อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ - 13 ดีใจ...ใจดี โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน

สารบัญ

เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-1 คนขี้แพ้,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-2 เวอร์ชันใหม่,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-3 วัยรุ่นวัยเรียน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-4 เพื่อนชาย,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-5 ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-6 แผนสอง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-7 วัยทำงาน,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-8 กลับมาหาความสุข,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-9 กองทัพเดินด้วยท้อง,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-10 พร้าเล่มงาม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-11 เอาไงดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-12 ความสุขของผม,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-13 ดีใจ...ใจดี,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-14 เปรียบเทียบ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-15 คนไม่สำคัญ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-16 อุ่นใจ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-17 สนิท,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-18 คนพิเศษ,เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้-19 ขอจันทร์

เนื้อหา

13 ดีใจ...ใจดี

โดย : Chavaroj




จะด้วยกระแส หรืออะไรสักอย่างก็สุดจะเดา วันแรกของการออกงาน ยอดขายถล่มทลาย ลูกค้าเฮละโลกันมาซื้อของที่บู๊ทของเรา ตั้งแต่เปิดห้าง ซึ่งก็ทำเอาคนในบริษัทเราทำงานกันอย่างแข็งขัน


แม้ว่าเมื่อวานหลาย ๆ คนจะอดหลับอดนอน แต่เมื่อมาทำงานก็ทำงานกันอย่างแจ่มใส และกระตือรือร้น ผมนั้นแน่นอนเพราะเมื่อรับหน้าที่พิธีกรด้วย รับหน้าที่ตอบคำถามด้วย ซึ่งก็มีคนมาถามและสนใจสินค้าบริษัทของเราเกือบตลอดวัน


"พักกินข้าวเที่ยงไปตุล เออเอาคุณต้นไปกินข้าวด้วยสิ อายุใกล้เคียงกันพวกพี่มันแก่แล้วไปก็คุยกันไม่สนุก" พี่หัวหน้าแผนกของผมบอกกึ่งบังคับ 


คงอยากหาคนไปคอยดูแลเจ้านายนั่นแหละ ซึ่งผมก็รับปากอย่างยินดี เพราะคุณต้นยังติดค้างคำถามของผมอยู่เมื่อเช้า 


หัวหน้าแผนกของผมดึงมือผมไปหาคุณต้นที่ยืนยิ้มแฉ่งขายของอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย


"คุณต้นไปกินข้าวก่อนนะ ไปกับตุลนี่แหละ ผลัด ๆ กันไป ตุลรีบไปรีบมาด้วยล่ะ" แกบอกกับคุณต้นและไม่วายกำชับผมตอนท้าย 


ไม่กินข้าวกันที่ไหนไกล กินที่ศูนย์อาหารในห้างนั้นนั่นแหละ สะดวกดี แม้ว่าร้านอาหารจะมีไม่มาก แต่ผมไปเดินสำรวจแล้วก็มีร้านที่หน้าตาดีอยู่หลายร้าน 


"ผมแลกบัตรซื้ออาหารมาแล้ว คุณตุลใช้กับผมนี่แหละ รบกวนซื้อมาเผื่อผมด้วยก็แล้วกันผมเลือกไม่เก่ง" คุณต้นบอกและผมซึ่งเห็นแกสั่งกะเพราะไก่ไข่ดาวก็ออกจะเห็นใจ


"กินพวกส้มตำมั๊ยคุณต้นมาอีสานทั้งทีเราต้องมาให้ถึงถิ่น" ผมถามพร้อมรอยยิ้มซึ่งคุณต้นก็พยักหน้าเห็นด้วย


"เอาตำอะไรดีครับ ตำไทยก็แล้วกันอ้อผมว่าตำไข่เค็มน่าจะดี เอาแบบไม่เผ็ดมากพริกสามเม็ดน่าจะพอ" ผมพูดไปมองเมนูไป และเมื่อหันไปมองเจ้านายแกก็ยิ้มมาให้ไม่มีทีท่าปฏิเสธ ผมก็เลยเดินเข้าไปสั่งและให้คุณต้นไปหาที่นั่งรอได้เลย


"เอาตำไทยไข่เค็ม น้ำตกหมู แกงอ่อมหมู ไก่ย่าง แล้วก็ข้าวเหนียวสองกะติ๊บนะครับ" ผมสั่งและยืนรอ เด็กในร้านก็ช่วยกันขมีขมัน ผมเอาของที่ทำเสร็จแล้วใส่ถาดเอาไปวางไว้ที่โต๊ะซึ่งคุณต้นนั่งรออยู่


