อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน
โดย : Chavaroj
"ปัดโธ่ตาประวิทย์เอ๊ย ตาบ๊อง" เหมยบ่นออกมาแล้วก็หัวเราะแทบเป็นแทบตายเมื่อผมไปเล่าให้ฟังว่าเจ้าตัวมุ่งมั่นจะเก็บเงินล้านเพื่อจะได้เอาไปสู่ขอสาวเจ้า
"แล้วไปคุยกันอีท่าไหนวะ ประวิทย์มันถึงจะเก็บเงินล้านไปสู่ขอน่ะ" ผมซักไซ้และเริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นว่าหนทางมันดูจะเริ่มคลี่คลาย
"เรื่องไม่เข้าเรื่องแท้ ๆ คืออย่างนี้ ตอนนั้นเราดูละครเรื่อง มนต์รักลูกทุ่งกับประวิทย์ แล้วไอ้คล้าวพระเอกน่ะเค้าร้องเพลง สิบหมื่น ประวิทย์เค้าก็เลยถามว่าถ้าจะมีใครมาสู่ขอเราน่ะ ต้องใช้เงินเท่าไหร่" เหมยเล่าแล้วก็ถอนหายใจ
"อย่าบอกนะว่าเหมยก็ว่าสิบหมื่นเหมือนในละครน่ะ" ผมทักถาม
"ตุลเดาถูกจ๊ะ อีตาประวิทย์ถามเราว่าต้องใช้เงินสิบหมื่นแบบนั้นหรือเปล่า เราเลยว่าอย่างเราต้องสักสองสามล้าน" เหมยเล่าที่มาที่ไป จนผมบอกให้เจ้าตัวไปปรับความเข้าใจกันเอง
คนรักกันทะเลาะหรือมีเรื่องกัน ต้องให้ทั้งสองคนปรับความเข้าใจกันเอง ชะดีชะร้าย เราไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เกิดเขากลับมาดีกันเข้าใจกัน เราก็กลายเป็นหมาไปเท่านั้น
ผมใช้ประสบการณ์จากอดีตเอามาสอนใจ ซึ่งถึงในอดีตผมจะไม่เคยไปวุ่นวายกับความรักของใคร แต่ตัวอย่างมันมีให้เห็นเยอะแยะ
ซึ่งหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ติดตามผลแต่อย่างใดเพราะคิดว่าคนฉลาดอย่างประวิทย์ และคนเฉลียวอย่างเหมย คงจะปรับความเข้าใจกันได้ ถ้าทั้งสองคนมีพื้นฐานความรักกันมากพอ
ซึ่งผมก็ต้องมายิ้มอย่างดีใจ เมื่อได้ข่าวจากปูว่า ปูได้ลูกสาวสมใจทั้งคนเป็นพ่อเป็นแม่ ผมกับเหมยจึงนัดจะไปเยี่ยมหลาน ซึ่งเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจก็คือ ประวิทย์ขับรถมารับ
รับทั้งผมและปูนั่นแหละ ซึ่งตลอดทางผมก็เห็นคู่รักคู่ใหม่ คุยกันกระจุ๋งกระจิ๋ง เป็นที่น่าหมั่นไส้ ราวกับไม่เคยมีเรื่องเข้าใจผิดกันมาก่อนทีเดียว
เมื่อถึงร้านของ ชูวิทย์ ซึ่งเจ้าตัวก็เดินออกมาต้อนรับและยิ้มร่าทีเดียว
และเมื่อพาพวกเราเข้าไปด้านใน ผมที่หิ้วกระเช้าของเยี่ยมไปกับเหมยคนละใบ ซึ่งก็เป็นพวกของใช้เด็ก ประเภท ผ้าอ้อม สบู่เด็ก เสื้อผ้าเด็กและของบำรุงคุณแม่ เป็นพื้น
"โอ๊ย ซื้อมาทำไมเยอะแยะ เต็มบ้านไปหมดแล้ว" ปูบ่นพร้อมรอยยิ้ม
"ของไม่บูดไม่เน่า เก็บเอาไว้ใช้เผื่อลูกคนต่อไปได้ไงจ๊ะ" ชูวิทย์มันพูดอย่างร่าเริงและอุ้มลูกสาวตัวน้อยมาอวดพวกเรา
