นของผมโดยแท้

ผมเลิกโทษโชคชะตาดังเมื่อก่อนแล้ว และกลับคิดว่าโชคชะตาเป็นส่วนหนึ่งที่เราเป็นผู้กำหนดมันได้ 

ก็อย่างเอวของผมที่ตอนนี้มันคอดกิ่วนั่นไง โชคชะตาไม่ได้ส่งให้ผมอ้วน แต่การกระทำของผมต่างหากที่กินไม่หยุด และกินแต่สิ่งไม่ดี ไม่ออกกำลังกายที่ทำให้ผมมีสภาพแบบนั้น

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จะไม่โทษอดีต ออกจะสงสารและเห็นใจตัวเองในตอนนั้นด้วยซ้ำ จะโทษจะด่าไปทำไมมันก็ตัวของผมเองนั่นแหละ ถ้าคนเราลองแม้แต่ตัวเองก็ยกโทษให้กับความผิดพลาดของตัวเองไม่ได้แล้ว  ใครกันจะมาเข้าใจตัวเราเองกันเล่า

"ขอบใจนะ ..มึงเก่งมากอีตุล" ผมบอกกับตัวเองในกระจกและส่งยิ้มหวาน ๆ ให้ และเมื่อปิดไฟ และขึ้นเตียงนอน ไม่นานผมก็หลับไปอย่างแสนสบายใจเพราะในวันเวลานี้ ผมไม่มีเรื่องอะไรให้ทุกข์ใจได้เลย

และเช้าวันต่อมา ชีวิตประจำวันที่แสนมีความสุขของผมก็เกิดขึ้นซ้ำ ๆ แต่วันนี้วันหยุด และแม่สัญญาจะทำไข่ลูกเขยให้เรากิน เช้านี้ผมจึงอ้อนขอไปช่วยแม่หิ้วตะกร้าที่ตลาดตั้งแต่เช้า

และอีกมุมของแม่ที่ผมไม่เคยเห็นก็ทำให้ผมถึงกับอมยิ้ม แม่พูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าอย่างสนิทสนม แถมยังปล่อยมุกตลก ๆ เสียจนงอหาย และผมซึ่งไม่เคยเห็นแม่ในมุมนี้ก็เอาแต่มองแม่และอมยิ้ม

"มองอะไรยะ" แม่หันมาถามและเดินลิ่ว ๆ ให้ผมเดินตามไปเร็ว ๆ 

"ก็ตุลไม่เคยรู้ว่าแม่ก็ต่อปากต่อคำเก่ง" 

"แม่น่ะลูกแม่ค้านา จะมาถนิมสร้อย พูดเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงก็อดตายพอดีสิยะ" แม่หันมาค้อนและยิ้มให้ 

"มานี่มา แม่จะสอนให้ จะซื้อปลาต้องดูอย่างนี้นะ..." แม่กวักมือเรียกผม และพาผมไปที่แผงขายปลา 

"เดี๋ยวแม่จะทำปลานิลทอดกระเทียมให้กินด้วย" แม่บอกและผมก็แทบจะกระโดดตัวลอย เพราะนั่นมันของโปรดของผมเลยนี่นา





น้องตุลมีความสุข เราก็มีความสุข แต่อุปสรรคข้างหน้ายังมี น้องตุลต้องเข้มแข็งน๊า เราได้โอกาสนี้มาแค่ครั้งเดียว ให้กำลังใจน้องตุลสักนิดด้วยการกดหัวใจหรือส่งสติ๊กเกอร์ให้หน่อยนะคร๊าบ