อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน
โดย : Chavaroj
แล้วในวันที่ผมกลัวที่สุดวันหนึ่งและคิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนโชคชะตาได้ก็ทำให้ผมรู้สึกคิดผิดไปถนัด บางเรื่องเราห้ามมันไม่ได้จริง ๆ แต่อย่างน้อยจากประสบการณ์ก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมต้องรับมืออย่างไร
ในอดีตพ่อของผมเมื่อตกงานและมาหางานใหม่ด้วยการเป็นนายหน้าขายรถยนต์มือสอง ซึ่งกว่าจะคลำมาทางนี้จนเจอว่าตัวเองถนัดก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ ๆ
และนั่นทำให้พ่อรู้จักกับผู้หญิงคนนั้น คนที่ทำให้ชีวิตครอบครัวของเราพังทลายลงนั่นแหละ
ในตอนนั้นผมขี้ขลาดเกินกว่าจะไปห้ามพ่อเพราะผมต้องขอเงินจากพ่อ แถมยังอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นที่พึ่งทางใจของแม่
เมื่อแม่ที่เป็นแม่บ้านมาทั้งชีวิต และยึดมั่นรักพ่อแต่เพียงคนเพียงคนเดียว เมื่อต้องมาถูกพ่อทรยศนอกใจ แม่ก็หัวใจสลายและไม่ยอมดูแลตัวเอง เมื่อสุขภาพของแม่นั้นแย่ลงจากการปล่อยตัว
แม่พยายามทำตัวเองให้ดูแย่และป่วยไข้เพื่อให้พ่อสงสาร แต่นั่นมันตรงกันข้ามมันกลับยิ่งทำให้พ่อเหนื่อยหน่าย แม้ว่าพ่อจะหนีพวกเราไป แต่อย่างน้อยพ่อก็ยังพยายามส่งเงินมาเยียวยาพวกเรา หรืออาจจะทำให้ความรู้สึกผิดของพ่อน้อยลง
ผมคิดจากตัวเองในวัยแก่เฒ่า ผมไม่ได้โทษทั้งสองคนเลย ออกจะสงสารและเห็นใจทั้งสองคนด้วยซ้ำ
ที่พ่อไปมีผู้หญิงคนใหม่ เพราะในตอนนั้นพ่อต้องเหนื่อยกับการหาเงินคนเดียว และแม่ก็เอาแต่แบมือขอเงิน ซึ่งแม่มองในมุมของตัวเองว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจ
ผมแก้ข้อนี้ได้แล้วด้วยการหางานให้แม่ ซึ่งเดี๋ยวนี้แม่หาเงินได้เดือนละหลักหลายหมื่นทีเดียวล่ะ
จนเมื่อยุให้พ่อลาออกมาช่วยแม่ขายของ ปัญหาเรื่องการเงินของพ่อถูกตัดออกไปอีกเหมือนกัน และไอ้เงินหลาย ๆ หมื่นที่แม่ทำได้ต่อเดือนก็กลายเป็นขยายเป็นอีกเท่าตัวเพราะเราขายของได้ทั้งวัน
ยิ่งบ้านไม่ได้เช่าอย่างนี้ เราก็มีเงินเก็บแล้วจนผมคิดว่าจะสามารถเรียนได้อย่างสบายจนถึงปริญญาตรีได้ทีเดียว
เมื่อพ่อขายของช่วยแม่ โดยมีผมเสนอความคิดให้พ่อปิดป้ายขายรถยนต์มือสอง หรือขายที่ หรือขายของอะไรของแกไปตามเรื่องตามถนัด
ไอ้ความคิดนี้มันได้ผลดีชะมัด และได้ผลดีเกินไปจนไปดึงดูดนังงูพิษนั่นซึ่งตอนนี้ มันมานั่งประจ๋อประแจ๋กินข้าวในบ้านเรานี่แหละ
