อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน
โดย : Chavaroj
เป็นอีกหนึ่งวันที่ผมกลับมานอนค้างที่บ้าน การได้นอนดูทีวีกับพ่อแม่ การได้ตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่ไปจ่ายตลาด และขนของขึ้นรถตุ๊ก ๆ เพื่อกลับมาบ้านแล้วช่วยกันทำของเพื่อขาย
การยืนตักแกงใส่ถุง หรือใส่จาน แล้วยืนมองลูกค้าที่กินไปชื่นชมกับรสอาหารของแม่ไป เพราะมันแสนเอร็ดอร่อย
ทำให้ผมอดจะคิดว่าไอ้ทางที่ผมเดินอยู่ตอนนี้ จะกลับไปซ้ำรอยเดิมกับสมัยก่อนของผมอีกหรือเปล่า
แต่บางสิ่งบางอย่างก็ทำให้ผมชั่งใจ และเอาแต่ตระหนักคิด ครั้งแล้วครั้งเล่า
ตอนนี้ผมทำงานในบริษัทใหญ่โต และถือว่ามีหน้าที่การงานที่ดีอย่างที่ผมไม่เคยคิดว่าผมจะได้ทำงานดีอย่างนี้มาก่อน
งานของผมเจอผู้คนมากมาย และเป็นงานที่ต้องบริหารเสน่ห์ จากคนที่ไม่คิดว่าตัวเองจะมีสิ่งที่เรียกว่าเสน่ห์ในตัวเลย ในปัจจุบันผมใช้มันได้ดี หรือจะเรียกว่าดีจนเกินไปก็ได้
เพราะแม้ว่าผมจะมีพี่โย ที่จะมาหาผมบ่อย ๆ ในช่วงวันหยุดเพื่อใช้ชีวิตด้วยกันเยี่ยงผัวเมีย ซึ่งแน่นอนผมเก็บมันไว้เป็นความลับ เพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปโพนทะนาบอกใคร ๆ
พี่โยเป็นคนรูปหล่อ หน้าที่การงานดี และมีแววไปได้รุ่งโรจน์ในการงานของเขา ด้วยความเป็นคนมุ่งมั่น และเป็นคนเก่งชนิดหาตัวจับยาก ผมอดจะภูมิใจในตัวแฟนของผมคนนี้ชะมัด
แต่จะว่าไปจะเรียกพี่โยว่าแฟนก็ไม่ได้ เราคบกันแบบไม่ได้มีสถานะ ไม่ผูกมัดกัน ผมไม่กล้าถาม พี่โยก็ไม่เคยบอก ก็เลยกลายเป็นว่าเราอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ซ่อนเร้นอย่างนี้เรื่อยไปกระมัง
แต่ผมก็พอใจให้มันเป็นอย่างนั้น!!!
เพราะในวันเดือนปีปัจจุบันที่ผมอายุยี่สิบกว่า ๆ สังคมไทยยังไม่ได้พร้อมที่จะรับมือกับอะไรแบบนี้ และผมก็ชินกับมันเสียแล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า แม้ว่าผมจะกลับมาอยู่บ้าน ความคิดถึงคะนึงหาพี่โย ก็ไม่ได้มีมากมายชนิดที่ทำให้ผมว้าวุ่นใจ ตรงกันข้าม ความเฉย ๆ ต่างหากที่ทำให้ผมว้าวุ่นในบางที
ผมเคยคิดว่าถ้าไม่มีพี่โย ผมจะทุกข์ใจ หรือคิดถึงเขามากถึงขนาดไหน
และไอ้บททดสอบก็มาถึงในวันหนึ่งจนได้
"พี่จะไปเรียนต่อสักสองปี" พี่โยบอกผมในคืนวันหนึ่งหลังจากที่เรามีความสัมพันธ์กันแล้ว และผมก็ใจหาย จนพูดอะไรไม่ออก
แต่ผมก็ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะไปห้ามปรามหรือทำงอแงไม่อยากให้แกไปได้ หนึ่งเพราะผมกับพี่โยไม่ได้เป็นอะไรกันนอกไปจากคู่นอน
