อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน
โดย : Chavaroj
เริ่มเช้าวันใหม่ที่ค่อนข้างสาย ก็ทำงานมาทั้งวันแถมกว่าจะได้หลับได้นอนก็ดึกดื่น ผมมาตื่นเอาตอนเก้าโมงเช้าและเมื่อลงมาข้างล่าง แม่ก็ถึงกับเอ่ยปากว่านึกว่าผมจะกลับวันพรุ่งนี้เสียแล้ว
"แล้ววันนี้ไปทำงานไหม?" พ่อหันมาถามและผมก็รับคำว่าจะไปแต่ไปสาย ๆ หน่อย
"จะไปตอนไหนก็บอกพ่อแล้วกัน" พ่อบอกและหันไปทำงานต่อ ส่วนผมก็เดินหัวฟูไปเอาจานมาตักข้าวแล้วก็เอากับข้าวของแม่มาราดแล้วก็ไปนั่งกิน พร้อมกับหยิบหนังสือ เจ้าชายน้อยมาอ่านซ้ำ
แต่จะเป็นรอบที่เท่าไหร่ผมก็ไม่ได้นับ เพราะอ่านกี่ทีมุมมองที่มีต่อเนื้อเรื่องมันก็เปลี่ยนไปเสียทุกที
จนผมอดนึกขึ้นมาไม่ได้ว่า ระยะหลัง ๆ พ่อจะรับอาสาไปส่งผมบ่อย ๆ ซึ่งจะว่าไปผมก็ชอบนะเพราะมันสบายดี แต่จะให้มันลึกซึ้งไปกว่านั้น ผมตระหนักรู้ว่ามันเป็นวิธีการแสดงความรักของพ่อที่มีต่อผมอีกวิธีหนึ่งโดยไม่ต้องใช้คำพูดนั่นเอง
ส่วนแม่ก็อย่างที่เห็นวิธีการแสดงความรักของแม่ก็คือการบ่นไปเรื่อย ๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็แน่ล่ะ อะไร ๆ เกี่ยวกับผมมันก็อยู่ในสายตาของแม่ทั้งนั้น แรก ๆ ผมก็บอกตรง ๆ ว่ารำคาญ แต่เมื่อรู้ว่ามันเป็นวิธีการแสดงความรักในแบบฉบับแม่ ผมก็ต้องพลิกมาเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส
"ทำไมไม่รีดผ้าให้มันดี ๆ ใส่เสื้อยับ ๆ อายเขา"
"ทำไมเสื้อมีกลิ่นอับ แสดงว่าตากแล้วไม่โดนแดด"
"จะรีบกินไปไหน ไม่ต้องรีบหรอกพ่อไปส่งแป๊บเดียวก็ถึงแล้วน่า"
สารพัดที่แม่จะหยุมหยิม และวิธีการง่าย ๆ ที่ผมอยากจะบอกต่อเผื่อใครจะเอาไปใช้จัดการคนขี้บ่นได้ชะงัดนักก็คือ "การกอด"
แม่บ่นปุ๊บผมจะกอดแม่ปั๊บและยิ้มให้ เท่านั้นแหละ แม่ก็จะหยุดบ่นทันที ยิ่งถ้าใส่ลูกอ้อนอีกนิด ขออะไรก็ดูเหมือนแม่จะประเคนให้หมด
"กลับก็ดึกตื่นก็สาย แล้วยังจะไปทำงานอีก เดี๋ยวก็ตายกันพอดี" แม่บ่นและผมก็เดินไปกอดแม่แน่น ๆ พร้อมกับมองถาดกับข้าวสารพัด
"แม่ตุลอยากกินขนมบ้างอ่ะ แม่ไม่ได้ทำขนมกินกันตั้งนานแล้ว" ผมอ้อนจนแม่ทำหน้ารำคาญ ๆ มาให้
"อยากกินอะไรล่ะ เรื่องมาก" แม่บ่น
"อยากกินมันต้มขิง" ผมอ้อนต่อจนแม่ก็บ่นต่อไปอีกสารพัด แต่ผมว่าไม่เกินสามวันน้องมันต้มขิงจะต้องมีให้ผมได้กินแน่ ๆ