"คนเดียวพอย่ะ ใครอยากได้อีกก็ไปตั้งท้องเองก็แล้วกันนะยะ" ปูพูดอย่างโกรธ ๆ แต่ชูวิทย์ก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่ทำหน้าเป็นเล่นกับลูกสาวราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่วันคุยกันรู้เรื่องแล้ว
"พอคลอดลูกแล้วปูดูเหมือนกลับมาเป็นสาวเลยนะ" ผมเอ่ยชมเพื่อนซึ่งเจ้าตัวก็ค้อนมาให้
"ยังมีหน้าท้องอยู่เลยตุล" ปูพูดทำหน้ายู่ พร้อมกับเอามือลูบหน้าท้องของตัวเอง
"ให้นมลูกเอง เดี๋ยวน้ำหนักก็ลงเร็วเชื่อเหมยสิ" เหมยว่าและรอจังหวะให้ผู้ชายสองคนหนีไปคุยกันด้านนอกจนพวกเราสามคนมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง
"แล้วนี่เมื่อไหร่เหมยจะแต่งงานบ้างล่ะ เดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้นา" ปูพูดแซวจนเหมยหน้าแดง
"รอชูวิทย์มันเก็บเงินมาสู่ขอสิบหมื่นให้ครบซะก่อน" ผมพูดประชดจนปูทำหน้างง แล้วนั่นล่ะ พวกเราก็ค่อยเล่าเรื่องของพ่อประวิทย์คนซื่อให้ปูฟังจนเจ้าตัวหัวเราะออกมา
"ทีหลังจะพูดอะไรก็มองหน้าประวิทย์มันนิดนึง ประวิทย์มันคนซื่อ ไม่เหมือนไอ้เฮียนี่หรอก" ปูพูดถึงสามี และผมฟังแล้วเหมือนเรียกชูวิทย์ว่าเฮียแต่มันฟังแล้วเป็นเหี้ยมากกว่า
"ฮั่นแน่พอมีลูกก็เรียกชูวิทย์ว่าเฮียเลยเหรอ" ผมแซว
"ชูมันบอกให้เรียกมันเป็นการให้เกียรติน่ะ เราก็ว่าเรียนมาด้วยกันโตมาด้วยกันจะเรียกเฮียเฮออะไร แต่จริง ๆ ก็ดีนะ บางทีเราโมโหเราก็เรียกมันไอ้เฮีย ถ้าขึ้นเสียงล่ะก็เป็นหยุดซ่าเลย ท่าทางชักจะกลัวเมีย" ปูพูดจนเราเห็นภาพแล้วก็พากันหัวเราะ ก็ประวิทย์น่ะ มันแพ้ทางปูมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว โดนใช้เป็นลูกกระจ๊อกมาตลอดนี่นา
คุยกันต่อตามประสาผู้หญิง และชูวิทย์ก็เอาสาวน้อยมาคืนแม่ เพราะหนูน้อยงอแงจะกินนม จนปูจะให้นมลูกนั่นแหละผมก็ตะขิดตะขวงใจเลยปลีกตัวออกมาคุยกับพวกชายหนุ่มบ้างดีกว่า
"ปล่อยให้สาว ๆ เขาได้คุยกัน มันก็มีบางเรื่องที่ผู้หญิงเท่านั้นที่เข้าใจน่ะ" ผมว่ากับเพื่อนชายทั้งสองคนเมื่อมันเห็นว่าผมเดินออกมา
แม้ชูวิทย์กับประวิทย์จะรู้จักกันเพียงผิวเผิน แต่ความช่างพูดช่างคุยของชูวิทย์ ก็ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว ผมซะอีกที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานยังดูจะคุยไม่สนิทเท่าสองคนนี้คุยกัน