และสอง ผมรู้ว่าพี่โยมีเป้าหมายที่มุ่งมั่น และเขาก็จะตั้งใจทำมันให้ได้ หน้าที่ของผมคือ ยินดีและเป็นกำลังใจให้เขามากกว่า
และบทสนทนาหลังจากนี้ก็จะกลับกลายเป็นผมถามเรื่องเกี่ยวกับที่เรียนของแก และการเตรียมตัวของแกมากกว่าซึ่ง จากไอ้ที่ผมถามไปแสดงว่าแกเตรียมตัวมาดีมากแล้วจริง ๆ และผมคงไม่อยู่ในสมการของแกในช่วงนี้
ผมไปส่งพี่โยที่สนามบินในวันที่แกไปต่างประเทศ และนั่งรถกลับอย่างเหงา ๆ เอาแต่มองสองข้างทาง และเมื่อกลับมาถึงห้องพัก ผมก็นอนกอดหมอนข้างที่มันมีกลิ่นตัวของพี่โยแฝงอยู่ มันก็บอกไม่ถูกว่ากลิ่นกายของเขา มันเป็นกลิ่นของเหงื่อไคล กลิ่นสบู่ หรือกลิ่นน้ำหอมราคาแสนแพงที่พี่โยใช้อยู่เป็นประจำที่มันยังติดตรึงตรงที่ซึ่งเขาเคยทิ้งตัวนอน...ข้างกายผม แต่วันหนึ่งสินะ กลิ่นพวกนี้จะจางหายไป
อดจะคิดถึงและใจหายชะมัด แต่ชีวิตของผมก็ต้องดำเนินต่อไป อีกอย่างผมก็คิดว่าอย่างน้อย ก็ยังดีล่ะน่าที่ผมได้รู้แล้วว่าเวลาคนเรามันมีความสุขจากการมีอะไรกันมันฟินขนาดไหน
ก็ชีวิตในอดีตของผมตั้งแต่เกิดจนแก่ ไม่เคยมีผู้ชายตกถึงท้องสักคนเลยหนิ
ผมกลับมาตั้งใจทำงาน และดูเหมือน บททดสอบก็มาหาผมอยู่เรื่อย ๆ ในรูปของคนมากหน้าหลายตาที่เข้ามาทำทีสนใจผม
จริงอยู่ตอนนี้ผมผอมและหุ่นดีพอใช้ถึงจะไม่ได้มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ แต่ยามสวมใส่เสื้อผ้าราคาแสนแพงก็ทำให้ผม "ดูดี" จนมีแต่คนหันมอง อันเนื่องจากหน้าที่การงานของผมซึ่งทำให้ผมต้องทำตัวอย่างนั้น
และนั่นก็ทำให้คนที่มาขายขนมจีบกับผมเริ่มดาหน้าเข้ามาแต่คนที่เข้ามาหาบ่อยที่สุด และดูจะรุกเร้า กับผมมากกว่าใครก็คือ คุณปกรณ์
เนื่องจากคุณปกรณ์ แกเรียนจบจากเมืองนอก และแกก็ไม่ได้รู้สึกแคร์ใครที่จะมองว่าแกเป็นเกย์หรือเป็นอะไร แถมแกยังดูหล่อสุด ๆ และสมาร์ตมาก ๆ และทำงานเก่ง แต่ที่สำคัญ คุณปกรณ์เป็นเพลย์บอย ที่มีชื่อเสียง
เรียกว่าใครหน้าตาดีหน่อย ก็โดนคุณปกรณ์คนนี้จีบทั้งนั้นแหละ และผมก็ติดร่างแหเข้าไปด้วย
ความเช้าถึงเย็นถึง เพราะแม้เราจะทำงานคนละบริษัท แต่ตึกสำนักงานของเราใช้ตึกเดียวกัน ก็เลยได้เจอกันโดยบังเอิญบ่อย ๆ และคุณปกรณ์ก็เข้ามาชวนผมคุยเอาตรง ๆ เลยทีเดียว
แรก ๆ ผมก็นึกดีใจ และภูมิใจอยู่เหมือนกันนะที่มีคนที่ดูดีมาก ๆ มาจีบขนาดนี้ และยามที่เราสองคนเดินไปกินข้าวด้วยกัน ก็มีแต่สายตาที่บอกได้เลยว่าทุกคนอิจฉาผม
ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ และมันก็เป็นสายตาที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
คุณปกรณ์เป็นคนเก่งและคุยสนุกตามประสาคนเจ้าชู้ ดูเหมือนเขาพูดอะไรก็ทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะและสนุกได้ทั้งนั้น ตรงนี้ต่างหากล่ะมั้งที่ผมชอบในตัวเขา
ว่ากันว่าคนเราเวลาสนิทกับใครเราจะดึงดูดเอาตัวตนของเขามาด้วย
และผมก็อดที่จะดึงดูวิธีพูด และการวางตัวของคุณปกรณ์ มาไว้กับตัวได้มากอยู่ทีเดียว
"ตุลชอบคนอย่างอีตานั่นหรอ?" เหมยที่บังเอิญผ่านมาแถว ๆ ที่ผมทำงาน เลยได้แวะมาทักทายและกินข้าวด้วยกันทักผม เมื่อเห็นผมเดินหัวเราะระริกระรี้มากับคุณปกรณ์
"เขาก็เป็นคนสนุกดีนะ" ผมบอกออกไปอย่างที่ใจคิด แต่เหมยส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
"แล้วเหมยคิดว่าเขาเป็นยังไงล่ะ" ผมไม่วายจะถามกลับ
"เราว่ากะล่อน เจ้าชู้ และอันตราย" เหมยตอบและจ้องหน้าผมราวกับแม่ที่จับได้ว่าลูกแอบทำผิด
"เราก็ไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย เราว่าเขาตลกดีคล้าย ๆ ใครสักคนอ้อ คล้าย ๆ ชูวิทย์ไง" ผมตอบอย่างให้เห็นเป็นตลกแต่เหมยก็ไม่ได้ตลกด้วย
"ชูวิทย์มันตลกแบบบ้า ๆ บอ ๆ ไม่คิดร้ายอะไรกับใคร หรือจะเอาเปรียบใคร แต่อีตานี่เหมยดูแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ ตุลก็อย่าเชื่อเหมยมากเลย เหมยก็ตาหาเรื่องไปอย่างนั้นแหละ" เหมยบอกเมื่อเห็นผมหน้าม่อย
"เราเชื่อเหมย เหมยออกจะตาแหลม" ผมบอกและยิ้มกว้าง จนเหมยต้องยิ้มตอบกลับมา
"ว่าแต่เรื่องชูวิทย์นี่ยังรักกันดีกับปูใช่ไหม?" ผมเอ่ยปากถามเพราะไม่ค่อยได้ติดตามเรื่องของเพื่อน ๆ เลยเพราะวัน ๆ ทำแต่งาน
"ก็รักกันดี อีชูมันปากดีบอกมันพยายามรีบปั๊มลูก มันว่าม๊าจะได้อุ้มหลานแล้วจะได้ยกมรดกให้มันมาก ๆ หน่อยดูปากมันสิ" เหมยพูดแล้วก็หัวเราะกิ๊ก
"แล้วประวิทย์ล่ะ?" ผมเอ่ยปากถาม และเหมยก็ไม่ได้พูดอะไร ผมเพิ่งแอบรู้จากประวิทย์นี่แหละ เมื่อครั้งล่าสุดที่ผมกลับบ้าน แล้วประวิทย์มันมากินข้าวด้วยแล้วมาปรึกษากับผม
"กูว่ากูชอบเหมยว่ะ" ประวิทย์พูดและหน้าแดงแจ๊ด แต่ลองคนตรง ๆ อย่างนี้พูดก็แสดงว่าคิดมาแล้ว
"ชอบก็จีบดิวะ" ผมบอกเพื่อนเก่าและรับปากว่าจะเชียร์มันด้วย
"แต่เราจีบไม่เป็น แถมเหมยก็ชอบพูดดักทาง คุยกันทีไรเราไปต่อไม่เป็นสักที" ประวิทย์พูดอย่างอ่อนใจ ส่วนผมก็เข้าใจเพื่อนทั้งสอง