"พอดีแม่ซื้อมันเทศมาใส่แกงมัสมั่น เห็นตุลบอกอยากกินก็เลยปันมาทำให้" แม่คงพูดอะไรมาประมาณนี้ล่ะผมเดาได้เลย
กลับมาที่กินข้าวเสร็จพร้อมรอยยิ้ม นั่งมองพ่อกับแม่ช่วยกันขายของ ผมกลับขึ้นห้องไปอาบน้ำอาบท่า และเดินเอ้อระเหยอยู่ในร้าน ช่วยแม่เสิร์ฟอาหารบ้าง ช่วยพ่อยกของบ้าง จนเกือบเที่ยงนั่นแหละผมถึงให้พ่อขับรถไปส่ง
"ไม่เอาห่อข้าวไปกินตอนเที่ยงด้วยหรอ?" พ่อเอ่ยปากถามแต่ผมบอกว่ายังอิ่มอยู่เลย
เมื่อถึงบริษัท ผู้คนก็ยังบางตา และมีบางคนที่กลับมาสะสางงานเพราะไม่อยากให้ดินพอกหางหมู และผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
จังหวะที่หัวหน้าแผนกที่ตามหลังผมมาไม่เท่าไหร่ และเข้าในห้องเอาบัญชีไปตรวจ ครู่หนึ่งก็เรียกผมให้เอาเอกสารไปให้คุณต้นเซ็น
"คุณต้นมาแล้วหรือครับ?" ผมถามหัวหน้าและแกก็อมยิ้มและพยักหน้าให้
"เจอกับพี่ที่ทางเข้าบริษัทแหละ แกก็เพิ่งมาถึงไล่ ๆ กัน" หัวหน้าของผมบอกและผมก็รีบเอาเอกสารที่เรียงใส่แฟ้มแล้ว หอบหิ้วขึ้นไปชั้นบน
"ขออนุญาตครับ เอาเอกสารมาให้เซ็นครับ" ผมบอกอย่างสุภาพและเอาแฟ้มเอกสารไปกองไว้ในถาดเอกสารเข้า
"อย่าลืมนะเย็นนี้ไปกินก๋วยเตี๋ยวกัน" คุณต้นบอกและยิ้มอย่างใจดี ส่วนผมก็รับคำและรีบกลับลงมาทำงานต่อ
กำลังนั่งทำเอกสารอยู่เพลิน ๆ นึกดีใจกับยอดขายที่เพิ่งเอามาสรุป แล้วก็นึกดีใจกับพี่เซลล์ภาคอีสานที่รู้จักกันดีที่ทำยอดขายได้มาก
กำลังไล่เรียงตัวเลขอยู่เพลิน ๆ โทรศัพท์ที่โต๊ะของผมก็ดังขึ้นและผมก็ต้องรีบรับมันอย่างว่องไว
"สวัสดีครับ ตุลาแผนกการเงินพูดสายอยู่ครับ" ผมรีบรับโทรศัพท์
"สวัสดีพี่โยเอง เย็นนี้ตุลว่างไหม ไปกินข้าวกัน" พี่โยรีบพูดตอบกลับ แต่ผมก็ไม่ได้ลังเลเลยที่จะปฏิเสธ
"ขอโทษด้วยครับพี่โย วันนี้ตุลไม่สะดวกไว้โอกาสหน้านะครับ" ผมตอบกลับไปอย่างสุภาพ คุยกันอีกสองสามคำผมก็วางสาย และกลับมาใช้สมาธิกับการทำงานต่อ
ผ่านไปจนเย็นผมก็นั่งทำงานอะไรของผมไปเรื่อย ๆ แม้จะเลยเวลาเลิกงานแล้ว รอจนคุณต้นเดินมาชะโงกหน้าที่หน้าแผนก ผมก็รีบเก็บของและเดินไปสมทบกับแก
เมื่อนั่งรถไป คุณต้นก็ชวนคุยโน่นคุยนี่โดยเฉพาะเรื่องล่าสุดที่เพิ่งไปออกงานกันที่โคราช
"อีกสองสามเดือนน่าจะจัดงานแบบนี้ที่เชียงใหม่นะ" คุณต้นบอกและผมก็ตาโต เพราะจัดงานแบบนี้ถึงเหนื่อยแต่ก็สนุก แต่เสียดายที่มีไม่ได้มีเวลาเที่ยวเตร่เลย เพราะจุดประสงค์ของการไปคือเราไปทำงาน
