อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ - 12 ความสุขของผม โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน

สารบัญ

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-1 คนขี้แพ้,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-2 เวอร์ชันใหม่,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-3 วัยรุ่นวัยเรียน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-4 เพื่อนชาย,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-5 ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-6 แผนสอง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-7 วัยทำงาน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-8 กลับมาหาความสุข,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-9 กองทัพเดินด้วยท้อง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-10 พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-11 เอาไงดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-12 ความสุขของผม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-13 ดีใจ...ใจดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-14 เปรียบเทียบ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-15 คนไม่สำคัญ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-16 อุ่นใจ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-17 สนิท,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-18 คนพิเศษ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-19 ขอจันทร์

เนื้อหา

12 ความสุขของผม

โดย : Chavaroj




แน่ล่ะว่าคืนนั้นผมนอนหลับไม่สนิทและคิดถึงแต่บทบาทรักของผมกับพี่โยเมื่อครั้งเก่าก็อย่างคำเก่าที่ว่า "วัวเคยขาม้าเคยขี่" 


และในครั้งถัดมา เมื่อพี่โยโทรศัพท์มาหาเพื่อรับผมไปกินข้าว หรือถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือมารับผมไปนอนด้วยกันนั่นแหละ


อันที่จริง ๆ จะให้ผมตัดสินว่าไอ้สิ่งที่ผมกับทำกับพี่โย มันเรียกว่าความรักนั้น มันก็เรียกได้ไม่เต็มปากเต็มคำนักหรอก


แต่แค่ผมรู้สึกว่ามันมาเติมเต็มกับความปรารถนาทางเพศอันเป็นเรื่องลึก ๆ ปกติของมนุษย์ทุกคนนั่นแหละ


และพักหลัง ๆ บางครั้งเราก็มีอะไรกันที่โรงแรมม่านรูด และจบด้วยการแยกย้ายกันกลับบ้านของตนเอง


ผมห่วงพ่อแม่ และไม่อยากจากแกไปไหนแต่ถ้าพูดด้วยความสัตย์ ผมขี้เกียจตอบคำถามของพ่อกับแม่มากกว่าว่าไปค้างอ้างแรมที่ไหนมา


สู้กลับผิดเวลายังพออ้างว่าไปโน่นไปนี่ได้บ้าง 


และยุคสมัยนั้น ถึงพ่อกับแม่จะยอมรับได้ ว่าผมชอบผู้ชาย แต่สังคมจะยังค่อนข้างไม่ได้ยอมรับ และการแอบ ๆ ซ่อน ๆ ก็ยิ่งทำให้มันตื่นเต้นและมีรสชาติอย่างแปลกประหลาด


แต่แน่นอนว่าสถานะอะไร สำหรับเรามันไม่มีและเหมือนครั้งเก่าที่ผมไม่ถาม และพี่โยก็ไม่ได้ขอ...ไม่ชัดเจนอะไรเลย


"สถานะคู่นอนล่ะมั้ง" ผมเคยปรึกษากับเหมยถึงเรื่องพี่โยและเหมยก็ดูจะเป็นคนเดียวที่ผมจะปรึกษาและพึ่งพาได้


"มันก็ดีแหละตุล แต่...เราว่า มันค่อนข้างอันตราย" เหมยพูดอย่างเกรงใจ


"อันตรายยังไงหรือ?" ผมไม่วายจะถามแม้จริง ๆ จะรู้ว่ามันมีอันตรายอะไรบ้าง


"ก็โรคภัยเอย อะไรเอย" เหมยบอกและลอบมองผมอย่างหวาด ๆ


"เรามีอะไรกับพี่โยเราป้องกันตลอด" ผมแก้ตัว


"ก็ดีแล้ว แต่มันยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกนะ คือตุลไม่รู้ว่าที่บ้านพี่โยแกมีใคร หรือเป็นยังไงเลยไม่ใช่เหรอ?" เหมยเอ่ยปากและผมก็ทำท่าคิดอยู่ครู่ใหญ่


"ไม่รู้จริง ๆ ด้วยแหละ เราเคยไปบ้านพี่ตุลหนนึง แต่ไม่ได้เข้าไปนอนค้างนะ วันนั้นพี่โยแกลืมของอะไรสักอย่าง เราไหว้พ่อแม่พี่โยแต่แกก็ไม่ได้แนะนำอะไร เอาของเสร็จก็กลับ" ผมเล่าให้เพื่อนรักฟัง