"ประวิทย์มันมาบอกตุลว่ามันชอบเหมยจะจีบเหมย ถ้าเหมยคิดว่ามันดีก็เปิดโอกาสให้มันหน่อยก็แล้วกัน แต่จะให้ดี เราว่าเหมยจีบมันไปเลยดีกว่า รถด่วนขบวนสุดท้ายแล้วนะ" ผมว่าแล้วเหมยก็ขมวดคิ้ว
"คนดีอย่างประวิทย์หาไม่ได้อีกแล้วนา" ผมไม่วายจะหยอดอีก แต่เหมยก็ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องและกลับมาหัวข้อของคุณปกรณ์แทน
"ตุลก็ระวังอีตาปกรณ์นี่ก็แล้วกัน เราเตือนเพราะตุลเป็นเพื่อนเรา" เหมยจบท้าย และเราก็ไม่เคยถึงเรื่องผู้ชายอีกทั้งประวิทย์และคุณปกรณ์ น่าปวดหัวดีแท้ ๆ
ผมกลับมาทำงานและอดจะรู้สึกว่าชีวิตของผมมันวนลูปคล้าย ๆ กับสมัยก่อน
แม้ว่าในตอนนี้ผมจะได้เงินเดือนที่ดีมาก ๆ มีคนนับหน้าถือตาและชื่นชมมาก ๆ แต่ผมกลับรู้สึกโหวง ๆ ในใจอย่างไรก็บอกไม่ถูก มันก็ไม่ถึงกับทุกข์ใจแบบเมื่อก่อน แต่มันก็ไม่ได้มีความสุขอย่างที่ผมคิดอยากจะเป็น
แต่ไอ้ความคิดแบบนี้มันวนเวียนเข้ามาได้เพียงครู่ยามแล้วมันก็จากไป เพราะผมต้องเอายิ้มเข้ามาประดับใบหน้าและฉีกยิ้มพูดคุยกับลูกค้าอีกแล้ว
และเมื่อกลับมาถึงห้องพักที่คอนโด ผมรีบอาบน้ำแล้วก็ขึ้นเตียง หัวถึงหมอนผมก็หลับไปแทบจะในทันที แม้ว่าผมจะมองหนังสือสามสี่เล่มที่ผมขนมาเพื่อจะเอามาอ่านเล่น แต่ผมกลับไม่ได้แตะมันเลยสักที
และวันที่เหมยเอ่ยปากเตือนมันก็มาทำให้ผมตระหนักได้ถึงความตาแหลมของเพื่อน วันนั้นผมงานยุ่งเลยเลิกงานผิดเวลา และเมื่อจะเดินออกมาผมก็เห็นคุณปกรณ์เดินก้อร่อก้อติกกับหนุ่มน้อยที่ดูจะเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ คนหนึ่ง
ผมพยายามแอบมอง และสอดส่องพฤติกรรม จนเห็นเขานั่งรถไปด้วยกันนั่นเชียว
แน่ล่ะคุณปกรณ์มักเอ่ยปากชวนผมไปเที่ยวด้วยกันหลังจากเลิกงานบ่อย ๆ แต่ผมก็ปฏิเสธไปเสียทุกครั้ง ไม่ใช่ว่าผมเล่นตัว แต่เพราะผมไม่สะดวกที่จะไปจริง ๆ
พอเห็นคนที่เราแอบปลื้มไปกับคนอื่น และเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองคนจะไปจบกันที่ไหน ผมก็อดจะดิ่ง ๆ ในหัวใจนิด ๆ แต่เมื่อผมกลับถึงคอนโด ผมเลือกที่จะไม่เก็บสิ่งที่ผมเห็นไว้เพียงลำพัง
"เหมยเรามีเรื่องจะเม้าเว้ย" ผมโทรศัพท์หาเหมยและเล่าเรื่องที่เจอให้เพื่อนรักฟัง
"นั่นไงเล่าไม่ผิดจากที่เราว่าเลยเห็นมั๊ยล่ะ" เหมยกรอกเสียงกลับมาอย่างสะใจ และเราก็นินทาอีตาปกรณ์นั่นเสียไม่มีชิ้นดี
"ตุลเราปรึกษาอะไรตุลหน่อยสิ" เหมยเสียงอ่อน จนผมชักจะสนใจ
"เออว่ามาสิ รับรองไม่บอกใคร" ผมพูดอย่างหนักแน่น
"เรื่องประวิทย์น่ะ พรุ่งนี้มันจะมารับเราไปกินข้าว" เหมยว่าและผมก็ยิ้มกว้าง