"ก็ลางานตอนก่อนไปหรือหลังไปสักวันสองวันสิครับ" คุณต้นบอกแต่ผมก็ทำหน้ามุ่ย
"จะไปทำอย่างนั้นมันก็ได้แหละครับ แต่อยู่คนเดียวผมจะไปเที่ยวกับใครล่ะคุณต้น" ผมโอดครวญโดยลากเสียงให้ทอดยาวจนคุณต้นอมยิ้ม
"ก็เที่ยวกับผมไง เอาให้ดีผมว่าไปก่อนสักวันเที่ยวกันก่อนแล้วถือว่าไปรอทีมงาน แล้วจะได้มีแรงทำงานด้วยไงไม่เหนื่อยไม่เพลีย" คุณต้นพูดจนผมนึกฝันไปถึงไหน ๆ
"เห็นว่าวัดที่เชียงใหม่สวย ๆ ผู้คนก็ใจดี แล้วผมอยากเห็นพวกชาวเขาด้วย" ผมพูดอย่างฝัน ๆ เพราะนึกถึงภาพชาวเขาที่เขาใส่ชุดชนเผ่าสวย ๆ ในโทรทัศน์
"ก็น่าสนุกดีนะผมเคยไปช่วยป๊าตอนเด็ก ๆ แต่ก็เหมือนที่คุณตุลว่าแหละ ไปก็เอาแต่ทำงานไม่ได้เที่ยวเลย" คุณต้นหันมาบอก
"ยังอีกตั้งหลายเดือนไว้ค่อยใกล้ ๆ แล้วค่อยคุยกันอีกทีก็ได้ครับ ว่าแต่ร้านก๋วยเตี๋ยวอีกไกลไหมครับเนี่ย?" ผมเอ่ยปากถามเพราะรถมันก็ติดอยู่สักหน่อย และเมื่อถึงที่หมาย พอเปิดประตูรถก็ได้กลิ่นหอม ๆ ของเนื้อตุ๋นทีเดียว
คุณต้นเดินนำไปนั่งตรงที่นั่งด้านใน เลือกที่อยู่ใกล้ ๆ กับพัดลมหน่อยจะได้ไม่ร้อน สั่งเกาเหลากับข้าวเปล่าให้ตัวเอง ส่วนผมอยากกินก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก
"ผมเลี้ยงคุณต้นเอง คุณต้นอุตส่าห์พามากิน" ผมเอ่ยปากหลังจากเดินไปตักน้ำแข็งและรินน้ำชาให้
"ไม่เอาครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงถือซะว่า พามาอวดเจ้าอร่อย ไว้คราวหน้าคุณตุลอยากเป็นเจ้ามือก็พาผมไปกินอะไรอร่อย ๆ ก็แล้วกัน" คุณต้นพูดและยิ้มอย่างใจดี ส่วนผมแหงนหน้ามองฝ้าเพดานพร้อมกับใช้ความคิดว่าร้านไหนที่ควรจะพาคุณต้นไปเลี้ยงตอบแทนดีหนอ
"ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?" คุณต้นเอ่ยปากถามและอมยิ้มเมื่อเห็นผมทำหน้าแปลก ๆ
"เอาจริง ๆ นะคุณต้น ผมไม่ค่อยรู้หรอกว่าร้านไหนมันอร่อย ก็บ้านผมมันขายกับข้าว ส่วนใหญ่ผมก็กินกับข้าวฝีมือแม่นั่นแหละ"
"ก็กินร้านคุณตุลก็ได้ ผมยังติดใจกับข้าวฝีมือร้านคุณตุลอยู่เลย" คุณต้นพูดอวยจนผมชักจะตัวลอย
"งั้นพรุ่งนี้ไหมล่ะครับ เมื่อเช้าผมอ้อนแม่อยากกินมันต้มขิง ผมว่าพรุ่งนี้แม่ทำให้ผมกินแน่ ๆ ส่วนกับข้าวเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมบอกให้แม่ทำกับข้าวอร่อย ๆ เผื่อคุณต้น ว่าแต่ทำอะไรดีน๊อ อ้อสะตอผัดกุ้งดีไหมครับ แม่ผมทำอร่อยนะ" ผมร่ายซะยาว