"นั่นสิ เกิดขอกันเป็นแฟน พ่อแม่เขาจะรับได้หรือเปล่าก็ไม่รู้" เหมยพูดจนผมทำปากยู่


"ที่สำคัญนะตุล เราไม่รู้ว่าในสังคม ในสิ่งแวดล้อมของพี่โยน่ะ แกแอบคบกับใครนอกจากตุลด้วยหรอเปล่า หรือที่ทำงานของแกน่ะ มันอะไรยังไง เราว่าตุลรู้จักชีวิตส่วนตัวของอีพี่นั่นน้อยเต็มที" เหมยพูดและทำท่านึก ดูเหมือนจะพยายามอธิบายสิ่งที่เหมยค้างคาอยู่ในใจแต่ผมก็เข้าใจเพื่อนรักดี 


"คือกลัวจะฟันเราฟรีว่างั้นเถอะ" ผมพูดและอมยิ้ม และเหมยก็ทำหน้าเบื่อใส่ผม


"ก็ประมาณนั้นแหละ จริงอยู่นะตุล ที่มันอิสระในสถานะนี้ แต่เราว่าถ้าจะคบกันให้ยืดยาว มันควรจะชัดเจนกว่านี้หน่อย" เหมยบอกและผมก็ยิ้มให้และเข้าใจความปรารถนาดีของเพื่อนรวมถึงคำตอบของเหมยก็ทำให้ผมตัดสินใจอะไรบางอย่างในใจได้ว่าต้องทำอะไรต่อไป


"โอเคเราเข้าใจละ ว่าแต่เรื่องของเหมยกับประวิทย์บ้างเถอะ พัฒนาไปถึงไหนแล้ว" ผมย้อนถามเหมยบ้าง


"ก็ดีนะ เดี๋ยวนี้ถ้าว่าง วิทย์ก็มารับเรากลับจากที่ทำงาน ถ้าวันหยุด ก็พาเราไปบ้านของวิทย์บ้าง หรือไม่ก็มาบ้านเราบ้าง" เหมยพูดถึงคนรักก็ยิ้มกริ่ม


"แล้วกับพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายล่ะ?" ผมถามต่อ


"พ่อแม่เราเค้าก็ชมว่าวิทย์น่ะเรียบร้อยดี ส่วนพ่อกับแม่วิทย์ก็ชอบเรามากนะ ไม่ได้อวยตัวเองนะ แต่เราสนิทกับแม่ของวิทย์จริง ๆ แกว่าอยากมีลูกสาว" เหมยพูดแล้วก็ยิ่งหน้าแดง 


ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้ม จะว่าหมั่นไส้ก็ไม่เชิง แต่ก็ชอบที่เห็นคนเขินจนหน้าแดงแบบนี้


จบมื้ออาหาร แน่ล่ะว่าประวิทย์ต้องมารับเหมย และเมื่อไปส่งเหมยที่บ้านก่อน แล้วจึงมาส่งผมที่บ้านเป็นลำดับสุดท้าย


"ความรักหวานชื่นเลยน๊า" ผมเอ่ยปากแซว แต่คนอย่างประวิทย์ก็ไม่พูดอะไรมากได้แต่อมยิ้ม


"ได้ข่าวว่าพ่อกับแม่ของประวิทย์ เอ็นดูว่าที่ลูกสะใภ้มากไม่ใช่เหรอ?" ผมเอ่ยปากแซวและประวิทย์ก็ยิ้มกว้าง 


"แม่แหละ ชอบนินทาเราให้เหมยฟัง" ประวิทย์ฟ้อง และหลังจากนั้นก็เล่าอะไรต่าง ๆ นาให้ผมฟังอีกหลายเรื่อง ซึ่งก็ทำเอาผมอดอมยิ้มไปกับเรื่องราวความรักของทั้งสองอีกไม่ได้


จนเมื่อผมถึงบ้านและเอ่ยลาประวิทย์ เดินเข้าบ้านไป แม่ซึ่งกำลังนั่งฟังวิทยุก็เงยหน้ามาทักทายผมทันที


"ไปไหนมาล่ะ?" แม่ถามและผมก็บอกว่าไปกินข้าวกับเหมยมาและประวิทย์เป็นคนมาส่ง


"คู่นี้น่ารัก เมื่อไหร่จะแต่งงานกันเสียที" แม่พูดแล้วก็อมยิ้ม ส่วนผมก็ทำทีจะขึ้นไปอาบน้ำจนแม่ร้องทักผมเสียก่อน


