อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ - 7 วัยทำงาน โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน

สารบัญ

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-1 คนขี้แพ้,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-2 เวอร์ชันใหม่,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-3 วัยรุ่นวัยเรียน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-4 เพื่อนชาย,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-5 ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-6 แผนสอง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-7 วัยทำงาน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-8 กลับมาหาความสุข,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-9 กองทัพเดินด้วยท้อง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-10 พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-11 เอาไงดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-12 ความสุขของผม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-13 ดีใจ...ใจดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-14 เปรียบเทียบ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-15 คนไม่สำคัญ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-16 อุ่นใจ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-17 สนิท,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-18 คนพิเศษ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-19 ขอจันทร์

เนื้อหา

7 วัยทำงาน

โดย : Chavaroj




ในที่สุดผมก็ได้เข้าสู่วัยทำงานเสียที แม้ว่าพ่อกับแม่จะบอกให้ผมได้เรียนต่อปริญญาตรีให้จบ แต่ผมเห็นว่า คนเราสามารถทำสองสิ่งในเวลาเดียวกันได้ ถ้าผมบริหารเวลาได้ดีพอ


ผมเลือกบริษัทเล็ก ๆ ไม่ใหญ่โต ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่ผมสมัครเข้าไปเรียนต่อในภาคสมทบ เพื่อที่เมื่อเลิกงาน ผมก็จะได้สามารถเดินทางกลับมาเรียนต่อได้เลย


ในบริษัท ด้วยวุฒิ ปวส. ผมก็เป็นพนักงานธุรการธรรมดา  ๆ ที่ใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำตามคำสั่งไป ซึ่งมันก็จะว่าตรง ๆ ก็สนุกดี อาจเพราะในครั้งเก่าผมอยู่ในหน่วยงานรัฐที่แสนน่าเบื่อหน่าย


ครั้นพอได้มาทำงานเอกชน ที่มีความว่องไว ไม่ติดยึดอยู่กับเอกสาร และผมสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้บ้าง (ในฐานะน้องใหม่) 


ส่วนเรื่องเรียนต่อ ก็ให้โชคดีที่ยายเหมยติดตามมาเรียนเป็นเพื่อนด้วยกันไม่ได้ทิ้งร้างกันไป ผมจึงไม่ได้เหงามากนัก 


และณ วิทยาลัยใหม่นี้เองที่ทำให้ผมได้รู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่ชื่อ โยธิน ซึ่งเรียนอยู่ห้องเดียวกับผม แต่พี่โยแก่กว่าผมสองสามปี และทำงานบริษัทใกล้ ๆ กัน


ในบางครั้ง เมื่อจะมาเรียนต่อหลังเลิกงาน พี่โยก็อาสาที่จะมารับผมเพื่อจะได้ไปเรียนได้พร้อม ๆ กันเสียเลย ซึ่งผมก็ยินดีกับไมตรีนี้


และแน่นอนผมแอบชอบพี่โยอีกแล้ว  แต่ไอ้ความแอบชอบของผม มันก็จะสิ้นสุดแค่คำว่าแอบชอบเท่านั้น เพราะอย่างที่รู้กันว่าในยุคที่ผมยังอายุยี่สิบต้น ๆ การมีความรักในเพศเดียวกัน ก็ยังเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับ


ผมไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ยอมรับหรือป่าวประกาศกับใคร ๆ มีเพื่อน ๆ ที่รู้กัน อย่างเช่นเหมย แต่เพื่อนก็ไม่ได้มีหน้าที่ไปโพนทะนาบอกกับใครว่าผมชอบผู้ชาย และพี่โยธินนั้นผมเองก็มองไม่ออกว่าแกชอบผู้ชายเหมือนอย่างผมหรือไม่


แต่ถึงอย่างไร จะชอบหรือไม่ชอบ ผมก็ไม่ได้สนใจเพราะผมมีความสุขที่จะเป็นฝ่ายแอบชอบเขาไปเรื่อย ๆ มากกว่า และความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่โยธินก็มักจะไปในทางเป็นเพื่อนเรียน หรือเพื่อนคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า