"สะตอผัดกุ้งนี่ อยากให้ผมลองกิน หรืออยากกินเอง?" คุณต้นถามล้อ ๆ จนผมต้องรับสารภาพ
"แหะ แหะ จริง ๆ อยากกินเองแหละครับ แม่ผมทำอร่อยจริง ๆ ใส่กุ้งตัวโต ๆ ผัดกับน้ำพริกกะปิ ใส่หมูสับนิดหน่อยนะ แล้วก็ต้องไม่หวงสะตอด้วย พอดีผมเห็นแม่ซื้อสะตอสดมาแช่อยู่ในตู้เย็นพอดี" ผมว่าไปเรื่อย และน้ำลายของผมก็ชักจะสอเสียแล้ว
แต่เมื่อก๋วยเตี๋ยวที่ผมสั่งมาอยู่ตรงหน้า ผมก็ต้องหยุดพูดเสียก่อน เพื่อหันมาจัดการกับของตรงหน้าแทน แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าต้องปรุงรสเกาเหลาให้คุณต้นสักหน่อย ผมก็หันมาหยิบเถาเครื่องปรุง และปรุงให้แกพร้อมกับชิมว่ารสชาติกำลังดี พร้อมกับ ตักน้ำจิ้มเต้าหู้ยี้แอบโรยพริกป่นลงไปนิดหน่อย เหยาะน้ำส้มสายชูอีกนิด
"เชิญเลยครับ แต่แหม มันหอมน่ากินจัง" ผมเอ่ยปากแล้วก็อมยิ้ม พร้อมกับใช้ตะเกียบคีบเส้นเล็กเข้าปาก พร้อมกับเครื่องในอร่อย ๆ แต่ทีเด็ดจริง ๆ ก็คือลูกชิ้นเอ็นเนื้อที่เวลากินต้องจิ้มน้ำเต้าหู้ยี้ที่ผมปรุงซะก่อนเพื่อความอร่อยยิ่งขึ้น
"เป็นยังไงอร่อยอย่างที่ผมว่ามั๊ยล่ะ" คุณต้นเอ่ยปากถามและผมก็ได้แต่ยกนิ้วโป้งให้และพยักหน้าหงึกหงัก
เมื่อชำระเงินเสร็จผมก็ไหว้คุณต้นงาม ๆ แต่พอจะขึ้นรถคุณต้นก็ถือถุงเกาเหลาแยกมาให้ผมถุงหนึ่ง
"ผมซื้อฝากที่บ้านคุณตุลด้วย มากินทีไรผมต้องซื้อฝากคนที่บ้านทุกที ไม่อย่างนั้นมีบ่น" คุณต้นบอก
"อ้าวเขาจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าคุณต้นมากินก๋วยเตี๋ยวที่นี่" ผมถามกลับไปอย่างงง ๆ
"ก็ลองดมนี่สิครับ" คุณต้นว่าและยกแขนเสื้อมาให้ผมดม ซึ่งผมก็เข้าใจคำตอบทีเดียว กลิ่นเครื่องเทศของน้ำตุ๋นเนื้อติดแน่นไปที่เสื้อผ้า จนแม้แต่เสื้อผ้าของผมที่ลองยกขึ้นมาดมก็มีกลิ่นหอมของเครื่องเทศติดมาด้วย
"ไปรีบกลับบ้านกันดีกว่าครับ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วมันเย็นผมก็จะโดนบ่นอีก" คุณต้นพูดอย่างอารมณ์ดีและรีบขับรถไปส่งผม
"พ่อแม่กินข้าวหรือยัง?" ผมเอ่ยปากถามเมื่อพ่อกับแม่ทำอะไรก๊อก ๆ แก๊ก ๆ กันอยู่สองคนที่หน้าร้าน
"ยังเลย ตุลล่ะ ถืออะไรมาด้วยเนี่ย" แม่เอ่ยปากถามและผมก็บอกว่ากินมาแล้วแต่ยังไม่อิ่ม จะมากินเกาเหลากับพ่อแม่ต่อ
ซึ่งเมื่อได้กินพ่อกับแม่ก็ถึงกับเอ่ยปากชม และจังหวะนี้ผมก็ถือโอกาสอ้อนแม่เสียเลย