"รออีกแป๊บนึงนะครับ" ไม่วายที่ผมจะบอกให้แกรอ แต่คุณต้นก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมรีบเดินกลับไปที่ร้านและยื่นบัตรให้พนักงานตัดเงิน แล้วก็รับอาหารที่เหลือถือมาให้คุณต้นที่โต๊ะ


"น่ากินทั้งนั้นเลย" ผมพูดและยิ้มกว้าง 


"ถ้ากินคนเดียวกินไม่หมดแน่ ๆ แต่ถ้ากินสองคนผมว่าอิ่มกำลังดี" คุณต้นพูดบ้างพร้อมกับควักข้าวเหนียวออกจากกะติ๊บเพื่อเอามาใส่จาน


"ดูคุณตุลเชี่ยวชาญพวกของกินนะครับ" คุณต้นเอ่ยปากหลังจากเคี้ยวไปได้สองสามคำ


"ก็บ้านผมมันร้านขายกับข้าว ถึงจะไม่ได้ทำส้มตำขาย แต่ถ้าผมอยู่กับเพื่อน ๆ ก็ชอบกินส้มตำกันน่ะครับ" ผมอธิบาย


"ว่าแต่คุณต้นกินได้ใช่มั๊ย?" ผมไม่วายจะถามเพราะกลัวหนุ่มตี๋หน้าหยกจะกินอาหารอีสานไม่อร่อย


"กินได้ครับ แต่ผมว่าถ้าให้อร่อยเลยนะ ต้องตำปูปลาร้า" คุณต้นพูดและขำกับทีท่าของผม


"กินเป็นด้วยหรือครับ?" ผมเอ่ยปากถามอย่างประหลาดใจ


"กินเป็นสิครับ คืออย่างนี้สมัยพวกผมเด็ก ๆ ป๊ากับม๊าต้องช่วยกันทำงาน ไม่ค่อยมีเวลามาเลี้ยงพวกผมหรอก คนเลี้ยงผมก็คือพี่เลี้ยงที่เป็นสาวขอนแก่น ก็ทำไอ้พวกนี้นี่แหละมาให้พวกผมกิน" คุณต้นอธิบายจนผมพยักหน้าตามไปด้วย


"แต่ก็กินแต่อะไรพื้น ๆ พวกนี้แหละครับ แปลกมาก ๆ นี่ยังไม่เคยกิน แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากลองเหมือนกัน" คุณต้นสำทับอีก


"แปลกยังไงหรือครับ?" 


"ก็อย่างพวกลาบกะปอม หรือ เพี้ยะวัว อะไรพวกนั้นมั้งครับ" คุณต้นบอกและผมก็ขมวดคิ้ว และเห็นด้วยว่าอันนั้นมันยากไปกินพื้น ๆ พวกนี้ไปก่อนก็แล้วกัน


"คุณต้นยังไม่ตอบคำถามผมเมื่อเช้าเลย" ผมเอ่ยปากทำหน้าจับผิด


"คำถามไหนหรอครับ?"


"ก็คำถามที่ว่าคุณต้นเคยอ่านหนังสือกำลังภายในหรือเปล่าไงครับ" ผมถามซ้ำและคุณต้นก็ทำหน้านึกอยู่ครู่ใหญ่พร้อมกับเคี้ยวไก่ย่างและข้าวเหนียวไปด้วย


"เคยอ่านนะครับ แต่ผมไม่ได้อ่านหลากหลาย จำได้ว่าเคยอ่านของแค่กิมย้ง กับของโกวเล้ง" คุณต้นตอบจนผมทำตาโต


"จริงหรือครับ แหมผมก็อ่านแค่นั้นเหมือนกัน แต่พวกนิยายกำลังภายในยุคใหม่ ๆ พวกที่ย้อนเวลาหรือกลับชาติไปเกิดนี่ผมไม่ได้อ่านเลย อีกอย่างตอนนี้ไม่ค่อยมีเวลาไปอ่านนิยายแบบนั้นด้วย" ผมตอบกลับ


"แล้วคุณตุลอ่านอะไรในช่วงนี้หรือครับ?" คุณต้นถามกลับ


"ก็อ่านนิตยสารทั่ว ๆ ไปน่ะครับ ผมสมัครเป็นสมาชิกไปเลยจะได้ของแถมด้วย...เอ่อคือผมสมัครไว้อ่านพร้อมกับแม่น่ะครับ" ผมรีบอธิบาย 