"ก็ไปสิ เลือกได้หรือยังว่าจะไปกินร้านไหน ไปร้านโรแมนติก ๆ หน่อยนะ เราขอแนะนำให้เหมยเลือกร้านเอง ถ้าไปกับประวิทย์ เราเดาว่าไอ้หมอนี่พาเหมยไปกินข้าวภัตตาคารจีนแน่ ๆ" ผมบอกไปและเหมยก็หัวเราะกิ๊ก
"สมแล้วที่เป็นเพื่อนกัน ตอนแรกประวิทย์มันจะชวนเราไปกินข้าวที่ภัตตาคารจีนจริง ๆ ด้วยว่ะ แต่เราเลือกร้านอาหารอิตาเลี่ยนแถว ๆ ออฟฟิศเรา" เหมยว่าและผมก็อดดีใจกับการเดทของเพื่อนทั้งสองคนไม่ได้
พูดคุยกันอยู่อีกครู่ใหญ่ และผมก็วางสายไป กลับมามองตัวเองและเตียงนอนที่ว่างเปล่า ผมก็รู้สึกเหงาอย่างจับจิตจับใจขึ้นมา
ผมเองก็บรรยายความรู้สึกในใจไม่ออกระหว่างดีใจกับเพื่อน หรือเสียใจที่ประวิทย์ไปชอบเหมย แต่น่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า
"ถ้าเราชอบประวิทย์จริง ๆ ทั้งเราทั้งประวิทย์ ก็คงไม่ได้เป็นเพื่อนกันมานานขนาดนี้หรอก" ผมบอกกับตัวเองในกระจกและถอดเสื้อผ้าเพื่อไปอาบน้ำ
อาจเพราะความเหงา หรืออะไรก็ไม่รู้ล่ะ ผมอาจจะคิดถึงอ้อมกอด การสัมผัส และรสรักของพี่โยขึ้นมา หรือผมอาจจะแค่มีความต้องการตามธรรมชาติ
สายน้ำอุ่น ๆ ที่ไหลผ่านตัว ทำให้ผมรู้สึกคึกคัก และมือของผมที่ลูบไล้ไปตามเนื้อตัวลื่น ๆ จากสบู่หอมกลิ่นโปรด ผมเลื่อนมือจนมาถึงอวัยวะสำคัญที่มันเกิดตื่นตัวขึ้นมาเมื่อได้รับการสัมผัส
ผมใช้มือกำมันเบา ๆ และรูดรั้งมันช้า ๆ แต่ผมก็ไม่ยักจะคิดถึงใบหน้าของพี่โย หรือของใคร ๆ แต่สุดท้ายมันก็เสร็จ จนทำให้ผมยืนหอบเหนื่อยและต้องหายใจเข้าปอดอย่างลึก ๆ
และเมื่อเข้านอน ผมก็กลับนอนไม่หลับ และคิดเรื่องอะไรตีกันในหัวให้วุ่นวาย
เรื่องพี่โย ที่ป่านนี้ไปเรียนถึงไหนแล้ว แล้วจะไปมีคนรักใหม่หรือยัง หรือถ้ากลับมาเขาจะยังอยากคบกับผมอยู่อีกไหม หรือเรื่องของคุณปกรณ์ที่ทำกับผมเสียเจ็บแสบ โชคดีที่ผมไม่เผลอตัวเผลอใจไปกับเขา และออกจะระอากับความเจ้าชู้
หรือเรื่องของประวิทย์ ที่ถ้าได้เป็นแฟนกับเหมยจริง ๆ ผมว่าคงเป็นคู่ที่น่ารักดี อ้อ เรื่องของชูวิทย์อีก ถ้ามีลูกกับเขาจริง ๆ สักคน ผมว่าผมต้องมีหลานที่น่ารักมากแน่ ๆ เพราะพ่อก็หล่อแม่ก็สวย แต่ภาวนาขอให้พระเจ้าเอาด้านดี ๆ ของพ่อแม่มาลงกับเจ้าหลานที่จะเกิดมาก็แล้วกัน
ขอให้หลานของผมเรียนเก่ง หน้าตาดีเหมือนชูวิทย์และนิสัยน่ารักเหมือนปู
ผมคิดอะไรของผมไปเรื่อย แต่สุดท้าย คนที่ผมจะคิดกลับเป็นเรื่องของตัวผมเอง
ผมพยายามคิดถึงเรื่องเก่า ๆ และเอามาเทียบกับชีวิตในปัจจุบัน แน่ล่ะอดีตที่ผ่านมาผมแก้ไขปัญหามันได้แล้ว แต่ตอนนี้ ณ ปัจจุบัน ผมไม่เคยเจอเส้นทางแบบนี้มาก่อน