"แม่พรุ่งนี้ ตุลชวนหัวหน้าตุลมากินข้าวบ้านเรา เพราะเขาเลี้ยงข้าวตุลตั้งหลายมื้อแล้ว พรุ่งนี้แม่ทำสะตอผัดกุ้งไว้ด้วยนะ อ้อ ถ้ามีมันต้มขิงด้วยล่ะก็วิเศษไปเลย" ผมยิ้มให้แม่อย่างออดอ้อน จนแม่ค้อนใส่
"ตุลไปอวดเขาไว้เยอะว่าแม่น่ะ ทำกับข้าวอร่อยอย่างนี้เลย" ผมยกแม่พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ จนแม่หันมาค้อนให้อีกที
"หัวหน้าคนไหนล่ะปกติไม่ยักพาใครมา" พ่อถามขึ้นบ้าง
"ก็คุณต้นเจ้าของบริษัทไง คนที่เคยมาส่งตุลตอนที่ไปออกงานดึก ๆ น่ะ"
"ไปสนิทกันตอนไหนล่ะ แล้วเรามันแค่พนักงานธรรมดาไปยุ่งกับเจ้าของบริษัทเขาจะไม่หาว่าเราปีนเกลียวหรือประจบหรอ?" พ่อไม่วายถามผมด้วยความเป็นห่วง
"คงไม่หรอกมั้ง แกก็ใจดีกับคนทั้งบริษัทแหละพ่อ จริง ๆ ตุลก็นับถือเขาในฐานะเจ้านายนะ แต่อาจเพราะอายุห่างกันไม่มาก ด้วยมั้งเลยค่อนข้างคุยกันรู้เรื่อง เพราะที่บริษัทตุลมีแต่คนแก่ ๆ หรือไม่ก็เด็กจบใหม่ไปเลย" ผมพยายามอธิบาย
แต่มานึกถึงคำพูดของพ่อเอาก็ตอนก่อนที่ผมจะนอน จริงสินะ จะมีคนมาว่าผมประจบนาย หรือปีนเกลียวบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใจคนเรามันก็ยากจะหยั่งถึง ยิ่งต่อหน้าและพูดจากับเราเสียดิบดี ลับหลังเอาเราไปนินทาก็มีเสียเยอะแยะ และนั่นก็เป็นเรื่องที่ผมเจอมาในอดีต
"เอาน่าก็ไม่วางตัวให้สนิทสนมจนเกินไปก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมั้ง" ผมบอกกับตัวเองและเข้านอนสักที
ความตะกละกลับมาเป็นเจ้าเรือน จนเมื่อผมเรอออกมาเป็นกลิ่นเนื้อวัวเหม็นคลุ้ง เห็นทีกันไว้จะดีกว่าแก้ ผมก็เลยเดินลงมาข้างล่างเพื่อเอายาธาตุน้ำแดงมากิน
พอจะดื่มน้ำเพื่อล้างปาก เมื่อเปิดตู้เย็นออกมาผมก็เห็นมันที่ยังไม่ได้ปอกเปลือกอยู่ชั้นล่างสุด และถัดขึ้นมาก็เป็นกล่องอาหารที่มีเม็ดสะตอที่ถูกปอกไว้แล้วอัดเรียงจนแน่น
"แม่ใครทำไมใจดีอย่างนี้วุ๊ย" ผมบอกกับตัวเองเบา ๆ และอมยิ้ม ดื่มน้ำเสร็จก็รีบกลับขึ้นไปนอน
เช้าวันใหม่มาพร้อมกับกิจวัตรเดิม ๆ ตื่นเช้ามากินข้าวพ่อไปส่งที่ทำงาน แต่วันนี้ผมไม่ลืมที่นัดกินข้าวของผมกับคุณต้น แต่กำลังคิดถึงเมนูอาหารที่แม่ทำเพลิน ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกแล้ว
และก็เป็นพี่โยธินโทรมาอีกตามเคยเพื่อชวนผมไปกินข้าว และไปมีอะไรกันต่อ
"วันนี้ผมไม่สะดวกเหมือนกันพี่โยมีนัดแล้วกับหัวหน้าครับ" ผมบอกไปอย่างแสนเกรงใจ