หลังจากนั้นเราก็คุยเรื่องหนังสือกันอีกนิดหน่อย และรีบกินให้เสร็จ เพื่อคนอื่นจะได้ผลัดกันมากินอาหารเที่ยงบ้าง


"อิ่มจังตังค์อยู่ครบ" ผมพูดเบา ๆ และอมยิ้มพร้อมกับเอามือลูบพุงคุณต้นมองผมมาพอดี ผมก็เลยต้องยิ้มเก้อ ๆ ให้แกไปและยกมือไหว้ขอบคุณ


"ไม่กี่ตังค์เองครับ ถ้าผมมากินเองคนเดียวก็คงสั่งไม่ข้าวผัดก็ข้าวไข่เจียว หรือกะเพราไก่ ผมสิต้องขอบคุณ คุณตุลมากกว่า" คุณต้นพูดซะดูผมเป็นคนดีขึ้นมาทีเดียว


"งั้นเย็นนี้ไปกินอาหารเย็นด้วยกันนะคุณต้น เดี๋ยวผมเลี้ยงคุณต้นกลับบ้าง แต่ไม่ใช่อาหารหรูหรานะครับ อาหารธรรมดา ๆ นี่แหละ ผมสืบมาแล้วเขาว่าอร่อย" ผมรีบพูดเร็วปรื๋อและคุณต้นก็พยักหน้าละอมยิ้มมาให้


"รอแป๊บนะครับ" ผมบอกคุณต้น และรีบวิ่งเอาบัตรไปแลกเงินคืน แล้วจึงเอาเงินมาคืนแก


"อ้าวแลกเงินมาซะแล้ว ผมลืมบอกไปว่าอย่าเพิ่งไปแลก เผื่อพรุ่งนี้เรามากินข้าวเที่ยงด้วยกันอีก" คุณต้นว่าแต่ผมก็ยิ้มแห้งไปให้ ก็แลกเงินมาแล้วหนิ แต่คุณต้นก็รับเงินนั้นกลับไปและเราก็รีบพากันเดินกลับไปที่บู๊ท 


ซึ่งคนที่รับคิวไปกินข้าวต่อจากพวกเราก็มีสีหน้าแสนยินดี เพราะผมกับคุณต้นทำเวลาในการกินได้ดี ก็ให้กันมาอย่างละถ้วยเล็ก ๆ ขนาดนั้น แต่เนื่องจากกินกับข้าวเหนียว ก็เรียกว่าอิ่มกำลังดี


กินข้าวเที่ยงแสนอร่อย และมีพละกำลังดีแล้ว คราวนี้ผมก็ทำงานสู้สุดใจ รวมไปถึงพี่ ๆ คนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งกว่าพวกเราจะเก็บบู๊ทก็หัวค่ำเข้าไปแล้ว โชคดีที่ต่างจังหวัดเขาเข้านอนกันเร็ว ไม่ได้สว่างไสวกันทั้งวันทั้งคืนเหมือนกรุงเทพฯ


และเมื่อปิดบู๊ทเสร็จ โดยผมก็รอคุณต้นอยู่ซึ่งแกก็ต้องยืนคุมและช่วยพวกเราเก็บบู๊ทกันจนเรียบร้อยถึงจะออกไปหาอะไรกินกันได้เสียที


"เสร็จแล้วไปกินอะไรไอ้ที่คุณตุลว่ากันเถอะ" คุณต้นพูดและให้ผมเดินนำไป ซึ่งมันก็เป็นร้านผัดไทยหอยทอดธรรมดา ๆ นี่แหละ เมื่อวานผมกินผัดไทยไปแล้วเห็นว่าอร่อยดี วันนี้ผมอยากกินหอยทอด เพราะเห็นว่าแป้งบางกรอบน่ากินแล้วก็น้ำจิ้มเขาว่ารสเด็ดนัก


"ร้านนี้โอเคไหมครับ?" ผมเอ่ยปากถามและคุณต้นก็แสนว่าง่าย เราเลือกนั่งตรงโต๊ะด้านหน้าที่เห็นคนเดินไปเดินมาได้สบาย ๆ โดยผมไปสั่งหอยทอดของตัวเองและสั่งผัดไทยทะเลมาให้คุณต้น


