อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน
โดย : Chavaroj
ร้านอาหารหรูหรา และบรรยากาศแสนโรแมนติก มีการจุดเทียนสีขาวบนโต๊ะซะด้วย และร้านอาหารที่ว่านี้ก็ตั้งอยู่ในโรงแรมย่านธุรกิจของเมืองไทยเสียด้วย แน่นอนว่าราคาของมันเป็นสิ่งที่ผมไม่กล้าคิดอย่างแน่นอน
"บรรยากาศดีจังนะครับ" ผมเอ่ยปากชมเมื่อเข้ามาในร้านพร้อมพี่โย
"ก็ใช้ได้ แต่เขาว่าฟัวกราส์อร่อย พี่ก็เลยอยากมาลองชิม" พี่โยพูดด้วยทีท่าสบาย ๆ แต่ผมเสียอีกกลับเป็นฝ่ายนั่งเกร็ง
"ตุลดูเกร็ง ๆ นะ" พี่โยสังเกตและพูดออกมาเมื่อดูทีท่าของผม
"ก็ตุลไม่ชินหนิพี่โย เคยกินแต่ร้านอาหารธรรมดา ๆ" ผมบอกไปและยิ้มให้พี่โยแห้ง ๆ
"ไม่ชินสิยิ่งต้องมาบ่อย ๆ จะได้ชินไงล่ะ อีกอย่าง เราอยู่ในสังคมแบบไหนเราก็เจอคนแบบนั้น" พี่โยตอบอย่างสบายอารมณ์แต่ผมฟังแล้วไม่ค่อยสบายใจเลยแฮะ
และเมื่อบริกรมารับรายการอาหาร ผมก็กระซิบกระซาบให้พี่โยช่วยสั่งให้ผมด้วยก็แล้วกันเพราะผมสั่งอาหารหรูหราพวกนี้ไม่เป็นหรอก
"ตุลเคยกินแต่ข้าวราดแกง" ผมพูดออกไปแบบไม่คิดอะไรแต่พี่โยก็ทำหน้าแบบที่ผมรู้เลยว่าแกไม่ชอบใจ
"อยู่ในร้านหรู ๆ จะมาพูดถึงข้าวกงข้าวแกงทำไม เสียบรรยากาศหมด" พี่โยพูดเหมือนดุ ๆ ผมว่าถ้าอยู่กันสองคนแกคงอาละวาดผมแน่ ๆ
งั้นสิ่งที่ผมทำได้เพื่อจะไม่ให้บรรยากาศเสียไปกว่านี้ก็คือเงียบ รอฟังพี่โยพูด แต่จริงสิ ถ้าจะให้ดี ผมต้องชมอะไรแกสักอย่าง
"วันนี้พี่โยแต่งตัวหล่อนะครับ" ผมเอ่ยปากชม และแกก็ลูบสูทของแกและยิ้มอย่างภูมิใจ
"สูทของXXX พี่สั่งตัดมาเลย จะได้พอดีตัว" พี่โยบอกชื่อแบรนด์เนมอะไรออกมาสักอย่าง ซึ่งด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสนภูมิใจของแก ผมก็เดาได้เลยว่ามันคงต้องแพงหูฉี่และโด่งดังระดับโลกแน่ ๆ
"แต่พี่โยหล่ออยู่แล้วจริง ๆ ใส่อะไรก็หล่อแหละครับ" ผมยอเขาอีก แน่ละ เขากลับมาอารมณ์ดี และอาหารเริ่มนำมาเสิร์ฟ ผมก็ฟังพี่โยบรรยายความเอร็ดอร่อยของอาหาร ที่มา และวิธีทำแสนพิสดาร
ก็อย่างที่ผมรู้จักพี่โยนั่นแหละ แกเป็นคุยเก่ง และแต่ละเรื่องที่สรรหามาเล่า ก็ทำเอาคนฟังได้ประหลาดใจและทึ่งกับความรอบรู้ของแกได้ทั้งนั้น และนั่นก็คือเสน่ห์อีกอย่างของผู้ชายคนนี้
"กับที่ทำงานของตุล โอเคไหม?" พี่โยถามจนผมต้องวางช้อนลงและทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป
"ก็ดีสิครับ อยู่ที่นี่ตุลสบายใจ ใกล้บ้านด้วย แล้วก็มีแต่เพื่อนร่วมงานดี ๆ" ผมพูดออกไป โดยเฉพาะข้อสุดท้าย ผมน่าจะเติมคำว่ามีหัวหน้างานที่ดีด้วยอีกอย่าง แต่หน้าของพี่โยก็บอกอีกแล้วว่าไม่เห็นด้วยกับผมอย่างมาก