แต่ผมคิดว่ามันมีร่องรอยการซ้ำเหมือนกับชาติที่แล้วของผมอย่างไรก็ไม่รู้ ผมรู้สึกติดกับดัก และวนเวียนไม่มีทางออก
และสิ่งที่ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ ว่า "ความสุข" ของผมมันคืออะไร
ถ้าตอบว่าเรื่องงาน ผมก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะผมรู้สึกว่างานได้ดูดกลืนพลังชีวิตของผมไปมากเหลือเกิน และดูเหมือนนอกจากเรื่องงาน ผมแทบไม่มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นอีกเลย
อย่างอื่นที่เป็นความสุขในวัยเยาว์ ความสุขที่ผมมีด้วยตัวเองเรื่อยมา อย่างเช่นการอ่านหนังสือ และการได้อยู่กับครอบครัวที่ผมลงทุนลงแรงจนผมรักษาครอบครัวของผมไว้ได้นั่นไง
และดูเหมือนเงินเดือนที่ผมได้มามากมายนั้น ยิ่งผมได้เยอะ ผมกลับเอามันไปละลายกับของอะไรก็ไม่รู้ที่ผมนั่งมองแล้วก็รู้สึกว่ามันแสนไร้สาระ และถ้าผมตายไปผมก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
กระเป๋าแบรนด์เนมที่ยามถือมันก็ดูเท่ไม่หยอก แต่ผมเหมือนเป็นทาสของมัน จะถือแต่ละทีก็ต้องคอยระวัง แม้แต่ฝนตกผมก็ต้องยืนรอจนกว่าฝนจะหายเพราะกลัวว่าน้ำฝนจะทำให้กระเป๋าเสีย
หรือเสื้อผ้าเครื่องประดับ ราคาแพงลิบลิ่วนั่นอีก จะซักเองก็ไม่ได้ ต้องส่งร้านซักรีด จนผมนึกถึงที่ทำงานเก่าที่ผมสวมเพียงเสื้อโปโลสีพื้นกับกางเกงผ้าสีสุภาพธรรมดา ๆ ผมก็ทำงานได้แล้ว
และความสุขที่จะเยียวยาผมได้ในแต่ละอาทิตย์ก็คือการได้กลับมานอนค้างที่บ้านพ่อแม่ และเมื่อวานผมโดนละอองฝนนิดหน่อย รวมถึงต้องไปออกอีเว้นท์ที่ต้องเจอฝุ่นหนัก ๆ
และการกลับมาบ้านของผมในวันนี้ก็มาเพื่อมาเป็นภาระให้พ่อกับแม่โดยแท้ทีเดียว
ผมแสบจมูก และมีน้ำมูกไหล พ่อต้องไปซื้อยาให้และปล่อยให้ผมนอนอยู่บนโซฟาหลังบ้าน โดยมีแม่คอยบ่นต่าง ๆ นานาและคอยเช็ดเนื้อตัวให้เพราะเริ่มมีไข้ทีละน้อย
"ไปทำยังไงล่ะยะ ไม่รักษาสุขภาพเลย นี่ยังดีมาป่วยที่บ้าน ไม่อย่างนั้นเกิดอยู่คอนโดนอนหมดแรงคนเดียวจะมีใครหาข้าวหาน้ำให้กินกันน๊อ" แม่บ่นแล้วก็คดข้าวต้มร้อน ๆ เหยาะซอสปรุงรส เอามาตั้งวางตรงหน้า และผมก็ค่อย ๆ ตักกินมันและแสนรู้สึกอุ่นใจ
แน่ล่ะ พ่อกับแม่บ่น แต่ก็บ่นเพราะห่วงผม เดินผ่านผมทีไร ไม่มือของใครก็ต้องมาแตะที่หน้าผาก ของผมตอนเดินผ่านทุกที
จนถึงเย็นวันอาทิตย์ ผมก็พอจะมีอาการดีขึ้นนิดหน่อย แต่เวลาพูดจะไอนิด ๆ แถมเวลาพูดก็เสียบแหบพร่า