"คุณต้นนั่งรอก่อนเดี๋ยวผมไปตักน้ำมาให้" ผมบอกและเดินไปตักน้ำมาด้วยความชำนาญ ก็ที่บ้านผมใครมากินข้าวก็ต้องตักน้ำบริการตัวเองแบบนี้แหละ


แต่ระหว่างทางเดินกลับ ผมเหลือบมองไปที่กระทะผัดเห็นพ่อค้าทำออส่วนซึ่งมีหอยนางรมตัวโต ๆ แล้วก็เกิดอาการอยากกินติดหมัดขึ้นมา ก็เลยสั่งไปอีกหนึ่งจาน


"ผมสั่งออส่วนมาอีกจานนึงนะครับ กินด้วยกันก็แล้วกันนะ" ผมบอกอย่างร่าเริงและวางแก้วน้ำให้ตัวเองกับคุณต้นและยิ้มกว้าง ...ผมดีใจที่จะได้กินของอร่อยน่ะไม่มีอะไรมาก


นั่งรออยู่ชั่วอึดใจ ของที่สั่งก็ทยอยนำมาส่ง ผมยื่นพวงเครื่องปรุงมาให้คุณต้นซึ่งแกก็ทำท่าจะไม่ปรุงอะไรเลยจนผมมองอย่างงง ๆ


"ไม่ปรุงสักหน่อยหรือครับ?" ผมเอ่ยปากถาม


"ผมปรุงไม่เก่ง กลัวยิ่งปรุงรสยิ่งแย่น่ะ" คุณต้นอธิบายแต่ผมขมวดคิ้ว


"งั้นคุณตุลปรุงให้ผมหน่อยสิ ผมว่าคุณตุลมีฝีมือน่าจะปรุงแล้วอร่อย" คุณต้นบอกและยื่นจานมาตรงหน้าผม ผมก็ตักไอ้โน่นนิด ไอ้นี่หน่อย และยื่นไปวางตรงหน้าของแก


"อยากเป็นเบาหวานก็ใส่น้ำตาลเยอะ ๆ อยากเป็นความดันกับฟอกไตก็ใส่น้ำปลาเยอะ ๆ อยากเป็นมะเร็งก็ใส่ถั่วคั่วเยอะ ๆ" ผมพูดประชดและคุณต้นก็หัวเราะเสียจนท้องแข็ง ไม่รู้ขำกับมุกตลกหรือขำหน้าของผมกันแน่


"ถ้ามัวแต่คิดอย่างนี้เห็นทีคงไม่ได้กินอะไร" คุณต้นบอกและผมก็พยักหน้าเห็นด้วย


ถึงทีของผมที่หอยทอดมาวางตรงหน้า ผมหยิบซอสพริกโบราณ ที่เห็นร้านหอยทอดเจ้าอร่อย ๆ ก็ใช้เจ้านี้ทั้งนั้น จัดการหยิบขวดซอสพริกราดจนฉ่ำ และคลุกเคล้าจนได้กลิ่นเปรี้ยว ๆ ของซอสที่ว่า และผมก็ใช้ช้อนจ้วงเข้าปากทันที


แป้งกรอบนอกนุ่มใน พร้อมด้วยหอยแมลงภู่ที่ทอดมาแบบที่สุกกำลังดี ไม่อย่างนั้นเนื้อหอยจะหดหมดจนไม่น่ากิน มาพร้อมกับน้ำซอสพริกรสเด็ด และกินกับต้นกุยช่ายและถั่วงอกสด ทำเอาผมกินไปหลับตาไปเพื่อให้รสอร่อยมันซึมซาบเข้าไปในปาก


"อร่อยขนาดนั้นเลยหรือครับ?" คุณต้นถามและมองผมอย่างล้อ ๆ


"อร่อยสิครับ อร่อยมากด้วย ไม่เชื่อคุณต้นลองชิมดูก็ได้" ผมบอกและยื่นจานหอยทอดของตัวเองไปให้คุณต้นได้ลอง ซึ่งเจ้าตัวได้ลองก็พยักหน้าเห็นด้วย


กินกันไปคนละครึ่งจาน ออส่วนก็มาส่ง และผมก็เทน้ำซอสพริกไว้ที่ข้างจานฟากหนึ่ง 


"คุณต้นลองนี่ผมว่าอร่อยแน่ ๆ จะกินก็ตักซอสพริกราดเอานะครับ" ผมบอกและให้เจ้าตัวได้ลองก่อนซึ่ง คนกินง่ายก็เคี้ยวไปพยักหน้าไป 