"จริง ๆ ถ้าไม่ถือเรื่องพิธีรีตอง กูว่าผูกข้อไม้ข้อมือแล้วไปอยู่ด้วยกันเลยก็ได้ นี่มันยุคไหนแล้ว" ชูวิทย์มันว่าในฐานะคนที่มีเมียมาก่อน
"มันจะดูไม่ให้เกียรติผู้หญิงน่ะสิ" ประวิทย์แย้ง
"แต่เราเห็นด้วยกับชูวิทย์นะ เราว่าแต่งงานกัน ตัดสินใจอยู่กินด้วยกันมันก็เป็นเรื่องของคนสองคน แค่จัดงานเล็ก ๆ ให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้รับรู้ก็น่าจะพอ" ผมเสนอความเห็น
"คนบ้านนอก ถูกใจกันก็พากันไปอยู่ด้วยกันเลยไม่เห็นเขาจะคิดมาก อยู่กันจนลูกเต้ายั้วะเยี๊ยะ ก็ไม่เห็นจะเลิกกันเลย อีคนจัดงานใหญ่โตแล้วเลิกกันมีถมไป" ชูวิทย์ไม่วายจะเสนอความเห็นแผลง ๆ ตามประสา
"เราว่านะ สรุป คบกันไปดูใจกันไปอีกสักพัก ระหว่างนี้ก็หมั่นไปมาหาสู่กันระหว่างสองครอบครัวไปก่อน พร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยปรึกษากัน" ผมเสนอความเห็น แน่ล่ะ ก็มันเป็นความเห็นของคนอายุห้าสิบกว่าปีเชียวนะ จะน้อยจะมากก็รู้เห็นมาเยอะกว่าคนอายุยี่สิบกว่า ๆ แน่ ๆ แต่ท้ายที่สุดมันก็เป็นเรื่องที่คนสองคนต้องปรึกษาและคิดลงมือทำกัน คนอื่นไม่เกี่ยวเท่าไรหรอก
พูดคุยกันจนอ่อนใจ และอยากให้คุณแม่มือใหม่ได้พัก หลังจากต้องปากเปียกปากแฉะกับผัว ไหนจะต้องมาเม้าจนน้ำลายเหนียวกับเพื่อนอีก
พวกผมเอ่ยปากลา และผมก็ชวนเพื่อนทั้งสองคนไปกินข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านของผมเสียเลย
"ไปกินที่บ้านเรานั่นแหละดีแล้ว ไม่เปลือง เราขี้เกียจไปกินที่อื่นไกล ๆ ด้วย" ผมเอ่ยปากชวนกึ่งบังคับ เพราะบอกว่าแม่เรียกให้ทั้งสองคนไปกินข้าวที่บ้านของผม
ซึ่งแน่นอนว่าทั้งพ่อทั้งแม่ ต่างก็ดีใจที่รู้ว่าประวิทย์กับเหมยกำลังคบหาดูใจกัน และพ่อดูจะออกอาการราวกับลูกชายจะแต่งงานเสียเอง
กินข้าวและพูดคุยกันแล้ว ผมก็ออกไปยืนส่งเพื่อนรักทั้งสอง โดยประวิทย์ว่าจะไปส่งเหมยที่บ้าน
"ขับรถดี ๆ นะ แล้วไว้นัดกินข้าวกัน" ผมเอ่ยลาเมื่อทั้งสองขึ้นรถและขับรถจากไป
ผมยืนยิ้มและรู้สึกอุ่น ๆ ในหัวใจ ถ้าคู่นี้ลงเอยกันได้ และผมก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะมีปัญหาตรงไหน แต่ก็แอบลุ้นให้ทั้งสองลงเอยกันไว ๆ ผมจะได้อุ้มหลานอีกสักคน
"มะไหร่จะมีแฟนบ้างเราน่ะ เพื่อนมีแฟนกันไปหมดแล้ว" พ่อเอ่ยปากแซวผมเมื่อผมเดินกลับเข้าไปในบ้าน
"โอ๊ยไม่เอาหรอกพ่อ อยู่ให้พ่อกับแม่ดูแลตุลไปอย่างนี้ดีกว่า" ผมพูดและยักไหล่ จนพ่อมองผมด้วยหางตา และแกล้งถอนหายใจแรง
เดินเข้าไปช่วยแม่เก็บจานชามไปล้าง และไล่ให้แม่ไปพักผ่อน เดี๋ยวผมจะเก็บกวาดทำความสะอาดข้างล่างเอง
