อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน
โดย : Chavaroj
ล่วงเข้าอายุ สิบเจ็ด ตอนนี้ผมขึ้น ปวช. 3 แล้ว และจะได้ผลของการได้เพื่อนที่ดีอย่างประวิทย์ มาช่วยติว และเป็นเพื่อนอ่านหนังสือ หรือเพราะดวงก็ไม่ทราบ แต่ผมแน่ใจว่าเป็นอย่างหลัง
พอขึ้นปีสามอย่างที่ว่า ผมก็ได้เลื่อนมาอยู่บัญชีห้องคิง ห้องเดียวกันกับมันนี่แหละ ตามประสาเด็กเนิร์ดประวิทย์มันนั่งหน้าสุด แต่ผมน่ะขออยู่โซนกลาง ๆ ค่อนไปทางท้าย เพื่อความปลอดภัย
แม้จะย้ายห้องจากเหมยและปู แต่ตอนพักเราก็มานั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ดี แน่ล่ะผมมีเพื่อนมากขึ้น และนึกเอ็นดูเพื่อน ๆ ห้องคิงที่ในทีแรกผมคิดว่าพวกเขาจะบ้าตำราแต่ที่ไหนได้ บ้า ๆ บอ ๆ เหมือนพวกผมกับยายเหมยยายปูนั่นแหละ
ท้ายก็เลยกลายเป็นว่า เวลามากินข้าวด้วยกันพวกเราก็นั่งกินข้าวด้วยกันกลุ่มใหญ่ และเรื่องที่คุยก็อย่าได้หวังว่าจะคุยเรื่องการเรียนให้ปวดหัว เพราะแค่วิชาที่เรียน ก็แทบแย่อยู่แล้ว
โน่นเรื่องของสมบัติ กับจารุณี โน่น ซึ่งในยุคนี้ทั้งสองเป็นคู่ขวัญ หรือในยุคสมัยใหม่เรียกคู่จิ้นนั่นแหละ
"แต่ชั้นชอบที่จารุณีเล่นเรื่องปริศนาที่สุด แต่ไม่ได้เล่นกับสรพงศ์ว่ะ" เหมยเริ่มหัวข้อการสนทนา
"จารุณีมันต้องเล่นหนังมีเตะ มีถีบสิ ต้องฉากบู๊ถึงจะสนุก" ผมสำทับ แน่ล่ะในยุคนั้นเขาดูหนังกันอย่างนี้ และนี่คือความบันเทิงขั้นสุดยอด
ผมมองเพื่อน ๆ เถียงกันเรื่องนี้แล้วก็นึกขำ ถ้ามาดูยุคที่ซีรีส์วายโด่งดัง ไม่รู้ว่าในยามเป็นอาม่าอากง กันแล้ว จะยังตามกรี๊ด หรือส่ายหน้าให้ก็ไม่รู้
เนื่องจากเป็นปีสุดท้าย ก่อนที่จะไปเรียนต่อ ปวส. การเรียนถึงจะหนักแต่ก็สนุก แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมค่อนข้างเฉยกับมัน เพราะรู้สึกว่าในตอนโน้นที่ผมไม่ค่อยใส่ใจยังผ่านมาได้เลย แม้จะฉิวเฉียด
แต่ตอนนี้ความตั้งใจเรียนผมมีมากขึ้น และที่สำคัญผมมีแรงหนุนดีคือ นายประวิทย์ เพื่อนรักนั่นเอง
ผมคุยกับประวิทย์แบบเปิดเผยมากขึ้นในฐานะเพื่อน และเมื่ออยู่ห้องเดียวกันแต่ไม่คุยกันเลยนั่นสิจะดูแปลก
บ่อยครั้งที่ผมเอากับข้าวที่บ้านมากิน แล้วก็เผื่อแผ่เพื่อน ๆ ด้วย ซึ่งคนที่ชอบใจที่สุดก็คือยายเหมยสาวนักกิน
"แหม ฝีมือแม่ตุลน่ะอร้อยอร่อย อยากสมัครเป็นลูกสะใภ้" เหมยตักกับข้าวคำโตไปใส่จานและทิ้งตัวลงเอาหัวซบไหล่ผม