พี่โยธินนั้นอยู่ฝ่ายการตลาด เมื่อต้องมาเรียนเพิ่ม แกว่าแกลืมพวกวิชาบัญชีพื้นฐานไปหมดแล้ว ส่วนผมซึ่งเป็นเด็กบัญชีมาตลอดห้าปี ก็ได้แกช่วยแนะนำวิชาการตลาดด้วยเหมือนกัน


ในเมื่อน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เราก็เลยชอบคุยกันบ่อย ๆ แต่ผมก็ไม่ค่อยได้สานสัมพันธ์อะไรกับแกไปมากกว่านั้น เมื่อเรียนจบ ต่างคนต่างก็แยกย้าย 


และนิสัยติดบ้านของผม ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม หลังจากกิจวัตรประจำวัน จากการเรียนย่างเข้าสู่การทำงาน และเมื่อหมดวันผมก็จะตรงดิ่งกลับบ้านให้ไวที่สุด 


แม่นั้นออกจะบ่นสงสารผมที่เมื่อกลับมาถึงบ้านก็หิวซ่ก และต้องนั่งกินข้าวเพียงลำพัง เพราะพ่อกับแม่น่ะกินข้าวไปตั้งแต่เย็นแล้ว


"แต่วันเสาร์วันอาทิตย์ ตุลก็ยังกินข้าวได้กับแม่สามมื้อเหมือนเก่านะ" ผมค้าน แม้ว่าในตอนนี้ ในวันเสาร์ผมก็ขอแม่ตรง ๆ ว่าผมขอนอนตื่นสายกับเขาสักวันเพราะทำงานและเรียนเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์ ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร


แต่เช้าวันอาทิตย์ผมก็จะตื่นอย่างสดชื่นและขมีขมันไปช่วยแม่จ่ายตลาด เพราะถึงอย่างไร ความรู้สึกอยากชดเชยเวลาที่ได้อยู่กับแม่ ก็ฝังอยู่ในความต้องการลึก ๆ ของผมเสมอ


พ่อที่บัดนี้ไม่ค่อยได้วุ่นวายเรื่องรถรา แต่กลับมาชอบเล่นพระเครื่องแทน และผมก็แอบเตือน ๆ พ่อว่าซื้อเท่าที่อยากได้อย่าสะสมเยอะ แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบเห็นพ่อมีกล่องเก็บสะสมพระเครื่องเยอะขึ้นทุกที


"เอาน่าความสุขของเค้าปล่อยเค้าไปเถอะ" แม่แอบนินทาพ่อที่นั่งส่องพระอยู่กับกลุ่มก๊วนเมื่อยามว่าง ๆ 


ส่วนผมก็คิดว่าดีกว่าพ่อไปยุ่งกับใครที่ไม่ควร และก๊วนส่องพระที่วัน ๆ ก็เอาแต่พระมาอวดกัน ก็มีแต่ชายสูงอายุแทบทั้งนั้น ผมจึงวางใจ


ชีวิตของผมยังคงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย และแน่นตึงตื่นมาก็รีบไปทำงาน เลิกงานก็รีบไปเรียน เลิกเรียนก็รีบตรงดิ่งกลับบ้าน 


ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ก็ทำงานช่วยพ่อกับแม่ ค่ำ ๆ ก็อ่านหนังสือเรียนแล้วค่อยอ่านนิยาย 


วนเวียนอยู่อย่างนี้และสมการความรักของผมก็ดูจะไม่มีคำว่าผู้ชายเข้ามาในวงโคจรเอาเสียจริง ๆ 


"เหมยว่าอีพี่โยมันชอบตุลแน่ ๆ เลยว่ะ" เหมยแอบกระซิบก่อนเข้าเรียน และผมก็ส่ายหน้าอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย


"ไม่หรอกมั้ง" ผมขอพูดมันออกมาแต่เมื่อพี่โยธินเดินมา แกก็ยิ้มกว้าง และผมก็รู้สึกเขิน ๆ อย่างไรก็ไม่รู้ 


"วันหยุดตุลไปเที่ยวไหนบ้างไหม?" พี่โยถามผมในวันหนึ่งที่แกมารับผมจากออฟฟิศ


"ไม่ค่อยได้ไปไหนหรอกพี่ วันหยุดตุลก็อยากช่วยพ่อกับแม่ทำงาน สงสารแก" ผมบอกไปอย่างนั้น ซึ่งยายเหมยฟังเมื่อผมเอามาเล่าก็บ่นผมต่าง ๆ นานา