"หยุดงานสักวันเถอะ ไปก็ไม่ได้พักผ่อน" พ่อบ่นและเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาแปะที่หน้าผากของผม
"ไม่ได้หรอกพ่อ งานรอตุลอยู่เยอะแยะเลย ถ้าตุลไม่ไปคนอื่นก็ต้องโหลดงานแทนตุล" ผมบอกและเช้ามืดวันจันทร์ผมก็ยังดื้อไปทำงานจนได้
อุตส่าห์ใส่สูทแต่แอร์ในออฟฟิศก็เย็นชะมัด และยามว่างผมก็ขอสมัครที่จะงีบที่โต๊ะทำงาน และทั้งวันเพื่อไม่ให้เป็นภาระคนอื่นผมก็ต้องสวมแมสตลอดเวลา
และเมื่อเลิกงานผมก็ซมซานกลับบ้าน และแม้จะเหนียวตัวแทบแย่แต่ผมก็หมดแรงละทิ้งตัวหลับไปทั้งเสื้อผ้าแบบนั้น
และนั่นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผมหมดความอดทน
ผมหางานใหม่ ซึ่งขอเลือกทำเลที่ตั้งให้อยู่ใกล้ ๆ บ้าน และด้วยเวลาไม่นาน ผมก็ได้งานใหม่สมใจ แม้จะเป็นออฟฟิศเก่า แต่ดูจากเพื่อนร่วมงานก็ดูมีความสุขทุกคน และใกล้บ้านอย่างที่ผมตั้งใจ
เงินเดือนแม้จะไม่ได้มากเท่าที่นี่ แต่ผมหักลบจากการเดินทางแล้วก็คิดว่าผมยังมีเงินเหลือ แน่สิ อยู่บ้านตัวเองไม่ต้องเสียค่าเช่าเดือนหนึ่ง ๆ ตั้งหลายพันประหยัดไปได้เยอะ
ออฟฟิศแห่งนั้นมีชุดฟอร์มให้ใส่ด้วย ก็คือเสื้อโปโลของบริษัท และเสื้อผ้าแบรนด์เนม กระเป๋า เครื่องประดับอะไรพวกนั้นผมก็คงไม่ได้ใช้อีกแล้ว
ผมก็เลยเอามาเลหลังขายเพื่อน ๆ ในออฟฟิศราคาไม่แพง กระเป๋าหมดเป็นอย่างแรก และเครื่องประดับเป็นอย่างที่สอง ส่วนเสื้อนั้นขายถูก ๆ บ้าง แจกบ้าง จนหมดและผมก็บอกเลิกสัญญาเช่าห้อง และทยอยเก็บของกลับไปอยู่บ้าน
แน่ล่ะว่าพ่อกับแม่ดีใจอย่างออกนอกหน้า และผมเองก็รู้สึกว่าความสุขของผมมันเริ่มกลับมาแล้วจริง ๆ
งานใหม่ของผมก็ถือว่าเรื่อย ๆ แม้มันจะไม่ได้มีความท้าทาย แต่ผมก็คิดว่า ไอ้ความเรื่อย ๆ แบบนี้มันก็เป็นความปลอดภัยดีเหมือนกัน
เพื่อนร่วมงานของผมก็ถือว่านิสัยดีทุกคน และทุกคนก็ทำงานที่นี่กันมานานจนคิดว่าเขาคงไม่คิดจะไปทำงานที่อื่นกันแน่ ๆ แล้ว
"พี่ทำงานมาตั้งแต่เฮียเพิ่งเปิดบริษัทใหม่ ๆ โน่นแน่ะ สมัยโน้นเฮียลงทุนไปขายของเป็นเซลล์เองเลยนะ โน้น...ปุเลง ๆ เอาของไปขายตามต่างจังหวัด ขึ้นเหนือล่องใต้ไปกับเฮียสันทัดโน่น" พี่แผนกผมนินทาเจ้าของบริษัท ซึ่งผมเห็นหน้าแกแล้วก็ออกจะชอบเพราะแกดูใจดีชะมัด
"แต่เห็นว่าเฮียเขาจะรามือ จะให้ลูกชายมาทำงานแทนแล้ว" พี่อีกคนบอกและผมก็ตั้งใจฟัง
"เฮียต้นลูกชายคนโตไง หล่อนะยะ ขนาดเฮียแก่แล้วยังมีเค้าหล่อเลย คุณต้นนี่ไม่ต้องห่วงหล่ออย่างกะพระเอกหนังจีน" เสียงชื่นชมดังมาแต่ผมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