"เมื่อกี้มีโทรศัพท์มาหาตุลแน่ะ" แม่ว่าและผมก็ขมวดคิ้วสงสัย


"ใครหรอแม่?" ผมเอ่ยปากถามเพราะปกติ โทรศัพท์ถึงผมน่ะไม่ค่อยมีหรอก และคนที่คุยโทรศัพท์ได้บ่อย ๆ ก็เป็นคนที่คุยไปแล้วเมื่อตอนเย็น


ก็ตอนปัจจุบันของผมตอนนี้มันยังไม่ได้โทรศัพท์มือถือใช้กันให้เกลื่อนเหมือนตอนผมแก่ชรา แต่เท่าที่อยู่ในยุคนี้ โทรศัพท์แบบเป็นกล่องหิ้วเริ่มจะมีใช้กันแล้ว และเครื่องหนึ่งก็ราคาหลักแสน แถมเสียเงินทั้งคนโทรเข้าและคนรับด้วย


"เขาว่าชื่อโยธิน หรือไงนี่แหละ" แม่บอกและผมก็รับคำ พร้อมกับเดินขึ้นไปอาบน้ำอย่างไม่ได้สนใจ


พี่โยโทรมาหาผมบ่อย ๆ ในช่วงนี้ ทั้งที่ทำงานบ้าง และที่บ้านในบางครั้ง 


ไม่ใช่คิดถึงอะไรหรอก แกอยากจะอวดโทรศัพท์ใหม่เสียละมากกว่า และผมก็ยังไม่ได้เห็นความสำคัญในการโทรคุยกับแกบ่อย ๆ ด้วย


อาบน้ำเสร็จผมก็ตรงเข้าห้องนอนของพ่อกับแม่เพื่อไปดูวิดีโอด้วยกันต่อทันที เพราะกำลังสนุก ในยุคนี้ความสุขคือวิดีโอ ต่อเมื่อผมแก่ ๆ นั่นล่ะ ที่ต่างคนต่างมีโทรศัพท์กันคนละเครื่อง หรือหลาย ๆ เครื่องพร้อมกับสตรีมมิ่งดูซีรีส์แบบต่างคนต่างดู ตัวใครตัวมัน


ดูจบก็แยกย้ายกันนอน และเมื่อเช้าวันใหม่เมื่อไปทำงานผมก็ออกจะตื่นเต้นและนึกสนุกเมื่อพี่ ๆ ที่ออฟฟิศคุยกันว่าบริษัทเราจะไปจัดงานที่ต่างจังหวัด


"ไปโคราช สามวัน สนุกจะตายขายก็ดี ลูกค้าก็น่ารัก" พี่คนที่มาแจ้งข่าวผมบอก แต่ผมว่าสีหน้าร่าเริงอย่างนี้มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น


"เล่นไพ่กันยันเช้าเลยแหละ รอบที่แล้วน่ะ ยิ่งพวกเซลล์นะ มือเติบ" สายรายงานมาซึ่งผมก็ได้แค่อมยิ้ม  ไม่ได้กล่าวอะไร เพราะผมเล่นไพ่ไม่เป็นอยู่แล้ว


"ไปสามวันเลยหรอลูก" แม่เอ่ยปากถาม


"ไปวันศุกร์ กลับวันอาทิตย์ตอนเย็น ๆ น่ะแม่" ผมบอก ขณะที่เก็บเสื้อผ้าพับใส่กระเป๋า โชคดีที่บริษัทเรามีชุดฟอร์ม ผมก็เลยไม่ต้องลำบากในการเลือกเสื้อผ้ามากนัก


ถึงเช้าวันเดินทาง แน่นอนว่ากับข้าวห่อถูกแบกหามไปโดยพ่ออาสาขับรถมาส่ง และรถตู้ที่บริษัทจ้างมาถึงสามคันก็ถูกผมแจกจ่ายอาหารพร้อมพ่อ ซึ่งยิ้มทักทายและพูดคุยกับพี่ ๆ ที่บริษัทผมตามประสาคนชอบคุย


