อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน
โดย : Chavaroj
ผ่านเข้ามาปีสองแล้ว และในตอนนี้ผมก็รู้สึกได้ถึงชีวิตมันเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างไรก็ไม่รู้
ในเรื่องของครอบครัว ตอนนี้ทั้งพ่อและแม่ต่างยอมรับในตัวตนของผมได้และ ผมเคยแอบได้ยินพ่อกับแม่คุยกันในคืนหนึ่ง
"ก็รักมันมาตั้งแต่ยังเป็นวุ้น ตอนยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นผู้ชาย หรือเป็นผู้หญิง เป็นคนปกติ หรือคนพิการ พอออกมาครบสามสิบสอง โตมาเป็นเด็กดี เราจะต้องการอะไรจากมันมากกว่านี้อีกล่ะ"
เสียงของพ่อยังดังก้องในหัวของผม และผมก็ยิ่งรักพ่อกับแม่มากขึ้นไปอีก
ส่วนเรื่องของการเรียน ในเมื่อกลับมาเรียนซ้ำ วิชาที่ผมถนัดอยู่แล้วก็ยิ่งทำได้ดี ส่วนวิชาที่ผมไม่ค่อยถนัดในตอนนั้น แต่ตอนนี้ผมกลับมาสนใจเพราะเห็นว่าในอนาคตมันได้ใช้แน่ ๆ และด้วยความสนใจผนวกกับ วัยเด็กที่ทรงพลัง การจดจำ และความกระตือรือร้นของผมก็ทำให้ผมสนุกกับการเรียน และทำได้ค่อนข้างดีแม้แต่วิชาภาษาจีน จากที่เคยได้ดีด๊อก มันก็พัฒนาจนได้เกรดบีทีเดียวล่ะ
เพื่อนร่วมห้องก็ดูเป็นมิตร ซึ่งอันนี้ผมไม่โทษใคร ถ้าจะโทษใครในตอนนั้นเห็นจะต้องโทษแต่ตัวเอง เพราะเพื่อน ๆ ก็รักใคร่กันดี มีแต่ผมนี่แหละที่ไม่เข้าพวก แต่ตอนนี้เปลี่ยนไป ผมเข้ากับเพื่อน ๆ ทุกคนได้ดี และมีเพื่อนสนิทกับเขาด้วย ซึ่งนั่นก็คือยายเหมยและยายปูสองสาวเพี้ยนประจำห้อง
ซึ่งทำให้การพูดคุยกันของพวกเรามีแต่เสียงหัวเราะ และสนุกในทุกครั้ง แต่สิ่งที่ผมจะพยายามเปลี่ยนให้ได้ แต่ทำทีไรผมก็ทำไม่ได้สักทีก็คือเรื่องเพื่อนผู้ชาย
ผมไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนผู้ชายในห้องเลยสักคน พูดคุยกันได้ไม่มีปัญหาแต่จะสนิทสนมมาก ๆ นั้นผมรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ช่างเถอะ ถึงยังไงในวัยสิบหกตอนนี้ผมก็โฟกัสแต่เรื่องของการเรียนและครอบครัวอยู่แล้ว
แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่แอบชอบใครนะ อันนี้มันของตาย ผมแอบชอบไปหมดแหละ ธเนศห้องสิบหกเวลายิ้มแสนน่ารักแม้จะดูซื่อบื้อไปหน่อย หรือธนเดชห้องเก้ารอบเช้า นั่นก็สายออกกำลังกายทำให้มีกล้ามเป็นมัด ๆ แต่ผมเคยเดินผ่านหมอนั่นแล้ว กลิ่นเหงื่อของเขาก็ทำให้ผมหักคะแนนความหล่อลงสองคะแนน