"นี่ตุลกำลังพยายามหลบหน้าพี่หรือเปล่าเนี่ย?" พี่โยพูดกับผมแบบโกรธ ๆ จนผมต้องพยายามพูดกับแกดี ๆ แบบเอาน้ำเข้าลูบ
"เป็นพรุ่งนี้ได้ไหมครับ นะะะะ" ผมลากเสียงแบบอ้อน ๆ จนแกตอบกลับมาเสียงตึง ๆ
"ก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปรับตอนเลิกงานนะ" พี่โยบอกและผมก็รับคำ แต่ไม่รู้ทำไมเวลาผมวางสายไป ผมกลับถอนหายใจออกมายาว ๆ อย่างแสนระอาใจ
พี่โยธินนั้น ปากหวานและช่างเอาใจ ตราบใดที่ผมไม่ขัดใจแก หรือไม่ทำให้แกขัดข้องหมองใจ แต่ถ้ามีเหตุซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องแสนเล็กไม่น่าเอามาโกรธแท้ ๆ แกก็จะงอแง และเคยถึงกับอาละวาด และพูดจากไม่ดีกับผม
"พี่ขอโทษนะครับ พี่ก็ไม่ชอบตัวเองที่เป็นอย่างนี้ พี่เสียใจทีหลังพี่จะไม่ทำอีกนะ" พี่โยจะมาพูดงอนง้ออย่างนี้ทีหลังเสียทุกทีจนผม ตัดรำคาญเสียตั้งแต่ต้นเหตุด้วยการพูดดี ๆ กับแกเสียเลย
"ไอคิวดีแต่อีคิวไม่ไหว ขาดความฉลาดทางอารมณ์ สงสัยพ่อแม่เลี้ยงมาแบบตามใจ เลยนิสัยเสีย" เหมยเคยวิเคราะห์เมื่อเห็นว่าผมหน้าบูดและเมื่อรู้ต้นเหตุว่ามาจากพี่โยธิน เหมยก็บ่นกับผมตรง ๆ
"เอาน่าอย่างน้อยตอนหายโกรธเขาก็ยังมาขอโทษ" ผมบอกกับเหมยแล้วอมยิ้ม แต่เหมยมองผมด้วยหางตา ซึ่งเป็นการบอกกราย ๆ ว่าเรื่องของมึง กูจะไม่ยุ่งก็แล้วกัน
ผมกลับมาทำงาน โดยพยายามลืมเรื่องของพี่ตุล จนเมื่อเลิกงาน คุณต้นก็เดินมาชะโงกที่หน้าแผนกตามเคย ผมรีบเก็บของและเดินไปหา และเมื่อถึงบ้าน ผมก็ออกจะตื่นเต้นหน่อย ๆ
"ร้านผมเล็ก ๆ รก ๆ หน่อยนะครับ" ผมรีบออกตัวแต่คุณต้นก็ไม่ได้ว่าอะไรและเดินไปยกมือไหว้พ่อกับแม่ผมเสียดิบดี
"รบกวนมาฝากท้องด้วยสักมื้อนะครับ ตุลชอบคุยอวดว่าคุณแม่ทำกับข้าวมีแต่ของอร่อย ๆ ผมเองก็โชคดีได้กินหลายมื้ออยู่เหมือนกัน วันนี้เลยต้องขอมารบกวนอีกสักที" คุณต้นพูดเอาใจจนแม่ยิ้มแป้น
"โอ๊ย รบกงรบกวนอะไรกันคะ ไปเลยค่ะไปนั่งด้านในเลย ตุลเปิดพัดลมให้คุณเขาด้วย อยากได้อะไรก็บอกนะคะ"
"เรียกผมต้นก็ได้ครับคุณแม่ เอ่อมีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ" คุณต้นประจบเดินไปใกล้ ๆ เพื่อดูว่ามีอะไรที่พอจะช่วยได้จนแม่ต้องรีบเรียกผมมาลากคุณต้นไปนั่งด้านใน
"นั่งรอตรงนี้ก่อนนะครับตุลไปเปลี่ยนชุดแป๊บเดียวอย่าไปซนที่ไหน" ผมบอกและรีบวิ่งตื๋อขึ้นไปข้างบน เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงบอล จะได้ทะมัดทะแมง