"แล้วไปพูดอย่างนั้นใครมันจะกล้าไปขอเดทเล่าวะตุลเอ๊ย" เหมยบ่นและค้อนใส่ผม แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจหัวเราะส่ายหน้าไปมาและลากแขนเหมยเพื่อไปเข้าห้องเรียน


"เหมยได้ข่าวปูบ้างหรือเปล่า?" ผมถามเหมยระหว่างเดินไปด้วยกันซึ่งเจ้าตัวก็เล่ามาเป็นชุด ๆ


"ได้ข่าวสิ อีชูตั้งแต่มีแฟน เปลี่ยนตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังตีน ปูมันว่าเดี๋ยวนี้สุขุมขึ้น เรียบร้อยขึ้น เออหนอคนเรามีความรักมันก็ทำให้เปลี่ยนกันได้เนอะ" เหมยรำพึงและผมก็ยิ้มกว้าง


"ก็ดีแล้วไง แสดงว่าไปกันได้ด้วยดี...น่าดีใจกับปู" ผมบอกแต่เหมยทำตาขวาง


"ต้องบอกว่าน่าดีใจกับอีชูมากกว่าที่ได้ยอดหญิงอย่างยายปูไปเป็นแฟนนะ" เหมยค้าน


"แหมชูวิทย์มันก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกน่า เราก็เห็นมันมา นอกจากคะนองบ้า ๆ บอ ๆ เราว่าชูมันก็เป็นคนดีคนนึงนา ส่วนไอ้นิสัยแบบนั้น เราว่าก็คนเรามันมีพี่น้องผู้ชายตั้งห้าคน ก็คงชินแหละ" ผมออกความเห็น และคิดว่าผมไม่เคยรู้เรื่องครอบครัวของพี่โยเลยสักนิดแฮะ


"ที่บ้านของพี่โยเป็นยังไงหรอครับ?" ผมถามแกตรง ๆ ในวันหนึ่งและเล่าเรื่องครอบครัวแสนน่าเบื่อของตัวเองกลับ


"บ้านพี่ก็ไม่มีอะไร ก็คนชั้นกลางธรรมดา ๆ พ่อทำงานออฟฟิศแม่ก็ทำงานออฟฟิศ ตื่นมาก็ไปทำงาน เลิกงานก็กลับบ้านไปเจอกัน" แกว่าของแกอย่างนั้น


"พ่อของตุลก็เคยทำงานออฟฟิศนะ แต่ลาออกมาช่วยแม่ขายของแล้ว" ผมเล่าบ้าง


"มันก็ดีนะครับ ถ้าคนมีที่มีทำเล แต่บ้านพี่มันคนชั้นกลางแบบอยู่คอนโด ก็ต้องเป็นลูกจ้างเขาเรื่อยไป" 


"แล้วพี่โยมีแผนในชีวิตว่ายังไงบ้างหรอ?" ผมถามอีก เพราะดูแล้วแกชอบคุยเรื่องอะไรพวกนี้มากกว่า


"ก็คงทำงานเก็บประสบการณ์ เรียนให้จบโท แล้วก็คงทำบริษัทของตัวเอง" แกว่าของแก ซึ่งผมก็เห็นแววตาอันมุ่งมั่น และคิดว่าพี่โยน่าจะทำได้แน่ ๆ 


"พี่โยทำได้อยู่แล้ว ตุลดูโหงวเฮ้งก็รู้ แต่เออ ถ้าอยากให้ชัวร์ ลองให้เหมยดูดวงให้สิ เหมยดูดวงแม่นนะพี่" ผมบอกแต่แกก็ไม่ได้สนใจ แถมพูดกลับมาทำนองว่าแกเชื่อเรื่องผลของการกระทำมากกว่า


ซึ่งผมคิดว่าก็ดูเท่ห์ดี!!!