ซึ่งผมจะเรียกมันว่าอีงูพิษก็แล้วกัน อีแมงป่องสารพัดพิษนี่แรก ๆ ก็มากินข้าวที่ร้านของเรา แล้วก็มาตีสนิทแม่ หลังจากนั้นก็ตีสนิทพ่อ แม่ซึ่งเป็นคนซื่อ ๆ ปากตรงกับใจ และไม่เคยคิดร้ายกับใคร เจอมารยาของนางแพศยานี่ก็ตกหลุมพรางของมันโดยง่าย
รวมถึงพ่อเหมือนกัน จะว่าไปโทษทั้งสองคนนี้ก็ไม่ได้หรอก ใครจะไปรู้ว่าในชีวิตเราจะเจอคนเหี้ย ๆ อย่างนี้กันเล่า แต่อีงูมันพลาดที่มีผมไง ผมรู้ว่ามันมาด้วยจุดประสงค์อะไร
ในชีวิตใหม่ ผมเรียนรู้ที่จะมีเพื่อน และเริ่มสนิทกับผู้คนมากขึ้น ผิดกับชีวิตเก่าที่วัน ๆ ไม่เอาใคร และของแถมที่ได้มาก็คือ มารยา หรือมารยาท ในการเข้าหาคนอื่นเหมือนกัน
ผมเสแสร้งได้ดีพอใช้ แน่ล่ะก็ในตลอดชีวิตของผม ผมต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่ว่าใครจะนินทาหรือต่อว่าผมตรง ๆ ผมแกล้งทำเป็นไอ้ซื่อบื้อมาได้ตั้งหลายสิบปีเพื่อจะได้อยู่เป็น
และการแสร้งทำเป็นดีกับอีงู ผมก็ต้องทำได้เพื่อหาจุดอ่อนเพื่อตีมันให้ตาย
รูปการของการมาของมันมาแนว ๆ เดิมคือชวนพ่อไปดูรถ และไอ้เวลาของการอยู่ด้วยกันสองต่อสอง นี่แหละที่ผมเป็นห่วง
ผมรู้ว่าในตอนนี้พ่อเป็นคนมั่นคง แต่มารยาหญิงก็เป็นสิ่งที่เราจะวางใจไม่ได้
ผมปล่อยให้พ่อไปดูรถกับอีงูนั่นหนสองหน และซักถามประหนึ่งไม่สนใจ กลายเป็นว่ารถที่ขายได้ ค่าคอมหารกันคนละครึ่ง และดูอีผีนั่นเหมือนจะชุบมือเปิบ เพียงเพราะไปดูรถกับพ่อก็แค่นั้น
อีงูไม่ได้มีความรู้เรื่องรถราใด ๆ สักนิด จนผมซักถามแล้วก็พ่อก็ตอบแบบไม่ได้คิดอะไรแถมยังเอ่ยปากชมเสียอีกว่าได้ยายนั่นช่วยทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น (แน่สิคงไปตอแหลใส่เขานั่นแหละ)
ผมจับสังเกตได้ว่าอีงูมันชอบโทรศัพท์มาหาพ่อตอนช่วงเย็น ๆ และชวนคุยอะไรเรื่อยเปื่อยไร้สาระ แบบเด็กวัยรุ่นคุยกัน และพ่อก็หัวเราะกิ๊กกั๊ก แน่ล่ะพ่อในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรและคงบริสุทธิ์ใจ
ในวันต่อ ๆ มาผมก็แกล้งทำเป็นวางหูโทรศัพท์ไม่สนิทบ้าง หรือแกล้งโทรหาเพื่อนบ้าง หรือบางทีพ่อคุยสายผมก็ไปแกล้งบอกว่าผมรอโทรศัพท์จากเพื่อนเพื่อคุยงานบ้าง
เมื่อเห็นว่าวิธีนี้ไม่ค่อยได้ผลเพราะเมื่อโทรติดต่อกันไม่ค่อยได้ อ้อ สมัยตอนนี้มันยังไม่มีโทรศัพท์มือถือเกลื่อนเมืองกันเหมือนตอนผมแก่ ๆ การจะพูดคุยกันได้ ต้องใช้โทรศัพท์บ้านเท่านั้น