"คุณต้น ทานมื้อเช้าหรือยังครับ ผมซื้อชามะนาวมาฝากด้วย" ผมพูดพร้อมกับยื่นห่อข้าวให้เจ้านาย คุณต้นพูดขอบคุณและผมก็เดินไปสมทบกับพี่ ๆ ในแผนก ส่วนผมก็ปลีกตัวมาคุยกับพี่ ๆ ที่สนิทกัน


นั่งรถตู้กันมา ผมก็เข้าใจความสนุกของพี่ ๆ กันแล้วเพราะแค่ออกมาจากรังสิต วงไพ่ก็จัดขึ้นมันในรถตู้ทันที 


"ตุลไม่เล่นเหรอ?" พี่คนหนึ่งถามอย่างใจดี


"เล่นไม่เป็นครับ" ผมบอกพร้อมกับอมยิ้ม สุดท้ายผมก็โดนไล่ให้ไปนั่งที่ท้ายรถ เพราะคนอื่น ๆ ไปออกันเพื่อเล่นไพ่จนหมด ก็ดีเหมือนกันผมนอนเหยียดยาวหลับสบายไปเลย


จนใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ ๆ รถก็ไปถึงโรงแรมที่พวกเราพัก และพวกเราก็ได้รับกุญแจสำหรับห้องพักกัน ซึ่งห้องพักหนึ่งก็พักกันประมาณสามคน มีเตียงเดี่ยวสองเตียงและเตียงเสริมอีกหนึ่งเตียง


แน่ล่ะผมในฐานะเด็กที่สุดก็ขอนอนเตียงเสริมนี่ก็แล้วกัน ส่วนพี่อีกคนที่นอนด้วยก็เป็นพี่แผนกสต๊อกซึ่งอาวุโสจนใคร ๆ เรียกแกว่าลุง ส่วนอีกคนเป็นใครก็ไม่รู้ และตอนนี้ผมก็ไม่ได้อยากรู้ด้วยสิ ขอรีบเอากระเป๋าไปเก็บก่อนเป็นอันดับแรก


เพราะหัวหน้าแผนกของผมบอกว่าให้เอากระเป๋าไปเก็บและให้เวลาล้างหน้าล้างตาสิบห้านาทีแล้วค่อยมาเจอกันที่ล็อบบี้เพื่อไปจัดงานที่ห้างสรรพสินค้าประจำโคราชแห่งนี้


แต่เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ก่อนไปจัดงาน คุณต้นก็ให้พวกเราไปไหว้ย่าโม เพื่อจะได้เป็นสิริมงคล และเป็นขวัญกำลังใจให้พวกเราขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า


ผมออกจะขำที่คุณต้นที่ดูเป็นคนแสนทันสมัย แต่อธิษฐานนานกว่าใคร ไม่หวั่นแม้แดดจะแรงและไหนจะควันธูปควันเทียนที่รมจนผมสำลักจนต้องรีบไหว้และรีบกลับไปขึ้นรถ


พวกเราเฮละโลไปที่ห้างที่ว่า และช่วยกันขนสินค้ามาที่ลานจัดกิจกรรม  โดยพวกผมแผนกบัญชี เช็กสินค้า แล้วจึงให้พวกลุง ๆ พี่ ๆ แผนกขายจัดเรียงสินค้าด้วยความเชี่ยวชาญ


จริง ๆ บริษัทของผมก็จัดงานตามต่างจังหวัดบ่อย ๆ ต่อเมื่อมีงานใหญ่ ๆ ที่จัดตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ของแต่ละภาค ที่พวกเราที่บริษัทจะเฮละโลมาช่วยงานกันจนงานที่บริษัทเหลือกันแค่ไม่กี่คน


และผมว่านาน ๆ มาจัดงานแบบนี้ก็สนุกดี และออกจะเหนื่อยน้อยกว่าการจัดงานที่กรุงเทพฯ ด้วยเพราะโรงแรมที่พัก อยู่ใกล้กันชนิดเดินไปมาหาสู่กันได้


จัดของเสร็จ ก็ได้พักผ่อนกัน ซึ่งพวกเราก็เฮละโลไปเดินเล่นที่ตลาดโต้รุ่งกัน แต่พวกขาคำนวณ ก็ไปเรียนวิชาคณิตคิดเร็วกัน ซึ่งใครไปไหนก็สุดแต่หัวใจ แต่ผมเลือกจะไปเดินเล่นมากกว่า


ออกจะตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นตลาดตามต่างจังหวัดซึ่งหนุ่มสาวเดินเล่นกันช่างดูร่าเริง และวัยหนุ่มสาวมันก็สนุกดีอย่างนี้ 


ผมเลือกกินผัดไทยที่ร้านหนึ่งซึ่งคนไม่ได้มากจนต้องรอคิวนาน และหน้าตาก็ดูน่ากิน เสร็จแล้วก็พากันเดินกลับโรงแรมเพื่อจะได้อาบน้ำพักผ่อนกัน


เพื่อไม่ให้พ่อแม่เป็นห่วง ผมก็อดจะหยอดตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อบอกพ่อกับแม่ว่าถึงโรงแรมแล้วและกำลังจะอาบน้ำนอนพักเพื่อทั้งสองคนจะได้ไม่ต้องห่วงว่าลูกสุดที่รักจะไปตกระกำลำบาก


เอ่ยปากลากับพี่ ๆ ผู้หญิง เพื่อไปยังห้องของตัวเอง แต่ผมตกใจจนอ้าปากค้างเมื่อเห็นคนที่สามที่มานอนห้องเดียวกับผมก็คือคุณต้นนั่นเอง


"อ้าวกลับมาแล้วเหรอครับไปเที่ยวไหนมาล่ะ?" คุณต้นถามอย่างใจดี พร้อมกับเอาผ้าขนหนูเช็ดผมหลังจากอาบน้ำ


"เอ่อไปตลาดโต้รุ่งครับ กินผัดไทย แล้วคุณต้นกินอะไรหรือยังครับ?" ผมเอ่ยปากถามและยิ้มแห้ง ๆ ให้แก


"ยังไม่ได้กินอะไรเลยครับว่าจะสั่งอะไรง่าย ๆ ของที่โรงแรมมากินจะได้ไม่เสียเวลา" คุณต้นว่าและเดินไปโทรศัพท์แจ้งกับทางโรงแรมสั่งอาหารที่ผมถึงกับต้องค้อนแก่โดยไม่ให้แกรู้ตัว


"กะเพราไก่ไข่ดาวครับห้อง 405" คุณต้นพูดแล้วก็วางหู ส่วนผมเดินไปเปิดกระเป๋าเพื่อจะหยิบเสื้อผ้าออกไปเตรียมตัวอาบน้ำ 


ครั้นเข้าไปในห้องน้ำ แอบมองพวกสบู่ แชมพูของคุณต้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเศรษฐีเขาใช้ของอะไรกัน แต่สิ่งที่ผมเห็นก็ทำเอาผมประหลาดใจ


เพราะแกใช้พวกของเด็ก ๆ ทั้งสบู่และแชมพู แต่ยาสีฟันก็ใช้ยาสีฟันทั่วไป ถ้าใช้ยาสีฟันเด็กอีกรายการผมคงต้องเอาไปนินทาแน่นอน


และเมื่อออกจากห้องน้ำไป คุณต้นก็นั่งโจ้ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวอย่างเอร็ดอร่อย จนผมเอ็นดูว่าคนอะไรช่างกินง่ายอยู่ง่าย ไม่สมกับเป็นลูกเศรษฐีแม้แต่น้อย


"คุณต้นกินแค่นี้อิ่มหรอครับ?" ผมเอ่ยปากถาม


"ค่ำแล้วผมกินไม่เยอะหรอกคุณตุล เดี๋ยวกรดไหลย้อนกำเริบ" คุณต้นว่าและผมก็ถึงกับต้องนั่งมองหน้าคุณต้นทีเดียว


"คุณต้นเคยเป็นกรดไหลย้อนด้วยหรือครับ ผมก็เคยเป็น โอ้โหทรมานมาก ๆ เลย" ผมบ่น


"เมื่อก่อนผมก็อ้วนครับ อ้วนมาก ๆ ด้วยเพราะชอบกินอาหารตอนก่อนจะนอน" คุณต้นตอบและผมก็เดาเอาว่าแกคงอ้วนเพราะตอนไปเรียนเมืองนอกคงกินนมกินเนยมากกระมัง


รอจนคุณต้นกินข้าวเสร็จแกก็เดินไปแปรงฟันอีกรอบ และเราก็ขึ้นเตียงนอนกัน โดยเปิดเคเบิ้ลทีวีของทางโรงแรม และมันก็ฉายซีรีส์จีนอันเป็นเรื่องฮิตของยุคนี้พอดีทีเดียว