"แล้วเรื่องแฟนล่ะพี่?" ผมอดที่จะถามไม่ได้เพราะอย่างน้อยจะได้รู้ว่าแกมีความคิดเรื่องคู่ชีวิตอยู่ในแพลนชีวิตของแกบ้างมั๊ย


"บอกตรง ๆ พี่ไม่เคยคิดเลยว่ะ อยากให้ชีวิตตัวเองมั่นคงก่อนน่ะ" พี่โยพูดแล้วก็ทำหน้าเซ็ง ๆ ส่วนผมก็จะได้รู้สถานะและจะได้เผื่อใจของตัวเอง


"เป็นอันว่าจบ ไม่ต้องมโนอะไรอีกแล้วเนอะ" ยายเหมยบ่นและทำหน้าเซ็งเมื่อผมเอาเรื่องที่คุยกับพี่ตุลไปปรึกษาเจ้าหล่อน


ในเมื่อชีวิตดำเนินมาได้อย่างเรื่อย ๆ เช่นนี้ งานของผมก็ดำเนินไปได้ดีอย่างมั่นคง และเรื่องเรียนก็ผ่านมาได้ดีอย่างเรื่อย ๆ 


จนในที่สุดผมก็เรียนจบปริญญาตรีกับเขาสักที  


ผมออกจะภูมิใจในตัวเองชะมัด เพราะในอดีตที่ผมเรียนจบแค่ ปวส. และเอาแต่พร่ำบ่นกับตัวเองว่า เพราะต้องทำงานและดูแลแม่ที่ป่วย ผมจึงไม่มีโอกาสได้เรียนจนจบ 


แต่ตอนนี้ผมถือว่าภารกิจที่มันเป็นสิ่งที่ผมเอาแต่พร่ำบ่นกับตัวเอง ผมฝ่าฟันจนสำเร็จแล้ว และดูว่าพ่อกับแม่จะดีใจมากกว่าผมเสียอีก


แน่ล่ะเมื่อได้วุฒิใหม่ ผมก็เริ่มหางานใหม่ คอมฟอทโซนเรื่องงานของผมถูกพังทลาย เพราะประสบการณ์และวุฒิการศึกษา 


ร่อนหางานใหม่ได้ไม่นาน ก็ถูกสัมภาษณ์ และรับผมทำงานในตำแหน่งที่ผมคิดว่าผมชอบใจและฐานเงินเดือนก็ทำให้ผมคิดว่า ความอดทนที่ผมสู้ฝ่าฟันมามันเริ่มส่งผล


แต่งานใหม่นี้ทำให้ผมต้องเจอลูกค้ามากขึ้น และผมก็โดนยื่นข้อเสนอมาว่าให้ปรับบุคลิกเรื่องการแต่งตัว


จากที่เคยใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา ๆ หรือแม้แต่ในบางวันผมก็ใส่เสื้อโปโลไปทำงานก็ไม่มีใครว่า ตราบใดที่มันยังดูเรียบร้อย


แต่งานใหม่ของผม ดูท่าทางผมต้องใส่สูท และปรับการใช้ชีวิต


ซึ่งผมก็ออกจะชอบชีวิตใหม่แบบนี้อยู่นะ และดูเหมือนผมต้องพลิกการใช้ชีวิตแบบกลับขั้วทีเดียว


จากไอ้ตุลผู้วัน ๆ อยู่แต่ในรู เมื่อเลิกงานผมก็ยังไม่ได้กลับบ้าน แต่ต้องไปงานเลี้ยงกับหัวหน้า และคอยพินอบพิเทาเอาใจบรรดาลูกค้าที่เป็นบ่อเงินบ่อทองเหล่านี้


ผมลงทุนเช่นคอนโด ที่อยู่ใกล้กับที่ทำงาน เพราะแม้ว่าการไปกลับจากบ้านมาออฟฟิศ เป็นเรื่องไม่เหลือวิสัย แต่ผมก็เกรงใจที่พ่อต้องลงมาเปิดบ้านให้ตอนดึก ๆ และผมก็เหนื่อยเกินกว่าจะเดินทางไปมา


และในช่วงเวลานี้เองที่ผมกับพี่โยธิน ได้กลับมาโคจรเจอกันอีกครั้ง


ออกจะดีใจและพูดคุยทักทายกันอยู่เป็นนานสองนาน และผมมารู้ทีหลังว่าบริษัทของแกก็กำลังจะถูกหน่วยงานของผมจีบเพื่อจะให้มาเป็นลูกค้า