ลงมาปุ๊บก็รีบตักข้าว และเอาอาหารที่แม่เตรียมไว้ให้ใส่จานมาเรียงตรงหน้าคุณต้น
"ทำไมมันเยอะแยะอย่างนี้ล่ะครับจะกินหมดไหมเนี่ย" คุณต้นบ่นพร้อมกับมองบรรดาอาหารที่วางเรียงจนเกือบเต็มโต๊ะ
"ก็ใครใช้ให้คุณต้นไปยอแม่ผมอย่างนั้นล่ะ ทีนี้ล่ะผมเตือนเลยนะคุณต้นต้องกินให้หมดนะ แล้วก็ต้องทำท่ากินให้อร่อยด้วย ไม่อย่างนั้นบอกเลยว่าแม่ผมมีงอน ...คือแม่ผมเขาบ้ายอแล้วก็ขี้งอนด้วยน่ะ" ผมกระซิบกระซาบและมองหน้าคุณต้นที่ทำหน้าปูเลี่ยน ๆ
"ผมพูดจริง ๆ นาต้องกินไปชมไปด้วยนา" ไม่วายที่ผมจะแกล้งพูดอีก และแม่ก็เดินมานั่งพร้อมกับกินข้าวด้วยกัน ส่วนผมยังตักกับข้าวราดใส่จานให้ลูกค้า เมื่อเสร็จแล้วจึงมาสมทบกับพวกเราที่โต๊ะ
"กินเยอะ ๆ เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ อันไหนชอบหรือไม่ชอบก็บอกได้" แม่บอกอย่างใจดีและคุณต้นก็ยิ้มแห้ง ๆ จนผมใช้ช้อนกลางตักเจ้า สะตอผัดกุ้งใส่ชามให้แกนั่นแหละ เพื่อจะได้เป็นการเปิดฤกษ์
"อร่อยครับชอบชิมดู" ผมบอกและตักให้พ่อกับแม่ แล้วถึงค่อยตักให้ตัวเอง
"อร่อยมาก ๆ เลยครับ แต่ถ้าทำอย่างนี้ขายจะได้กำไรหรือครับ?" ไม่วายที่เจ้าของธุรกิจจะถาม
"ไอ้นี่กินกันเอง เอามาเลี้ยงแขกด้วยไง เมียผมเขาหน้าใหญ่ ปกติก็ไม่ใส่เยอะขนาดนี้หรอก" พ่อนินทาแม่เสียงดังจนพวกเราพากันหัวเราะเพราะแม่หยิกพ่อเสียจนพ่อร้องโอดโอย
ไอ้โน่นก็อร่อยไอ้นี่ก็ดี แล้วยิ่งผมไปหลอกให้คุณต้นกินเยอะ ๆ แกก็พยายามฝืนกินจนสุดท้ายผมต้องเฉลย
"กินอิ่มแล้วก็ไม่ต้องฝืนหรอกครับ ผมพูดโกหกคุณต้นน่ะ" ผมกระซิบบอกและคุณต้นก็ทำหน้าเหลอหลาจนผมหัวเราะออกมา
"แต่ยังมีมันต้มขิงอีกนะ ไม่กินแล้วจะเสียใจ" ผมบอกและเดินไปตักขนมที่ว่ามาให้
"อย่าตักเยอะนะครับ" คุณต้นพูดตามเมื่อผมลูกไปจนผมนึกขำด้วยรู้สึกผิดด้วยไปพร้อม ๆ กัน
"ชิมเอาเอารสครับ แม่ไม่ต้มหวานมาก แช่เย็นแล้วด้วย ใส่ขิงเยอะหน่อย จะได้ช่วยขับลม" ผมบรรยายสรรพคุณและตักมันสีเหลืองอ่อนเข้าปาก
"แม่ต้มไว้ตั้งเยอะ เดี๋ยวแบ่งกลับไปกินที่บ้านด้วยนะคะ" แม่ไม่วายจะหันกลับมาบอกคุณต้น ซึ่งแกก็รับคำโดยดี แน่สิ ผมขึงตาใส่ขนาดนั้น ถ้าปฏิเสธล่ะก็แม่ได้หมดความมั่นใจแน่ ๆ
และเมื่อคุณต้นจากไปพร้อมกับมันต้มขิงถุงโต ผมก็กลับมาเก็บกวาดทำความสะอาดจานชาม และพวกเราพ่อแม่ลูกก็ขึ้นห้องนอนไปนอนดูวิดีโอกันต่อ
"โหงวเฮ้งดีนะคุณต้นคนนี้" แม่เอ่ยปากชม