ผมคิดถึงแผนการและเรื่องนี้ออกจะทำให้นอนไม่ค่อยหลับ แต่ผมก็ต้องทำ เพราะโอกาสมันกำลังมาถึง ผมชอบแอบไปยืนฟังพ่อคุยโทรศัพท์จึงรู้ถึงการนัดแนะ
เย็นวันหนึ่ง เมื่อพ่อนัดกับอีงูพิษว่าจะไปดูรถด้วยกัน ผมก็เซ้าซี้ให้พ่อกินขนมด้วยกันเสียก่อน และนึกภาวนาว่าขอให้พ่ออย่าโกรธในสิ่งที่ผมลงมือทำกับพ่อเลย
ผ่านไปสองสามชั่วโมง พ่อก็หน้าบูด และนั่งมอเตอร์ไซค์วินกลับมาบ้านและวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ระหว่างนั้นพ่อก็ตะโกนบอกให้ผมช่วยขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้พ่อด้วยซึ่งผมก็อมยิ้มและเอามาให้พ่อตามคำสั่ง
พ่อท้องเสียอย่างหนัก จนหมดเรี่ยวแรง และคืนนั้นพ่อถึงกับต้องนอนที่ชั้นล่าง เพราะเดินขึ้นบันไดไม่ไหว โดยแม่ที่ต้องยอมนอนเป็นเพื่อนพ่อข้างล่าง เพื่อจะได้คอยดูแลพ่อ
ส่วนผมไปร้านขายยาเพื่อซื้อเกลือแร่มาให้พ่อ
"พ่อเป็นยังไงบ้าง?" ผมถามอย่างเป็นห่วง
"ก็ท้องเสียน่ะสิ นี่ไปอึเรี่ยราดใส่รถเขาด้วย อายชะมัด เลยตัดสินใจเรียกวินมอไซค์รับจ้างกลับมา" พ่อว่า
"ยังดีนะพ่อยังมีแม่น่ะ ไม่อย่างนั้นไม่มีคนดูแลพ่อแย่แน่ ๆ เลย" ผมพูดเปรย ๆ และเดินจากไป ปล่อยให้สองผัวเมียได้ดูแลกัน
ก็เป็นอันว่าแผนขั้นแรกสำเร็จไปด้วยดี ด้วยแผนการนี้ถ้าพ่อฉุกคิดสักหน่อยก็จะรู้ว่า แม่นี่ล่ะไม่ว่าพ่อจะร้ายดียังไง จะมีแม่คอยอยู่ดูแลพ่อเสมอ ไม่ใช่อีงูพิษนั่น
และข้อสอง ผมว่าพ่อคงรู้สึกได้ล่ะว่าการที่อีงูพิษนั่นทำท่ารังเกียจพ่อที่ไปขี้รดใส่รถของมัน ทำให้มันเผยธาตุแท้ในสันดานออกมาเหมือนตอนที่พ่อเจ็บไข้ได้ป่วย อีผีนั่นก็ไล่ให้พ่อออกมาจากบ้านในครั้งนั้น
แต่หลังจากนั้นราว ๆ อาทิตย์กว่า ๆ พ่อก็ยังไปยุ่มย่ามกับอีงูพิษอีกจนได้ เรียกว่าไม่เข็ด และแน่นอนว่าผมได้เตรียมแผนสองสำหรับงานนี้อยู่แล้ว
จัดแจงบอกแม่ว่าเหมยและปู รวมถึงไอ้ชูวิทย์จะมาทำรายงานที่บ้าน ซึ่งแม่ก็เอ่ยอย่างหนักแน่นให้ชวนเพื่อน ๆ กินข้าวเย็นด้วยกัน ซึ่งเป็นไปดังใจผมพอดี และแน่นอน นี่เป็นค่าจ้างสำหรับการเล่นละครให้พวกมันด้วย
เย็นวันนั้นช่างเหมาะเจาะที่พ่อออกไปกับอีงูพิษและเพิ่งกลับมาพอดี เมื่อได้เจอพวกเพื่อน ๆ ของผม และได้เจอไอ้ชูวิทย์ปากดี นี่ก็ยิ่งทำให้พ่อเข้ากันกับพวกเราได้ถนัดนักเพราะไอ้หมอนี่มันปากไว ปากเปราะ และคุยสนุก