จนถึงช่วงพักเที่ยงนั่นแหละที่พวกเราจะมานั่งกินข้าวด้วยกันที่ชั้นล่างของบริษัท
ผมขนกับข้าวใส่ปิ่นโตมากินด้วย ก็ถ้าพูดตรง ๆ แถวนี้มันไม่ค่อยมีอะไรขาย และกับข้าวของแม่ก็แสนจะอร่อย
แน่ล่ะ พนักงานใหม่ที่ทุกเที่ยงขนกับข้าวมากินมากมายใคร ๆ ก็อยากรุมล้อม และผมก็เป็นที่ชอบพอของพี่ ๆ ในบริษัทไปโดยไม่รู้ตัว บางทีก็แอบเผลอคิดถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ ที่ห่อกับข้าวไปโรงเรียน แล้วก็มีเหมย ปู กับตาชูวิทย์ มาห้อมล้อมขอแบ่งกับข้าวของผมกินด้วย
และเมื่อเลิกงาน ผมก็รีบกลับบ้าน เพื่อไปช่วยพ่อกับแม่ขายของ พอหัวค่ำคนซาหน่อยก็ช่วยกันเก็บร้าน ถ้าว่างผมก็กระโดดเชือกเพื่อออกกำลังกาย
และก่อนนอนผมก็ไปนอนดูหนังกับพ่อแม่ ตอนนี้เป็นยุคของวิดีโอ และก็ให้โชคดีที่ร้านวิดีโอเช่าอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรา เขาจะรู้ไหมนะว่าไอ้วิดีโอนี้มันจะอยู่ได้ไม่กี่ปีก็จะถูกแทนที่ด้วยแผ่นซีดี และท้ายที่สุดจะถูกแทนที่ด้วยสตรีมิ่ง
แต่ตอนนี้วิดีโอคือความสุขของคนทั่วไป และหนังจีนเป็นชุด ๆ ก็คือความสุขขอบครอบครัวของผมในตอนนี้
"วันนี้พ่อเช่าเรื่องดาบมังกรหยกมาสองม้วน" พ่ออวดและพวกเราก็รีบอาบน้ำและขึ้นไปนอนเขลงกันบนเตียง โดยมีละครเรื่องดาบมังกรหยกให้พวกเราได้ดูกัน
ดูวิดีโอแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน ไม่มีโฆษณามากวนใจ และบ้านเราก็ตกลงกันว่าจะเช่ามาดูอย่างมากวันละสองม้วน ไม่อย่างนั้นจะนอนดึกเกินไป
ผมอดคิดถึงตัวเองตอนติดซีรีส์เกาหลี และตะบันดูตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนถึงตีสาม
ดูวิดีโอจบ พวกเราก็แยกย้ายกันไปเข้านอน เพื่อที่ตอนเช้า ๆ จะได้มีแรงตื่นมาทำงาน และก่อนจะออกไปทำงานผมมองดูกับข้าวที่วันนี้มีแต่ของอร่อย ๆ และล้วนแต่เป็นของโปรดของผมทั้งนั้น
ผมยืนมองกับข้าวในถาดและในหม้อ จนตัดสินใจตักใส่ปิ่นโต พร้อมกับห่อข้าวใสกล่องแยกอีกกล่องโต ๆ เพราะพี่ ๆ ที่ออฟฟิศรวมเงินกันหุ้นเพื่อนจ่ายค่ากับข้าวให้ผมเพื่อทุกคนจะได้กินข้าวด้วยกัน และเขาคงเกรงใจ
"พอมาช่วยกันออกเงินจะได้กินข้าวได้สะดวกใจหน่อย" พี่คนหนึ่งบอกและผมก็เห็นดีกับเขาด้วย
และผมก็คิดว่าวันนี้ดูแล้วมันเป็นวันที่แสนดี และพ่อก็เอ่ยปากจะมาส่งผมที่ทำงานเพราะแม่ฝากพ่อให้ไปซื้อของเพิ่มที่ตลาดด้วย ผมก็สบายใจ
แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าวันนี้มันจะเป็นอีกวันที่เปลี่ยนโชคชะตาของผมอีกแล้ว...