ส่วนผมนั้นฟินเหลือหลาย และคิดว่าคืนนี้คงนอนหลับอย่างสบายอารมณ์แน่ ๆ 


กินข้าวกันเสร็จ ก็เดินในตลาดเล็ก ๆ นี่อีกครู่หนึ่ง โดยไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมาสักอย่าง เรียกว่าเดินเพื่อชมบรรยากาศเสียละมากกว่า และผมก็ชวนคุณต้นกลับโรงแรมเพื่อจะได้พักผ่อนกัน พรุ่งนี้ยังต้องสู้อีกหนึ่งวัน


เดินกลับมาถึงห้องพัก ผมก็ให้คุณต้นไปอาบน้ำก่อน ส่วนตัวผมก็เตรียมชุดสำหรับใส่นอน และเตรียมชุดสำหรับทำงานออกมาเตรียมไว้ 


พรุ่งนี้หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เราก็จะขนบรรดากระเป๋าเดินทางออกมาขึ้นรถเลย และเมื่อทำงานเสร็จ ก็จะขับรถกลับกรุงเทพฯ กันทันที โดยคุณต้นบอกพวกเราอย่างใจดีว่า วันจันทร์ ใครอยากพักผ่อนก็ลาได้ หรือจะลาครึ่งวันก็ตามใจ 


กำลังจัดของก็เปิดโทรทัศน์ไปด้วย ซึ่งช่องเคเบิ้ลก็ฉายอะไรอยู่ผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะมัวแต่วุ่นกับข้าวของ และเมื่อคุณต้นเดินออกมาผมก็รีบเข้าไปอาบน้ำต่อ


แต่กลิ่นสบู่เด็กที่ยังคลุ้งอยู่ในห้องน้ำทำให้ผมสูดหายใจแรง ๆ และอดที่จะคิดถึงกลิ่นพวกนี้ตอนตัวเองยังเด็ก ๆ ไม่ได้


อาบน้ำเสร็จ ผมก็โดดขึ้นเตียงเสริม ซึ่งจังหวะแสนดี เพราะละครจีนเริ่มฉายพอดี ผมก็เลยขยับหมอนให้พอเหมาะและตั้งท่าจะดูอย่างตั้งใจ


"คุณต้นทำไมใช้แต่พวกของเด็กล่ะครับ?" ผมไม่วายจะถามเพราะสงสัย


"ผมขี้แพ้น่ะครับ อะไรที่มันแรง ๆ นี่ถ้าใช้แล้วผมมักจะมีผื่นขึ้นตามตัว" คุณต้นอธิบายและผมก็ออกจะเห็นใจ


"เมื่อก่อนผมก็ขี้แพ้เหมือนกันนะคุณต้น" ผมพูดลอย ๆ และคิดถึงตัวเองในชีวิตเก่าที่มีชีวิตเป็นไอ้ขี้แพ้ ห่วยไปทุกด้าน และใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างไร้ความสุข


"เดี๋ยวนี้ไม่แพ้แล้วหรือครับ?" คุณต้นถามและหันมามองผมอย่างขำ ๆ 


"ก็ยังมีแพ้อยู่บ้างครับ บางเรื่องก็ชนะแล้ว" ผมบอกไปและผมก็นึกถึงเรื่องที่ผมยังแพ้อยู่ในตอนนี้ก็คือเรื่องของพี่โยธิน


ผมแพ้พี่โยในบทบาทรัก แพ้ในความหล่อเหลาและช่างเอาอกเอาใจ แพ้ในความเป็นคนทำงานเก่ง และดูดีทุกองศา


แต่จะพูดถึงแล้วก็จะหมดสนุก และละครก็มาแล้วผมก็เลยตั้งใจดูเสียราวกับว่ามันสนุกเต็มประดา


เทียบกันแล้วกับตอนที่ผมได้เจอซีรีส์เกาหลีเอย ซีรีส์ฝรั่งเลย ซึ่งเทคนิคแสนตระการตาและมี สเปเชียลเอฟเฟคที่ทำได้สมจริง ไอ้ละครที่ผมมองตอนนี้ก็แสนจะน่าขำ


แต่ยุคสมัยมันก็เปลี่ยนแปรไปโดยเราไม่อาจรั้งมันไว้


เราสองคนดูละครกันไปโดยไม่ได้พูดอะไร และเมื่อละครจบผมก็เดินไปปิดไฟและปิดโทรทัศน์เพื่อเตรียมตัวเข้านอน