เมื่อทำรายงานกันไป ชูวิทย์ ซึ่งถือว่าเป็นมันสมองของกลุ่ม ดังนั้น ในฐานะของสมอง ทำงานน้อย แต่คิดเยอะ และพวกผมสามคนก็ทำหน้าพิมพ์รายงานไปส่วนไอ้ชูวิทย์ก็มีหน้าที่ส่งข้อมูลให้พวกผมพิมพ์
และเมื่อมีเวลาว่างมันก็ชวนพ่อคุยซึ่งเข้าขากันดี๊ดีราวกับรู้จักกันมานานทั้ง ๆ ที่เพิ่งเคยเจอะกันครั้งแรก
และช่วงพักยกครึ่งเวลา พวกเราก็กินข้าวปลากัน แม่ใจดีจัดชุดน้ำพริกกะปิ ซึ่งผมแจ้งไว้แล้วว่าขอแบบไม่เผ็ดมากเนื่องจากคนปากเปราะเป็นลูกคนจีน กินเผ็ดไม่เก่ง
น้ำพริกของแม่เอร็ดอร่อย และพวกเราก็กินกันได้คนละมาก ๆ พ่อก็พากันถามถึงที่เรียนต่อกันกับพวกเราและเรื่องเรียนและเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเข้าทางผมพอดีเป๊ะ
"พ่อครับ เพื่อนผม แม่สาวเหมยเนี่ย ดูไพ่ยิปซีเก่งมาก ที่โรงเรียน พวกผมยกให้แม่นี่เป็น อาจารย์เหมยเลย พวกผมเนี่ยนะ ถ้าจะสอบนี่ก็พากันมาดูดวงกันก่อนเสมอ ๆ" ไอ้ชูวิทย์เริ่มเรื่อง
"จริงค่ะพ่อ เหมยดูดวงแม้นแม่น พี่สาวหนูระหองระแหงกับแฟน เลยแนะนำนางมาดูดวงกับเหมย เหมยว่าไม่เกินเจ็ดวันก็เลิก แต่ไม่ต้องเสียใจ จะได้คนใหม่ที่ดีกว่าเดิม แล้วมันก็เป็นตามนั้นจริง ๆ ด้วยค่ะ" ยายปูช่วยเสริม
"พ่อก็ลองให้เหมยมันดูดวงให้สิ ว่าถ้าขายรถแล้วจะรุ่งหรือเปล่า หรือเผื่อดวงพ่อใหญ่แบบควรจะทำงานขายที่ไปเลย" ผมยุส่ง ซึ่งคนไม่ค่อยแน่ใจเพราะเพิ่งเริ่มงานก็ต้องสนอกสนใจอยู่แล้ว
ได้ผล หลังจากนั้น พวกเราทิ้งให้ยายเหมยไปดูไพ่ยิปซีกับพ่อ และพ่อก็ทำหน้าชั่งอกชั่งใจ หายกันไปพักใหญ่ก็กลับมา
และที่สำคัญพอยายเหมยกลับมาประจำหน้าเครื่องพิมพ์ดี ก็ยักคิ้วและขยิบตาให้ผมพร้อมกับทำสัญญาณมือโอเคมาให้
พ่อกลับไปนั่งช่วยแม่เตรียมของขาย และแน่นอนว่าคุณมันสมองก็ไปนั่งเม้าท์กับแม่ตามประสาคนขี้คุย
"โอ๊ยพี่น้องผมน่ะห้าคนครับแม่ ผมน่ะคนที่สี่" ไอ้ชูวิทย์เริ่มอวด
"ทำไมพี่น้องเยอะจังล่ะลูก แต่ก็ดีนะ อบอุ่นดี" แม่ตอบรับและยิ้มอย่างใจดีให้มัน
"คืออย่างนี้ครับ เตี่ยผมน่ะเจ้าชู้ แล้วก็มีแต่ลูกชายเลยอยากมีลูกสาว พอมีลูกชายสามคนติด ก็แอบแม่ไปมีอีกเล็ก ๆ สุดท้ายถูกอีผู้หญิงปอกลอก โธ่แม่ครับอย่าว่าผมนินทาเตี่ย หน้าผมน่ะหล่อได้แม่ เตี่ยผมนี่ขี้เหร่ อีผู้หญิงพวกนั้นเข้าหา สุดท้ายก็เพราะเงิน ไม่มีให้หรอกครับความจริงใจ โดนไปเป็นแสน ๆ" ไอ้ชูวิทย์พูดเสียงดังจนแม่แอบเหล่มองพ่อ