ส่วนในเรื่องของตัวเอง แน่นอนว่าผมรักตัวเองในเวอร์ชันนี้ ผมยังไม่ได้ผอมมาก แต่ก็ไม่เป็นไอ้อ้วนอีกแล้ว ผลจากการออกกำลังกายทำให้ผมเป็นคนร่าเริง และแข็งแรง สิวที่ขึ้นเขรอะ หายไป โดยไม่ต้องใช้ตัวช่วย มันหายไปเองเสียอย่างนั้น จนวันหนึ่งที่ผมมองกระจก ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ากูก็น่ารักอยู่ไม่หยอก
บทเรียนจากชีวิตเก่าทำให้ผมคิดถึงพ่อกับแม่อีกหน ถ้าในอีกสองปี พ่อตกงานแล้วทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวของเราแย่ลง นั่นก็ต้องหาทางแก้ไข
และทางออกนั้นก็คือแม่ต้องมีงานซึ่งสร้างรายได้ การที่ผู้หญิง โยนภาระทางการเงินทั้งหมดให้กับสามีมันทำได้ในโลกยุคเก่า แต่เดี๋ยวนี้มันทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว อาจด้วยเพราะภาวะทางเศรษฐกิจ หรือจะความเท่าเทียมกันทางสังคมอะไรก็ช่างเถอะ
แต่สิ่งที่ผมเจอมากับตัวเองนั่นก็คือ เมื่อแม่ไม่ได้มีงานทำและแบมือขอเงินแต่จากพ่อ และเมื่อพ่อตกงานไม่มีเงิน ทีนี้ล่ะ พ่อก็เครียดเพราะเป็นคนหาเงินเข้าบ้านคนเดียว และแม่ก็คอยแต่จะแบมือขอ และยิ่งทีก็ยิ่งเรียกร้อง
ในตอนนั้นผมเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว และผมก็บอกตัวเองแล้วว่าภารกิจในการกลับมาเกิดใหม่อีกอย่าง นั่นก็คือ กู้ครอบครัวของเราให้กลับมาสมบูรณ์
และในคืนหนึ่งผมก็ปะติดปะต่อเรื่องราวและนอนคิดด้วยความกลัดกลุ้มว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้อย่างไร และทางออกของผมก็มาในรูปของหนังสือตรงหน้า
การรักการอ่านหนังสือของผมมาจากแม่แม้ว่าแม่จะไม่ใช่หนอนหนังสือตัวยง แต่แม่ก็รับนิตยสารรายปักษ์ไว้อ่านเล่นแก้เหงาอยู่ตลอด
ถ้าบอกเด็กสมัยใหม่ก็คงไม่รู้จัก แต่ในยุคที่ไม่มีโซเชียลมีเดีย หนังสือคือสิ่งที่ทำให้เราเปิดโลก หนังสือแม่บ้านอย่าง ขวัญเรือน สตรีสาร กุลสตรี เป็นหนังสือที่ใคร ๆ ก็อ่านทั้งนั้น
และในนั้นมันมีหน้าของเด็ก ๆ เสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม ระบายสี หรือทายปริศนา ในตอนเด็กผมสนใจอยู่แค่นั้น แต่เมื่อโตขึ้น บทความ สารคดี นิยาย ก็ทำให้ผมเสพการอ่านหนังสือจนกลายเป็นหนอนหนังสือจนแก่
เรื่องไร้สาระบ้าง เรื่องมีสาระบ้าง คละเคล้ากันไป เรียกว่าอ่านไว้รู้เพื่อจะได้พูดคุยนินทากันได้
อย่างเรื่องราวซุบซิบในแวดวงไฮโซ หรือถ้าจะให้ดูหรูเราก็ต้องรู้เรื่องของราชวงศ์ โดยเฉพาะในอังกฤษ อันนี้มีเรื่องแซ่บ ๆ ให้เราได้เม้ากันมาทุกสมัย
ส่วนแม่น่ะอ่านนิยาย และสิ่งสำคัญที่แม่อ่านเลยนั่นก็คือเมนูอาหารสารพัด และนั่นก็เลยทำให้ผมได้กินอาหารแสนเอร็ดอร่อยอยู่บ่อย ๆ