"แม่ขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวตุลทำเสร็จจะขึ้นไปดูวิดีโอด้วย อย่าเพิ่งแอบดูก่อนนะ ตุลจำได้ถึงม้วนสิบแล้ว" ผมบอกและรีบทำงานให้เสร็จ
และเมื่อเข้าไปในห้องนอนของพ่อกับแม่ ที่เปิดแอร์จนเย็นฉ่ำแล้ว ผมก็จัดการเสียบม้วนวิดีโอเข้าไปในเครื่อง และพวกเราก็ดูละครจีนกันต่อ ซึ่งตอนนี้กำลังสนุกนัก
"ชอลิ้วเฮียงถล่มวังค้างคาว" ผมพูดกับตัวเองเบา ๆ และนึกถึงเรื่องนี้ที่ผมอ่านสมัยเป็นนิยายมาแล้ว เลา ๆ ว่าในละครทำต่างจากในนิยาย แต่ก็สนุกดีกันไปคนละแบบ
และแน่นอนผมนึกถึงประวิทย์เพื่อนรักที่เป็นคอนิยายกำลังภายในและเป็นคนลากผมมาเป็นหนึ่งในสาวกนิยายจีนด้วยอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ประวิทย์กับเหมยนิสัยต่างกัน แต่ผมว่า ในความต่าง มันมีจุดเชื่อมต่อที่ทดแทนกันและกันได้อย่างดีทีเดียว ประวิทย์ขรึมไม่ค่อยช่างพูด แต่เหมยพูดเก่ง และมีเรื่องสนุกมาเล่าได้ทั้งวัน คนหนึ่งพูดอีกคนหนึ่งก็เป็นผู้รับฟัง เข้ากันดีจะตาย
ผมอมยิ้มเมื่อนึกถึงทั้งสองคน แต่อีกใจหนึ่งผมก็อดคิดถึงคนที่ผมเคยมีความสัมพันธ์แต่เขาต้องย้ายไปอยู่แดนไกลเสียไม่ได้
ไม่ได้ข่าวคราวกันเลย แต่ผมก็ไม่ได้เหงาหรือคิดถึงเขาราวใจจะขาด ตรงกันข้ามผมเฉย ๆ และรู้สึกว่าความสุขของผมในตอนนี้ก็คือการได้ทำงานในแต่ละวันและการได้กลับมาอยู่กับบ้าน อยู่กับพ่อแม่แบบเวลา ณ ขณะนี้มากกว่า
"ตกลงอีตานี่มันเป็นพระเอกหรือผู้ร้ายเนี่ย?" แม่เอ่ยปากปรึกษาพ่อ เพราะตัวละครในเรื่องดูไม่ออกจริง ๆ ว่าเป็นตัวดีหรือตัวร้าย และเล่นละครเรื่องอื่นก็เป็นตัวพระเอกบ่อย ๆ
"น่าจะเป็นตัวร้ายนะแม่ แต่ตุลจำได้ว่าเคยอ่านนิยายจริง ๆ ตัวร้ายต้องเป็นคนตาบอด แล้วได้เมียแก่คราวยาย" ผมว่าไปตามที่ความทรงจำระลึกได้ แต่จะถามว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรก็ชักจะเลือน ๆ ไปมากแล้ว ผมแอบสปอยล์เนื้อเรื่อง
ผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขมาได้อีกหนึ่งปี ผมแทบลืมวันเวลาเพราะทุก ๆ วันกิจวัตรของผมก็ซ้ำรอยแบบเดิม ๆ แต่เพิ่มเติมคือความสัมพันธ์ของประวิทย์และเหมยที่แน่นแฟ้นกันมากขึ้น
ส่วนปูและชูวิทย์ ก็เป็นไปตามที่พวกเรานินทา ปูท้องลูกคนที่สอง และชูวิทย์ก็เอาอกเอาใจเมียเป็นนักหนา
"แพ้ท้องจนแดกอะไรก็ไม่ได้ โน่นก็ไม่แดกนี่ก็ไม่แดกเหม็น บทจะอยากแดกอะไรขึ้นมา ก็ต้องเอาให้ได้เดี๋ยวนั้น กูจะเป็นโรคประสาทก่อนลูกคลอดแล้วเนี่ย" ชูวิทย์นินทาเมียเมื่อผมกับเหมยและประวิทย์ นัดรวมตัวไปเยี่ยมเพื่อนด้วยกัน