และผมว่าการที่ผมได้เข้าหาเจ้านายของพี่โยธินผ่านทางความสัมพันธ์เก่า มันก็ช่วยผมได้มาก


และดูความสัมพันธ์ของผมกับพี่โย ก็ชักจะเริ่มมีเค้าลาง


"ตุลแต่งตัวแปลกไป..." พี่โยมองผมที่แต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า


"ก็มันหน้าที่แหละพี่ แต่งตัวไม่ดีนายก็ด่า" ผมบอกไปตรง ๆ แต่แกก็มองผมอย่างที่ผมไม่อาจจะคาดเดาว่าแกคิดอะไร


แน่ล่ะว่าผมยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อรถยนต์มาใช้ แม้ว่าจะมีพ่อขายรถยนต์มือสองก็ตาม อาจเพราะพอทำงานในเมือง รถไฟฟ้ามีให้ใช้อย่างแสนสะดวก และผมก็ออกจะอ่อนใจที่ยามไปไหนกับใคร ก็มีปัญหาเรื่องที่จอดรถทุกที


"พี่ไปส่งตุลดีกว่าดึกแล้ว กินไวน์ไปด้วยไม่ใช่เหรอ?" พี่โยว่าและผมซึ่งในชีวิตไม่เคยคิดจะแตะสิ่งพวกนี้ แต่ในเมื่อมันเกี่ยวพันกับงาน ผมก็ไม่ถึงกับจำใจ 


อาจเพราะผมบอกตัวเองว่าในครั้งเก่าผมไม่เคยทำ เมื่อมีโอกาสอีกครั้งผมก็อยากจะลองอะไรใหม่ ๆ บ้าง อย่างเช่นการกินเหล้าอย่างนี้ไง


ผมมึน ๆ และบอกจุดหมาย และเมื่อสุดท้าย พี่โยมาส่ง ผมก็กล่าวขอบคุณและจะเดินกลับขึ้นห้องพัก


"พี่กลัวตุลเมาล้มเดี๋ยวพี่ไปส่งตุลที่ห้องดีกว่า" พี่โยพูดอย่างใจดี และประคองผมมาถึงห้อง 


ผมรู้ดีว่าผมไม่ได้เมาขนาดไม่รู้เรื่องอะไร หนักกว่านี้ผมก็เคยมาแล้ว ก็ยังลากตัวเองกลับมาห้องจนได้สิน่า


แต่ผมรู้สึกว่ากลิ่นน้ำหอมจากตัวของพี่โยมันช่างเย้ายวน และเมื่อมองหน้าพี่โยที่อยู่ห่างจากผมเพียงแค่เอื้อมมันก็ช่างหล่อเหลาเสียจนเกินจะห้ามใจ


"พี่โย" ผมเรียกแกและส่งสายตาเชิญชวน ถ้าไม่เมาขนาดนี้ให้ตายผมก็คงไม่กล้า


"ครับ?" พี่โยรับคำ และยิ้มให้


"ดึกแล้วนอนกับตุลก็ได้ ขับรถกลับดึก ๆ อันตราย" ผมบอกและทำทีเป็นถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่กางเกงชั้นใน อดคิดไม่ได้ว่ากูก็มีมารยาหญิงจากนิยายที่อ่านมาก็เอามาใช้ตอนนี้ล่ะวะ


ผมทิ้งตัวลงบนเตียง และพี่โยก็เดินมาหยุดมองร่างเกือบเปลือยของผม 


หัวใจของผมเต้นแรงจนเหมือนมีคนมาตีกลอง และหน้าของผมก็ร้อนผ่าว ไม่รู้เพราะฤทธิ์ความเมา หรือฤทธิ์ของความต้องการกันแน่


ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นใจ และผมก็ดูออกว่าพี่โยก็มองผมอย่างต้องการเหมือนกัน และเมื่อพี่โยทิ้งตัวลงนอนที่ข้าง ๆ ของเตียง ผมก็โผเข้าไปกอด และเราก็จูบกันอย่างแสนดูดดื่ม


แน่ล่ะลมหายใจของผมมันเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ แต่พี่โยก็มีนิดหน่อย และเมื่อผมถูกผลักจนนอนหงาย พี่โยก็หันมาปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก และทิ้งตัวลงจูบผมและลูบไล้ไปตามผิวกายจนผมต้องเอ่ยปากคราง


"พี่ขอมีอะไรกับตุลได้มั๊ย?" พี่โยเอ่ยขอและผมก็พยักหน้าอนุญาต


แน่ล่ะ มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของผม และผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำตัวอย่างไร 


ในคืนนั้นผมกับพี่โยก็มีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกกัน และนี่ก็ทำให้ผมรับรู้ว่า รสชาติของกามมันเป็นเช่นไร 


จะว่ามันรู้สึกดี ผมก็ต้องตอบว่าดีมาก แต่ผมก็อดถามตัวเองในใจไม่ได้ว่าทำไมลึก ๆ ผมกลับรู้สึกผิดเสียนักหนา


แน่นอนว่าครั้งนี้มันเป็นครั้งแรก และย่อมมีครั้งต่อ ๆ ไป ซึ่งผมก็รู้สึกดีที่ในทุก ๆ วันศุกร์ หรือวันเสาร์ เราจะมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน


อาจเพราะผมยังอยู่ในวัยหนุ่มและพี่โยก็ยังแข็งขัน บ่อยครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน เรื่องหลักของเราก็คือเรื่องการมีเซ็ก แทบจะเท่านั้น 


บังเอิญในวันหนึ่ง ที่เพื่อนรักส่งบัตรเชิญงานแต่งงานมาให้ แน่ล่ะว่าผมไม่มีทางพลาดงานนี้ ด้วยฐานะเพื่อนเจ้าสาว


พิธีแต่งงานของปูกับชูวิทย์ จัดขึ้นง่าย ๆ และเจ้าสาวก็สวยสะพรั่ง ส่วนเจ้าบ่าวก็หล่อและสุขุมขึ้น


"ดีใจด้วยนะปู ดีใจด้วยนะชูวิทย์" ผมเอ่ยปากและโผกอดเพื่อนรักทั้งสองคนทันทีเมื่อเจอหน้า และเพื่อนสมัยเรียนก็รวมตัวกันเกือบครบ 


ยิ่งในงานมีแต่เพื่อนเก่า ๆ และพวกเราก็อดจะนินทาไม่ได้ว่า ไอ้ชูวิทย์จะชิงแต่งงานเป็นคนแรกของรุ่น 


แน่ล่ะว่าตอนนี้ทุกคนอยู่ในวัยทำงาน ชูวิทย์มันอยู่กงสี  แม้จะแยกมาทำสาขาเล็ก ๆ สวนปูก็รับบทเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของร้าน (ตามที่เจ้าตัวยืนยัน) 


ผมก็เล่าถึงงานของตัวเอง และถามงานของเพื่อน ๆ ด้วย บางคนก็ได้งานที่ดี บางคนก็ยังได้งานที่ไม่ถูกใจ แต่ผมจะไม่ตัดสินใคร เพราะจากตัวเองในครั้งนั้นผมเลือกไม่ได้


"ตุลสบายดีมั๊ย ไม่เจอกันนานมาก ๆ" เสียงคุ้นเคยดังขึ้นและเมื่อผมหันกลับไปเจอก็ทำเอาผมถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน


"เห้ยประวิทย์ เป็นยังไงบ้าง เราสบายดี" ผมร้องทักทายเพื่อนผู้ชายคนสนิทคนแรกในชีวิต และมองมันอย่างทึ่ง ๆ 


ประวิทย์ที่เคยเป็นเด็กเนิร์ดสวมแว่นหนาเตอะ แต่มาบัดนี้ กลายเป็นหนุ่มและหล่อเสียด้วยสิ หล่อจนยายเหมยสะกิดผมทีเดียว


พูดคุยกับกลุ่มเพื่อนเก่า ๆ โดยเฉพาะประวิทย์ที่ถูกซักถามมากสักหน่อยเพราะห่างกันไปตั้งแต่ ปวช. และงานเลี้ยงก็ทำให้พวกเราได้เจอะเจอกันโดยเฉพาะเพื่อนเก่าทำให้ผมดีใจมาก ๆ 