"เสียใจ ไม่ชอบแบบมีมดลูกจ๊ะ" ผมพูดอย่างหมั่นไส้และเอามือดันหัวของเหมยออก จนเพื่อน ๆ นั่งหัวเราะด้วยกัน
"โธ่ ตุลเนี่ย...แล้วต้องแบบไหนหรอจ๊ะถึงจะถูกสเป๊ก" ยายปูถามแทรกขึ้นมาอีกคน
"เออเอาจริง ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เราไม่เคยคิดเลยอ่ะ แต่เราคงชอบคนใส่แว่นมั้ง" ผมพูดไปแบบไม่ได้คิดอะไร และนั่นล่ะ เลยเป็นหัวข้อเอาไปล้อกันเป็นเรื่องใหญ่โต
ใครใส่แว่นก็ถูกโยงว่าผมแอบชอบไปด้วยทั้งหมด แม้แต่ประวิทย์ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่อมยิ้ม
และเมื่อเรานั่งรถกลับบ้านผมด้วยกัน หนังสือคนละเล่มจะอยู่ในมือ แน่นอนว่ามันเป็นหนังสือกำลังกายใน และต้องคนละเรื่องด้วยนะ ถ้าอ่านเรื่องเดียวกัน เดี๋ยวเถียงกัน
แต่ถึงอ่านคนละเรื่องก็ไม่ใช่ไม่เถียงกันนะ แทบจะทะเลาะกันเลยเชียว ด้วยหัวข้อ พระเอกของใครเก่งกว่า หรือนางเอกของใครสวยกว่าเก่งกว่าอะไรประมาณนี้
และตอนนี้ผมก็เถียงกับมันว่า ระหว่าง อึ้งย้ง เมียก๊วยเจ๋ง กับ เตียงเมี่ยง แห่งเรื่อง ดาบมังกรหยก ใครเก่งกว่ากันฉลาดกว่ากัน
แทบจะกลายเป็นการโต้คารมกันเลย ต้องหยิบยกเนื้อเรื่องอะไรต่าง ๆ นานา มาคัดง้างกัน ซึ่งมันยิ่งทำให้แสนสนุก
"วันนี้แม่ตุลจะทำอะไรกินวะ เราอยากกินแกงส้มชะอมไข่ ปกติแม่ตุลจะทำในวันศุกร์นี่หว่า" ไอ้ประวิทย์บ่นเพราะมีทีท่าว่าจะเถียงผมแล้วแพ้เลยพยายามเปลี่ยนเรื่อง
"เสียใจ ไม่มี เพราะเมื่อคืนตอนช่วยแม่เตรียมของแม่ไม่ได้ซื้อชะอมมาเว้ย" ผมยิ้มอย่างสะใจใส่หน้ามัน
แต่ถึงอย่างนั้นประวิทย์ก็ไม่ได้ไม่สมใจเสียทีเดียว แกงส้มนั้นมี แต่เป็นแกงส้มผักกระเฉด ผมรู้แต่ผมไม่ได้บอกมันเดี๋ยวมันจะได้ใจ
ช่วยกันขายของทันทีเมื่อมาถึงบ้าน และเมื่อขายเสร็จพ่อก็กลับมาจากทำงานทันที ปล่อยให้พ่อกับประวิทย์เค้าได้คุยกันตามประสาผู้ชาย ส่วนผมกับแม่ตอนนี้ไปช่วยกันเก็บกวาดและล้างหม้อล้างไห ส่วนแม่เตรียมกับข้าวมื้อเย็น
และเมื่อกินข้าวด้วยกันในตอนเย็น ผมเห็นพ่อสีหน้าไม่ค่อยดี ซึ่งอันที่จริงพ่อก็บ่น ๆ เรื่องงานมาสักพัก หนึ่งแล้ว แต่ที่เห็นว่าทนมาได้ขนาดนี้ก็คงเพราะมีกำลังใจจากที่บ้าน และได้รับคำแนะนำจากผม