"วันนี้แม่ลองทำเมนูพิเศษ ไม่รู้พวกเราจะชอบกันหรือเปล่า" แม่ออกตัวและวางชามแกงลงบนโต๊ะอาหาร
"อร่อยจังแม่นี่มันเมนูในหนังสือหนิ" ผมเอ่ยปากและแม่ก็พยักหน้าเห็นด้วย
นั่นจึงทำให้ผมปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันที จึงลองถามเลียบ ๆ เคียง ๆ ไหน ๆ แม่ก็ลูกแม่ค้าเก่าอยู่แล้วหนิ
"แม่ทำกับข้าวเก่งขนาดนี้ น่าจะทำขายเนอะ" ผมออกความเห็นเป็นเชิงหยั่งใจแม่
"จะเอาเวลาที่ไหนไปทำขายกันเล่า งานยุ่งทั้งวัน" แม่เอ่ยปาก แต่ผมรู้ว่าคำพูดของผมทำให้แม่เกิดประกายฝันขึ้นในใจ
"หรือพ่อว่ายังไง?" ผมหันไปถามพ่อซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้ม ๆ
"พ่อน่ะยังไงก็ได้ แต่กลัวแม่จะเหนื่อย" พ่อบอกแล้วก็ยิ้ม พร้อมกับตักแกงในชามมากิน และเอ่ยปากชมไม่หยุดปาก
"ทำจากเล็ก ๆ ไปก่อนก็ได้แม่ เดี๋ยวตุลช่วยแม่เอง แม่ทำเถอะ เดี๋ยวตุลนี่ล่ะจะช่วยแม่จนเปิดร้านใหญ่โตให้ได้เลย" ผมปลุกพลังใจแต่แม่ก็ยังไม่ได้รับปาก แต่หลังจากนี้ผมรู้ว่าจะต้องจัดการยังไงต่อ
ผมพยายามพูดถึงข้อดี และพูดบ่อย ๆ ว่าอาหารอันนี้อร่อยถ้าแม่ทำขายลูกค้าต้องชอบแน่ ๆ และสารพัดที่ผมจะหาถ้อยคำมาป้อยอ
จนในวันหนึ่งแม่ก็ใจอ่อน แต่ก็ยังจะอุตส่าห์มาปรึกษาผมกับพ่อ
"เธออยากทำก็ทำเลย ถ้าไม่กลัวเหนื่อยน่ะ เจ้าตุลมันบอกจะช่วยเป็นลูกมืออยู่แล้วหนิเดี๋ยวพ่อช่วยอะไรได้ก็บอก" พ่อบอกและแม่ก็ชักจะฮึดสู้
โดยมีผมเป็นลูกมือที่แท้จริง ไปจ่ายตลาดก็ไปด้วยกัน ตอนทำอาหารก็เป็นลูกมือช่วยแม่สารพัด
และเย็นวันหนึ่งแม่ก็ตั้งโต๊ะโดยมีถาดใส่อาหารสี่ห้าอย่าง ผมที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านหลังจากเลิกเรียน เห็นคนมายืนรุมนึกว่าที่บ้านจะเกิดเรื่องเสียแล้ว
"ตุล ตุลมาพอดีเลย ช่วยแม่คิดเงินหน่อยเร๊ว" แม่บอกและผมก็รีบวางกระเป๋าเรียนและไปช่วยแม่อย่างเร่งด่วน
ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง กับข้าวของแม่ก็หมดเรียบในพริบตา แม่บ่นเสียไม่มีแต่ก็ยิ้มกว้างจนผมที่ช่วยเก็บถาดและยกโต๊ะเข้าไปในบ้าน พูดถึงเรื่องการขายของไม่หยุด
"ตายล่ะมัวแต่ทำของขาย แม่ไม่ได้ทำกับข้าวเผื่อตุลกับพ่อเลย" แม่รีบวางมือและวิ่งเข้าครัว ส่วนผมก็รีบตามเข้าไปช่วยแม่อย่างเร่งด่วนเพราะอีกครึ่งชั่วโมงพ่อก็น่าจะถึงบ้านแล้ว
กับข้าวง่าย ๆ ที่แม่ทำคือไข่เจียว กับแกงจืดอีกหนึ่งอย่าง และผัดผักอีกจาน คือการแก้ผ้าเอาหน้ารอดของแม่ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยรสมือของแม่ เราสองพ่อลูกก็กินจนหมดอยู่ดีนั่นแหละ
จนกินเสร็จ ผมนับเงินให้แม่ และเอาหนังสติ๊กมัดไว้ เมื่อแม่เห็นเงิน และพ่อก็แซวว่าต่อไปพ่อจะให้แม่หาเลี้ยงดีกว่า แม่ก็ยิ้มและเดินเข้าไปหยิกแขนพ่อ ส่วนผมคิดว่าคำพูดของพ่ออาจเป็นจริงก็ได้
ปล่อยให้แม่ได้พัก และระหว่างนั้นผมก็เห็นแม่เอากระดาษมาจดอะไรยุกยิก ๆ ส่วนผมเก็บล้างทำความสะอาดหม้อชามรามไห
จัดแจงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง ผมก็มากระโดดเชือกที่หลังบ้าน และตอนนี้ไม่ใช่แค่ผม แต่มีพ่อเป็นเพื่อนกระโดดเชือกด้วยกัน
และระหว่างกระโดดเชือกนี้ พ่อก็จะบ่นเรื่องที่ทำงานให้ผมฟัง ซึ่งผมก็คอยรับฟังแต่ยังไม่ได้เสนอความเห็นอะไร แต่อย่างน้อยผมรู้สึกว่าพ่อสบายใจขึ้นเมื่อได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นและมีคนรับฟัง
การมีคนอยู่เคียงข้างเรามันสำคัญจริง ๆ ผมรู้ดี และตอนนี้ผมก็อยู่เคียงข้างกับพ่อ เป็นพวกเดียวกับพ่อ แน่ล่ะก็เรานามสกุลเดียวกัน
ยิ่งทีแม่ก็ยิ่งสนุกในการขายของ และคนที่มาซื้อก็เอ่ยปากชมฝีมือกับข้าวของแม่ทั้งนั้น แถมบางคนยังพูดชื่อเมนูที่ตัวเองอยากกินให้แม่ฟัง ซึ่งแม่ก็รับปากว่าจะพยายามทำ ก็เป็นอันว่าดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องคิดเมนูเอง
แต่อาหารพื้น ๆ ประเภท พะโล้ ไข่ลูกเขย แกงเขียวหวาน แกงส้มน่ะ แม่ทำเวียน ๆ วน ๆ กันไปแก้เบื่อ และอาหารตามฤดูกาลก็จะมีมาตลอดสุดแต่ว่าวันนั้นแม่ไปจ่ายตลาดแล้วได้อะไรติดมือมาบ้าง
ในวันหนึ่งที่จะต้องทำงานกลุ่ม ผมออกจะเกรงใจสองเพื่อนสาว คือยายเหมยกับยายปู ที่พวกเราต้องไปทำรายงานกันที่บ้านของผม เพราะไปที่อื่นผมก็ห่วงจะกลับมาช่วยแม่ไม่ทัน
"เฮ้ยไปบ้านตุลนั่นแหละดีแล้ว เห็นเขาว่าแถว ๆ นั้นหนุ่ม ๆ หล่อ ๆ เยอะนะ เผื่อเราไปแถวนั้นจะมีหนุ่ม ๆ มาจีบบ้าง" เหมยออกปาก และพวกเราก็พากันหัวเราะ
"แต่บ้านเรารกหน่อยนะ พอดีตอนนี้แม่เราขายของน่ะ แต่รับรองเลยว่าพอช่วยแม่ขายของเสร็จ จะรีบมาทำงานเลย อ้อ เลี้ยงข้าวเย็นด้วย ดีไหม?" ผมถามและสองเพื่อนสาวก็พยักหน้าเห็นด้วย
แน่นอนว่าเมื่อถึงบ้าน ผมก็รีบล้างมือ สวมผ้ากันเปื้อนและรีบช่วยแม่ตักแกงใส่ถุงเป็นโกลาหล
ได้ยายปูกับยายเหมยมาช่วยใส่ถุงและรับเงินทอนเงิน ก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีก ประมาณชั่วโมงเดียวกับข้าวก็หมดจนแม่เอ่ยปากขอบคุณเพื่อน ๆ ของผมเสียใหญ่โต
"วันนี้แม่ทำต้มส้มปลาตะเพียน ขยักไว้แล้วตัวนึงไข่นี่เต็มท้องเลย อ้อ เดี๋ยวผัดผักเพิ่มอีกอย่าง พวกหนูไปล้างไม้ล้างมือกันก่อนนะลูก เดี๋ยวรอแป๊บเดียวรอพ่อกลับมากินข้าวกินปลากันก่อนแล้วค่อยทำรายงานกัน" แม่พูดอย่างใจดี และยายปูก็กระซิบบอกผมว่าขอมาช่วยงานผมที่บ้านทุกวันก็ยังไหว
พ่อมาแล้วและวันนี้โต๊ะอาหารของเราก็แสนครึกครื้น แน่ล่ะก็มีผู้หญิงปากแจ๋วมาเพิ่มอีกตั้งสองคน ปกติคุยกันสองคนก็วุ่นวายจะแย่ นี่ทั้งมาประจบประแจงแม่ ทั้งเอ่ยชมฝีมือทำกับข้าวไม่ขาดปาก แต่ที่ร้ายเห็นจะเป็นเรื่องนินทาผมซึ่ง ๆ หน้า
"ตุลอยู่โรงเรียนมีหนุ่ม ๆ มาขายขนมจีบบ้างหรือเปล่า หรือไปแอบชอบใครบ้างมั๊ยล่ะเนี่ย" แม่แซวและแน่นอนว่ายายตัวดีก็รีบเผาเป็นยกใหญ่
"โอ๊ยแม่ขาเรื่องหนุ่มมาจีบนี่ยังไม่มี แต่คนแอบชอบตุลพวกหนูก็เห็นว่ามีบ้างแหละ ส่วนไอ้แอบชอบใคร อันนี้บอกได้คำเดียวค่ะว่า มันชอบเขาไปหมด" เหมยเริ่มเผา
"จริงด้วยค่ะแม่ คนโน้นก็ดี คนนี้ก็หล่อ โน่นก็นักกีฬา คล้าย ๆ จะบ้าผู้ชายเหมือนยายเหมยนี่แหละค่ะ" ปูสำทับ
"อ้าวอย่าซัดทอดสิยะหล่อนก็เหมือนกับชั้นแหละ" เหมยโต้กลับ ส่วนพ่อกับแม่ก็เอาแต่หัวเราะขำ
"มีรักในวัยเรียนเหมือนจุดเทียนกลางสายฝน" ผมรีบพูดออกตัวกลับไป
"แสดงว่าถ้ามีคนมาจีบตุลก็ไม่สนใจอย่างนั้นน่ะสิ" เหมยหันหน้ามาถาม
"เอาสิ อุตส่าห์มีคนตาถั่วมาจีบแล้ว แต่ประเด็นมันไม่มีน่ะสิ" ผมบ่นและทำหน้าเซ็ง
พูดคุยกันไป และแม่ก็ว่าไม่ต้องช่วยเก็บของ ให้ผมกับเพื่อน ๆ ทำงานกันได้เลย ซึ่งก็ทำกันที่ชั้นล่างนี่แหละ
ในสมัยนั้นการจะทำรายงาน ไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้กันเหมือนในยุคนี้และเด็กพาณิชย์อย่างเราก็ต้องมีอุปกรณ์เสริมคือ พิมพ์ดีดเครื่องจิ๋ว
ซึ่งราคาของมันก็หลายบาทอยู่ แต่พ่อเห็นว่าผมต้องใช้ก็เลยกัดฟันซื้อมาให้ ผมจำได้ว่าแม้ว่ามันจะเก่าจนผ้าหมึกซีดจาง แป้นอักษรเสียใช้การไม่ได้แล้ว แต่ผมก็ยังเก็บมันอยู่เลย ไว้บนหลังตู้เก็บหนังสือนั่นแหละ ขนาดตอนนั้นพ่อตายไปเสียหลายปี ผมก็ยังเก็บมันไว้อยู่อย่างนั้น
เรื่องราวว่าบ้านผมแม่ทำกับข้าวอร่อย กระจายไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว และมันลามไปถึงห้องอื่นด้วย เพราะยายเหมยกับยายปู นั้นผมว่าควรแยกย้ายไปเรียนต่อ ปวส. แผนกโฆษณาประชาสัมพันธ์มากกว่า
ก็เพื่อนแผนกอื่น ไหนจะรุ่นพี่รุ่นน้อง ทั้งรอบเช้ารอบบ่าย แม่สองคนนี้เป็นได้รู้จักกับเขาไปหมด
และนั่นก็ทำให้ผมได้พบกับความรักครั้งแรกในชีวิตซึ่งผมไม่ทันได้ตั้งตัวจริง ๆ
ประวิทย์เป็นชื่อของไอ้หมอนั่น ซึ่งเป็นถึงหัวหน้าห้องคิงบัญชีทีเดียว ส่วนผมอยู่ห้องควีนบัญชี ...ช่างเหมาะเสียจริง ๆ ผมรู้ว่าไอ้หมอนี่อยู่บ้านไม่ห่างจากผมก็ขึ้นรถเมล์กลับบ้านผมก็เจอมันบ่อย ๆ แต่บ้านของมันลงก่อนผมป้ายรถเมล์เดียว
แต่แปลกที่วันนี้มันเลยมาลงป้ายเดียวกับผม และทันทีที่ผมวางกระเป๋าและสวมผ้ากันเปื้อน ประวิทย์ก็ไปต่อแถวเพื่อซื้อกับข้าว
ตามประสาพ่อค้าผมก็ต้องพูดคุยกับลูกค้าเป็นอย่างดี และไหน ๆ เป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกัน ผมก็แถมนั่นนิดนี่หน่อย แต่ไอ้เรื่องจะพูดคุยกันนั้นยังไม่มี แต่ในเมื่อมันตามมาบ้านผมเพื่อซื้อข้าวด้วยกันทุกวัน ผมก็อดที่จะพูดคุยกับเขาไม่ได้
"วันนี้น่าจะมีไข่ลูกเขยนะ เห็นแม่ต้มไข่ไว้เยอะแยะตั้งแต่เช้าแน่ะ" ผมเอ่ยปากเพราะนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกันกับมัน
"ดีเลย ของโปรด ตักหอมเจียมให้เราเยอะ ๆ ด้วยนะ" ประวิทย์บอกและยิ้มกว้างมาให้
นั่นเป็นบทสนทนาแรกของเรา และความสัมพันธ์ก็พัฒนาเรื่อยมา จนเราได้เป็นเพื่อนกันในที่สุด
ประวิทย์ตามมาซื้อกับข้าวเพราะรู้ข่าวจากเหมยและปูจริง ๆ แต่ที่ตามมาซื้อกับข้าวแบบนี้เพราะเจ้าตัวอธิบายว่าอยู่บ้านก็ไม่มีอะไรกิน เพราะพ่อแม่ของมันออกไปทำงานกลับมาก็ดึกดื่น
มันก็เลยต้องหาอะไรกินไปเรื่อยเปื่อย และส่วนใหญ่ก็จบที่มาม่า
"เอาอย่างนี้สิ ไหน ๆ ก็ต้องมาซื้ออยู่แล้ว ก็ไม่ต้องซื้อต้องเซ้อหรอก ซื้อไปกินคนเดียวก็ไม่หมด กินข้าวฟรีที่บ้านเรานี่แหละ แต่ต้องช่วยงานตอนขายของด้วย" ผมยื่นข้อเสนอ
"เอาจริงหรอ อย่าพูดเล่นนะเว้ยเราเอาจริง ๆ นะ" ประวิทย์บอกอย่างดีใจ เพราะอันที่จริง ทำงานแค่สองคนมันรับมือยากจริง ๆ
แม่ถึงกับยอมจ่ายเงินจ้าง คนแก่ ๆ ที่ว่างในตอนกลางวันมาช่วยเตรียมของ ส่วนผมว่าตอนเย็นมีคนมาช่วยแล้วแลกด้วยกับข้าวหนึ่งมือ คุ้มจะตายไป
เมื่อบอกแม่ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมเมื่อรู้ว่าประวิทย์นั้นเป็นถึงหัวหน้าห้องคิงบัญชี แม่ก็เอ่ยปาก ว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้เจ้าตัวช่วยติวหนังสือด้วยเสียเลยเป็นไร
"ได้ครับไม่มีปัญหา" ประวิทย์รับปาก แต่ผมไม่ค่อยอยากรับปากเท่าไหร่ ก็ไอ้หมอนี่มันได้เกรด 4.00 เชียวนะ ถ้ามันเหาะได้ ต่อยกำแพงทะลุผมจะไม่แปลกใจเลย เพราะมันยอดมนุษย์ชัด ๆ
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการเป็นเพื่อนกัน และเป็นเพื่อนผู้ชายคนแรกของผม ซึ่งเอาจริง ๆ ผมรู้สึกตะหงิด ๆ ในใจว่าประวิทย์มันชอบมองผมแปลก ๆ
แต่กับคนอายุ 58 และต้องมาใกล้ชิดกับเด็กอายุ 17 ผมก็รู้สึกว่ามันยังไม่น่าใช่คำตอบที่ลงตัว
วันหนึ่งที่ประวิทย์มาช่วยเหมือนเคย และหลังจากกินข้าวเย็นแล้ว รอผมกระโดดเชือกกับพ่อจนเสร็จและอาบน้ำ ประวิทย์มันก็นั่งทำการบ้านอะไรของมันไป
"มา ๆ ทำการบ้านเร็ว ๆ" ประวิทย์กวักมือเรียก และผมก็รีบนั่งเพื่อทำการบ้านให้มันเสร็จ ยิ่งได้ประวิทย์มาสอนและบัญชีก็เสือกเป็นภาษาอังกฤษด้วย ผมนี่อยากจะกราบมันวันละสองหนที่ช่วยเมตตา
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราสองคนพัฒนาความสัมพันธ์กันได้ดีที่สุด นั่นก็คือหนังสือ และเป็นหนังสือกำลังภายในเสียด้วย
ซึ่งประวิทย์มันมาเฉลยในทีหลังว่าจริง ๆ มันก็เห็นผมมาตลอด และภาพจำของมันที่มันเห็นผมตอนอยู่คนเดียวก็คือการมีหนังสือสักเล่มอยู่ในมือ
และวันที่ผมเริ่มเช่านิยายกำลังภายในมาอ่านนั่นและทำให้มันอยากมาเป็นเพื่อนกับผมเพราะรู้สึกว่าเป็นคนคอเดียวกัน และหัวข้อที่เราคุยกันเรื่อย ๆ ก็คือเรื่องของนิยายกำลังภายในนี่แหละ
ผมกับมันสนิทกันเฉพาะยามมาอยู่ที่บ้าน แต่เมื่ออยู่ที่โรงเรียนผมกับประวิทย์ กลับทำตัวเหมือนคนไม่รู้จักกัน ผมเองก็ไม่เข้าใจ แต่ด้วยบริบทในสมัยนั้น มันก็คงยากเกินกว่าคนยุคใหม่จะเข้าใจ
ไม่ต้องใครหรอก แค่พอกับแม่ผมก็ยังต้องใช้เวลาปรับตัวและทำความเข้าใจ ผมไม่โทษใคร และไม่โทษประวิทย์ด้วย
และอันที่จริง ผมก็แอบรู้สึกนิด ๆ ว่าไอ้ความสัมพันธ์ของเราตอนนี้มันก็แสนพิเศษ อาจเพราะผมไม่เคยถูกใครใส่ใจมาก่อน และผมก็ยังงงกับความสัมพันธ์ของเราว่ามันอยู่ในข่ายของคำว่าเพื่อนหรือมากกว่านั้น
ผมไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับใครไม่ว่าจะพ่อแม่หรือยายเหมยหรือยายปู ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเหมยนั้นคือกุญแจบู๊ลิ้ม สิ่งใดที่เหมยรู้ ทั่วยุทธภพก็ต้องรู้ทั่วกัน
แม่เคยแอบแซวแต่พ่อมองประวิทย์ยามเมื่อมาบ้านแบบจับผิด แต่เมื่อเห็นว่าผมกับมันก็อยู่ในสายตาตลอด พ่อก็ไม่เคยเอ่ยคำพูดอะไรไม่ดีออกมา พักหลัง ๆ ออกจะเอ็นดูเพราะประวิทย์นั้นเป็นเด็กดีและขยันเรียน
อีตรงนี้แหละที่ถูกใจพ่อแม่ทั้งหลายนัก ประวิทย์ยังคงเทียวมาเทียวไปที่บ้านผมบ่อย ๆ แม้แต่วันเสาร์อาทิตย์ ซึ่งแม่นั้นดูจะถูกใจเป็นที่สุดเพราะได้แรงงานเพิ่ม และอาหารพิเศษในมื้อเย็น แม่ก็จะทำของโปรดของประวิทย์ที่แม่เคยหลอกถามเสมอ ๆ