"น้องชายเขาหล่อกว่านี้อีกนะแม่ หล่ออย่างกะดาราเลยแหละ คุณต้นเค้าหน้าคล้ายพ่อเค้า" ผมอธิบาย แต่จะว่าไปคุณต้นถึงจะไม่ได้หล่อเหลาอย่างที่จะเป็นพระเอกได้แต่ก็ถือว่าหน้าตาดี
ก็ดีอย่างที่เรามักจะเห็นในโหงวเฮ้งของลูกเศรษฐีทั้งหลายนั่นแหละ ยิ่งลูกคนจีนผิวก็ขาวละเอียด แถมแกไปเรียนเมืองนอกมา หน้าก็เลยอมชมพู ๆ หน่อย ๆ ตอนกลับมาเมื่อแรก ๆ
เดี๋ยวนี้ไปโน่นมานี่ ตรวจงานโรงงานมั่ง ไปเยี่ยมลูกค้ามั่ง ผมก็เลยชักจะคล้ำลงเพราะโดนแดด แต่ถึงอย่างนั้นถ้าเอาไปเดินกับชาวบ้านทั่วไปก็ยังถือว่าผิวขาวโดดเด่น
ยิ่งแกหุ่นอวบ ๆ แต่ไม่ได้ถึงกับอ้วน ผมว่าโหงวเฮ้งแบบนี้มันโหงวเฮ้งเจ้าสัวชัด ๆ แต่ภาพชินตาก็คือแกก็จะใส่กางเกงสแลกพร้อมกับเสื้อเชิ้ตสีสุภาพ หรือบางวันแกก็จะใส่เสื้อฟอร์มบริษัทนี่แหละ
แต่อย่าได้คิดว่าใส่เสื้อเหมือน ๆ กันแล้วคนนอกจะดูไม่ออก ถึงเอาแกไปโยนใส่พนักงานที่ทุกคนล้วนแต่สวมยูนิฟอร์ม ความออร่า ความมีสง่าราศีของแกก็จะโดดเด่นอยู่ดี
ทีท่าเรียบง่าย และไม่มีความเย่อยิ่งถือตัว อย่างที่คนร่ำรวยอย่างแกจะมีใครก็จะไม่ว่าอะไร กลับทำให้ผมทึ่งมากกว่า โหงวเฮ้งของแกเสียอีก
"ขับรถก็ขับรถญี่ปุ่นธรรมดา เสื้อผ้าก็ซื้อตามห้างนี่แหละ เห็นว่าซื้อตอนลดราคาเสียด้วย" คนเก่าคนแก่เคยนินทาเจ้านายให้ผมฟัง
เมื่ออาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอน พอนึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันนัดของผมกับพี่โยธินแล้วสินะ
น่าแปลกที่ในตอนนี้ผมกลับไม่ได้รู้สึกใจเต้น และดีใจ ที่จะได้เจอกับพี่โยธินเหมือนเมื่อก่อน ออกจะเฉย ๆ และบางทีผมก็เหนื่อยหน่ายเสียด้วยซ้ำ
"วันนี้ไปกินข้าวที่บ้านตุลมั๊ย แม่ทำกับข้าวอร่อย ๆ ไว้เยอะเลย" ผมถามเมื่อพี่โยมารอรับที่ด้านล่าง และแกก็ทำท่าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
"ร้านนี้พี่จองไว้แล้ว กินร้านที่พี่จองเถอะ จะได้ไม่เสียความตั้งใจ" พี่โยธินพูดพร้อมกับสีหน้าไม่ค่อยพอใจและกระชากรถออกตัวอย่างแรง
ผมหันมามองหน้าด้านข้างของพี่โย แต่ไม่รู้ว่าผมตาไว หรือ ตาฝาด ผมเห็นผู้ชายยืนมองผมอยู่หน้าบริษัท และถ้าตาผมไม่แย่ไปผมว่าคงเป็นคุณต้นมองผมอยู่แน่ ๆ ทีเดียว
ถ้าคุณต้นไม่พ่อใจแกจะหงุดหงิดใส่ผมเหมือนที่พี่โยทำกับผมแบบนี้หรือไม่นะ ผมอดที่จะเปรียบเทียบคนสองคนนี้ไม่ได้จริง ๆ