"แล้วกลับยังไง เราเคยไปบ้านตุล แม่ตุลบอกว่าตุลไปเช่าคอนโดเพราะไม่สะดวกเดินทาง" ประวิทย์พูดเหมือนตัดพ้อ


"ก็อย่างที่แม่พูดแหละ" ผมว่าและดีใจที่ประวิทย์อาสาจะขับรถไปส่ง ซึ่งโชคดีที่ประวิทย์มีรถมา ผมก็เลยจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเหมยจะได้ให้ประวิทย์เลยไปส่งเหมยด้วยอีกคน


"วันนี้คิดถึงแม่ก็เลยอยากกลับมานอนค้างที่บ้านน่ะ" ผมบอกกับเหมย ขณะขึ้นรถ และในฐานะที่เป็นคนลงก่อนผมก็เลยขอนั่งข้างหลัง


เหมยก็ยังเป็นเหมยช่างคุยและชวนผมบ้างชวนประวิทย์บ้างคุยไปตลอดทาง แน่นอนว่าเจ้าสาวหมาด ๆ ต้องถูกนินทามากหน่อย 


"ขอบคุณมากนะประวิทย์ ไว้พรุ่งนี้มากินข้าวที่บ้านเราสิ พรุ่งนี้เราอยู่บ้าน" ผมเอ่ยปากชวนและไม่ลืมที่จะฝากฝังให้พาเหมยกลับบ้านให้ดี ๆ 


"แม่จ๋าพ่อจ๋าวันนี้ตุลกลับมาบ้านแล้ว" ผมตะโกนเมื่อแม่เดินหัวยุ่งมาเปิดประตูให้ และเมื่อเห็นหน้าผม แม่ก็ทำหน้าดีใจเสียเหลือเกิน


"ไม่บอกแม่ล่วงหน้าล่ะยะ จะได้เตรียมของอร่อย ๆ ไว้ให้กิน" แม่บ่นแต่ผมก็เดินไปโอบเอว และขำที่แม่เอาครีมอะไรมาโปะหน้าเสียขาวจ๋อง


"เคล็ดลับความงามอันเป็นอมตะย่ะ" แม่บ่นและไล่ผมให้รีบไปอาบน้ำนอน เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว


ผมกลับเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง และอดที่จะมองเตียงเล็ก ๆ ที่ผมนอนตอนนี้ ปลายเท้าของผมมันเกยที่ขอบเตียงเอาเสียแล้ว  และเมื่ออาบน้ำและทิ้งตัวลงนอน ผมก็อดจะมองภาพในห้องนอนของผมเสียไม่ได้


โดยเฉพาะบรรดาหนังสือประดามีที่ตั้งเรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือ 


ผมกะว่าจะเอาหนังสือไปอ่านที่คอนโดสักสองสามเล่ม จึงยืนเลือกแล้วเลือกอีก


ได้หนังสือกำลังภายในมาสองสามเล่ม และเมื่อเห็นก็อดจะเปิดอ่านสักนิดไม่ได้


ภาพจำผุดพรายถึงเพื่อนรักครั้งเมื่อเป็นเพื่อนคุยกันเรื่องนิยายกำลังภายในก็ฉายขึ้นมา ภาพครั้นเมื่อทุกเย็นประวิทย์มันจะมาช่วยผมขายกับข้าว และกินข้าวเย็นด้วยกัน หลังจากนั้นก็ช่วยผมทำการบ้าน


ผมอมยิ้มและคิดถึงอดีต และคิดว่ามันช่างเป็นความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์สดใสเสียจริง ๆ 


แต่ตอนนี้ผมใจแตกเสียแล้วและเผลอกายเผลอใจไปมีความสัมพันธ์กับพี่โยธินจนได้ 


แต่เมื่อหยิบหมอนข้างมากอดให้ถนัด แว่บหนึ่งผมก็แอบคิดว่าถ้าคนที่ผมมีความสัมพันธ์ด้วยไม่ใช่พี่โยธิน แต่เป็นประวิทย์ ความรู้สึกมันจะต่างกันมากน้อยขนาดไหน