"พ่อเชื่อตุลเถอะนะ ถ้าพ่อทำงานแล้วมันไม่มีความสุขพ่อออกเถอะ ออกมาช่วยแม่ขายของก็ได้" ผมบอกและมองหน้าพ่อ ซึ่งเจ้าตัวก็ยังดูจะกลัว ๆ กล้า ๆ แน่ล่ะคนทำงานมีเงินเดือนมาทั้งชีวิต อยู่ ๆ จะให้มาขายของแบบนี้ ใครก็ต้องลังเลใจ ผมเข้าใจพ่อดีที่สุด การมีเงินเดือนมันคือคอมฟอทโซน และสำหรับคนที่เคยได้เงินทุก ๆ เดือนมันก็เป็นเรื่องเสียงไม่ใช่น้อย
"ถึงพ่อทนทำงานต่อไป อดทนจนถึงเกษียณ สุดท้ายพ่อก็ต้องออกอยู่ดี ตุลว่าพ่อออกมาช่วยแม่ เพราะแม่น่ะทำของไม่ทัน ตุลคิดไว้นะว่าถ้ามีพ่อมาช่วย แม่ก็สามารถขายของได้ทั้งวัน เราอาจจะตั้งโต๊ะเล็ก ๆ สักสองสามโต๊ะ ขายข้าวราดแกงไปได้เลย
แล้วถ้าพ่ออยากทำงานเสริมอย่างที่พ่อสนใจ เช่นพ่อจะเป็นนายหน้าขายที่ดิน หรือขายรถมือสองอย่างที่พ่อถนัด พ่อก็ทำไปได้พร้อม ๆ กันเลยนะ ดีออก
ไม่ต้องทรมานตื่นแต่เช้าฝ่าการจราจรไปทำงาน ไม่ต้องโดนการเมืองในบริษัท ไม่ต้องทนกับนิสัยไม่ดี ๆ ของเจ้านายแล้วก็พวกลูกค้าด้วย"
ผมร่ายเสียยาวแต่พ่อก็ยังแค่รับฟัง
"ผมเห็นด้วยกับตุลนะครับ คุณลุงเป็นคนเก่งอยู่แล้ว ถ้าออกมาพักอยู่นิ่ง ๆ สองสามเดือน ผมว่าก็ไม่น่าจะเดือดร้อน ถ้าไม่อยากขายของ ก็ใช้เวลานี้ค่อย ๆ สมัครงานไปเรื่อย ๆ ก็ได้ ระดับคุณลุง ถ้าสมัครงานเป็นระดับผู้จัดการ ผมว่าคนน่าจะสนใจ ช่วงพักก็ถือว่าได้อยู่กับบ้าน ได้พักผ่อน" ประวิทย์เสริมบ้าง ซึ่งพ่อดูจะเชื่อมันมากกว่าผม
แน่ล่ะ คนเรามักจะเชื่อถือคนไกลตัวมากกว่าอยู่แล้ว แต่จุดประสงค์ของผม น่ะอยากให้พ่อกับแม่ได้อยู่ด้วยกัน เพื่อป้องกันมือที่สามซึ่งผมแสนเกลียด
แน่ล่ะผมเคยบ่นเรื่องนี้กับประวิทย์เป็นเชิงปรึกษา ผลของการล็อบบี้พ่อจึงออกมาในแนวทางเดียวกัน
แต่อีกหัวข้อของการคุยของเราคือเรื่องของการเรียนต่อ ผมกะว่าจะเรียนต่อที่เดิมเพราะมันเดินทางสะดวก ส่วนประวิทย์มันทะเยอทะยาน ไปกว่านั้น ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับมัน
"ไปเถอะดีแล้ว วิทย์ทำได้แน่ ๆ ถึงมันจะไกลสักหน่อย แต่วันหยุดก็มากินข้าวบ้านเราเหมือนเดิมได้นะ ขี้คร้านแม่รู้ว่าวิทย์จะมาคงเตรียมทำแต่ของโปรดไว้รอ" ผมพูดกับมัน และให้กำลังใจเพื่อนไป
จนถึงตอนเทอมสอง พ่อก็ตัดสินใจลาออกจริง ๆ และมาอยู่ช่วยแม่ แม้ว่าในตอนแรก ๆ จะไม่ค่อยชินเท่าไหร่ เพราะเคยทำงานแต่ในออฟฟิศ แต่พ่อซึ่งก็เป็นคนร่าเริง และขยัน ใช้เวลาไม่นานก็ปรับตัวได้
และดูจะมีความสุขยามเมื่อขายของแบบเกินคาดด้วยซ้ำ บ้านของเราชั้นล่างถูกจัดใหม่ มีโต๊ะเล็ก ๆ สามตัว และมีคนมาอุดหนุนเรื่อย ๆ ไม่ขาดสายจริง ๆ