"เรื่องนี้สนุกดีนะครับ แต่สงสารพระเอกนางเอกเพราะความเข้าใจผิดกัน ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี สุดท้ายนางเอกอยู่ใต้เหวนี่แหละ" ผมบอกเพราะดูวิดีโอกับพ่อและแม่จนจบไปแล้ว


"อ้าว แล้วอย่างนี้ผมจะดูสนุกไหมเนี่ย รู้ตอนจบซะแล้ว" คุณต้นบ่นจนผมนึกขึ้นมาได้


"แหมมันก็สร้างมาตั้งหลายเวอร์ชันแล้วหนิครับ มันก็เหมือนกันทุกภาคแหละ แต่ไอ้ภาคนี้ผมดูวิดีโอกับพ่อแม่จนจบไปแล้ว" ผมอธิบายและดูซ้ำใหม่ได้โดยไม่ได้รู้สึกว่าเบื่ออะไร


"คุณต้นไม่ยักกะทำตัวเหมือนคนรวยนะครับ" ผมเอ่ยปากแซวและคุณต้นก็หันมายิ้มให้แบบงง ๆ คงสงสัยว่าคนรวย ๆ ต้องทำตัวอย่างไรล่ะมั้ง


"ก็แบบคนรวย ๆ บางคนเค้าก็จะพักห้องพักหรู ๆ คนเดียว หรือกินอาหารก็ไปนั่งกินอาหารร้านหรู ๆ แพง ๆ ไงครับ" ผมอธิบายจนคุณต้นทำท่านึกอยู่ล่ะมั้งว่าจะตอบผมอย่างไรดี


"คนรวยน่ะป๊าผมไม่ใช่ผม ผมน่ะแค่รับจ้างป๊าทำงาน อีกอย่าง ตั้งแต่เด็กป๊าก็สอนพวกลูก ๆ ไม่เห่อเหิมน่ะครับ ทำตัวให้มันง่าย ๆ อย่าเรื่องมาก" คุณต้นอธิบายจนผมอดคิดถึงใครบางคนที่ใช้ชีวิต หรูแฟร่เสียเหลือเกิน


"ว่าแต่ลุงแกไปไหนล่ะครับ ดึกแล้วยังไม่กลับมานอนอีก" คุณต้นถามและผมก็คิดอยู่ว่าจะตอบอย่างไรดี


"แกก็คงไปนั่งเล่นกับพวกเฮีย ๆ แผนกเซลล์มั้งครับ นาน ๆ จะรวมตัวกันอย่างนี้ก็คงมีเรื่องอยากคุยกัน" ผมอธิบายจนคุณต้นยิ้มและส่ายหน้าไปมา 


และเมื่อละครจบ ผมก็เดินไปปิดไฟและปิดโทรทัศน์เพื่อจะได้เข้านอนกันสักที


ด้วยความที่ผมนอนเตียงเสริมซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเตียงลองคุณต้นกับเตียงของลุง ซึ่งมันก็ห่างกันแค่คืบเดียวเท่านั้น


ผมนอนหันหลังให้คุณต้นเพราะถึงยังไงผมก็อดจะเขิน ๆ ไม่ได้อยู่ดี เพราะนอกจากพ่อกับแม่และพี่โย ผมก็ไม่เคยไปนอนค้างอ้างแรมกับใครเลย


"คุณตุล..." คุณต้นเอ่ยปากเรียกจนผมพลิกตัวมานอนหงายและหันหน้าไปหาต้นเสียง


"ทำไมหรือครับ?" 


"ความสุขของคุณตุลคืออะไรหรอครับ?" คุณต้นเอ่ยปากถามจนผมใช้เวลาพักอยู่ครู่ใหญ่ ๆ 


"ความสุขของผมหรอ...อย่างแรก ก็น่าจะเป็นตอนนี้มีความสุขที่ได้อยู่กับพ่อแม่ และทั้งสองคนก็สุขภาพดีและยังรักกันดีอยู่" ผมบอกความสุขข้อแรกของผม 


เพราะในครั้งก่อน แม่ที่หัวใจสลายจนสุขภาพเสียและพ่อที่ทิ้งพวกเราไปจนผมต้องอยู่กับแม่ที่ป่วยไข้จนแม่ตายไปและท้ายที่สุดพ่อที่ทิ้งเราไปอยู่กับเมียใหม่และเมื่อป่วยก็ต้องกลับมาอยู่บ้านเดียวกับผม