"ก็ใครทำให้ปูท้อง คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบสิยะ" เหมยบอกและชูวิทย์ก็แลบลิ้นใส่ล้อเลียน
"ว่าแต่ทั้งสองคนเถอะ เมื่อไหร่จะไปอยู่ด้วยกันสักทีล่ะเทียวไปเทียวมา จะสามสิบกันแล้วนาเดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้" ปูที่อาเจียนเสร็จ เดินซับน้ำตาและน้ำลาย ถามขึ้นเมื่อชูวิทย์ประคองปูมานั่งกับพวกเรา
"ก็ใกล้แล้วหละ" ประวิทย์ว่าและยิ้มเขิน
"เฮียมึงไปไหนก็ไปไกล ๆ ไป๊ เหม็นขี้หน้า" เหมยเอ่ยปากไล่ผัวและชูวิทย์ก็ทำหน้าเซ็ง ตอนจะเดินจากไปก็ออกจะบ่นพึมพำเบา ๆ พร้อมดึงมือประวิทย์ให้ออกไปคุยข้างนอกด้วยกัน
"เนี่ยล่ะโว้ยชีวิตของผัวทาส อยากให้เราช่วยก็เรียกเฮียอย่างนั้นเฮียอย่างนี้ บทจะเกลียดขี้หน้าก็ไล่ผัวอย่างกะหมูกะหมา" ชูวิทย์บ่น
"เฮียมึงมาพูดใกล้ ๆ นี่ดิ๊" ปูพูดดัง ๆ จนชูวิทย์ทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย และรีบเดินหนีออกไปจนพวกเราต้องกลั้นขำ
"ไหนว่าจะมีลูกคนเดียวไง คนโตยังไม่ทันจะหย่านมเลยท้องคนที่สองซะแล้ว" เหมยแกล้งบ่น
"ก็เหตุเกิดตอนเราไปเยี่ยมแม่ที่ต่างจังหวัดน่ะ ไปตั้งอาทิตย์นึง กลับมาเฮียมันบ่นคิดถึง" ปูเล่าไปก็หน้าแดง และเราก็เข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่ม
"ว่าแต่อีพี่โยอะไรของตุลนี่เงียบไปเลยเนอะ" ปูเอ่ยปากแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร
"ไปเรียนต่อโทที่เมืองนอกไง" ผมบอก
"น่าจะใกล้จะกลับแล้วล่ะมั้งเห็นว่าเรียนเก่งด้วยหนิ" ปูว่า
"เรียนเก่ง แต่กลับมาแล้วตุลจะเอาอีกหรือเปล่าเถอะ" เหมยที่เรียนมาด้วยกันรู้จักทั้งผมและพี่โยเอ่ยปากขึ้น และสีหน้าของเหมยก็บอกว่าผมคงไม่กลับไปหาพี่โยแน่ ๆ
"ถ้าเขากลับมาง้อล่ะ แบบถ่านไฟเก่าน่ะ" ปูไม่วายจะถามอีก
"ไม่รู้สิ เราไม่ได้คิดถึงพี่เขาเลย" ผมตอบไปตรง ๆ และผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
แต่สวรรค์ก็มักจะส่งบททดสอบในยามที่เราไม่ได้ตั้งตัวเสมอ
วันดีคืนดีที่ผมกำลังจะขึ้นไปนอนดูวิดีโอกับพ่อแม่แล้วก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา และผมก็เดินไปรับพร้อมความประหลาดใจปกติดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่ค่อยมีใครโทรมา
"สวัสดีครับ" ผมเอ่ยปากและปลายสายก็เงียบไปจนผมต้องเอ่ยปากถามอีกหน
"จะคุยกับใครครับ?"
