อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ - 9 กองทัพเดินด้วยท้อง โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน

สารบัญ

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-1 คนขี้แพ้,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-2 เวอร์ชันใหม่,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-3 วัยรุ่นวัยเรียน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-4 เพื่อนชาย,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-5 ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-6 แผนสอง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-7 วัยทำงาน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-8 กลับมาหาความสุข,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-9 กองทัพเดินด้วยท้อง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-10 พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-11 เอาไงดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-12 ความสุขของผม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-13 ดีใจ...ใจดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-14 เปรียบเทียบ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-15 คนไม่สำคัญ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-16 อุ่นใจ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-17 สนิท,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-18 คนพิเศษ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-19 ขอจันทร์

เนื้อหา

9 กองทัพเดินด้วยท้อง

โดย : Chavaroj




ผมมาทำงานแต่เช้าเช่นเคย โดยมีพ่อใจดีขับรถมาส่งให้ และลงมาพร้อมกับปิ่นโตเถาใหญ่ แถมยังพวกกับข้าวถุงเล็กถุงน้อยอีกหลายถุง


เพราะพี่ ๆ แผนกอื่นที่พอรู้ว่าพี่ ๆ ในแผนกฝากผมซื้อกับข้าว คนอื่น ๆ ก็เลยฝากซื้อบ้าง จนสุดท้ายก็เอาเป็นว่าผมตักมาอย่างละสองสามถุง ใครใคร่ซื้อก็ซื้อ ถ้าขายไม่หมดจริง ๆ ก็เอามากินด้วยกันเสียเลย


"ตุลวันนี้ลูกชายเฮียเขาจะมาทำงานวันแรกแหละ" เสียงกระซิบกระซาบบอกผมและผมก็ยิ้มอย่างยินดีไปให้ ก็จะได้เจ้านายใหม่ที่เรียนจบจากเมืองนอกเมืองนาเชียวนะ 


"แต่เฮียต้นแกใจดี ตอนเด็ก ๆ ไปกับป๊าไปช่วยขายของโอ๊ยขยัน ไม่ถือตัว ไม่มาคิดว่าฉันเป็นลูกเจ้าของบริษัทเลย กินข้าวยังมานั่งกินล้อมวงกินข้าวกับพวกพี่เลย" คนรายงานยังคงพูดต่อ


"เอ่อ แล้วอย่างนี้เที่ยงนี้เขาจะมากินด้วยกับเราหรือเปล่าน่ะพี่?" ผมอดถามไม่ได้ ก็กับข้าวที่ผมตักมามีแต่กับข้าวธรรมดา ๆ 


"ไม่หรอกมั้ง เห็นว่ามาดูงานที่บริษัท แล้วสาย ๆ จะไปดูงานที่โรงงานต่อน่ะ" เมื่อเขารายงานอย่างนั้นผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก 


"เฮียเขาโชคดี มีลูกชายสามคนเก่ง ๆ ทั้งนั้น เฮียต้นที่จะมาเนี่ย ก็จบบริหารธุรกิจ ก็จะมาคุมบริษัท ส่วนลูกชายคนรอง ก็จบวิศวะ จะไปบริหารโรงงาน ส่วนคนที่สามใกล้จบแล้ว ก็คงมาช่วยกิจการที่บ้านอีกเหมือนกัน" เสียงผู้รู้วิเคราะห์ และผมก็นิ่งฟังเงียบ ๆ 


ได้เวลาเข้างานแล้ว และพวกผมก็กรูกันไปนั่งที่โต๊ะทำงาน จนได้เวลาก็เห็นคนเดินฮือกันมา โดยมีพี่นุ้ยหัวหน้าฝ่ายบุคคลพาผู้ชายคนหนึ่งมาแนะนำพวกเราในแผนก 


"สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้พี่พาคุณต้นมาแนะนำตัวให้พวกเรารู้จักกันนะคะ คนเก่า ๆ ก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว ส่วนคนใหม่ ๆ พี่ก็ขอแนะนำตัวซะเลย นี่คือคุณต้น จะมารับตำแหน่งซีอีโอ คอยดูแลพวกเราค่ะ" พี่นุ้ยพูดอย่างใจดีและพวกเราก็ยืนเพื่อต้อนรับ


แต่ดูแล้วเขาแก่กว่าผมแน่ ๆ น่าจะราว ๆ สามสิบเห็นจะได้ ผมก็เลยยกมือไหว้สวย ๆ เพื่อฝากเนื้อฝากตัว เผื่อโบนัสจะได้งาม ๆ สักหน่อย


"นี่คุณตุลค่ะ พนักงานใหม่ เพิ่งบรรจุ" พี่นุ้ยหันมาแนะนำผมกับคุณซีอีโอ ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ไปให้ รอจนแกเดินจากไป ผมก็ถอนหายใจแรง ๆ ออกมาอย่างโล่งอก


"ท่าทางดุแฮะ" ผมกระซิบกับพี่ที่นั่งทำงานข้าง ๆ


"ไม่ดุหรอกใจดีจะตาย แต่แกเป็นคนละเอียดน่ะ" ผู้รู้จริงนินทา


แต่เอาเข้าจริง ๆ พอคุณต้นมาทำงานผมว่าก็ไม่แย่นะ เพราะแกอยู่คนละชั้นกับพวกเรา ก็เลยไม่ค่อยได้ยุ่มย่ามเท่าไหร่ ยกเว้นเวลาผมโดนรุ่นพี่ใช้ให้เอาเอกสารไปให้แกเซ็นซึ่งนาน ๆ ที


และต้นเดือนหน้า บริษัทก็จะไปออกงานซึ่งงานนี้เรียกว่าระดมทรัพยากรบุคคลของบริษัทไปเกือบหมด


"บริษัทเรายังเล็ก ไม่จ้างพวกพริตตี้หรือคนขายหรอก พวกเราไปขายเองนี่แหละ สนุกดีจะตายไป" พี่ในแผนกว่าและผมก็ชักนึกสนุกไปกับเขาด้วย


งานนั้นจัดถึงศูนย์ประชุมที่อยู่ไกลแสนไกล บางคนก็ลงทุนไปจองห้องพักใกล้ ๆ แต่ผมเห็นว่าไปกลับน่าจะไหว เพราะงานมันก็แค่สามวัน


แต่ที่สำคัญ ข่าวลือมาว่า ไอ้พวกหอพักแถว ๆ นั้น ผีดุ!!!


แผนกของผมอันเกี่ยวเนื่องกับแผนกบัญชีการเงิน และพวกเราก็ถูกโยนหน้าที่เกี่ยวกับสต๊อกและการคิดเงิน และผมผู้ซึ่งตอนสัมภาษณ์ ว่าไปตอนนั้นอยากได้งานผมก็โม้ไปเกินเรื่อง จนเจ้านายให้ผมรับบทพิธีกรไปด้วยเสียเลย


แต่เอาเถอะ มันก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไร และที่สำคัญ ของที่ขายเราก็จับมันบ่อย ๆ และพวกเราก็ออกจะมั่นใจว่าของบริษัทเราน่ะใช้ดี


โชคดีที่พวกสูทเก่า ๆ ของผมที่ผมนึกเสียดายเลยเก็บไว้ก็โดนเอามาปัดฝุ่นและใช้ในงานนี้แหละ ก็แหมต้องรับบทพิธีกร เชียวนะ จะแต่งตัวให้ธรรมดา ๆ คนก็จะไม่เชื่อถือกันพอดี


พวกเราเหนื่อยตั้งแต่วันจัดบูท ซึ่งกว่าจะขนของ ขนเฟอร์นิเจอร์ พวกชั้นตั้งโชว์ต่าง ๆ กว่าจะจัดเรียงสินค้า ซึ่งก่อนจัดเรียงก็ต้องนับของทำสต๊อกกันให้วุ่นวาย


ไหนจะเสร็จแล้วก็ต้องเอาผ้ามาคลุมเพื่อป้องกันการสูญหายอีก และกว่าจะเสร็จงานก็ล่อเข้าไปดึกดื่น 


แต่ผมว่ามันสนุก เพราะพวกเราทำไปหัวเราะกันไปแถมคุณต้นยังใจดี ซื้อน้ำซื้อข้าวกล่องมาเลี้ยงพวกเราอีก


แต่อีตอนขากลับนี่สิลำบากหน่อย ผมต้องเดินออกมาที่ด้านหน้าบริเวณจัดงาน เพื่อรอรถเมล์ซึ่งไม่รู้จะต้องรอนานหรือเปล่า จะขึ้นแท็กซี่ก็ไม่มีสักคัน และตอนนี้แอ๊พเรียกรถยังไม่มีเหมือนอนาคต ต้องอาศัยดวงเท่านั้น


ส่วนคนอื่น ๆ ผมก็งงเหมือนกันว่าเขากลับกันได้อย่างรวดเร็วดีเสียจริง 


แถมนี่ก็ดึกดื่นมากแล้วด้วย แต่ยืนชะโงกจนคอเอียง รถเมล์ที่ว่าก็ไม่มีทีท่าจะมาเสียที ส่วนไอ้รถตู้ที่จอดรออยู่ด้านหลัง ผมมองสภาพแล้วก็ไม่อยากจะเสี่ยง และคนก็นั่งอัดแน่นราวกับปลากระป๋องจนผมคงเบียดเข้าไปไม่ได้แน่ ๆ


ยืนรอรถอยู่อย่างนั้น และถอนหายใจเป็นระยะ ๆ ก็มีรถมาจอดข้างหน้า และกระจกรถก็เลื่อนลง


"กลับยังไงครับ?" เสียงหล่อ ๆ ถามมาและผมก็เขม้นตามองเห็นว่าคนขับไม่ใช่ใครอื่น เจ้าของบริษัทของผมนี่เอง


"รอรถเมล์ครับ" ผมตอบและยิ้มให้อย่างเซ็ง ๆ 


"น่าจะรออีกนานไปกับผมดีกว่า แล้วเดี๋ยวจะไปต่อกลางทางก็ได้" คุณต้นว่าและผมก็ดูจะไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากนักก็เลยเปิดประตูและขึ้นไปนั่งข้าง ๆ แกอย่างว่องไว


"ขอบคุณนะครับ แต่เกรงใจจัง ตัวผมมีแต่เหงื่อ" ผมออกตัวแต่คุณต้นก็ไม่ได้ว่าอะไร


"ก็มีเหงื่อกันทุกคนแหละครับ ผมก็ตัวเหม็นเหมือนกัน เดี๋ยวเร่งแอร์แรง ๆ หน่อย" คุณต้นพูดซะจนผมรู้สึกว่าไม่ได้ตัวเหม็นคนเดียวเลย


"ว่าแต่บ้านคุณอยู่ตรงไหนล่ะ ผมจะได้กะถูกว่าจะขับรถไปเส้นไหนดี" คุณต้นพูดโดยไม่ได้หันมามองหน้าผม และผมก็บอกจุดหมายของผมไป


"ไม่ไกลจากบริษัทหนิ เดี๋ยวผมแวะไปส่งก็ได้ ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่" คุณต้นว่าและผมก็กล่าวขอบคุณออกไปดัง ๆ อยากจะบอกไปว่าไอ้ที่มาทำงานบริษัทของเฮียก็เพราะใกล้บ้านนี่แหละ


"ทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้างครับ?" คุณต้นถามและผมก็ไม่ทันจะได้ตั้งเนื้อตั้งตัวกับคำตอบแบบนี้เลย แถมคนถามเสือกเป็นเจ้าของบริษัทอีก


"ก็ดีนะครับ สนุกดี พี่ ๆ ก็น่ารักทุกคน ผมเคยทำงานกับบริษัทใหญ่ ๆ การเมืองเยอะ มีแต่การแก่งแย่งชิงดีกันแต่บริษัทของเราอบอุ่นเหมือนครอบครัว และผมว่าทำงานที่นี่แล้วสบายใจ" ผมบอกออกไปตรง ๆ ตามที่ใจคิดและคุณต้นก็ยิ้มเสียจนแก้มปริ  ส่วนไอ้ข้อที่บริษัทอยู่ใกล้บ้าน ไม่ต้องแหกขี้ตาออกมาตั้งแต่เช้านี่ก็ขอบอกกับตัวเองในใจ


"แต่ถ้าต่อไปบริษัทมันโตขึ้นแล้วก็ไม่อบอุ่นเป็นแบบครอบครัวเหมือนเดิมล่ะครับ?" คุณต้นถามและผมก็ใช้เวลาคิดตามอยู่ครู่ใหญ่


"อันนี้ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันสิครับ แต่ผมว่าวันนั้นต้องมาถึงแน่ ๆ ก็ยอดขายเราโตเอา ๆ ขนาดนี้" ผมพูดไปเพราะรู้ดี ก็ผมอยู่ฝ่ายบัญชีการเงิน เห็นยอดเข้าบริษัทอยู่ทุกวัน ๆ นี่นา


"เห็นว่าคุณเอากับข้าวมาขายที่บริษัทด้วยเหรอ?" คุณต้นถามและผมก็รู้สึกเหมือนเป็นคนผิดยังไงก็ไม่รู้


เขาจะหาว่าบริษัทให้เงินเดือนน้อยจนพนักงานต้องรับจ๊อบเพิ่มหรือเขาจะหาว่าผมรับงานนอกหรือเปล่าหนอ?


"เอ่อ พอดีบ้านผมทำกับข้าวขายน่ะครับ แล้วที่บริษัทเรามันก็ไม่ค่อยมีร้านค้ามาขายของกิน ผมเองเอากับข้าวมากินที่บริษัท พี่ ๆ ในแผนกเห็นก็เลยฝากซื้อ ไป ๆ มา ๆ คนก็เลยพากันมาฝากซื้อกับข้าวกับผมหมดเลย"


ผมละล่ำละลักอธิบาย ซึ่งโชคดีที่คุณต้นแกหัวเราะออกมา ถ้าทำเสียงดุ ๆ ล่ะก็ผมตายแน่ ๆ 


"เห็นว่ากับข้าวอร่อยด้วยไม่ใช่เหรอครับ?" คุณต้นพูดเหมือนแซว


"สำหรับผม ผมว่ามันอร่อยนะก็กินรสชาติแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่กับคนอื่นผมว่าก็คงไม่แน่ใจนะครับ เห็นคนมาซื้อกินก็มาซื้อกันประจำ" ผมออกตัว


"อร่อยจริงหรอ ไว้วันไหนเอามาฝากผมบ้างนะ อ้อผมซื้อนะไม่ใช่ขอกินฟรี ๆ" คุณต้นพูดคงอยากทำตัวให้สนิทกับลูกน้องล่ะมั้งผมคิดว่าอย่างนั้นนะ ก็เห็นแกตีสนิทคนไปทั่วและออกจะใจดี


"ได้ครับ ว่าแต่คุณต้นชอบกินพวกอะไรล่ะ?" ผมเอ่ยปากถามจะได้รู้ว่าเอาอะไรมาฝากแกแล้วจะได้ถูกปาก


"ผมกินได้หมดแหละครับ เผ็ด ๆ ก็กินได้ ตอนไปเรียนเมืองนอก กินแต่ของทอด ๆ มัน ๆ เลี่ยน ๆ ผมยังกินได้เลย" คุณต้นพูดแล้วก็เหมือนจะหัวเราะตัวเอง


"เก่งนะครับให้ผมไปกินแบบนั้นเป็นครั้งเป็นคราวน่ะได้ แต่ให้กินบ่อย ๆ นี่เห็นทีจะตายซะก่อน" 


"แรก ๆ ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันแหละครับ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรให้เราเลือกมา อาศัยม๊าผมส่งพวกน้ำพริกแห้ง ๆ ไปให้ก็เลยเอาไปราดบนอาหารก็กันตายไปมื้อนึง ๆ" คุณต้นพูดจนผมชักจะสงสารแก


"แต่คุณตุลไม่ยักจะอ้วนแฮะ" ไม่วายจะกลับมาพูดเรื่องหุ่นของผม


"ก็ต้องออกกำลังด้วยครับ สมัยก่อนผมอ้วนนะ อ้วนมาก ๆ ด้วย ทั้งอ้วนและสุขภาพไม่ดี" ผมบอกและคิดถึงตัวเองในสมัยก่อน 


คุยอะไรกันเรื่อยเปื่อยจนผมชี้เป้าหมายที่หน้าบ้านผมคุณต้นขับรถเลยไปนิดหน่อยเพื่อจะได้กลับรถ และจอดรถที่หน้าบ้านของผมพอดี


"ขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับ" ผมกล่าวและยกมือไหว้แต่พอยื่นมือไปเปิดประตูรถคุณต้นก็เรียกผมไว้ก่อน


"???" 


"พรุ่งนี้จะไปทำงานยังไงล่ะครับ?" คุณต้นถามและผมก็ทิ้งตัวลงนั่งและทำท่าคิดอยู่ชั่วครู่


"ก็นั่งรถเมล์ไปแหละครับ" ผมตอบและคิดว่ามันก็ควรเป็นอย่างนั้น


"งั้นพรุ่งนี้ไปด้วยกันดีกว่า เดี๋ยวตอนเช้าผมมารับ ไปด้วยกันน่าจะสะดวกกว่านะครับไม่ต้องเกรงใจ ผมก็ไม่ค่อยรู้เส้นทาง มีคนนั่งไปเป็นเพื่อนจะได้อุ่นใจหน่อย" คุณต้นออกปากและผมก็นัดเวลาเป็นดิบดี


เมื่อถึงหน้าบ้าน ประตูหน้าบ้านยังแง้มอยู่ และพ่อกับแม่ที่ยังไม่นอนก็เด็ดผัก หั่นหมู พร้อมกับเปิดวิทยุฟังไปด้วยแก้เหงา


"เอ้ากลับแล้วเหรอ มายังไงล่ะมาเงียบ ๆ" แม่หันมามองผมและถาม ส่วนผมยื่นมือไปปิดประตูเหล็กหน้าบ้านและเดินมานั่งข้าง ๆ แม่


"เจ้านายที่บริษัทเขามาส่งน่ะแม่ ผ่านทางเดียวกันน่ะ" ผมตอบและแม่ก็ไล่ให้ผมไปอาบน้ำอาบท่า 


"ว่าแต่พรุ่งนี้เช้าแม่ทำอะไรกินน่ะ เผื่อตุลจะห่อไปกินตอนเช้าด้วย" ผมถามและมองพ่อที่หั่นหมูเป็นเส้น ๆ แล้วจึงเอามือกอบใส่กะละมังที่แม่ปรุงน้ำหมักไว้แล้ว


"หมูแดดเดียวน่ะสิ" แม่บอกและผมก็เห็นว่าเข้าทางทีเดียวจึงบอกแม่ว่าตอนเช้าทอดหมูแดดเดียวให้ผมก่อน ใส่ถุงแยก ๆ ไว้เดี๋ยวผมไปจะเดินไปซื้อข้าวเหนียว จะได้เอาไปกินที่งาน


"งั้นเอาแตงกวากับน้ำจิ้มแจ่วไปแนมด้วยจะได้ไม่เลี่ยน ส่วนเรื่องข้าวเหนียวเดี๋ยวแม่จัดการให้เองดีกว่า" แม่ว่าและออกตัวจะจัดเป็นชุด ๆ ไว้ให้ ผมคลายใจแล้วก็เลยขึ้นไปอาบน้ำและลงมาช่วยแม่ทำงานต่อ


เมื่อเสร็จงานก็พากันไปนอน และวันนี้พวกเราไม่ดูวิดีโอกันเพราะพ่อกับแม่เห็นว่าผมจะกลับดึกกว่าทุกที และถ้าผมรู้ว่าพ่อกับแม่แอบดูวิดีโอล่วงหน้า เดี๋ยวจะมีการงอนเกิดขึ้น ก็เลยนั่งฟังวิทยุกันเพลิน ๆ 


สมัยที่ผมอายุยี่สิบกว่า ๆ ใคร ๆ ก็ฟังวิทยุหรือฟังเทปเพลงกันทั้งนั้น และจะอีกไม่กี่สิบปีที่คนจะมาฟังซีดี และจบด้วยฟังจากแอปฟังเพลง หรือฟังพวกพอทแคสต์ 


ก็คงเหมือนอะไรหลาย ๆ อย่างที่โดนกลืนกินไปนั่นแหละตามกาลเวลา


ก่อนเข้านอนผมไม่ลืมที่จะตั้งนาฬิกาปลุก และรู้สึกว่านอนได้แค่แป๊บเดียวเจ้านาฬิกาปลุกก็ทำงานเสียแล้ว 


แต่เนื่องจากวันนี้มีนัดและไปรับปากเขาแล้วว่าจะไปด้วยกัน ผมก็ต้องจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อย แต่แม่ของผมเก่งไปกว่านั้น เพราะเมื่อผมลงมาข้างล่าง แม่ซึ่งตั้งหม้อตั้งถาดกับพ่อ ก็เตรียมของเสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว


"ของที่เตรียมไว้อยู่โน่นแน่ะแม่ใส่ถุงไว้ให้แล้ว ขายชุดละสามสิบก็แล้วกัน" แม่ว่าและบุ้ยหน้าไปยังถุงห่อใหญ่จนผมแอบไปแง้มดู เห็นแม่จัดหมูทอดพร้อมข้าวเหนียวซึ่งแม่บอกว่าแม่ไปซื้อให้ตั้งแต่เช้ามืดมาเผื่อแล้ว


แถมด้วยผักสดคือแตงกวาที่ล้างและฝานเป็นแท่งยาว ๆ พร้อมด้วยถั่วฝักยาว กับน้ำจิ้มแจ่วและไข่ต้มชุดละหนึ่งลูก


"แหมน่ากินจัง" ผมเอ่ยปากชม และเดินไปตักข้าวและเอากับข้าวราดอย่างละนิดอย่างละหน่อย เพื่อกินรองท้องแล้วก็ช่วยพ่อกับแม่ยกของหนัก ๆ พวกหม้อแกงไปตั้งไว้ที่โต๊ะหน้าบ้าน


จนถึงเวลานัดซึ่งก่อนหน้านั้นผมก็เดินไปซื้อโอเลี้ยงหวาน ๆ ใส่แก้วมารอรับคุณท่าน


"มีโอเลี้ยงกับชาดำเย็นครับ ผมซื้อมาเผื่อคุณต้นกินอะไรดี?" ผมบอกและชูแก้วน้ำในมือให้อีกคนหนึ่งเลือก


"เอาชาก็ได้ครับ" คุณต้นพูดยิ้ม ๆ และรับน้ำจากมือของผมไปดื่ม


"นั่นอะไรครับเยอะแยะเลย" คุณต้นถามและชี้มือมาที่ห่อของกินที่แม่ของผมจัดเตรียมไว้ให้


"มื้อเช้าไงครับ ผมเอามาฝากคุณต้นด้วยนะ รับรองว่าอร่อย" ผมอวดแล้วก็ยกถุงที่อยู่บนสุดขึ้นมาอวด แล้วจึงเอามันใส่ถุงคืนไปตามเดิม


"ขอบคุณนะครับ กี่บาทเนี่ย?" คุณต้นถามและผมก็ออกตัวว่าสำหรับคุณต้นนี่ผมเอามาให้ทดลองกิน ถ้าชอบใจคราวหน้าค่อยคิดเงิน 


"ของซื้อของขาย ให้กินฟรี ๆ ไม่ดีหรอกครับ"


"ถือว่าเป็นค่ารถก็แล้วกันครับ" ผมตอบและนั่งอมยิ้มนึกดีใจที่มีเจ้านายใจดีและไม่เอาเปรียบ


"แต่ผมเริ่มหิวแล้วเนี่ยคุณตุลไม่น่าเอาโชว์เลย" คุณต้นตัดรอนและผมก็ยิ้มแห้งส่งไปให้และยื่นห่ออาหารให้แก


"ผมขับรถอยู่" คุณต้นบอกและผมก็ต้องป้อนเขาสินะ โชคดีที่แม่เตรียมช้อนมาให้ด้วย ผมก็ใช้ช้อนส้อมจิ้มหมูแดดเดียวและข้าวเหนียวเป็นคำ ๆ ป้อนให้คุณต้นไป ซึ่งแกก็กินไปชมไป


"แล้วผักนั่นกินกับอะไรหรอครับ?" คุณต้นเอ่ยปากถามและผมก็ต้องออกตัวว่ามันคือแจ่วใส่ปลาร้า


"ผมกินเป็นนะ" คุณต้นออกตัวจนผมก็ต้องให้แกลองซึ่งแน่ล่ะ ถ้าคนกินเป็นก็ต้องบอกว่าอร่อย 


โชคดีที่ห่อข้าวที่แม่ทำให้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่กำลังดี ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็กินข้าวหมด และผมก็ดึงกระดาษชำระในรถของแกให้เจ้าตัวเอาไปเช็ดปากเอาเอง


"แล้วคุณกินข้าวเช้าแล้วหรอ?" คุณต้นไม่วายจะถามจนผมต้องบอกว่าผมกินไปแล้ว


"กินหมูแดดเดียวแบบนี้น่ะเหรอครับ?" 


"ก็กินครับ แต่มีแกงเขียวหวานด้วย อ้อ มีผัดผักกระเฉดกับหมูกรอบด้วยครับ พอดีแม่ผมทำไว้แต่เช้า" ผมบรรยายจนคุณต้นหันมามองหน้าผมแวบหนึ่ง


"ขี้โกง" 


"เอ๊า!!!" ผมร้องเมื่อโดนปรักปรำ แต่สุดท้ายเราสองคนก็หัวเราะกัน


จะว่าไปขับรถแบบนี้ถ้ารถไม่ติดมันก็ไม่ได้ใช้เวลาเนิ่นนานและไอ้ศูนย์ที่เราไปจัดแสดงมันก็ออกนอกเมืองสักหน่อย ซึ่งรถก็ไม่ค่อยติด 


ผมลงจากรถและกล่าวขอบคุณ คุณต้น พร้อมกับหอบของกินห่อใหญ่เข้าไปที่บูทจัดงาน แน่ละ ต้องทำการขายและผมก็เตรียมแบงก์ยี่สิบสำหรับทอนเงินมาฟ่อนใหญ่ ใช้เวลาไม่กี่อึดใจของก็ขายจนหมด 


และพวกเราก็เฮละโลไปนั่งตามมุมต่าง ๆ เพื่อกินอาหารเช้ากันก่อนที่จะทำงาน


"พรุ่งนี้จัดมาอีกนะไม่อย่างนั้นพวกพี่หิวตายแน่ ๆ" พี่แผนกขายบอกและผมก็บอกแม่ให้เตรียมให้แล้วเหมือนกัน เพราะดูรูปการออก


กองทัพเดินด้วยท้อง และเมื่อท้องอิ่มก็พร้อมจะหลับ ...ไม่ใช่สิ ตอนนี้พวกเราพร้อมที่จะทำงานเป็นอย่างมาก และดูจะแข็งขันเมื่องานเปิดแล้ว 


ลูกค้าเฮกันเข้ามาในงานเยอะแยะและบูทของผมก็ขายดีชนิด คิดเงินกันแทบไม่ทัน


จะมีบางช่วงที่พวกเราผลัดกันออกไปกินข้าวราดแกงที่แผงขายอาหารใกล้ ๆ ในงานซึ่งพูดตรง ๆ อย่างไม่รักษาน้ำใจผมว่าทั้งแพงและไม่อร่อย แต่อย่างว่าทางเลือกมันมีไม่มากนัก และพวกเราก็ถือเสียว่ากินกันตาย ไอ้ร้านหรู ๆ ที่กินได้ก็แพงเหลือเกิน


จนถึงเวลาเลิกงาน ผมที่ง่วนอยู่กับการนับสต๊อก และเอาผ้าคลุมบูท แต่เมื่อเสร็จก็เห็นคุณต้นยืนยิ้มอยู่ และเดินมาหาผมเอาตรง ๆ 


"เสร็จหรือยังครับกลับบ้านกัน" คุณต้นว่าและผมก็ออกจะเกรงใจ แต่เพื่อความสะดวกกลับก็กลับด้วยกัน อย่างน้อยก็ดีกว่ายืนรอรถเมล์อย่างไร้ความหวัง หรืออัดอยู่ในรถตู้ที่แน่นเป็นปลากระป๋อง แถมขับรถเหมือนอยากจะท้าความตาย


ตลอดเส้นทางที่กลับ ผมก็ต้องประเมินคุณต้นใหม่ จากที่ดูเงียบ ๆ ขรึม ๆ เอาจริง ๆ แกก็เป็นคนตลก และช่างคุยอยู่เหมือนกัน ยิ่งถ้าผมซักถามไอ้เรื่องที่แกอยากจะเล่าด้วยล่ะก็ ฟังเพลินกันทีเดียว


"สมัยเรียนผมก็เรียนไม่ค่อยเก่งหรอก เรียนพอให้ผ่าน แล้วยิ่งตอนไปเรียนที่เมืองนอก ทำอะไรก็ต้องช่วยตัวเอง ผมนี่คิดถึงม๊าเลย เคยมีม๊าทำอะไรให้ทุกอย่าง แม้แต่จะซักเสื้อผ้าผมยังซักเองไม่เป็นเลย" คุณต้นเล่าอย่างออกรสและผมก็ซักถามแกไปต่าง ๆ นานา


"ก็ดีแล้วไงครับ ได้กลับมาอยู่บ้านตัวเองสักที เห็นว่าบ้านคุณต้นมีแต่พี่น้องเก่ง ๆ ผมว่าเฮียแกโชคดีที่ลูก ๆ ได้อย่างใจทุกคน" ผมเอ่ยปากชมตามที่เคยได้ยินเขานินทามาจนคุณต้นอมยิ้ม


"ฮั่นแน่ แอบนินทาพวกผมล่ะสิ" 


"เอ่อ ...ถ้านินทาก็ต้องพูดเรื่องไม่ดีสิครับ นี่พี่ ๆ เขาคุยแต่เรื่องดี ๆ เขาเรียกชื่นชมมากว่า" ผมรีบแก้ตัว และชวนคุณต้นคุยเรื่องเรียนของแกต่อ


ซึ่งแกก็คุยเล่าจนผมรู้สึกว่าแค่กว่าผมจะจบปริญญาตรีก็แทบจะรากเลือดเสียแล้ว นี่แกจบโท แล้วโทจากต่างประเทศด้วย แถมแกยังเล่าอีกว่า ตอนเรียนแกก็ทำงานงานไปเรียนไป จนผมชักจะนับถือ


"คนที่โน่นเขาก็อย่างนี้ทั้งนั้นแหละครับ บ้านเราโอกาสเรียนไปทำงานไปมันยาก" คุณต้นว่าและผมก็พยักหน้าเห็นด้วยกับแกจริง ๆ 


ก็อย่างถ้าผมยังเรียนยังไม่จบ ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีที่ไหนที่จะรับเด็ก ๆ มาทำงานกันสักที่ จนถึงตอนผมแก่ชราบ้านเมืองก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เพิ่มเติมคือถ้ามีงานสำหรับเด็ก ๆ ก็มักจะเป็นงานตามร้านสะดวกซื้ออะไรอย่างนี้มากกว่า


"แล้วความฝันของคุณต้นคืออะไรหรือครับ?" ผมไม่วายจะถามเพราะฟังแล้วเจ้านายของผม เก่งอย่างกับซุปเปอร์แมน ทำอะไรก็ทำได้ทุกอย่าง แถมทำได้อย่างดีเสียด้วย


"ถ้าบอกตรง ๆ ว่าผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันจะผิดไหมเนี่ย?" คุณต้นย้อนถามและผมก็เลิกคิ้วและหันไปมองหน้าแก


"ก็ผมรู้สึกว่าเกิดมา ผมก็ต้องรับหน้าที่ดูงานต่อจากป๊า ผมก็เลยไม่รู้ว่าฝันอื่น ๆ ของผมมีอะไรอีกน่ะ" คุณต้นเฉลยและผมก็เห็นจริงตามที่แกว่า


รู้สึกว่าจะคุยกันเรื่องเครียด ๆ มากไปแล้ว ผมก็พยายามหาหัวข้อเบา ๆ มาคุยกับแกแทนน่าจะดีกว่า


"ของโปรดของคุณต้นที่กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อนี่คืออะไรหรือครับ? ผมถามและเจ้าตัวก็นิ่งเหมือนใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่


"น้ำพริกกะปิกับปลาทู แล้วก็ผักมั้งครับ" คุณต้นตอบยิ้ม ๆ แน่ล่ะการขายของผมก็ต้องมา ผมคุยอวดฝีมือการตำน้ำพริกกะปิของแม่ รวมถึงบรรยายว่าถ้าได้กินกับปลาทูทอดตัวขนาดกำลังดี และมีผักต้มที่ราดด้วยหัวกะทิล่ะก็ รับรองต้องกินกันจนพุงกลาง


"แค่ฟังก็หิวแล้วครับ" คุณต้นบอกและหันมาหัวเราะ


"ไว้เสร็จงานเดี๋ยวผมเอาไปให้คุณต้นลองกิน ไม่อร่อยไม่คิดเงินเลยนะครับ" ผมออกตัวและหาเรื่องคุยเรื่องของกินที่ร้านอีก


"ผมว่ายิ่งฟังผมก็ยิ่งอยากกินไปหมด คุณตุลบรรยายซะจนผมท้องร้องแล้วเนี่ย" 


"ดึกป่านนี้จะไปหาอะไรที่ไหนกินล่ะครับ แต่ถ้าคุณต้นหิว ผมว่าที่บ้านผมน่าจะมีอะไรให้กินรองท้องบ้างล่ะน่า" ผมเอ่ยปากชวนซึ่งแน่ล่ะ ไม่ต้องตื๊อมาก คุณต้นก็ตกปากรับคำ


"ก็บอกแล้วกองทัพมันต้องเดินด้วยท้อง" ผมพูดเบา ๆ และอมยิ้มกับตัวเอง