"แล้วทีนี้พอเตี่ยหมดเงินก็ซมซานกลับมาหาแม่ ง้อกันไปง้อกันมาก็เลยมีผม แล้วก็แอบไปมีอีหนูอีก เข้าอีหรอบเดิมโดนหลอกอีกก็กลับมาตายรังอีกจนมีไอ้ตี๋เล็ก คราวนี้ม๊าบอกว่า ถ้ามึงไปรอบนี้ไม่ต้องเสือกกลับมา กูขี้เกียจมีลูกคนที่หก ม๊าว่าถ้าไปม๊าไม่ว่า แต่ต้องไปแต่ตัว เพราะสมบัตินี่ต้องเป็นของลูกเมีย ม๊าว่าอย่างนั้นนะครับ" ชูวิทย์พูดแล้วทำหน้าทำตา
"แล้วคราวนี้เข็ดหรือยังล่ะ?" แม่ยังอุตส่าห์ถามอีก
"โอ๊ยหมดเขี้ยวหมดเล็บแล้วครับ สุดท้ายตอบนั้นกลับมาแล้วป่วยปางตาย อีเมียน้อย ขนร่างป๊ามาโยนไว้หน้าบ้าน ให้ม๊าผมต้องเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว นั่นล่ะป๊าถึงสำนึกได้ว่าสุดท้าย ถ้าตัวเองเป็นอะไรไปก็มีแต่ลูกกับเมียที่คอยดูแลน่ะครับ" ชูวิทย์พูดได้ดีและพ่อก็ถึงกับหลบตา
เพื่อน ๆ กลับกันหมดแล้ว และผมก็อยู่ช่วยแม่เก็บร้าน ส่วนพ่อก็ทำอะไรก๊อกแก๊กของแกไปตามเรื่อง และคืนนี้ผมก็ขอขึ้นไปเหยียบขา ให้ทั้งสองคนเพื่อดูสถานการณ์แล้วจึงกลับขึ้นห้องนอนของตัวเอง
แผนการของผมน่าจะได้ผล แน่ล่ะก็วางแผนเสียดิบดีขนาดนั้น แถมไอ้ชูวิทย์เพื่อนรักก็พูดซะขนาดนั้น ถ้าพ่อยังจะดื้อดึง ผมก็จนปัญญา
แต่รู้สึกว่าพ่ออึดอัดเวลาที่อีงูมันโทรมา จนพักหลัง ๆ เวลาผมรับโทรศัพท์แล้ว พูดทำนองว่าอีงูโทรมาหรอ พ่อก็ทำหน้าเบ้และส่ายมือไปมาเป็นเชิงไม่อยากคุย
โดนปฏิเสธหลาย ๆ ครั้งเข้า อีงูก็หายไปจากครอบครัวเรา และพ่อก็ยังกลับมาเป็นพ่อคนดีคนเดิม เป็นสามีสุดที่รักของแม่ และเป็นพ่อที่ดีของผม
และงานนี้ผมต้องฉลอง และเลี้ยงอาหารขอบคุณเพื่อน ๆ แน่นอนว่าน้ำพริกกะปิชุดใหญ่ แบบวันที่พวกมันมาก็ถูกผมเอาไปเซ่นสังเวย แถมด้วยปลาทูทอดตัวขนาดกำลังกิน รวมถึงผักทอด และผักต้ม อ้อ ผักสดอีกสารพัด
นั่งกินด้วยกันที่โรงอาหาร คนถึงกับมุงว่าพวกผมกินอะไรกัน นี่ไม่นับแกงจืดวุ้นเส้นแสนอร่อยใส่สาหร่ายทะเล และผักกะหล่ำปลีใส่หมูด้วย
"โอ๊ย มีงานแบบนี้ให้ไปช่วยอีกก็บอกนะ เราเต็มใจช่วย" เหมยยิ้มร่าเมื่อเห็นกับข้าว
"ไม่มีแล้วแหละ ดูพ่อกลัวอีงูพิษนั่นไปเลย" ผมบอกและยิ้มกว้าง พร้อมกับแกะปลาทูเราะก้าง และตักใส่จานให้เหมยด้วย
"แกะให้กูมั่งดิ กูก็ออกแรงโม้ซะเยอะนะเว้ย" ไอ้ชูวิทย์บอกและผมก็จำใจแกะปลาทูให้มัน
"แหมแค่เรื่องโม้" ผมบ่น
"จริง ๆ ไม่ได้โม้นะ ที่เล่าไปน่ะเรื่องจริงทั้งนั้นเลย" ชูวิทย์มันว่า และผมพยายามนึกถึงหน้าเตี่ยมันที่ยามนั่งข้าง ๆ ม๊ามันออกจะดูหงอ ๆ และม๊ามันก็ดูดุจริง ๆ เสียด้วย