"บริษัทเล็ก ๆ ทำงานแบบครอบครัว เงินเดือนก็ไม่เท่าไหร่ ทำงานไปก็ไม่มีอะไรก้าวหน้า" พี่โยวิจารณ์ตรง ๆ แบบผู้หวังดี ซึ่งผมคิดว่า ความพูดตรงกับพูดแบบไม่ค่อยถนอมน้ำใจ มันมีเส้นบาง ๆ กั้นไว้จริง ๆ
"พี่โยถามทำไมหรือครับ?" ผมถามกลับพี่โยดีกว่า จะได้รู้ว่าแกจะถามผมทำไมกัน
"ก็ถามดูเผื่อตุลอยากหางานใหม่ พี่จะได้ช่วยแนะนำให้" พี่โยบอกและผมก็กล่าวขอบคุณแกไปแต่ไม่ได้ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ
เสร็จจากมื้ออาหาร พี่โยก็ชวนผมไปที่คอนโดของแก ซึ่งแกเพิ่งซื้อใหม่ เป็นคอนโดหรูหราอยู่กลางใจเมือง ผมเคยมานอนค้างหนหรือสองหน
แต่พักหลัง ๆ ผมมาเพื่อมามีอะไรกับแก และเมื่อเสร็จแล้วผมก็จะกลับบ้าน และครั้งนี้ก็เช่นกัน
ถ้าเทียบกับความสัมพันธ์ของเรา ตอนก่อนที่พี่โยจะไปเรียนเมืองนอก ในครั้งนั้นยังมีการกอดรัดและเล้าโลมและผมรู้สึกราวกับว่าตัวเองมีความสำคัญกับพี่โยนัก
แต่ในครั้งหลัง ๆ ผมไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกแบบนั้น พี่โยมีเซ็กแบบที่เรียกว่าหื่นกระหาย และไม่ได้ถามหรือสัมผัสแบบที่ผมจะรู้สึกได้ว่ามีความเอื้ออาทร
แน่ล่ะว่าบทบาทลีลารักของแกยังดีเหมือนเดิม และมันก็ทำให้ผมต้องร้องครางอย่างลืมตัว แต่ผมรู้สึกได้ว่า มันก็ยังคงเคว้งคว้าง และไม่ได้รู้สึกถึงความสัมพันธ์ทางใจอะไรมากไปกว่านั้น
เมื่อผมเข้าไปอาบน้ำ และเมื่อกลับมาแต่งตัว พี่โยจึงเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายต่อ ผมเดินเข้าไปที่หน้าประตูห้องน้ำที่เปิดค้างอยู่ อดที่จะมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของแกและมองอย่างเหม่อลอย
"ตุลกลับก่อนนะพี่โย ไม่ได้บอกแม่ว่าจะกลับเลทเดี๋ยวแม่เป็นห่วง" ผมบอกไปและพี่โยก็พยักหน้ารับคำ ผมเดินลงมาจากคอนโดและเมื่อเดินไปอีกหน่อยก็ถึงป้ายรถเมล์
ผมนั่งรถเมล์สายที่จะผ่านหน้าบ้านผมซึ่งมันบังเอิญผ่านทางนี้พอดี พยายามที่จะไม่คิดอะไร แต่หัวใจของผมมันกลับเรียกร้องขอให้ผมหยุดความสัมพันธ์กับคนแบบนี้เสียที
ผมเป็นคนขี้เกรงใจ แน่ล่ะ การจะเปลี่ยนตัวเอง ในบางเรื่องมันทำได้ง่าย บางเรื่องก็ทำได้แสนยากเย็น และนิสัยขี้เกรงใจของผมก็ยังเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมเบื่อกับมันเพราะผมแก้มันไม่ได้เสียที
ถึงบ้านเลยกว่าเวลานิดหน่อย และเมื่อเดินเข้าไปในบ้าน กับข้าวก็ยังตั้งรอผม และพ่อกับแม่ก็แอบบ่นนิดหน่อยที่ผมกลับสาย
"ตุลมีธุระนิดหน่อยน่ะ นี่เสร็จธุระปุ๊บก็รีบกลับเลย" ผมแก้ตัว
"งั้นก็รีบไปล้างไม้ล้างมือไปจะได้มากินข้าวด้วยกัน" พ่อบอกและเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้ตัวประจำ ส่วนผมก็ไปล้างมือและตักข้าวใส่จานให้พ่อกับแม่ และของผมเองก็ตักข้าวมาเพียงเล็กน้อย