"นอนกันเถอะครับ" ผมบอกพร้อมกับกระชับผ้าห่มแน่นเพราะแอร์เปิดได้ค่อนข้างเย็น


"ดีใจไหมคุณตุล พรุ่งนี้ทำงานเสร็จจะได้กลับบ้านสักที" คุณต้นถามและผมก็ตอบรับอือ ๆ เออ ๆ อะไรสักอย่างเพราะผมกำลังจะหลับในไม่ช้าแล้ว และดูเหมือนผมเคลิ้มหลับ หรือฝันหรืออะไรผมก็ไม่แน่ใจแต่รู้สึกว่าหัวของผมมีคนมาลูบมันเบา ๆ และมันก็เพลินจนทำให้ผมหลับไปในทันที


เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นอย่างที่ผมแสนกระตือรือร้นเหมือนเคย เมื่อเดินลงไปกินอาหารเช้า ผมก็เก็บกระเป๋าสัมภาระไปไว้ข้างล่างทันที และเอาไปกองรวมกันไว้พร้อมกับพี่ ๆ คนอื่น ๆ แล้วก็แยกย้ายกันไปตักอาหารเพื่อเติมพลัง


"มะคืนมีทั้งคนเป็นเศรษฐีและมีคนเป็นยาจกในชั่วข้ามคืน" พี่คนหนึ่งพูดจนผมได้แต่อมยิ้ม 


"มันพลิกอะไรกันขนาดนั้นเชียวหรือครับ?" ผมถามเพราะผมเล่นไพ่ไม่เป็น แต่คนพูดก็พยายามเล่าอธิบายซึ่งให้บังเอิญว่ามันไม่เข้าหัวของผมเลยสักนิด


ไปทำงานกันต่อและในเมื่อวันนี้เป็นวันอาทิตย์ คนก็จะมากกว่าเมื่อวาน จนใกล้ ๆ เที่ยงหัวหน้าแผนกผมก็มาไล่ผมให้พาคุณต้นไปกินข้าว


"คุณต้นกินเนื้อได้ไหมครับ?" ผมเอ่ยปากถาม


"ทำไมหรอครับ?" คุณต้นถามกลับ


"ก็ถ้ากินได้ผมจะได้พาคุณต้นไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าอร่อยน่ะครับ" ผมรีบบอกเพราะอุตส่าห์สืบมาเป็นอย่างดี


"ถ้าผมบอกว่าบ้านผมคนจีนไม่กินเนื้อล่ะ" คุณต้นพูดยิ้ม ๆ ส่วนผมก็ทำหน้าเบ้ไปเท่านั้น


"งั้นกินอะไรดีล่ะครับ กินพวกข้าวหมูแดง หรือข้าวมันไก่ดีไหมครับ เห็นว่าเป็นร้านอร่อยเดินไปไม่ไกล" ผมว่าและถามมาเผื่อการนี้แล้ว แน่สิชีวิตต้องมีแผนสองเสมอ


"ผมล้อเล่น กินก๋วยเตี๋ยวเนื้อก็ได้เอาแบบที่ใส่เครื่องในเยอะ ๆ นะเอาแบบพิเศษไปเลย" คุณต้นพูดจนผมยิ้มกว้างและเดินพาคุณต้นไปตามลายแทงที่อุตส่าห์ไปสอบถามเขามา


"กินก๋วยเตี๋ยวเนื้อต้องกินแบบให้ถึงเครื่องแพงหน่อยก็ช่างมัน แต่ผมมีร้านประจำแถว ๆ บ้านผมนะ เจ้านี้อร่อยมากจริง ๆ ผมกินตั้งแต่เขายังขายเป็นรถเข็น ขายพวกบะหมี่เกี๊ยวธรรมดา ๆ จนไปเปิดเป็นร้าน แล้วก็ขายพวกก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ยิ่งลูกชิ้นเอ็นเนื้อเขานี่นะ อร่อยที่สุด" คุณต้นบรรยายจนผมกลืนน้ำลาย


"ให้ดีต้องมีน้ำจิ้มเต้าหู้ยี้แดง ๆ ด้วยนะครับ" ผมเอ่ยปากสมทบ


"ใช่ ๆ เจ้านี้มีให้ครับ ไว้ผมพาคุณตุลไปกินรับรองจะติดใจ" คุณต้นบอกจนผมยิ้มไม่หุบ แต่ผมคงไม่ให้คุณต้นพาไปหรอก ผมคงถามเส้นทางและชวนเหมยหรือปูไปกินน่าจะสะดวกกว่า เกรงใจแก