ก็กับข้าวของแม่แสนอร่อยและราคาถูก บางคนมาทำธุระแถวนี้ แล้วแวะมากิน ในการต่อมาก็ต้องกลับมากินใหม่ แถมบ่นว่าอุตส่าห์มาตั้งไกลเพื่อมากินฝีมือแม่
ซึ่งคำชมเหล่านี้ก็เป็นยาหอมให้ทั้งพ่อกับแม่มีแต่รอยยิ้มทั้งวันเพื่อสู้กับความเหน็ดเหนื่อย ร้านข้าวราดแกงของเราเล็ก ๆ แต่สะอาดสะอ้านใช้ได้ทีเดียว ในยุคนี้ ถ้ามีเชลล์ชวนชิม หรือแม่ช้อยนางรำมาชิมแล้วเอาไปออกรายการทีวีหรือหนังสือพิมพ์ด้วย คนก็จะแห่แหนมากินจนไม่มีที่จะนั่งแน่ ๆ
ก็เหมือนยุคหลังที่ต้องมีการรีวิวร้านในเพจดัง ๆ หรือช่องยูทูปนั่นแหละ แต่ผมเห็นว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็น เพราะมันเพิ่งอยู่ในระยะเริ่มต้น
แค่พ่อกับแม่ต้องตื่นมาเตรียมกับข้าวแต่เช้า ซึ่งผมก็ต้องตื่นมาช่วยด้วยตาประสาลูกที่ดี พ่อกับผมเป็นแผนกเตรียม ส่วนแม่นั้นเป็นทั้งหน่วยผลิตและหน่วยขาย
แต่เอาจริง ๆ เราก็ช่วย ๆ กันนั่นแหละสามคนพ่อแม่ลูก
"พ่อคิดไม่ผิดเลยที่ลาออก รู้อย่างนี้ทำมาช่วยตั้งนานแล้ว" พ่อบ่นพร้อมรอยยิ้ม แน่ล่ะ ก็ช่วงบ่าย ๆ พ่อมีคนวัยเดียวกันมานั่งกินข้าวแล้วก็ชวนกันคุยกันเป็นที่สนุกสนานนี่
"พ่อ ไหน ๆ พ่อก็มีเพื่อนเยอะแล้ว อีกอย่างพ่อก็มีความรู้เรื่องรถ บ้านเราผนังก็ยังว่าง ๆ พ่ออยากประกาศขายอะไรก็เอามาติดได้นะ อย่างขายที่ หรือขายบ้าน อ้อ ขายรถมือสองก็ได้ พ่อก็เป็นนายหน้าเอา เชื่อตุลสิ" ผมแนะนำอีก
เพราะจำได้ว่าในครั้งก่อน พ่อมีอาชีพขายรถยนต์มือสองซึ่งพ่อก็ทำได้อย่างดีทีเดียวแหละ ดีชนิดที่ส่งผมเรียนต่อได้แบบไม่สะดุด
แต่ตอนนี้ผมไม่ให้พ่อต้องมีความเครียดแบบนั้นอีกแน่ ๆ ยิ่งยามเห็นพ่อกับแม่นั่งจู๋จี๋กันสองคน ผมก็ได้แต่อมยิ้ม และบางทีก็แอบหมั่นไส้อยู่หน่อย ๆ เหมือนกัน
แต่ส่วนมากผมจะจั๊กจี้เวลาที่พ่อกับแม่เค้าหยอกกันแบบถึงเนื้อถึงตัวเพราะคิดว่าผมไม่เห็น
ณ เวลานี้ผมไม่มีห่วงอะไรเลย เพราะดูท่าแล้ว พ่อกับแม่จะไปกันได้ดี และคงไม่มีเรื่องระหองระแหงกันเหมือนเก่า ผมเริ่มสนใจกับการเรียน เพราะอีกไม่นานก็ต้องสอบและเรียนต่อ
จนถึงวันที่สอบเสร็จ จนถึงวันที่สอบเข้าเรียนต่อในชั้นสูงขึ้น ผมแสนจะมั่นใจ และพูดได้เต็มปากว่าทำได้แน่ ๆ ซึ่งยายเหมยกับยายปูสองเพื่อนรักก็ยังตามมาเป็นเพื่อนซี้เรียนต่อกับผมในชั้นปวส.