"ขอสายตุลครับ" ปลายสายว่ามาและผมก็แสนประหลาดใจ
"พูดอยู่ครับ ใครหรือครับเนี่ย?" ผมเอ่ยปากถามแต่เสียงนี้ก็คุ้น ๆ แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าเสียงใครอยู่ดี
"ตุลพี่เองนะครับ พี่โย พี่เรียนจบกลับมาอยู่ที่ไทยแล้ว" พี่โยพูดรัวจนผมตั้งตัวไม่ทัน
"อ่อ ครับ ๆ ดีใจด้วย" ผมตอบไปเพียงเท่านั้น
และพี่โยก็พูดนัดแนะให้ผมไปกินข้าวด้วยกัน พร้อมกับนัดวันเวลา ซึ่งผมก็ตกปากรับคำไปเป็นอย่างดี แต่ก็อดจะรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแรง และทำอะไรไม่ค่อยถูกเหมือนกัน
"เหมยเรามีเรื่องปรึกษาหน่อยสิ" ผมโทรหาเหมยต่อแทบจะทันทีที่วางสายไปจากพี่โย
"ว่ามาค่ะ" เหมยพูดพร้อมกับเสียงเคี้ยวขนมกรุบกรอบอะไรสักชนิดอยู่ในปาก
"เมื่อกี้พี่โยโทรมาหาเรา บอกว่าเรียนจบ กลับมาอยู่ที่ไทยแล้ว แล้วพี่เค้าก็.......นัดเรากินข้าว" ผมบอกไปและเหมยก็เหมือนจะใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
"ก็ไปสิ แค่ไปกินข้าว จะได้รู้ไงว่าเขามาไม้ไหน" เหมยว่าและเราก็คุยกันอีกครู่หนึ่ง
เมื่อวางสายจากเหมยไป ผมก็เดินอย่างเหม่อ ๆ ไปปิดบ้าน ปิดไฟ และเดินขึ้นไปบนห้องนอนของแม่เพื่อดูวิดีโอด้วยกัน
ไม่นึกว่าพี่โยจะกลับมามีอิทธิพลทางใจกับผมได้ขนาดนี้ ตาของผมดูวิดีโอไป แต่ใจของผมก็ไม่ได้โฟกัสกับสิ่งที่ดูตรงหน้า
ผมมองมันอย่างผ่าน ๆ และไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ใจหนึ่งผมก็รู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นดีใจ แต่อีกใจผมก็รู้สึกว่าผมไม่ค่อยอยากจะไปเจอพี่โยเลย
เหมือนหัวใจสองด้านของผมทะเลาะกัน แต่ในเมื่อผมตัดสินใจรับปากเขาไปแล้ว ผมก็คงต้องไปกับเขาสินะ
ถึงวันที่เป็นกำหนดนัด พี่โยบอกว่าจะมารับผมที่บริษัท และผมก็นัดเวลาให้เลยจากเวลาเลิกงานสักหน่อยเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอคนเยอะ ๆ แล้วก็ต้องมาคอยตอบคำถาม
ใกล้ถึงเวลานัดเต็มที ผมเก็บเอกสารและเดินลงมารอพี่โยที่หน้าบริษัท ยืนรอไปก็มองนาฬิกาที่ข้อมือไป พร้อมกับชะเง้อมองรถที่น่าจะเป็นของคู่นัดหมาย
"คุณตุลทำไมวันนี้กลับสายล่ะครับ" เสียงคุ้นเคยดังมาจนผมสะดุ้ง และเมื่อหันหน้ากลับไปคุณต้นก็ยืนอมยิ้มมองผมอยู่
"เอ่อ ผมมีนัดไปทานข้าวกับเพื่อนน่ะครับ คุณต้นก็เลิกงานสายนะครับ" ผมตอบกลับไปและเดินไปคุยกับแก
"ก็มีเรื่องประชุมติดพันนิดหน่อยน่ะครับ ว่าแต่คุณตุลจะไปไหนกันหรอ?"