ผมสลัดหน้าแรง ๆ และพยายามไล่ความคิดบ้า ๆ นั้นออกไปและหันไปสนใจกับหนังสือตรงหน้าต่อ 


แต่อ่านมาได้ไม่กี่หน้า ผมก็หาวออกมาและตัดสินใจจะนอนต่อท่าจะดีกว่า 


เมื่อปิดไฟและทิ้งตัวลงนอน กอดหมอนข้างแน่น ๆ ผมก็คิดถึงลีลารักของพี่โยธินขึ้นมาในทันที 


ถ้าวันนี้ผมไม่ได้กลับมาบ้าน ป่านนี้ผมกับพี่โยธินคงระเริงรักกันอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย 


แต่เพราะความง่วงงุนก็ทำให้ผมหลับไป และเผลอเพียงไม่นานผมก็ตื่นขึ้นมาเพราะความเคยชิน


จริงอยู่ผมอยู่คอนโดใกล้กับที่ทำงานแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องตื่นแต่เช้าแทบไม่ต่างกัน ทำธุระในยามเช้าให้เสร็จและจะได้กินข้าวเพื่อเตรียมเรี่ยวแรงสำหรับทำงานในแต่ละวัน


แต่วันนี้แม้ว่าผมจะตื่นสายได้ แต่ได้ยินเสียงกุกกักตึงตังจากข้างล่าง ผมก็คิดว่าลงไปช่วยแม่ทำของขายน่าจะดีกว่า


และเมื่อเดินลงมาแม่ก็บ่นว่าผมรีบลงมาทำไม ไม่นอนพักให้เยอะ ๆ 


"เดี๋ยวถ้าตุลง่วงตุลค่อยไปเอนหลัง อยากช่วยแม่ก่อน..ว่าแต่มีอะไรให้ตุลช่วยบ้างล่ะแม่" ผมบอกและเดินไปรับกะละมังที่บรรจุยอดตำลึงอวบ ๆ เสียเต็มกะละมังทีเดียว


"เด็ดไปแล้วกัน เดี๋ยวแม่จะได้ทำแกงจืดเอาไว้ขายแล้วก็เอาไว้กินเองด้วย" แม่ว่าและผมก็ขมีขมันในการเด็ดใบอ่อน ๆ อย่างตั้งใจถึงจะกองโตสักหน่อย แต่เอาล่ะไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ ทำไปคุยกับแม่ไป


และเมื่อพ่อเดินลงมาสมทบ ก็รับเอาหมูไปหั่น และผมก็ฟังสองผัวเมียเถียงกันหงุงหงิงอย่างแสนขบขัน


อยู่ช่วยแม่ทั้งวัน และผมก็แทบจะไม่อยากออกไปไหนเลย อ้อ ตอนเย็น ๆ ประวิทย์มันแวะมากินข้าวด้วยจริง ๆ ซึ่งแม่ก็บ่นว่าประวิทย์มาหาผมหลายทีแต่ไม่เจอ 


"ก็นี่ไงเจอกันแล้วไงล่ะแม่" ผมว่าและยื่นน้ำพริกอร่อย ๆ ให้ประวิทย์มันตักง่าย ๆ ประวิทย์ยังเป็นคนยิ้มง่ายและไม่ช่างคุยเหมือนเดิม  ถนัดแต่จะหัวเราะจนตาหยี ผมมองหน้ามันอย่างพินิจหลาย ๆ ที แต่สุดท้ายผมก็รู้สึกว่าผมคงคิดอะไรกับประวิทย์เกินกว่าคำว่าเพื่อนไม่ได้


"กลับบ้านดี ๆ นะ แล้ววันไหนเรากลับมาบ้านจะโทรศัพท์ไปบอกจะได้มากินข้าวเย็นด้วยกัน" ผมไม่ลืมที่จะบอกมันตอนเดินออกไปส่งมันที่หน้าบ้าน 


"มะไหร่จะมีแฟนล่ะเราเมื่อวานไปงานแต่งเพื่อนมาแล้ว" แม่ถามแต่ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้แม่ไป และผมคิดว่ามันคงอีกนานทีเดียว