"แต่ไม่รู้จะได้เรียนห้องเดียวกับตุลอีกหรือเปล่าว่ะ" เหมยบ่น
"เอาน่าถึงยังไงก็ต้องได้เรียนด้วยกันแหละ" ผมพูดออกไป เพราะในใจผมลึก ๆ ก็เสียดายที่ประวิทย์มันไปเรียนที่อื่นแน่แล้ว
วันนี้ผมกลับบ้านคนเดียว และออกจะเหงา ๆ แต่เมื่อกลับถึงบ้านก็ต้องมุ่งมั่นกับการช่วยแม่ขายของ เราสามพ่อแม่ลูกช่วยตักแกงใส่ถุงมือเป็นระวิง ไม่ทันได้พูดอะไรกัน
จนขายของเสร็จ และกำลังจะเก็บของไปล้าง ประวิทย์มันก็เดินยิ้มกริ่มมาทีเดียว
"ว่ายังไงไอ้ลูกชายทำได้ไหม?" พ่อร้องทักและประวิทย์มันก็ว่ามันทำได้แน่ ๆ
"อย่างนี้มันต้องฉลอง" ผมบอกและแม่น่ะก็เตรียมของไว้แล้วแน่ ๆ ล้วนแต่เป็นของโปรดของผมทั้งนั้นผมแอบดูในตู้เย็นตอนเช้ามาแล้วน่ะ
อยู่ในช่วงรอผล และแน่นอนประวิทย์เพื่อนรักก็ยังไปมาหาสู่เหมือนปกติ จนผลสอบเข้าประกาศ มันเป็นไปตามที่คิดแบบไม่มีพลิกโผ ผมสอบเข้าได้ที่เดิมประวิทย์สอบได้ที่ใหม่ และผมก็ใจแป้วเมื่อได้รู้เหมือนกัน
"เออน่าไว้จะหมั่นมาเยี่ยม เตรียมของอร่อย ๆ ไว้ให้ด้วยก็แล้วกัน" ประวิทย์มันว่าอย่างนั้น แต่ผมสังหรณ์ว่ามันจะไม่เหมือนเดิมได้หรอก
และเมื่อเปิดเทอมปวส. ความตื่นเต้นของผมในฐานะเด็กพาณิชย์ คือเราไม่ต้องปักชื่อ และปักโรงเรียน และเลขประจำตัวเหมือนเด็ก ๆ อีกแล้ว ใส่เพียงกางเกงแสลคกับเสื้อเชิ้ตแต่ที่โก้ก็คือใส่เนกไท ด้วย
ซึ่งคนสอนให้ผูกก็ไม่ใช่ใคร ก็พ่อของผมนั่นแหละ แต่ในครั้งก่อน ก็พ่ออีกเหมือนกันที่เป็นคนสอนผมผูกนะ แต่ตอนนั้นสอนผูกแบบรำคาญ ๆ แต่ตอนนี้พ่อที่สอนและผูกให้ผมอย่างดูแสนภูมิใจ
และผมก็แทบจะลืมไปเลยว่าในการทำงานครั้งต่อ ๆ มายามเมื่อสวมเนกไท ก็คือพ่อนี่แหละที่เป็นคนสอน
ส่วนยายเหมยกับยายปูดูจะตื่นเต้น เพราะเจ้าหล่อนไม่ต้องสวมกระโปรงจีบแบบเดิม แต่เป็นกระโปรงทรงเอ ซึ่งทำให้ดูสาวขึ้นเป็นกอง
จากผมสั้นตอนปวส. ก็อนุญาตให้ไว้ผมยาวได้แล้ว ซึ่งข้อนี้สาว ๆ ดูจะชอบกันมาก
มีพวกผมที่เรียนมาตั้งแต่ สมัย ปวช. ติดมาหลายคน แต่ก็มีอีกกว่าครึ่งห้องที่มาจากที่อื่น
ผมกับยายเหมยยายปูได้อยู่ห้องเดียวกัน ซึ่งนั่นมันก็น่ายินดี อย่างน้อย การได้เจอสังคมใหม่ มันก็ทำให้เราอุ่นใจว่ามีเพื่อนเก่าของเราอยู่ด้วย
และมันก็คงจะดีกว่านี้ ถ้าไม่บังเอิญว่าไอ้ห้องใหม่ของผม และนักเรียนใหม่ที่ว่า จะมีนักศึกษาขายเพิ่มเข้ามาอีกตั้งหลายสิบคน ซึ่งเจ้าประคุณเอ๋ย แต่ละคนก็หล่อ ๆ ตี๋ ๆ ทั้งนั้น และผมก็คงจะแอบรักได้ทุกคนเลยทีเดียวไม่ต้องแอบรักทีละคน ๆ ให้เสียเวลา