แต่ตอนนี้ผมแก้ไขจนความสุขข้อแรกของผมได้เกิดขึ้นจริงแล้ว


"ความสุขอีกอันของผมก็น่าจะเป็นได้ทำงานที่ดีอยู่ตอนนี้ล่ะครับ" ผมบอกความสุขข้อที่สอง


แน่ล่ะ ที่นี่ทำงานกันอย่างสนุก พี่ ๆ ในแผนกก็นิสัยน่ารัก พี่ ๆ แผนกอื่นก็ใจดี ทุกคนทำงานเก่ง และเป็นกันเอง และสามัคคีกันนัก...(ก็อย่างเช่นตอนนี้ที่สามัคคีกันไปเรียนเลขนั่นไง) 


เพื่อนร่วมงานของผมในปัจจุบันแสนดี จนผมนึกเทียบกับอดีตของผมที่ ผมอยู่ในแผนกเหมือนเป็นปลิงหรือปรสิตประจำแผนก 


ผมอยู่อย่างไม่มีตัวตน และไม่มีความสลักสำคัญ ได้งานที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ และมีหัวหน้าซึ่งเด็กกว่าผมครึ่งหนึ่ง และเมื่อเขาใช้งานผม ก็ทั้งขู่ทั้งตะคอกราวกับผมเป็นหมูเป็นหมา


ดังนั้นผมจึงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าที่ทำงานปัจจุบันคือความสุขอีกอย่างหนึ่งของผม


"ความสุขอันต่อไปก็คือตอนนี้ผมสุขภาพดี" ผมตอบเมื่อคิดถึงตัวเอง เพราะตอนนี้ผมหุ่นดี ผอมเพรียว ไม่อ้วนฉุอุดมด้วยสารพัดโรค ซึ่งก็ต้องขอบคุณโอกาสที่ทำให้ผมได้กลับมาแก้ตัว มีวินัยให้กับตัวเองจนผมสุขภาพดีพอใช้ได้ในปัจจุบัน


"หลัก ๆ ก็มีประมาณนี้ล่ะมั้งครับ" ผมตอบและหันหน้าไปมองคุณต้น


"แล้วความสุขของคุณต้นล่ะครับมีอะไรบ้าง?" ไม่วายที่ผมจะถามกลับ แต่ผมเห็นรอยยิ้มของคุณต้นในเงามืดและได้ยินเสียงของแกถอนหายใจเบา  


"ถ้าจะบอกว่าความสุขของผมเหมือนกับของคุณตุลเปี๊ยบเลย คุณตุลจะหาว่าผมก๊อบปปี้ความสุขของคุณตุลไหมเนี่ย?" คุณต้นบอกและขำน้อย ๆ ส่วนผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าแกจะตอบเท่านั้น ผมไม่ได้มีหน้าที่ไปเซ้าซี้อะไรเจ้านายได้ขนาดนั้น


เมื่อเงียบกันไปได้สักพักผมก็ได้ยินเสียงคุณต้นส่งเสียงกรนออกมาเบา ๆ จนผมชะโงกหน้าน้อย ๆ ไปมองก็เห็นแกหลับไปแล้ว จนผมทิ้งตัวลงนอนกระชับผ้าห่มและไม่นานผมก็หลับตามไปติด ๆ


จนเมื่อถึงตอนรุ่งเช้า ผมตื่นขึ้นมามองไปที่เตียงของคุณต้นก็ว่างเปล่าแล้วและผ้าห่มก็ถูกพับอย่างเรียบร้อยและเมื่อผมบิดขี้เกียจและตั้งท่าลุกขึ้น คุณต้นก็เดินออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกับเสื้อผ้าที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว


"ตื่นแล้วหรอคุณตุล รีบไปอาบน้ำแต่งตัวจะได้ไปกินมื้อเช้าด้วยกัน" คุณต้นว่าและผมก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำ เหลียวกลับไปมองเตียงของลุงก็เห็นแกนอนคลุมโปงอยู่


ใช้เวลาอาบน้ำไม่นานและสวมเสื้อในห้องน้ำแต่ออกมาสวมกางเกงข้างนอก และเมื่อแต่งตัวเรียบร้อย หันไปมองก็เห็นคุณต้นนั่งอ่านหนังสือรอผมอยู่