"เพื่อนผมเพิ่งกลับจากไปเรียนโทที่เมืองนอกน่ะครับ พอกลับมาก็เลยจะมากินข้าวด้วยกันสักหน่อย" ผมบอกและคุณต้นก็ทำท่าจะคุยต่อ แต่รถของพี่โยขับมาจอดตรงหน้าพอดี พร้อมทั้งบีบแตรเสียงดัง
"รอนานมั๊ย?" พี่โยเปิดกระจกออกมาถามและยิ้มเผล่มาให้
"ไม่นานหรอกพี่ตรงเวลาเป๊ะเลย" ผมหันไปบอกแกละเอ่ยปากลาคุณต้น พร้อมทั้งเดินอ้อมไปขึ้นรถที่อีกฝั่งของคนขับ
"ใครน่ะ?" พี่โยถามเมื่อผมขึ้นรถและหันไปมองคุณต้นแบบพิจารณา
"เจ้าของบริษัทของตุลน่ะ" ผมตอบและหันไปมองคุณต้นที่ยืนมองรถคันที่ผมโดยสารมา
"อะไรยังดูหนุ่ม ๆ อยู่เลย น่าจะรุ่น ๆ พี่เป็นเจ้าของบริษัทเลยหรอ?" พี่โยพูดและน้ำเสียงของเค้าผมฟังแล้วรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
"ก็รับช่วงมาจากพ่อเค้าน่ะ" ผมอธิบาย
"มิน่าล่ะ" พี่โยพูดพร้อมกับยักไหล่
ผมไม่อยากนินทาเจ้านายจึงชวนพี่โยคุยเรื่องอื่น ซึ่งแกก็มีเรื่องเล่ามากมายเสียจนผมฟังเพลิน
"ร้านที่พี่จะพาโยไปกิน ตอนนี้กำลังดังมากเลยนะ ถ้าไม่จองไม่มีที่นั่งหรอก ร้านติดกับแม่น้ำด้วยนะ อาหารอร่อย บรรยากาศดี" พี่โยคุยอวด
"แพงด้วยไหมล่ะ?" ผมไม่วายจะเอ่ยปากถาม
"ก็ไม่ได้แพงอะไรขนาดนั้น ไม่ต้องห่วงหรอกน่าพี่พาตุลมาพี่ก็ต้องเลี้ยงตุลสิ" พี่โยพูดและหันมายิ้มให้ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มแหย
ร้านที่พี่ตุลพามา ดีอย่างที่เจ้าตัวว่าจริง ๆ อาหารก็อร่อย บรรยากาศก็ดีจริง ๆ อย่างที่เจ้าตัวคุยอวด แต่ผมว่าในชีวิตนี้ผมคงได้มาร้านแบบนี้ครั้งแรกและคงเป็นครั้งสุดท้ายแน่ ๆ จ้างให้ผมมาคนเดียวยังไงก็ไม่มาหรอก
ในฐานะหนุ่มนักเรียนนอก ผมว่าพี่แกก็ดูโก้หร่าน และดูมีเสน่ห์แบบที่จะเอาไปอวดใคร ๆ ได้จริง ๆ แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าผมตัวเล็ก และดูไม่สลักสำคัญ
ยิ่งระหว่างเรากินข้าวกันไป มีเพื่อนพี่โยที่เจ้าตัวว่ารู้จักกันตอนไปเรียนอยู่ที่เมืองนอกเดินเข้ามาทักทาย ผมก็ยิ่งรู้สึกตัวเองตัวเล็กลงไปอีก
"เพื่อนพี่สมัยเรียนโท แต่เขาเรียนวิศวะ จริง ๆ ที่มากินร้านนี้ก็เพราะเจ้าของร้านเป็นเพื่อนของเพื่อนพี่อีกทีรู้จักกันตอนเรียนนั่นแหละ" พี่โยอธิบายและผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งฟังแกคุยไปเรื่อย ๆ
และเมื่อผมซักถามอะไรสักหน่อย แกก็จะตอบพร้อมกับอธิบายเป็นคุ้งเป็นแคว อย่างคนที่มีความรู้มาก ซึ่งผมก็ได้แต่ฟังเพลินเท่านั้น