เดินยังไม่ทันถึงร้าน กลิ่นเครื่องเทศก็ลอยมาตามลมจนผมอดสูดหายใจลึก ๆ ไม่ได้ และเมื่อถึงร้านก็ออกจะน่าเบื่อสักหน่อยเพราะคนนั่งกันจนเต็มร้าน 


"รอนิดก็แล้วกันนะครับ อยากกินของอร่อยก็ต้องใจเย็น ๆ" คุณต้นว่าและยืนรอกับผมตรงหน้าร้านนั่นแหละ มีคนยืนรอต่อแถวก่อนหน้าเราสองคน และเริ่มมีคนมาต่อแถวจากเราแล้วเรื่อย ๆ 


โชคดีที่รอไม่นานก็ถึงคิวของเรา เก้าอี้กับโต๊ะตัวเล็กหน่อย เพราะจะได้บรรจุคนได้มาก ๆ กระมัง  ผมกับคุณต้นตัดสินใจสั่งเหมือนกันคือเกาเหลาพิเศษ พร้อมด้วยข้าวเปล่าคนละถ้วย


แต่ร้านนี้ดีมีเด็กเสิร์ฟนำน้ำแข็งเปล่ามาให้ตามโต๊ะ และที่โต๊ะก็จะมีกาน้ำชาที่ภายในมีน้ำชาหอม ๆ ที่ผมอยากจะรู้จักว่าเขาทำยังไงถึงได้ชาแบบนี้


รอยังไม่ทันจะหงุดหงิด อาหารที่เราสั่งก็มาส่งอย่างฉับไว ผมจัดแจงตักน้ำจิ้มเต้าหู้ยี้ใส่ถ้วยเล็ก ๆ สองใบ แล้วก็ลงมือปรุงให้คุณต้นด้วย แล้วจึงค่อยปรุงของตัวเองตาม


"รสพอดีไหมครับ?" ผมเอ่ยปากถามและเมื่อเจ้าตัวพยักหน้าหลังจากชิม ผมก็ว่าของผมอย่างไม่เกรงใจกันล่ะ


น้ำซุปหอม ๆ กับบรรดาเนื้อตุ๋นที่ตุ๋นอย่างยาวนานพร้อมกับเครื่องเทศจนกลิ่นของเครื่องเทศซึมเข้าไปในเนื้อจนกลิ่นสาบหายไปหมด ยิ่งพวกเครื่องในที่ถูกล้างทำความสะอาดอย่างชำนาญ และตุ๋นจนนิ่มแทบละลายไม่เหนียวเลยสักนิด


ข้าวเปล่าที่แม้ว่ามันจะแข็งไปสักหน่อย แต่กินร้อน ๆ กับเกาเหลาแสนอร่อยแบบนี้มันกลับชูรสให้เกาเหลาอร่อยขึ้นไปอีก ไม่ผิดหวังจริง ๆ


รีบกินและรีบกลับไปทำงาน ด้วยความที่มีงานให้ทำตลอดเวลาเผลอเพียงอึดใจเดียวก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว  พนักงานบางส่วนก็จะได้กลับไปก่อน 


ส่วนคุณต้นนั้นแน่นอนว่าแกจะต้องคอยคุมจนเสร็จ ซึ่งผมก็ได้รับการขอร้องให้อยู่คอยช่วยแกไปด้วย


"ไม่เป็นไรครับผมไม่ได้รีบอะไร" ผมตอบเมื่อคุณต้นมาถามว่าผมจะกลับไปพร้อมกับรถคันแรกไหม


ถึงผมจะไม่ได้ออกเรี่ยวแรงมาก แต่ก็พอจะช่วยยกโน่นยกนี่ได้อยู่ และกว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาห้างเลิกแล้วและพวกเราที่เหลือก็เดินไปขึ้นรถตู้ที่รออยู่อย่างระโหยโรยแรง


"ผ้าเย็นครับ เช็ดเนื้อตัวกันให้สบายก่อน" คุณต้นซึ่งเหมาผ้าเย็นมาจากร้านแถว ๆ นั้นมาให้พวกเรา และพวกเราก็แกะมันออกมาเช็ดเนื้อตัวจนรู้สึกสดชื่นขึ้น


แต่เนื่องจากทำงานกันมาทั้งวัน และส่วนใหญ่ก็อดนอนเพราะต้องเรียนหนังสือกันหนักเพราะทั้งสอบทั้งทำงานไปด้วย