"เสร็จแล้วครับว่าแต่คุณต้นอ่านหนังสืออะไรหรือครับ?" ผมไม่วายจะถามและเมื่อเห็นหน้าปกหนังสือ ผมก็ถึงกับยิ้มกว้าง


"หนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยน่ะครับ" คุณต้นว่าและหงายหน้าปกของมันมาให้ผมดู


"เวอร์ชันภาษาฝรั่งเศสเสียด้วย" ผมเอ่ยปากและทำท่าประหลาดใจ


"เล่มโปรดของผมเหมือนกัน แต่ถ้าผมเป็นเจ้าชายน้อยนะผมไม่ทิ้งดาว B612 หรอก" ผมเอ่ยปากและระหว่างเดินลงมาข้างล่างด้วยกัน เราสองคนก็คุยกันแต่เรื่องในหนังสือ


"ผมชอบดอกกุหลาบ" คุณต้นว่า


"แต่ผมไม่ชอบนะ ผมว่าขี้งอนงี่เง่าไปหน่อย มันน่ารำคาญ" ผมเอ่ยปากเสนอความเห็น


"คนเราเวลามีความรักมันก็เป็นอย่างนั้นแหละครับก็เหมือนที่หมาจิ้งจอกพูดกับเจ้าชายน้อยไงครับ ถ้าหากเธอนัดฉันตอนสี่โมงเย็นพอถึงบ่ายสามโมง ฉันก็จะเริ่มมีความสุข" คุณต้นพูดและยิ้มกว้าง จนผมก็ต้องยิ้มกว้างตามคุณต้นไปด้วยเหมือนกัน


แต่สารภาพตามตรงผมก็ชักจะเลือน ๆ ไปเหมือนกัน เพราะไม่ได้อ่านมันมาตั้งนานแล้ว 


"ผมมีหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยอยู่เล่มหนึ่งและผมก็รักมันมาก เพราะพ่อซื้อให้ผมเป็นของขวัญวันเกิด" ผมบอกและอมยิ้ม พลางคิดว่ากลับบ้านไปผมต้องไปแงะเอามันมาอ่านเสียหน่อย


"ดีจังเลยนะครับ" คุณต้นว่า


"ผมชอบอ่านหนังสือน่ะครับ เพราะตอนเด็ก ๆ แม่ผมชอบซื้อหนังสือพวกแม่บ้าน ๆ มาผมว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็เอามาอ่าน สมัยก่อนมีหน้าของเด็กให้ระบายสีด้วย" ผมพูดไปยิ้มไปเพราะนึกถึงความสุขในวัยเยาว์


"ก็คล้าย ๆ กับผมนะ แต่ตอนเด็ก ๆ ป๊าชอบซื้อหนังสือพวกบริหารมา หรือพวกหนังสือฮาวทู ผมก็เลยชอบอ่านมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน" คุณต้นอธิบายจนผมชักจะมีคำถามตงิด ๆ ในใจ


"เอ่อคุณต้นครับ...ตอนเด็ก ๆ คุณต้นเคยอ่านหนังสือกำลังภายในหรือเปล่าครับ?"  ผมเอ่ยปากถามจนคุณต้นทำตาโตและหันมาถามผมกลับ


"ทำไมหรือครับ?" 


"คือผมก็ชอบอ่านหนังสือกำลังภายในเหมือนกัน สมัยก่อนนั้นอ่านเอาตามร้านหนังสือเช่า และผมก็จะเช่าทุกเย็นวันศุกร์เพื่อจะได้เอาไปอ่านวันเสาร์กับวันอาทิตย์" ผมอธิบาย


"อย่างนั้น พอถึงวันพฤหัสคุณตุลก็มีความสุขด้วยหรือเปล่า" คุณต้นถามกลับจนผมนึกถึงเรื่องเจ้าชายน้อยที่หมาจิ้งจอกคุยกับเจ้าชาย


"ก็น่าจะประมาณนั้นแหละครับ" ผมตอบและเดินเข้าไปกินอาหารเช้าด้วยกัน คุณต้นแยกไปกินกับพวกเฮีย ๆ แผนกเซลล์ และผมก็แยกไปนั่งกินกับพวกพี่ ๆ ผู้หญิงในแผนก 


ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ผมว่ามองไปทีไรก็เห็นคุณต้นมองมาทางผมทุกที...สงสัยจะมองว่าผมเพี้ยนล่ะมั้ง