เมื่อกินข้าวเสร็จ พี่ตุลก็เป็นเจ้ามือเลี้ยงผมจริง ๆ ซึ่งผมมองจำนวนเงินที่พนักงานมารับแล้วก็อดจะใจหายหน่อย ๆ เพราะมันแพงชนิดซื้อกับข้าวจากร้านของผมได้หลายสิบถุงเลยเชียวล่ะ
"ไปเดี๋ยวพี่ไปส่ง หรือคืนนี้ตุลอยากไปนอนค้างกับพี่ที่ห้องก็ได้นะ" พี่โยพูดและขยับตัวเข้ามาใกล้ เสียงกระซิบของพี่โยที่ข้างหูทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
"พรุ่งนี้ตุลมีประชุมแต่เช้าเลยครับไม่น่าจะสะดวก ไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะ" ผมตอบออกไปและพี่โยก็ส่งยิ้มมาให้
"บ้านพี่โยอยู่คนละทางกับตุลเลย เดี๋ยวตุลลงกลางทางแล้วต่อรถเองก็ได้ มันดึกแล้ว ขับรถกลับดึก ๆ อันตราย" ผมว่าและพี่โยก็ยังยืนยันจะมาส่งผมที่บ้าน
รถจอดที่หน้าบ้าน ผมเอ่ยขอบคุณและกำลังจะเปิดประตูเพื่อลงไป แต่พี่โยก็เรียกผมพร้อมกับเอื้อมมือมาดึงมือของผมไว้ก่อน
"???"
"พี่คิดถึงตุล ขอหอมแก้มทีได้ไหม?" พี่โยว่าและผมก็พยักหน้าและยื่นแก้มของตัวเองไปให้แกหอม แต่ปากว่าหอมแก้ม แต่หลังจากนั้นพี่โยก็โอบผมเสียแน่นและยื่นหน้ามาจูบผมเสียแรง
รสจูบที่ริมฝีปากของพี่โยบดเบียดมันช่างแสนเร่าร้อน และราวกับมันคือเชื้อไฟที่ปะทุจนไฟในใจของผมลุกโพลง ผมรับรอยจูบของพี่โยอย่างเต็มใจ และเราก็ใช้เวลาในรถเพื่อกอดจูบกันอยู่อย่างนั้นแสนเนิ่นนาน
มือของพี่โยเลื่อนไล้ปลดกระดุมเสื้อและนิ้วซนก็ขยับมาบดบี้ที่หัวนมของผมจนผมต้องส่งเสียงร้องครางออกมา
ส่วนอีกมือของพี่โยก็ดึงมือของไปจับที่อาวุธของแกที่มันขยับขยายจนเต็มเป้ากางเกง
จนพี่โยใช้มือรูดซิบและควักเจ้าแท่งเนื้อนั่นออกมาและจับมือของผมไปกอบกุมมันไว้จนเต็มมือ สัมผัสอุ่น ๆ และแข็งแกร่งทำให้ผมขยับมือของตัวเองช้า ๆ จนถึงจังหวะที่พี่โยกระซิบให้ผมเร่งมือ
จนสุดท้าย มือของผมก็เปรอะเลอะเทอะ จนพี่โยยื่นกล่องกระดาษชำระมาให้ ผมดึงมันมาเช็ดมือไม้จนคราบเหนียวแห้งไปแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรับรู้ได้ว่ามันยังไม่ได้สะอาด
"ตุลไปแล้วนะครับ พี่โยขับรถดี ๆ นะ"
"ฝันดีนะ แล้วคุยกัน" พี่โยพูดและยื่นหน้ามาจูบที่หน้าผากของผม
ผมยืนรอส่งจนพี่โยขับรถหายไปจากสายตา และเมื่อเข้าบ้าน ผมก็เดินไปที่ห้องน้ำ และจัดการล้างมือของตัวเป็นอันดับแรก
และเมื่อผมทิ้งตัวลงบนที่นอน ผมก็ยื่นมือข้างหนึ่งมาสัมผัสกับมืออีกข้างของตัวเอง มือที่เมื่อกี้มันเลอะเทอะไปหมด
"เอาไงดีวะตุล" ผมถามตัวเองซ้ำ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าในหัว
หลบหน่อยจ้าคนสวยจะเดิน