พอขึ้นรถตู้ได้ไม่นาน ก็พากันหลับไป แน่ล่ะรวมถึงผมกับคุณต้นด้วยที่นั่งเบาะหลังคนขับด้วยกัน 


คุณต้นนั้นตัวสูงกว่าผม และหัวโยกเสียหลายทีจนมาชนกับผม จนผมรำคาญตัวเองด้วย รำคาญคุณต้นด้วย ก็เลยดึงเอาหมอนใบเล็ก ๆ ขึ้นมาวางบนตัก และบอกให้คุณต้นนอนมาบนตักของผมเนี่ยแหละ 


"จะดีหรือครับ?" คุณต้นเอ่ยปากถามแต่ผมก็ง่วงเกินกว่าจะต่อล้อต่อเถียง ดึงตัวของแกมาพิงบนหมอน และผมก็พิงหัวตัวเองกับกระจกด้านที่ตัวเองอยู่ใกล้ ๆ 


ไม่รู้ว่าพี่โชเฟอร์ขับไว หรือมีคาถาย่นระยะทาง หรือผมหลับไม่รู้เรื่อง ตื่นมาอีกทีพวกเราก็มาถึงรังสิตแล้ว และดึก ๆ แบบนี้รถก็ไม่ติด คาดว่าอีกแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงออฟฟิศที่บริษัท


และกว่าจะถึงออฟฟิศก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนพอดิบพอดี ช่วยกันขนของไปกองไว้ใต้ตึก และต่างคนต่างก็แยกย้าย


"คุณตุลกลับบ้านยังไง?" คุณต้นเอ่ยปากถาม และผมก็ว่าจะเรียกแท็กซี่เอา


"ไม่ต้องแท็กซี่หรอกไปกับผมนี่แหละ ชวนผมคุยด้วยนะ ไม่อย่างนั้นผมหลับในแน่ ๆ" คุณต้นบอกแต่เอาเข้าจริงพอขึ้นรถ คนชวนคุยกลับเป็นคุณต้นเสียเยอะ ผมน่ะได้แต่เออ ๆ ออ ๆ ไปกับแกมากกว่า


"พรุ่งนี้คุณตุลไปทำงานหรือเปล่า?" คุณต้นไม่วายจะถาม จริง ๆ ผมอยากจะอยากจะลามันเสียเลย แต่เจ้าของบริษัทถามอย่างนี้จะไปตอบอย่างนั้นก็เสียเครดิต ผมก็เลยต้องสร้างภาพสักหน่อย


"ไปสิครับ แต่คงไปสาย ๆ หน่อย" ผมตอบและรู้สึกเซ็งกับตัวเองในใจ


"ดีเลยครับ งั้นเลิกงานเดี๋ยวผมพาคุณตุลไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าอร่อยแถวบ้านผม" คุณต้นว่าและผมกำลังจะคิดหาคำปฏิเสธ แต่คุณต้นก็ชวนคุยเรื่องอื่น ๆ จนผมไม่ทันได้พูดไป


"พรุ่งนี้ไปกินเกาเหลาเนื้อกันนะ อ้อ ปรุงให้ผมด้วยนะ" คุณต้นบอกตอนผมลงจากรถ และเมื่อรถของคุณต้นขับลับหายไป ผมก็ยืนอมยิ้มและรีบไขกุญแจเข้าบ้าน


"ดีใจจัง" ผมพูดกับตัวเอง และก่อนจะนอน เมื่อหัวถึงหมอน ผมก็คิดถึงภาพของก๋วยเตี๋ยวชามโตที่บรรดาเส้นและเหล่าลูกชิ้นและเครื่องในนอนกลิ้งอยู่ในน้ำขลุกขลิกและส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายที่จะรอผมอยู่ในวันพรุ่งนี้


อ้อ ผมดีใจด้วยที่จะได้ไปกับคุณต้น แต่ไหน ๆ แกจะเป็นคนพาไปแล้ว ผมน่าจะเป็นคนเลี้ยงแกสินะ แต่เราก็จนเขาก็รวย อย่างนี้มันจะเข้าข่ายเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้างหรือเปล่า


ผมทะเลาะกับตัวเอง จนหลับไป แต่ภาพสุดท้ายก่อนที่สติจะดับไปภาพของชามก๋วยเตี๋ยวก็ผุดขึ้นมาอีกจนผมนอนอมยิ้มและดีใจที่มีเจ้านายใจดีอย่างนี้