"เออส่วนเราน่ะ ไม่ได้โม้นะ เราทายพ่อของตุลตามที่หน้าไพ่มันขึ้นเลย" เหมยบอกและผมก็ชักจะสนใจ
"หรอ ๆ ไพ่มันขึ้นว่ายังไงล่ะ?" ผมซักไซ้และแกะปลาทูให้เหมยอีก
"ก็พ่อตุลถามเรื่อง งานว่าดีมั๊ย เราก็ตอบว่าดีมาก เพียงแต่ว่ามีอุปสรรคคือ อย่าให้มีคนมาร่วมงาน ให้ทำคนเดียวไม่อย่างนั้นจะโดนหลอก ไพ่มันขึ้นจริง ๆ พ่อตุลก็ถามถึงผู้หญิงลักษณะอย่างนี้ ๆ แล้วไพ่มันก็ขึ้นมาว่าร้ายมาก" เหมยบอกและผมก็ทำตาโต
"ขนาดนั้นเชียว" ผมถามและเหมยก็พยักหน้าจริงจัง
"แต่ที่พ่อตุลถามส่วนใหญ่เป็นเรื่องของตุลว่ะ" เหมยเคี้ยวข้าวแล้วกลับมาพูด ส่วนผมแทบสำลัก ให้ดูดวงตัวเองมาดูดวงลูกซะงั้น
"แหมก็พ่อแม่คนอ่ะเนอะ ก็ห่วงลูกแหละ" เหมยออกตัว
"แล้วไพ่เรามันขึ้นดีไหม?" ผมอดถามไม่ได้
"ดีสิ ดีมาก แต่แปลก ไพ่ของตุลที่พ่อถามมันขึ้นไพ่เกิดใหม่ แบบได้กลับมาเริ่มใหม่อะไรอย่างนี้" เหมยบอกและผมก็ขนลุกชันทีเดียว
"งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จดูไพ่ให้ปูบ้างสิ" ยายปูที่นั่งเงียบแต่แอบได้ติดร่างแหกินฟรีสอดคำขึ้น
"จัดไปค่ะ ค่าครูด้วยนะยะ" ยายเหมยบอกและยายปูก็ทำปากมุมมิบเพื่อบ่น
ส่วนผมแอบคิดเองในใจว่าควรให้ยายเหมยดูไพ่เรื่องความรักดีไหมนะ เรียกว่าคิดกันไปคนละอย่างทีเดียว
แต่สุดท้ายผมก็ดูไพ่กับยายเหมยอยู่ดี แต่สิ่งที่ผมอยากรู้มันกลับไม่ใช่เรื่องความรักนะ เพราะว่าเมื่อถามไพ่กลับตอบอย่างกำกวม
แต่ไม่เป็นไรผมอยากรู้เรื่องเรียนต่อมากกว่า ซึ่งไพ่ก็ออกมาได้อย่างใจของผมพอดีและอีกไม่นานผมก็จะเรียนจบปวส. แล้ว และถ้าเรียนได้แบบนี้ผมว่าเกรดเฉลี่ยของผมน่าจะดีใช้ได้ทีเดียว
เมื่อกลับบ้าน กิจวัตรเดิม ๆ แสนน่าเบื่อ แต่มันปลอดภัยและอบอุ่นก็ยังดำเนินไปเหมือนเดิม พ่อช่วยแม่ขายของ และผมก็รีบกลับไปใส่ผ้ากันเปื้อนและรีบเร่งมือไปช่วย นับวันแม่ทำของขายเยอะขึ้นทุกที และกลายเป็นว่าสองผัวเมีย เมื่อเลิกงานอาบน้ำเสร็จขึ้นนอน ก็แทบหลับกันไปทีเดียว
แต่ผมซึ่งมีหน้าที่ทำบัญชีให้แม่ เห็นตัวเลขแล้ว ผมกลับชื่นใจ และคิดว่าพ่อกับแม่น่าจะหายเหนื่อย
ด้วยการขายของพวกเราในทุกวันนี้ได้เงินมากกว่าเงินเดือนพ่อตั้งเท่าตัว แม้จะเหนื่อยขึ้น และยามกลางวันแม่ก็ต้องจ้างคนมาช่วยทำของอีกคน ให้พ่อรับหน้าที่ตักอาหารไป เพราะพ่อนั้นหน้าตาใจดีและเรียกแขกเก่ง