แต่แน่นอนว่ามันจะต้องมีสักคนที่โดดเด่นออกมาให้เรารู้สึกได้ว่าไอ้หมอนี่มันเจ๋งแฮะ ซึ่งผมมักจะเอามันมาเทียบกับประวิทย์อยู่บ่อย ๆ
ชูวิทย์ คือชื่อของไอ้หมอนี่ ซึ่งผมก็งง ๆ ว่าทำผมไอ้คนชื่อวิทย์ ๆ อะไรพวกนี้มันเป็นอาถรรพ์หรือเป็นพรจากพรเจ้าหรือไง มันถึงได้เรียนเก่งแบบมหากาฬ
ชูวิทย์มันเรียนเก่ง แต่ที่แปลกไปจากประวิทย์ ก็เห็นจะเป็นนิสัย เรียกว่าคนละขั้วกันเลยทีเดียวล่ะ ในขณะที่ประวิทย์เป็นเด็กเนิร์ดและเรียบร้อย นิสัยคล้าย ๆ ผมนี่แหละ แต่ชูวิทย์ เป็นคนเฮฮาร่าเริง ติดจะโหวกเหวกโวยวายเสียด้วยซ้ำ และที่สำคัญเป็นคนทะลึ่งที่สุด
แต่ด้วยใบหน้าที่จะว่าตรง ๆ มันไม่ใช่คนหล่อ แต่มันตรงสเปคของผมยังไงก็ไม่รู้ ในขณะที่ประวิทย์ซึ่งใช้เวลาว่างคือการอ่านหนังสือนิยายเหมือนผม แต่ชูวิทย์มันสายกีฬาด้วย
ดูเหมือนพ่อจะเกิดมาเพื่อพร้อมจะเล่นอะไรได้ทุกสิ่ง แบดมินตัน ตะกร้อ ฟุตบอล บาสเกตบอล หรืออาจจะมีอะไรที่ผมไม่รู้แต่ผมก็เห็นเวลามันว่างทีไร ไอ้นี่ก็พร้อมจะกระโจนลงไปเล่นในทุกสนาม และมันก็เป็นสีสันในสนามแข่งด้วย
แต่ไม่ใช่ว่าเล่นเก่งนะ แต่โวยวายเก่ง และผมที่ไม่มีต่อมกีฬายังคิดว่าไอ้ชูวิทย์นี่มันเล่นกาก ชัด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อน ๆ ก็จะชอบใจเมื่อชูวิทย์ลงสนามเพราะการมีชูวิทย์อยู่ในทีมมันทำให้สนุกและมีแต่เสียงหัวเราะ
แรก ๆ ผมก็ไม่ค่อยสนิทกับชูวิทย์มันเท่าไหร่หรอก แต่พักหลัง ๆ ที่ผมชอบห่อข้าวมากินกับยายเหมยยายปู ชูวิทย์ซึ่งด้อม ๆ มอง ๆ และชอบมาแซว จนยายเหมยเอ่ยปากชวนมากินข้าวด้วยกันขอมาร่วมวงด้วยในวันหนึ่ง
"ทำไมตุลาไม่ซื้อกับข้าวที่นี่กินล่ะ เห็นห่อข้าวมากินด้วยทุกวัน บ้านจนหรอ" ดูชูวิทย์มันถามผมนี่อยากจะถีบ
"อีบ้าชู ไปว่าตุลมัน บ้านเค้าขายกับข้าวย่ะ มีแต่อร่อย ๆ ทั้งนั้น ชั้นนี่แหละ บังคับให้ตุลมันเอากับข้าวมากินด้วยกัน อาศัยใบบุญตุลมันด้วย" ยายปูเสริม
"หรอ ๆ งั้นเราขออาศัยใบบุญด้วยอีกคนสิ ว่าแต่แหมนั่นอะไรน่ะ น่ากิ๊นน่ากิน" ชูวิทย์มองจนผมต้องตักใส่จานให้มันลองกินชิ้นหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวก็ทำตาเหลือก และเอ่ยปากชมอย่างเกินจริงไปมาก จนผมหมั่นไส้เต็มที