"ทำไมกินข้าวน้อยล่ะจะอิ่มหรอ?" แม่ไม่วายเห็นแล้วจะบ่น
"พักนี้ต้องลดแป้งน่ะแม่ ตุลไม่ค่อยมีเวลาได้ออกกำลังกายเลย พุงกะทิชักจะมาแล้ว" ผมพูดติดตลกและเอามือลูบท้องให้แม่ดูว่ามันกำลังจะโตขึ้น
"ก็กินข้าวนอกบ้านให้มันน้อยหน่อย ไปกินของพวกนั้นอร่อยก็จริง แต่มันก็ไม่ค่อยมีผ่งมีผัก กินข้าวบ้านเราดีกว่า ไม่รู้ล้างสะอาดหรือเปล่า กินข้าวบ้านเรายังไงก็สบายใจ" แม่บ่นและผมก็แทบสะอึกกับฟัวกราส์ที่กินมาเมื่อกี้เลยทีเดียว
เหมือนเดิมหลังกินอาหารเสร็จ ผมช่วยพ่อกับแม่เก็บร้าน แล้วพวกเราก็ไปอาบน้ำและดูวิดีโอด้วยกันต่อ ฟูกผืนเล็กถูกปูที่พื้น และผมก็รับหน้าที่หมอนวดจำเป็นคอยเหยียบขาให้พ่อกับแม่เพราะทั้งสองคนบ่นว่าเหนื่อยจากการยืนขายของทั้งวัน
และอยู่ ๆ ผมก็นึกถึงคำถามที่คุณต้นเคยถามและผมเคยตอบไปเรื่องของความสุข ผมตอบไปว่าความสุขอันดับแรกของผมก็คือการได้อยู่กับพ่อแม่แบบนี้ ได้ใช้ชีวิตด้วยกัน ได้เห็นพ่อกับแม่รักกัน ไม่ทิ้งกันไปไหน
ได้หัวเราะด้วยกัน ได้ก่นด่าตัวโกงในละครด้วยกัน หรือคาดการณ์ต่าง ๆ นานา
ผมว่าไอ้เรื่องธรรมดา ๆ แบบนี้มันแสนเป็นความสุขของผม ไม่ต้องไปกินอาหารหรูหรา ไม่ต้องไปเที่ยวให้ไกลสุดขอบฟ้า ไม่ต้องมีเงินทองเป็นถุงเป็นถัง
แค่ได้อยู่มีความสุขกับคนที่รักผม และผมก็รักทั้งสองคนแค่นี้ก็เห็นจะพอเพียงแล้ว
จริงสินะ...ผมเกิดนึกขึ้นมาได้โดยขณะที่ผมกำลังเหยียบต้นขาให้แม่ และแม่ก็ร้องโอดโอยอย่างแสนสบายตัว
ผมเป็นที่รักของพ่อแม่ขนาดนี้ ทำไมผมต้องเอาหัวใจ เอาความสุข ไปให้คนที่ไม่ได้แสดงว่ารักผมเขาย่ำยีด้วยก็ไม่รู้
เมื่ออยู่กับพ่อแม่ ผมนั้นแสนเป็นคนสำคัญราวกับเจ้าชายน้อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่โย ผมแสนตัวเล็ก และไร้ซึ่งความสลักสำคัญอะไร
แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอยู่ ๆ ผมกับพี่โยเลิกติดต่อกัน ผมเดาได้ว่าคนอย่างพี่โยคงมีทิฐิมานะเกินกว่าจะมาง้อผม เพราะทุกวันนี้ สิ่งที่แกแสดงออกก็ดูเหมือนกับว่า ผมโชคดีขนาดไหนแล้วที่คนอย่างแกมาสนใจผม
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังต้องการตัวช่วย และเมื่อเหยียบพ่อกับแม่เสร็จ ผมก็ย่องลงมาข้างล่างอย่างเงียบ ๆ เพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดหมายเลขที่คุ้นเคย
"เหมยสะดวกคุยไหม ดึกแล้ว เรารบกวนเหมยหรือเปล่า?" ผมเอ่ยปากถามเหมยอย่างเกรงใจแต่เหมยก็พูดคุยอย่าร่าเริง
"ไม่กวน สะดวก คุยได้ วิทย์เค้าเพิ่งกลับไปเอง เราเองก็อาบน้ำแล้ว ตุลมีอะไรอยากเม้าหรอ?" เหมยพูดกลับอย่างร่าเริง แต่ผมสิไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากับเหมยว่ายังไงดี
"เราไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดีเลย" ผมพูดออกไปและทำหน้าเจื่อน
"เรื่องอีพี่โยล่ะสิ" เหมยพูดเหมือนเข้ามาแหวกอกดูหัวใจของผมจนผมถอนหายใจออกมาดัง ๆ
"อืมก็ใช่แหละ"
"อีพี่โยมันทำไมอีกล่ะ?" เหมยเค้นถามทำเสียงเซ็ง ๆ เมื่อเอ่ยถึงบุคคลที่สาม
"มะเย็นเค้ามารับเราไปกินข้าว แล้วเค้าก็พูดอ้อม ๆ ให้เราเปลี่ยนงาน" ผมเล่าเท่าที่นึกออก
"สาระแนอะไร งานการเราก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ หรือเขาจะหางานให้ หรือจะจีบตุลไปทำงานบริษัทเดียวกับเขาหรือไง ได้ข่าวว่าได้งานใหม่บริษัทต่างชาติ เงินเดือนเป็นแสนเลยไม่ใช่เหรอ เห็นคุยอวดคนไปทั่ว" เหมยพูดอย่างคนหูตากว้างไกล
"รู้ดี" ผมตอบกลับและอดจะขำกับความแสนรู้ของเพื่อนสาวไม่ได้
"ใคร ๆ เค้าก็รู้ทั้งนั้นแหละย่ะ ก็ไปไหนก็อวดคนเขาไปทั่วแบบนั้น
"เหมยเรารู้สึกว่า...เวลาอยู่กับเค้าเราตัวเล็กจัง" ผมบอกออกไป และเมื่อพูดจบผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
"ไม่แปลก เขาชอบแบบนั้น อีพี่โยมันเป็นคนชอบกดคนอื่นอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก จริง ๆ ตั้งแต่สมัยเรียนเขาก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วแต่ไม่หนักมาก แต่ตอนนี้ พวกที่เรียนด้วยกันถ้าบังเอิญเจอแก เอามานินทากันทุกคน...อีพวกกิ้งก่าได้ทอง คางคกขึ้นวอ" เหมยนินทาจนผมหัวเราะออกมาและเห็นว่าจริงทีเดียว
"เราสิออกจะแปลกใจที่ตุลทนคบกับคนแบบนี้ได้ยังไง เราอยากจะบอกตุลหลายทีแล้วแหละแต่ประวิทย์มันบอกให้เราไม่ยุ่งกับเรื่องความสัมพันธ์ของคนอื่น ก็เหมือนเรื่องเรากับประวิทย์นั่นแหละ ที่ตุลบอกไม่อยากยุ่งด้วยมากไม่งั้นเดี๋ยวกลายเป็นหมา" เหมยพูดต่อจนผมเกือบสะอึกอีกรอบ
"แต่ถึงอย่างนั้น เราก็จะไม่บอกให้ตุลเลิกยุ่งกับพี่โยหรอกนะ เราอยากให้ตุลคิดกลับกันว่า คนที่เจอกับพี่โยเป็นเหมย ตุลจะบอกเหมยว่ายังไง นั่นล่ะก็คือสิ่งที่ทุกคนอยากบอกตุลแหละ" เหมยบอกและผมก็พยักหน้ารับฟังไปด้วย
"เราอึดอัดตอนอยู่กับเขาจัง ยิ่งพักหลัง ๆ เรารู้สึกว่าเราไม่อยากอยู่กับเขาเลย" ผมพูดออกไปด้วยเสียงสั่น ๆ และพยายามกัดริมฝีปากตัวเองไม่ให้เสียงสั่น
"ตุลรักตัวเองเยอะ ๆ นะ อย่าลืมว่าตุลมีคนรักตุลเยอะแยะ ตุลสำคัญสำหรับพวกเราทุกคนนะ ทั้งพ่อแม่ของตุล ทั้งเราทั้งปู ทั้งประวิทย์และอีชู ทุกคนอยู่เคียงข้างตุลเสมอนะ" เหมยพูดจนผมยิ้มออกมา และน้ำตาหยดน้อย ๆ ก็ไหลมาข้างแก้มของผมอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
"จ๊ะขอบคุณเหมยมากนะ ทุกคนก็สำคัญกับเรามากเหมือนกัน" ผมบอกและคุยอะไรกันต่ออีกหน่อย แล้วจึงวางสาย