และยามค่ำคืนผมก็อ่านหนังสือทบทวนวิชาที่เรียนแทนหนังสือนิยาย เพราะใกล้จะสอบเต็มที
จนเมื่อวันสอบมาถึง ออกจะใจหายที่คราวนี้พวกเราต่างก็ต้องพลัดพรากกันแน่แล้ว ผมกับยายเหมยและยายปูสัญญาว่าจะติดต่อกันเพราะเราเรียนมาด้วยกันตั้งห้าปี ส่วนนายชูวิทย์นั่น ผมก็ออกจะงง ๆ ว่าติดร่างแหมาสนิทกับพวกเราได้อย่างไร
และคำตอบมันมาเฉลยเอาวันสุดท้าย เมื่อยายปูเดินมาปรึกษากับพวกผมยามจะกลับบ้านว่านายชูวิทย์มันตัดสินใจขอยายปูคบเป็นแฟน
"ทำไมมันมาขอเอาวันสุดท้ายวะ?" ผมถามและออกจะสงสัย
"ชูมันว่า มันแอบชอบเรามาตั้งนานแล้ว แต่มันกาก มันเลยว่า จะมาขอวันนี้ ถ้าเราตกลง มันจะไปสมัครสอบเรียนต่อที่เดียวกับเรา แต่ถ้าเราปฏิเสธ มันจะไปสอบที่อื่นน่ะ" ปูอธิบาย และผมก็เห็นว่าไอ้ชูวิทย์มันก็เข้าใจคิดเหมือนกัน
"แล้วปูว่ายังไงล่ะ?" เหมยถามและอมยิ้มร้าย
"เราก็คิดไม่ออกว่ะ เราก็ไม่ได้รังเกียจมันนะ แต่เราชอบตอนอยู่กับมันแบบเพื่อน เราก็ไม่รู้ใจตัวเองเหมือนกันว่ะ เราชอบที่มันตลก แล้วก็เรียนเก่ง เป็นผู้นำ แต่เราก็ไม่ชอบที่มันปากหมา แล้วก็นิสัยกาก ๆ" ปูพูดไปก็เริ่มมีสีหน้ากังวล
"แม่หมอจะบอกเจ้าเอง ข้ารู้ ข้าเห็น" เหมยทำเสียงเหมือนยายแก่และชวนพวกผมไปนั่งที่เก้าอี้เงียบ ๆ
"หลับตาแล้วอธิษฐาน ตัดไพ่แล้วเลือกไพ่มาสามใบ" เหมยสั่งและยายปูก็ทำตามนั้น
และหน้าไพ่ก็ออกมาอย่างที่พวกเราคิด แน่ล่ะพวกเราแสนจะดีใจ รวมถึงไอ้ชูวิทย์ที่แอบดูพวกเราอยู่ห่าง ๆ จนผมเห็นมันทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ จึงกวักมือเรียกมันมา ซึ่งมันก็มาด้วยท่าทีขรึม ๆ ผิดจากวิสัย
"ชูวิทย์" ผมตะคอกใส่มันเสียงดัง
"จ๋า" ไอ้ชูวิทย์รับคำ และนั่งยอง ๆ กับพื้นและยกมือพนมไว้ที่อก
"ถ้าปูตกลงเป็นแฟนกับมึง ต้องดูแลเพื่อนกูให้ดีนะ แล้วต่อไปนี้ก็ต้องทำตัวให้เรียบร้อย ห้ามปากหมาใส่ปูด้วยเข้าใจไหม?" ผมทำเสียงดุ และไอ้ชูวิทย์ยังทำหน้าเหรอ
"ห้ามเจ้าชู้ด้วย" เหมยสำทับและชูวิทย์มันก็พยักหน้ารับ
"คร้าบ ๆ จะเป็นคนดีจะไม่เจ้าชู้คร้าบ" ชูวิทย์มันพูดแล้วก็รู้ว่าตกลงปูยอมคอมด้วย เท่านั้นแหละ มันก็กระโดดโลดเต้น และวิ่งไปวิ่งมาจนพวกเราหัวเราะขำให้กับความบ้าบอของมัน
จนสุดท้ายเมื่อจากลากัน ไอ้คู่แฟนคู่ใหม่ ก็เดินไปด้วยกันทิ้งให้ผมกับยายเหมยนั่งมองอย่างหมั่นไส้กันสองคน