จากมาขออาศัยกินเป็นครั้งคราว ก็เลยกลายเป็นมาขอกินข้าวด้วยทุกที จนพวกเราก็ชักจะชิน อันที่จริง การมีคนพูดเก่งเอ็นเตอร์เทนเก่ง มันก็ทำให้พวกเราสนุกหัวเราะกันตลอดเวลา
แถมชูวิทย์มันยังเรียนเก่ง เราเรียนแล้วไม่เข้าใจก็ได้มันนี่แหละสอนให้เราเข้าใจได้อย่างง่าย ๆ และพอยิ่งสนิทผมก็ชอบนิสัยชูวิทย์มากขึ้นทุกที เพราะมันเป็นด้านที่ผมไม่มีเสียเลย นั่นก็คืออารมณ์ขัน
แม้ว่ามุกตลกของชูวิทย์จะเต็มไปด้วยเรื่องลามก เรื่องสองแง่สองง่ามก็ตามทีเถอะ
"ตุลากูขอสมัครเป็นผัวมึงได้ป่าว กูอยากได้แม่ยายทำกับข้าวเก่ง ๆ" ชูวิทย์มันพูด แล้วมันก็ป่าวประกาศกับในห้องว่ามันคือผัวของผม ซึ่งทุกคนก็เอาแต่หัวเราะแต่ผมน่ะอายแสนอาย
แม้จะพูดไปอย่างนั้น แต่ท่าทีของชูวิทย์มันก็คงจะมองผมเหมือนเดิม และอันที่จริง ผมว่าเราก็สนิทกันแต่ในโรงเรียนนี่ล่ะ แต่อย่าได้หวังว่าจะมีโมเม้นต์สวีท โน่น พอกริ่งหมดคาบดัง พ่อชูวิทย์ตัวดี ปรี่ลงไปที่สนามบอล เตะบอลจนเหงื่อคลั่กโน่นแล้ว
แต่สิ่งที่มันชอบเห็นจะเป็นการทำให้ผมอับอายเสียละมากกว่า
"เมียจ๋ามาแล้วเหรอ? วันนี้มีอะไรมากินบ้างจ๊ะ" มันพูดซะเสียงดังแล้วเดินมารับถุงใส่ห่อข้าวจากมือผมคนแผนกอื่นมองกันเป็นตาเดียว ผมงิอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
"เมียเมออะไรไอ้บ้า" ผมด่ามันแต่มันก็ยังทำหน้าเป็น
"เอาน่ายอม ๆ ไปอย่าให้ต้องใช้กำลัง นี่กูซื้อข้าวมาเผื่อแล้ว รีบกินก่อนได้ป่ะ หิว เดี๋ยวอีอ้วนกะอีผอมมาค่อยให้มันมาตามกินที่เหลือ" ดูชูวิทย์มันพูด ผมงิต้องหยิกเข้าไปเต็มแรงที่ต้นแขนจนมันร้องโอดโอย
"ชูวิทย์ เราไม่ชอบนะ ทำไมว่าผู้หญิงแบบนั้น ถ้าได้ยินว่าไปเรียกผู้หญิงแบบนี้อีกเราจะโกรธนะ" ผมคาดโทษซึ่งเจ้าตัวก็ทำหน้าม่อย ยกมือไหว้ผมประหลก ๆ
ผมเข้าใจว่าชูวิทย์มันเป็นคนปากไว แต่เรื่องแบบนี้ผมไม่ปล่อยไว้เด็ดขาด
แต่ผมก็มาเข้าใจนิสัยของมันเมื่อวันหนึ่งกลุ่มของพวกผมต้องไปทำรายงานด้วยกันและไอ้ชูวิทย์มันก็รับรองว่าไปบ้านของมันสะดวกที่สุด
บ้านของมันเป็นตึกแถวใหญ่โต และพ่อกับแม่ของมันก็ขายของอยู่ในย่านทำเลทอง ที่หลังบ้าน พี่น้องของมันมีแต่ผู้ชายห้าคนล้วน และเมื่อฟังพี่น้องคุยกัน ผมก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมชูวิทย์มันถึงได้เป็นคนแบบนี้
"พี่ไอ้ชูคนที่สองหล่อว่ะ" เหมยกระซิบ
"คนโตก็ใช้ได้นะไม่เหมือนไอ้เปรตชู" ปูกระซิบตอบกลับ
"ใช้ไม่ได้สักคน กักขฬะอย่างกะซ่องโจร" ผมกระซิบนินทาตอบ