เมื่อเป็นอย่างนี้เราก็เจอกันทุกวัน และผมก็รู้สึกอยากถามตัวเองเหมือนกันว่าไอ้ความรู้สึกที่ผมมีให้ประวิทย์นั้นมันแค่หวือหวา หรือจะมีอะไรมากกว่านั้น
ผ่านความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกันจนจบปีสอง และช่วงปิดเทอมนี้ แน่นอนทีเดียวว่าประวิทย์ก็ยังเฝ้ามาหาผมที่บ้าน และช่วยงานผมกับแม่อีกเหมือนเดิม
เรื่องราวมันเกิดขึ้นซ้ำ ๆ แต่เราก็ไม่เคยที่จะเอ่ยปากตกลงกันถึงเรื่องความสัมพันธ์ของกันและกันแม้แต่น้อย ผมไม่ถามและประวิทย์ก็ไม่ได้พูด แต่ผมก็พอใจให้มันเป็นอย่างนั้น
พอถึงปีสาม เมื่อผมกลับมาโฟกัสกับเรื่องของพ่อและแม่ ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมมักเตือนพ่อบ่อย ๆ ให้หาทางลงในการทำงาน
เพราะพ่อมีคอมฟอทโซนในบริษัทที่พ่อทำงานนัก เหมือนผมนั่นแหละเรียนจบก็ทำงานมันอยู่ที่ดี ก็เลยเกิดความผูกพัน แต่ถ้าพูดอีกแง่ ก็เพราะกลัวการเปลี่ยนแปลงมากกว่า
"พ่อเคยคิดไหมถ้าพ่อเกษียณไปพ่อจะทำอะไร?" ผมชอบถามพ่อแบบนี้ และพ่อก็ตอบมั่งไม่ตอบมั่ง
"ก็คงมาอยู่ช่วยแม่ขายของมั้ง" พ่อตอบอย่างนึกขำ และนั่นแหละทำให้ผมอมยิ้ม
อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประวิทย์มันชอบมาอยู่ที่บ้านของผมก็เห็นจะเป็นเพราะมีพ่อกับแม่อยู่นี่แหละ ผมเดาเอาว่าอยู่บ้านมันก็อยู่ของมันแค่คนเดียวแล้วคงเหงา
พอได้มาอยู่บ้านของผม ได้อยู่กับแม่ที่คุยเรื่อยเจื้อยทั้งวัน ได้ช่วยงาน ได้กินของอร่อย ๆ หรือมาเจอพ่อผมที่ตอนนี้ก็มองประวิทย์มันเป็นลูกไปอีกคนหนึ่งแล้ว และดูเหมือนสองคนนี้ในความเป็นผู้ชายจะคุยเข้ากันได้มากกว่าผมเสียอีก
อย่างเช่นตอนนี้ไงที่พ่อกำลังดูมวยและเชียร์อย่างออกรส ซึ่งก็มีประวิทย์คอยส่งเสียเชียร์อยู่ข้าง ๆ ส่วนผมกับแม่น่ะเหรอ ไม่เคยสนใจ แม้ว่ามันจะเป็นมวยคู่หยุดโลกหยุดเลิกอะไรก็เถอะ
หยุดไม่หยุดถนนก็ว่างเปล่าแทบจะไร้รถราเอาทีเดียว แต่ผมไม่เคยสนใจอะไรแบบนั้น เรียกว่าต่อมกีฬาของผมคงฝ่อจนไม่ผลิตสารรักกีฬาออกมาล่ะมั้ง
แต่ถึงอย่างนั้นยามที่ผมมอง ผู้ชายสองคนเชียร์มวยด้วยกัน ผมก็อมยิ้ม และอดคิดนิด ๆ ไม่ได้ว่าถ้าพ่อมีลูกชายที่เป็นลูกชายจริง ๆ พ่อจะมีความสุขกว่านี้ไหมหนอ
แต่เอาเถอะ ผมแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงจะไม่ได้ประวิทย์มาเป็นผัว แต่ก็ถือว่าเอามาเป็นลูกเลี้ยงให้พ่อได้คุยอะไรแบบผู้ชาย ๆ ไปก่อนก็แล้วกัน