"เราคนโสดก็ไปกันเถอะ กลับบ้าน" เหมยบอกและผมก็เดินจูงมือพาเหมยไปป้ายรถเมล์ด้วยกัน
ตลอดทางกลับบ้าน ผมยิ้มให้กับภาพของเพื่อนรักสองคนที่ได้ตกลงใจคบกัน แล้วผมก็ยิ้มกว้างออกมา ผมอาจเคยมีหัวใจนิด ๆ ให้กับชูวิทย์ เพราะความเก่ง ความหน้าตาดี และความตลก ซึ่งจริง ๆ นั่นเป็นเสน่ห์ของมันเลยล่ะ
แต่เมื่อผมรู้ว่าทั้งสองชอบกันและคบกัน ผมกลับดีใจมาก ๆ ขึ้นมาเมื่อรู้ว่าคนที่ผมรักสองคนได้รักกัน การมันกลับกลายไปเสียอย่างนั้น
น่าแปลกที่ผมไม่อิจฉากับทั้งคู่เลย สมัยแต่ก่อน ถ้าเจอใครรักกัน ผมมักอิจฉา และพยายามแช่งให้ทั้งคู่เลิกกันให้เร็ว ๆ แต่ความคิดแบบนั้น ความคิดอย่างคนเกลียดโลกไม่เกิดขึ้นกับผมอีกแล้ว
ตรงกันข้าม ผมกลับภาวนาให้เพื่อนรักของผมทั้งสองคนรักกันไปนาน ๆ ชูวิทย์เป็นคนดี และปูก็เป็นคนน่ารัก ผมจะดีใจมาก ๆ ถ้าทั้งสองคนรักกันไปยืนยาวจนมีลูกมีหลานให้ผมได้อุ้ม
คิดอะไรเพลิน ๆ แต่มันก็ถึงป้ายที่ผมจะลงแล้ว ผมขอเดินไปร้านเช่าหนังสือ และเช่าหนังสือมาอ่านสักสองเล่ม แล้วถึงเดินกลับบ้าน ไปสวมผ้ากันเปื้อน และช่วยพ่อกับแม่ทำงานอย่างแข็งขัน
อาจเป็นเพราะผมอิ่มเต็มกับความรักที่พ่อและแม่มีให้ หรืออาจจะเป็นเพราะผมยังไม่เจอคนที่ใช่ ก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมกลับเฉย ๆ กับเรื่องความรักแฮะ
อาจเพราะในตอนนี้ผมไม่ได้ขาดความรักแบบสมัยก่อนแล้วก็ได้ และรักของคนทั้งคู่ก็เป็นรักบริสุทธิ์ รักที่ให้ผมได้สุดใจ รักที่ไม่มีเงื่อนไข รักที่ยอมเจ็บ ยอมตายแทนผมได้ด้วยซ้ำ
และผมใจตอนนี้ก็คิดว่ามันถึงเวลาที่ผมจะต้องตอบแทนความรักของคนทั้งสองได้เต็มที่สักที
ต้นเดือนหน้าผมก็จะอายุครบยี่สิบปีเต็ม และนั่นมันก็เหมือนประสบการณ์ใหม่ที่ท้าทายมารออยู่ตรงหน้า ผมดีใจที่ผมได้กลับมาอายุยี่สิบใหม่อีกครั้ง
แต่การอายุยี่สิบปีครั้งที่สองของผมในครั้งนี้ผมวางแผนมาแล้ว และต้องทำให้มันดีที่สุด
แต่ตอนนี้ อย่าเพิ่งไปคิดถึงยี่สิบปี เอากับข้าวตรงหน้าให้เสร็จก่อนลูกค้าจ๋าอย่าเพิ่งรุม เดี๋ยวจะรีบตักให้แล้วคร้าบ เอาไข่พะโล้ กับผัดพริกขิง แล้วก็ไก่ผัดขิงนะครับ
ผมถามลูกค้าเจ้าประจำแล้วรีบตักกับข้าวใส่ถุงอย่างรวดเร็ว และท่าทางมืออาชีพมาก ๆ
เช้านี้ตั้งแต่เช้ามืดกิจการของไรท์ดีเกินเหตุลูกค้าเข้าไม่หยุดจนมาเสร็จเอาตอนสองทุ่ม นอนพักไปแปปนึงแล้วมาเขียนต่อ ไม่รู้คุณ ๆ จะชอบตอนนี้กันมั๊ย แต่ขอกระซิบว่าเบสออนทรูสตอรี่นะจ๊ะ