"พวกมึง ๆ นี่ไงเมียกู" ไอ้ชูวิทย์ตะโกน และพี่น้องมันก็หันมามองผมเป็นตาเดียว ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ทำตาเขียวใส่มัน และตลอดทั้งวันนั้นก็แทบไม่เป็นอันทำงาน เพราะพี่น้องมันแซวผมอยู่ได้
"ซ้อตุลไอ้ชูมันหื่นนะ"
"ซ้อตุล อยากมีลูกสักโหลนึงไหวป่ะ ไอ้ชูมันไหวนา"
"ซ้อตุลเปลี่ยนใจไม่ทันแล้วนะ ไอ้ชูมันเอาจริงนะ"
สารพัดที่ผมจะโดนล้อ ซึ่งสองสาวก็เอาแต่หัวเราะกิ๊กไม่ช่วยผมเลย จู่ ๆ ผมก็เป็นซ้อเสียอย่างนั้น
จนถึงตอนจะลากลับ ตามธรรมเนียมไปลามาไหว้ เมื่อพวกผมร่ำลากับเตี่ยและแม่ของมัน ไม่วายแม้แต่เตี่ยของมันก็ยังอุตส่าห์จะแซวผม
"เนี่ยน่ะหรอเมียไอ้ชูเออหน้าตาน่ารัก อ๋าย ตูดเล็ก อย่างนี้จะมีลูกได้ยังไง เตี่ยอยากได้แบบหัวปีท้ายปีน่อ" เตี่ยยังอุตส่าห์แซวและผมก็ได้แต่ถอนหายใจ ไอ้ชูหนอไอ้ชู กูเข้าใจแล้วว่าทำไมมึงเป็นคนแบบนี้
นั่งรถอย่างใจลอย ในมือผมก็อ่านหนังสือนิยายกำลังภายในเรื่อง ลูกปลาน้อยเซียวฮื่อยี้ ซึ่งกำลังฉายในทีวีไปด้วย แน่นอนว่าในหนังสือมันย่อมสนุกกว่า แต่ในละครมันก็ทำให้เราเห็นภาพของการต่อสู้หรือฉากที่อลังการกว่า
สรุปดีไปกันไปคนละอย่าง
และเมื่อถึงบ้าน หนุ่มแว่นหน้าเด๋อก็รอผมอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ผมยิ้มอย่างดีใจ และทักทายเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาแสนเนิ่นนาน
"เห้ยประวิทย์เป็นไงบ้าง นี่เราไปทำรายงานมา จะมาทำไมไม่โทรศัพท์มาบอกก่อนเล่ารอนานหรือยัง" ผมร้องทักทาย และแม่ก็บ่นว่าประวิทย์มารอตั้งนานแล้ว
พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ และกินข้าวด้วยกัน จนกว่าจะคุยเสร็จก็หัวค่ำเพราะพ่อซักถามอะไรประวิทย์มันเยอะแยะ
และเมื่อเข้านอน ผมก็นึกขำกับวิทย์ทั้งสองคน ทั้งชูวิทย์ ทั้งประวิทย์ คนนึงขาด คนนึงเกิน
และผมว่าจะหาคนที่พอดีกับเรา มันคงต้องใช้เวลาแต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ดีใจที่ได้รู้จักผู้ชายทั้งสองคนนี้
คนที่ทำให้ผมมีรอยยิ้มให้ทั้งสองคนแหละ แต่มันก็คนละแบบ ประวิทย์ทำให้ผมยิ้มและหัวเราะไปกับเรื่องหนังสือ ส่วนไอ้ชูวิทย์มันก็ทำให้ผมหัวเราะไปกับความตลกคะนองของมัน
แต่ผมเพิ่งอายุ สิบแปด จะมีผัวคงไม่ต้องรีบเกินไปล่ะมั้ง โบราณเขาว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม