อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ - 10 พร้าเล่มงาม โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน

สารบัญ

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-1 คนขี้แพ้,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-2 เวอร์ชันใหม่,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-3 วัยรุ่นวัยเรียน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-4 เพื่อนชาย,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-5 ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-6 แผนสอง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-7 วัยทำงาน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-8 กลับมาหาความสุข,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-9 กองทัพเดินด้วยท้อง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-10 พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-11 เอาไงดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-12 ความสุขของผม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-13 ดีใจ...ใจดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-14 เปรียบเทียบ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-15 คนไม่สำคัญ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-16 อุ่นใจ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-17 สนิท,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-18 คนพิเศษ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-19 ขอจันทร์

เนื้อหา

10 พร้าเล่มงาม

โดย : Chavaroj




ผมตื๊อคุณต้นอยู่อีกไม่นาน สุดท้ายแกก็ยอมมากินข้าวที่บ้านผม เหตุที่ต้องพามากินข้าวก็เพราะได้ยินแกบ่นว่ากลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรกิน และในยุคสมัยนั้น ร้านสะดวกซื้อเปิดทั้งวันทั้งคืนยังไม่แพร่หลาย และแถวบ้านผมก็มีเปิดอยู่ร้านเดียวซึ่งค่อนข้างจะห่างไกล


"ผมคุ้น ๆ ว่ามีต้มจับฉ่าย แม่ทำไว้หม้อโต ๆ ไม่รู้ว่าเปื่อยหรือยัง" ผมบอกและคุณต้นก็ส่งยิ้มมาให้


"ของโปรดผมเหมือนกันนะจะว่าไป" คุณต้นว่าและผมก็เดินไปประตูบ้าน ซึ่งวันนี้แปลกพ่อกับแม่หนีขึ้นไปนอนแล้ว ไม่ยักกะรอผมเหมือนทุกที


จริงสินะ เมื่อวานผมบอกพ่อกับแม่ไปแล้วว่าจะกลับดึกกว่าปกติและกำชับว่าไม่ต้องรอ เพราะทั้งสองคนต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดกันเพื่อทำงาน


"คุณต้นรอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมไปดูอะไรในครัวก่อน" ผมบอกและจัดแจงเปิดไฟและจัดที่นั่งให้คุณต้น หลังจากนั้นก็เดินไปเปิดไฟในครัว 


ต้มจับฉ่ายมีอย่างที่ผมคิดไว้ แต่ที่ดีงามก็คือ แม่ตำน้ำพริกกะปิไว้ด้วย และทอดปลาทูไว้แล้ว ผมจึงเอาปลาทูมาอุ่นอีกทีจนกลิ่นปลาทูทอดฟุ้งไปทั้งบ้าน


"หอมจนผมต้องขอเดินมาดูเลย" คุณต้นเดินมาหยุดยืนหน้าประตูครัวและชะเง้อเข้ามาดูว่าผมทำอะไร


"งั้นผมรบกวนคุณต้นยกชามจับฉ่ายนี่ไปทีนะครับ ขออุ่นปลาทูแป๊บเดียว แต่ผักต้มกินแบบเย็น ๆ ได้ไหมครับ?" ผมถามเพราะขี้เกียจอุ่นผักต้มอีก เพราะแม่ต้มไว้มาก ๆ และแช่ใส่ตู้เย็นไว้ 


"ได้ครับ" คุณต้นรับคำ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าได้ครับของแกนี่หมายถึงกินผักต้มแช่เย็นได้หรือ หมายถึงยกชามแกงไปได้ แต่ช่างเถอะ ถ้ากินไม่ได้ก็มีผักสด แล้วผมจะรับผิดชอบพวกผักต้มเย็น ๆ พวกนั้นเอง...อันที่จริงผมว่าเหมือนกินสลัดเหมือนกันนะ


จัดแจงเอาปลาทูที่อุ่นจนร้อนฉ่ามาใส่จาน ตักน้ำพริกกะปิใส่ถ้วยใบน้อย และรื้อตู้เย็นเจอไข่ต้มมาอีกสองฟอง ผมตักข้าวที่แม่หุงเตรียมไว้ตั้งแต่หัวค่ำ เช้ามาจะได้ไม่วุ่น 


และมื้อค่ำที่ไม่ค่อยหรูก็เสร็จสรรพ ผมเดินไปรินน้ำเย็น ๆ ใส่แก้วมาด้วยและเห็นคุณต้นนั่งยิ้มแฉ่ง


"กินเยอะ ๆ เลยครับไม่ต้องเกรงใจ ชอบอันไหนไม่ชอบอันไหนก็บอกได้นะครับ" ผมว่าและค่อย  เอาไข่ต้มมาเคาะเพื่อแกะเปลือก ใส่จานของตัวเองใบหนึ่ง ใส่จานของคุณต้นอีกใบหนึ่ง


"ไข่ต้มพรุ่งนี้แม่ผมคงจะทำไข่ลูกเขยน่ะครับ" ผมรีบอธิบายและคุณต้นก็มองบรรดาอาหารตรงหน้าเหมือนชั่งใจ


"กินได้มั๊ยครับเนี่ย?" ผมถามเพราะเห็นสีหน้าแกแล้วก็ชักจะไม่มั่นใจ


"กินได้สิครับ ที่ลังเลนี่เพราะมันน่ากินไปหมดจนไม่รู้จะกินอะไรก่อนดี" คุณต้นอธิบายและยิ้มแหย มาให้


"ผมว่ากินน้ำพริกก่อน ถ้ารู้สึกเผ็ดไปก็ค่อยซดแกงจืด" ผมว่าอย่างนั้นตามใจคดและชื่นช้อนตักน้ำพริกมาราดบนผักต้มเย็น ๆ ในจานของตัวเอง แล้วก็แกะปลาทูมาอีกหน่อย แล้วค่อยกินคู่กัน


คุณต้นแกเห็นผมเคี้ยวตุ้ย ๆ แกก็เลยหัวเราะ แล้วก็กินตามอย่างผม ซึ่งแน่นอน ฝีมือระดับแม่ตำน้ำพริก อร่อยจนขอดหม้อขอดไห ยิ่งได้ปลาทูขนาดตัวกำลังกินที่ทอดจนกรอบหอม มันก็ช่างแสนเข้ากัน


กินไปคุยกันไปเรื่องงานวันนี้ และผมว่าบริษัทของผมจะต้องรุ่งเรืองแน่ ๆ เพราะวันนี้ทั้งวันลูกค้ารุมจนผมขายของแทบไม่ทัน


"ขายดีอย่างกะแจกฟรี" ผมบ่นแต่คุณต้นหัวเราะ


"แจกฟรีแล้วจะมีมาร์จิ้นมาแจกโบนัสพนักงานหรือเปล่าครับ?" คุณต้นแกว่าแล้วแกก็หัวเราะของแกอยู่คนเดียวผมก็หัวเราะตามอย่างแห้ง ๆ เพราะกลัวแกจะเก้อ


กินข้าวเสร็จผมก็เดินไปส่งคุณต้น และไม่ลืมที่จะถามว่าพรุ่งนี้เช้าแกอยากกินอะไร


"อะไรก็ได้ครับ" คุณต้นตอบซึ่งผมว่ามันเป็นอาหารที่ทำยากที่สุด


ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านปิดประตูให้เรียบร้อยและจัดการล้างพวกจานชามแต่กระทะขอทิ้งไว้อย่างนั้นก่อนแค่เอาฝาหม้อมาปิดเพราะถึงยังไงตอนเช้าพรุ่งนี้แม่ก็ต้องมาทอดปลาทูซ้ำอีกรอบ 


รีบกลับขึ้นไปอาบน้ำและนอน หัวถึงหมอนผมก็แทบจะหลับไปในทันทีเพราะวันนี้ยืนมาทั้งวัน และพูดแทบไม่หยุด ไม่ได้มีเวลาพักเลยสักนิด


แต่จะว่าไปคุณต้นที่เป็นเจ้าของบริษัท แกก็ทำอย่างเดียวกับผมนี่แหละ ดูเหมือนจะหนักกว่าซะด้วยเพราะพ่อเห็นตรงไหนยุ่งพ่อก็แทรกเข้าไปเป็นยาดำ แถมทำได้ทุกตำแหน่ง 


ขายของไม่ทันแกก็ไปช่วยขาย คิดเงินไม่ทันแกก็ช่วยแคชเชียร์เอาของใส่ถุง ยกของมาเติมไม่ทัน แกก็ช่วยแบกของออกมาจากสต๊อก 


ผมพอจะนึกภาพตอนแกเป็นวัยรุ่นที่ทุก ๆ คนชอบเอามาเล่าว่าคุณต้นช่วยงานพ่อตั้งแต่ยังเรียนไม่จบทีเดียว


คิดเหมือนนินทานาย และครู่เดียวผมก็หลับไป มาสะดุ้งตื่นตอนแม่เคาะประตูเรียก และผมก็ตะลีตะลานอาบน้ำแต่งตัวเพราะเมื่อคืนลืมตั้งนาฬิกาปลุก


"เมื่อคืนลุกมาทำอะไรกินกันดึก ๆ" แม่ว่าเมื่อผมรีบเดินลงมาและตักข้าวกิน


"หัวหน้าเขามาส่งตุลน่ะ สงสารแกไม่มีอะไรกินที่บ้านตุลก็เลยชวนแกกินข้าวที่บ้านเรา" ผมบอกและกำชับแม่ว่าทำอะไรไว้เผื่อคืนนี้อีกสักหน่อย


"แม่ว่าจะทำต้มยำ โอเคไหมล่ะ?" แม่หันมาบอกและไม่วายจะบอกให้ผมกินช้า ๆ เดี๋ยวจะสำลัก 


ส่วนพ่อเห็นผมรีบกิน ก็ตะโกนมาบอกว่าไม่ต้องรีบยังเหลือเวลา และแจ้งว่ากับข้าวเช้าเตรียมใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อยแล้ว


"อะไรน่ะพ่อ" ผมอดถามไม่ได้และพ่อก็แจกแจงให้วุ่นวาย ว่าราดโน่นราดนี่ จนผมว่าถ้ามันมีกับข้าวหลาย ๆ อย่างเดี๋ยวต้องเกิดศึกแย่งของกินกันแน่ ๆ ทีเดียว


กินข้าวเสร็จจะเอาจานไปล้าง แม่ก็บอกว่าให้วางไว้เฉย ๆ เดี๋ยวแม่จะล้างให้เอง แล้วไล่ผมไปบ้วนปาก 


มองนาฬิกายังเหลือเวลาอีกเกือบสิบนาทีผมก็เลยเดินไปซื้อชาดำเย็นมาสองแก้ว และเมื่อเดินกลับมาบ้าน รถของคุณต้นก็ขับมาจอดหน้าบ้านผมพอดิบพอดี


ผมจัดแจงยื่นแก้วน้ำชาให้คนขับและวิ่งกลับเข้าไปในบ้านเพื่อยกกล่องข้าวเอามาวางไว้ท้ายรถแล้วจึงขึ้นมานั่งประจำที่


"วันนี้มีอะไรกินครับ?" คุณต้นถามและผมก็ได้แต่ยิ้มแหยเพราะบอกไม่ได้จริง ๆ 


"ไว้ไปเลือกกินที่หน้างานดีกว่าครับ พ่อผมตักมาหลายอย่าง" ผมว่าและยื่นซาลาเปาให้คุณต้นกินไปพลาง ๆ โชคดีมีรถเข็นขายซาลาเปามาจอดข้าง ๆ ร้านน้ำพอดี ผมก็เลยจัดซาลาเปาหน้าตาน่ากินมาหลายลูก


"คุณต้นกินไส้เค็มก็แล้วกันนะครับถือเป็นมื้อเช้า" ผมบอกและจัดแจงดึงกระดาษที่รองก้นซาลาเปาออกและยื่นให้แก ส่วนผมขอจัดการไส้ถั่วดำที่ซื้อมากินเป็นขนมล้างปากไปพลาง ๆ


วันนี้ขายของดีเหมือนเช่นเคย และพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายเสียที ผมภาวนาให้จบงานไว ๆ เพราะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่จะว่าไปมันก็สนุกชะมัด 


และคืนนี้ผมก็ลากคุณต้นมากินข้าวที่บ้านอีกเหมือนเคย แม่ทำต้มยำขาหมูเอาไว้ให้ ซึ่งกว่าจะถึงตอนผมกิน ขาหมูก็ถูกต้มจนเปื่อยนุ่ม แค่เอาเข้าปากก็แทบจะละลายหมดแล้ว


รวมถึงไข่เจียวอีกจานที่ผมจัดการเจียวในไม่กี่นาที อ้อกินแกล้มกับผักสดอีกหน่อยแก้เลี่ยน 


"ตอนอยู่ที่เมืองนอก ผมแทบจะเกลียดไข่เจียวไปเลยนะ" คุณต้นออกปาก และผมก็ได้แต่ยิ้มแหย


"ทำไมล่ะครับ?" ไม่วายจะเอ่ยปากถามทั้ง ๆ ที่มันก็เดาได้แสนง่าย


"ก็ตอนผมไปเรียน ทำอะไรเป็นที่ไหน กว่าจะได้กินไข่เจียวแบบดี ๆ ก็ทำตั้งห้าหกครั้ง" คุณต้นเล่าแล้วก็หัวเราะขำตัวเอง


"อะไรคุณต้นทำไข่เจียวไม่เป็นหรอ?" ผมไม่วายจะถาม


"ก็ตั้งแต่เด็ก ก็มีม๊าทำกับข้าวไว้ให้ทุกมื้อ หน้าที่ของผมกับน้อง ๆ ก็คือตั้งใจเรียน" คุณต้นพูดและผมฟังแล้วก็รู้สึกเศร้า ๆ ยังไงก็ไม่รู้


"ไม่ยากครับ ดีเสียอีก เกิดใคร ๆ ทำอาหารอร่อยกันไปหมด บ้านผมก็เจ๊งพอดี" ผมไม่วายจะพูดให้มันดูหายตึงเครียด ซึ่งคุณต้นก็มองผมด้วยหางตาและเผลอยิ้มออกมา


"สู้ ๆ อีกแค่วันเดียวนะครับ" ผมบอกคุณต้นตอนแกจะกลับ แต่เหมือนบอกกับตัวเองมากกว่า และเมื่อกลับมาในบ้าน รีบล้างจานและรีบขึ้นไปอาบน้ำนอน แน่ล่ะคืนนี้ไม่ลืมที่จะตั้งนาฬิกาปลุก ไม่อย่างนั้นวุ่นวายอีกแน่ ๆ


และเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง ผมถูกปลุกด้วยเสียงดังกวนใจซึ่งแม้จะเกลียดแสนเกลียด แต่มันก็ทำให้ผมต้องรีบดีดตัวขึ้นมาเพื่อจัดการกับมัน และเมื่อไปอาบน้ำและลงไปข้างล่าง พ่อกับแม่ก็นั่งกินข้าวกันอยู่แล้วผมจึงไปร่วมวงด้วยเสียเลย


"พ่อตักข้าวไว้แล้ว เดี๋ยวค่อยราดกับข้าว" พ่อว่าซึ่งผมก็แนะนำพ่อว่าเอากับข้าวแค่อย่างละกล่องและกับข้าวไม่ต้องหลากหลายมาก ไม่อย่างนั้นคนกินจะทะเลาะกัน


"ก็แม่เล่นทำอะไรน่ากินไปหมด ไอ้โน่นก็ดีไอ้นี่ก็น่าอร่อย" ผมบ่นและแม่ก็ยิ้มมาให้ กินข้าวเสร็จ ผมก็เดินไปซื้อชาดำเย็น วันนี้โชคดีรถซาลาเปามาขายอีกแล้ว ผมก็เลยสั่งไปสองลูก แต่เห็นขนมจีบหน้าตาน่ากินด้วยผมก็เลยไม่อยากหักใจ สั่งขนมจีบมากินด้วยก็แล้วกัน


กลับมาถึงบ้าน พ่อก็ตักกับข้าวเสร็จพอดี พร้อมจาระไนว่ามีอะไรบ้าง พอผมเงยหน้าไปดู รถของคุณต้นก็ขับมาจอดหน้าบ้านพอดี 


"วันนี้มีซาลาเปาอีกแล้ว กินแค่สองวันคุณต้นคงไม่เบื่อนะครับ?" ผมถามแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร 


"มีขนมจีบด้วยนะครับ ผมลองชิมแล้วก็อร่อยดีพอใช้ได้" ผมบรรยายและสุดท้ายก็ต้องใช้ไม้จิ้มเจ้าขนมจีบเพื่อป้อนให้คุณต้นลองชิมดู


"ก็อร่อยดีครับ" คุณต้นพูด และถ้าพูดแบบนี้ก็แสดงว่าต้องแบ่งกันกินคนละครึ่งสินะ  แต่เอาเถอะกินหมดนี่ผมคงกลับไปอ้วนอีกแน่ ๆ แบ่งก็แบ่ง


เมื่อถึงงาน และทันทีที่ประตูของงานเปิด ลูกค้าก็เฮละโล กันมาถล่มบูทของผม และดูเหมือนพวกพี่ ๆ แผนกเซลล์จะได้ลูกค้าอีกหลายราย 


ส่วนลูกค้าที่ซื้อปลีกก็มาซื้อของไปกักตุนเพราะหลาย ๆ คนบอกว่าได้ตัวอย่างทดลองที่ผมแจกไปวันก่อนแล้วใช้ดี วันนี้ก็เลยเฮมาซื้อกัน


หรือบางคนญาติมาซื้อแล้วก็บอกต่อกัน วันนี้เลยตั้งใจมาเหมาก็มี


ของทั้งแจกทั้งแถม แบบกะว่าไม่เอาของกลับบริษัท และขายดีจนถึงนาทีปิดงานกันเลยทีเดียว  ผมทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นร่วมกับพี่ ๆ หลายคน และรอพวกฝ่ายคลังมานับสต๊อกของเพื่อช่วยกันเอาของไปคืนที่โกดัง 


แต่ถึงอย่างนั้นก็เล่นเอากว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยงคืน


"กลับบ้านกันเถอะครับ" คุณต้นว่าและผมก็แสนจะดีใจที่ได้ยินคำนี้ ผมล่ะนับถือคุณต้นจริง ๆ สงสัยชาติก่อนเป็นคนเหล็ก เพราะดูแกจะไม่มีสีหน้าของความเหน็ดเหนื่อยให้เห็นเลย


ผมเดินตามแกต้อย ๆ ไปจนถึงที่จอดรถ และนั่งหน้าแอร์เย็น ๆ ที่พัดเป่าหน้า ผมก็เผลอหลับไปอย่างไม่ทันตั้งตัว


"ตุล คุณตุล" เสียงคุณต้นดังใกล้ ๆ และรู้สึกว่าตัวของผมโดนเขย่า และเมื่อสะดุ้งตื่น พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ตัว ผมก็ยิ้มแหย และเอามือปาดมุมปากเพราะรู้สึกว่ามันเย็น ๆ สงสัยน้ำลายไหลแน่ ๆ นี่ยังไม่นับตอนนอนหลับผมเผลอกรนหรือเปล่าก็ไม่รู้


"รีบกลับไปนอนเถอะครับ" คุณต้นว่าและแม้ผมจะตื๊อให้แกกินข้าวด้วยกันแกก็ไม่ยอมบอกว่าดึกแล้ว จนผมต้องเข้าบ้านไปโดยลำพัง


เอาจริง ๆ มันดึกแล้วจริง ๆ เพราะเกือบจะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว และถ้ากินอะไรตอนนี้กรดไหลย้อนคงต้องเล่นงานแน่ ๆ 


พูดถึงกรดไหลย้อน ผมก็นึกขยาด เพราะในสมัยก่อนที่ผมอ้วนฉุ สารพัดโรครุมเร้าและหนึ่งในนั้นก็คือไอ้โรคกรดไหลย้อนนี่แหละ ร้ายที่สุดก็คือ ตอนหลับอยู่ดี ๆ เราก็สะดุ้งเพราะเจ็บแสบ และจุกมาถึงคอหอย


จริง ๆ ต้นเหตุมันก็แก้ได้ง่าย ๆ คือตอนก่อนนอนอย่ากินอะไร แต่ผมในวันวานไม่เคยสนใจ การได้นอนอ่านหนังสือไปกินขนมไป คือการให้รางวัลชีวิตของผม


แต่นั่นมันเป็นการไม่รักตัวเองแท้ ๆ 


ผมเดินไปเปิดตู้เย็น และหยิบนมเปรี้ยวที่มักจะมีติดตู้เย็นเสมอมาดื่ม แล้วจึงอาบน้ำนอน


คิด ๆ ไปก็ใจหาย พรุ่งนี้ผมจะไม่ได้สบายมีคนขับรถไปรับไปส่งอีกแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ผมก็ไม่เคยคิดที่จะไปพึ่งพาใครอยู่แล้ว ไม่สิ มีพ่อขับรถไปส่งไม่ต้องพึ่งคุณต้นมากกว่า คิดแล้วก็เกรงใจแกอยู่เหมือนกัน


และเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา จริง ๆ มันแสนน่าจะดีใจที่ได้กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ผมหอบหิ้วของกินสารพัดไปขายที่ออฟฟิศ โดยวันนี้ผมต้องนั่งรถเมล์ไปเอง เพราะพ่อมีภารกิจเกี่ยวกับการปอกเปลือกไข่เป็ดค้างคาอยู่ 


ผมเดินผ่านร้านขายน้ำชง ก็อดจะซื้อโอเลี้ยงมากินเองสักแก้วไม่ได้ แต่วันนี้ไม่ยักมีรถเข็นขายซาลาเปามา 


ผมเดินไปขึ้นรถเมล์ และนั่งรถเมล์สายประจำ ซึ่งใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีก็ถึงออฟฟิศของผม 


เดินเข้าไปในออฟฟิศพูดคุยเรื่องงานที่ผ่านมากันอย่างสนุก จนได้เวลาเข้างานต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง


รูปการเป็นอย่างนี้และผมก็แทบจะไม่ได้เจอคุณต้นนาน ๆ อีกเลย จะเจอก็ตอนเอาเอกสารไปให้แกเซ็น ซึ่งเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก แถมคุณต้นยังดูเครียด ๆ และคิ้วผูกโบแบบที่เราดูก็รู้ว่าไม่ควรไปกวนใจอะไรเจ้านายยามมีสีหน้าแบบนี้


งานของผมก็ยังคงมีให้ทำแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ไม่หวือหวาแต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อ และคนที่ผมแทบจะลืมเลือนวันดีคืนดี เจ้าหล่อนก็ส่งข่าวมาหาและนัดผมไปกินข้าวเย็นด้วยในวันหนึ่ง


"เหมยรอนานหรือยัง?" ผมถามและรีบเดินมานั่งข้าง ๆ พร้อมกับแก้ตัวว่ารถติด


"ไม่นานหรอกเราสั่งอะไรไปสองสามอย่างแล้ว ตุลอยากกินอะไรก็สั่งเพิ่มสิ" เหมยพูดอย่างใจดีและผมก็สั่งของกินเล่น ๆ แบบที่แม่ของผมไม่ทำให้กินแน่ ๆ มาอีกอย่างหนึ่งก็เห็นจะพอ


"ว่ามา" ผมพูดกับเหมย เพราะดูเจ้าตัวเหมือนมีความในใจอยากจะปรึกษา


"เรื่องประวิทย์ล่ะสิ ไอ้หมอนี่ทำอะไรไม่เข้าท่าล่ะ" ผมชิงถามเมื่อเหมยทำท่าอึกอัก


"เราว่าประวิทย์เค้าเหมือนจะถอดใจไม่อยากยุ่งกับเราแล้วหละ ไม่ค่อยโทรหาไม่ค่อยเจอเหมือนเมื่อก่อน" เหมยพูดและทำหน้างอน ๆ ส่วนผมก็แทบจะสำลัก


ลองผู้หญิงพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าไอ้เพื่อนของผมมันมีอิทธิพลทางใจกับเพื่อนสาวของผมเข้าแล้วสินะ


"ประวิทย์มันงานยุ่งมั้ง เหมยไม่ถามมันไปตรง ๆ ล่ะ?" ผมไม่วายจะเสนอแนะ


"เรากลัวประวิทย์จะหาว่าเราเจ้ากี้เจ้าการน่ะ อีกอย่างเป็นผู้หญิงจะไปพูดแบบนั้นได้ยังไง" เหมยพูดและทำหน้าเซ็งพร้อมกับตักอาหารเข้าปากและเคี้ยวหยับ ๆ


"เออเดี๋ยวเราลองถามมันให้ มะรืนนี้วันหยุดแม่เราว่าจะให้เราเรียกมันมากินข้าวที่บ้านเราพอดี แต่เหมยอย่าคิดมากเลย เราว่าประวิทย์มันคงยุ่งกับงานน่ะ เพราะพักหลัง ๆ มันก็ไม่ค่อยได้มาเที่ยวบ้านเราเหมือนกันเราเคยถามมันก็ว่ามันงานยุ่ง" ผมพูดเชิงปลอบและชวนเหมยคุยอะไรไปอีกเรื่อยเปื่อย


แต่เรื่องที่ทำให้ผมแสนดีใจก็เห็นจะเป็นเรื่องของชูวิทย์และปูที่ตอนนี้ ปูตั้งท้อง และอีกไม่นานผมก็จะได้เป็นน้าตุลกับเขาสักที


"อีชูมันว่าม๊ามันท่าทางเห่อหลานชะมัด ส่วนปูมันก็บ่นว่าแพ้ท้องจนเข็ด ไม่เอาอีกแล้วขอมีลูกแค่คนเดียว" เหมยนินทาและผมก็หัวเราะกิ๊ก


"เห็นคนพูดแบบนี้มีลูกสามสี่คนทุกที" ผมว่าและเราสองคนก็หัวเราะกัน


จบมื้ออาหารและก่อนจากกันผมกับเพื่อนรักก็กอดกันกลม โดยผมไม่ลืมที่จะปลอบใจเหมยว่าอย่าคิดมาก


"เดี๋ยวเราไล่บี้มันให้เอง" ผมไม่วายที่จะบอกและเมื่อนั่งรถเมล์กลับบ้าน ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ยุ่งแต่เรื่องชาวบ้านเขา แต่ตัวผมเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลย


ข่าวคราวของพี่โยธินเงียบหายไปเลย แน่ล่ะ ยุคตอนนี้การคุยโทรศัพท์ แม้แต่ต่างจังหวัดก็ต้องคุยหลังสี่ทุ่มเพราะจะคิดแค่นาทีละบาท ยิ่งคุยจากต่างประเทศไม่ต้องคิดหวัง ส่วนไอ้เรื่องส่งจดหมายนั้น ผมก็วุ่นวายเกินกว่าจะทำเรื่องพวกนี้ และผมก็รู้ว่าพี่โยแกก็จะไม่มีเวลามาทำเรื่องพวกนี้เหมือนกัน


เมื่อถึงบ้าน แน่นอนว่าแม่ต้องซักไซ้ และผมก็เล่าเรื่องของเพื่อน ๆ ของผมให้แม่ฟัง แม่ออกจะตื่นเต้นดีใจที่รู้ว่าปูตั้งท้องแล้ว และทำหน้ายุ่งเมื่อรู้ว่าประวิทย์ทำตัวไม่น่ารัก


"พ่อว่าวิทย์เขางานยุ่งนั่นแหละ" พ่อเสนอความเห็น


"ตุลก็คิดเหมือนพ่อนะ" ผมพูดเสริมแต่แม่ทำหน้าไม่ค่อยเห็นด้วย


เขาว่าผู้หญิงมักจะเซ้นต์แรง แต่ผมกับพ่อมองในมุมมองของผู้ชาย ซึ่งจริง ๆ อีกวันสองวันก็จะรู้ความจริงอยู่แล้วเพราะเมื่อถึงบ้านปุ๊บ ผมก็โทรไปหาประวิทย์และกำชับกึ่งบังคับให้มันมากินข้าวเย็นกับผมที่บ้านให้ได้


"เออ ๆ งานยุ่งน่ะ" ประวิทย์มันว่าและผมก็ภาวนาขอให้มันเป็นเช่นนั้น


และวันเสาร์ที่ว่าก็มาได้รวดเร็วทันใจ แม่ทำของโปรดของประวิทย์เสียหลายอย่าง อันนี้ก็ถือเป็นลาภปากของผมกับพ่อไป ปลาช่อนผัดขึ้นฉ่าย และเต้าเจี้ยวหลน คือพระเอกกับนางเอก ส่วนกับข้าวอื่น ๆ ก็ดูจะเป็นตัวประกอบไปทีเดียว


เมื่อชูวิทย์มาถึง แม่ก็เจ้ากี้เจ้าการให้ไปล้างไม้ล้างมือและไปกินข้าวด้วยกัน โดยพ่อรับหน้าที่ไปตักกับข้าวขายแทนแม่ และปล่อยให้แม่มานั่งคุยกับประวิทย์ให้หายคิดถึง


แม่กินไปชวนคุยไป และกินข้าวเพียงถ้วยเล็ก ๆ ก็ทำท่าจะกลับไปขายของเสียแล้ว


"ทำไมกินน้อยจังครับ" ประวิทย์บ่น


"ทำไปชิมไปจนอิ่มแล้วลูก กินเยอะ ๆ นะแม่อุตส่าห์ทำไว้ให้ จะไปก็บอกด้วยแม่จะได้ตักใส่ถุงให้ไปกินที่บ้านด้วยนะ" แม่พูดอย่างใจดีและผมก็หยิบจานของแม่มาอาสาจะล้างจานให้เอง


เหลือผมกับประวิทย์ที่โต๊ะกินข้าวแค่สองคนแล้ว ผมก็ชิงถามประวิทย์มันโดยจู่โจมไม่ให้มันรู้ตัว


"ช่วงนี้งานเยอะมากเลยหรือไง เหมยมันสงสัย?" ผมเอ่ยปากถามและประวิทย์มันก็หันมามองหน้าผมตาละห้อย


"งานเยอะ เราตั้งใจทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะ ๆ น่ะ" ประวิทย์มันว่าและผมก็วางช้อนและหันมานั่งกอดอก


"เลยไม่มีเวลาสนใจเหมยเลย ทำไมทำอย่างนี้วะ" ผมพูดอย่างโกรธ ๆ จนประวิทย์มันต้องยื่นมือมาจับแขนของผมเขย่าเบา ๆ


"ไม่ใช่ไม่สนใจ เพราะเราตั้งใจมาก ๆ เลยต่างหากเล่า" ประวิทย์มันว่าแต่ผมก็ยังมองมันด้วยสายตาจับผิด


"สนใจอะไร โทรไปก็ไม่ค่อยรับโทรไปก็ไม่ค่อยอยากคุย ถ้าไม่ชอบเหมยก็บอกมาตรง ๆ เราจะได้บอกมัน หรือมีคนอื่นแล้ว" ผมชิงซักจำเลย ซึ่งเจ้าตัวก็ทำหน้าเหลอหลาและยกมือมาส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ


"ก็ครั้งนึงเราเคยคุยกับเหมยเรื่องอนาคต แล้วเหมยว่าจะเรียกสินสอดสามล้าน ตุล เรามันแค่พนักงานธรรมดาเงินเดือนหมื่นกว่า ๆ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวย เราก็เลยต้องรับงานพิเศษ จะได้เก็บเงินไว้สู่ขอเหมยน่ะ" ประวิทย์อธิบายและผมก็ถอนหายใจออกมาแรง ๆ และชักอยากจะกินยาแก้ปวดหัว


"มีแค่เนี้ยะนะ?" ผมถามและประวิทย์มันก็ทำหน้ายุ่ง


"เราทำงานสารพัดเลยนะตุล บางวันเราได้นอนแค่สี่ชั่วโมงเอง" ประวิทย์มันว่าแล้วมันก็จาระไนเรื่องงานพิเศษที่มันรับมาทำ ซึ่งผมฟังแล้วก็ไม่รู้จะสงสารใครดี


"ประวิทย์เราว่าเหมยมันไม่ได้หมายความเป๊ะ ๆ ตามนั้นหรอก เราว่าประวิทย์เอาเวลาไปหาเงินนี่ เปลี่ยนเป็นทำงานตามปกติ แล้วไปออกเดท แล้วก็พูดคุยกับเหมยเหมือนเดิมตามปกติดีกว่า ไม่ใช่สิพูดคุยให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย


อีกอย่างนึงนะ จะแต่งงานกันน่ะ ผู้ชายต้องเป็นหลักของครอบครัวก็จริง แต่ผู้หญิงก็ต้องร่วมด้วยช่วยกัน ไม่ใช่ให้ผู้ชายทำงานหาเงินงก ๆ อยู่คนเดียวโน่นไงดูโน่นสิ" ผมพูดและชี้มือไปที่พ่อกับแม่ที่ช่วยกันขายของ


"ประวิทย์เชื่อเรานะ" ผมบอกเพื่อนและยื่นมือไปเขย่าไหล่ของมันแรง  จนประวิทย์มันยิ้มมาให้


จนประวิทย์กลับไปผมก็รีบโทรศัพท์หาเหมยเพื่อชี้แจงเหตุผล ซึ่งเจ้าหล่อนก็ทั้งบ่น ทั้งด่า และทั้งหัวเราะกับความซื่อของประวิทย์มันเสียจริง ๆ 


"เอาน่าช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามนะ" ผมบอกเพื่อนรักและวางสายโทรศัพท์ลง   คนเรามันก็มักจะเป็นอย่างนี้กับเรื่องของคนอื่นนี่ล่ะเก่งจริง ๆ