แต่เมื่อคุยเสร็จก็ดูเหมือนผมจะไร้เรี่ยวแรง และเอาแต่นั่งจ่อมอยู่ตรงนั้น พยายามคิดถึงคำพูดของเหมย และเมื่อรู้สึกว่าเริ่มมียุงมากวน ผมถึงค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดกลับไปที่ห้องนอนของตนเองและปิดไฟนอน
แต่นอนได้ไม่เท่าไหร่ ผมก็นอนไม่หลับ จนต้องหอบหมอนกับผ้าห่ม หนีมานอนข้างเตียงของแม่ดีกว่า
"เอ๊า ดึกดื่นแล้ว" แม่บ่นเพราะเห็นเงาของผมเปิดประตูเข้ามา
"มันร้อนตุลนอนไม่หลับ ขอนอนกับแม่สักคืน" ผมบอกและทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ ที่นอนของแม่ ตรงพื้นข้าง ๆ เตียงตรงนี้ผมจะเห็นเงาของแม่อยู่อย่างเลือนราง
และผมก็รู้สึกอุ่นใจชะมัด ยิ่งได้ยินเสียงกรนเบา ๆ ของพ่อด้วย ผมก็รู้สึกมีความกล้าในตัวเองอย่างประหลาด
ผมคิดถึงเสียงบ่นของแม่ที่มักบ่นกับผมกับเรื่องหยุมหยิม ผมคิดถึงความเซ้าซี้จะขับรถไปส่งผมเพราะเมื่อผมบ่นว่าจะไปเรียนหรือไปทำงานไม่ทัน
แต่นั่นมันก็เป็นวิธีการแสดงความรักในแบบของคนคู่นี้ ผมพยายามนึกถึงวิธีการแสดงความรักของพี่โยที่มีต่อผม แต่มันน่าเจ็บใจที่ผมนึกไม่ออกสักอย่าง
และร้ายไปกว่านั้นผมนึกถึงการแสดงความรักของผมที่มีต่อพี่โย ผมเองก็ไม่ได้มีทีท่าอะไรแบบนั้นกับเขาเหมือนกันเสียด้วย
ได้แต่คิดเพ้อเจ้อจนเผลอหลับไป และตื่นขึ้นมาด้วยเสียงบ่นของแม่เบา ๆ แม่มาเขย่าตัวผม และปลุกเรียกผมซ้ำ ๆ แต่ผมก็แกล้งทำเป็นขี้เซาอยู่จนแม่ต้องลงมาเขย่าตัว
"ว๊าย...ตาเถรยายชี" แม่ร้องอุทานอย่างตกใจเมื่อผมโผเข้าไปกอดเอวแม่เสียแน่น
"ทำเป็นเด็ก ๆ ถ้าตื่นแล้วก็ลงไปช่วยทำงาน ถ้าจะนอนต่อก็ขึ้นมานอนต่อบนเตียงดี ๆ ย่ะ" แม่บ่นและเอาแต่ตีไหล่ผมเบา ๆ รัวถี่
"ขี้เกียจแต่ลงไปช่วยแม่ทำงานดีกว่า" ผมบอกและเอาหน้าซุกไปที่หน้าท้องของแม่จนแม่หัวเราะออกมาเพราะจั๊กจี้
"อีตาคนนี้เดี๋ยวแม่เอาไม้แขวนเสื้อตีซะหรอก ปล่อยชั้น" แม่บอกและตีผมเบา ๆ อีก จนผมคลายอ้อมกอด แล้วค่อยลุกเดินหอบหมอนละผ้าห่มขึ้นไปเก็บบนห้องนอนของตัวเอง แล้วค่อยลงมาช่วยแม่กับพ่อทำงานข้างล่าง
"แน่ล่ะว่าตลอดเวลาของการทำงาน เพื่อไม่ให้เสียงของแม่บ่นดังจนเกินไปนักผมก็เดินไปเปิดวิทยุ คลื่นประจำของแม่ ซึ่งจะเปิดเพลงเก่า ๆ สมัยสุนทราภรณ์ สลับกับข่าวเบา ๆ ทั่วไป
และในวันนี้แม่ท่าทางอารมณ์ดีถึงขนาด เพราะเพลงสุนทราภรณ์เพลงโปรดของแม่ดัง แม่ก็ร้องตามออกมาดัง ๆ ไม่ร้องคลออย่างทุกที จนผมกับพ่อได้แต่แอบมองแม่และอมยิ้มให้กัน
ช่วยทำงานจนเห็นว่าได้เวลาผมก็วิ่งขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงาน ลงมาข้างล่างกับข้าวหอมฉุยส่งกลิ่นน่ากินก็ตั้งอยู่ตรงหน้า ผมตักข้าวให้ตัวเองและให้พ่อกับแม่
"พ่อไปกินข้าวกับตุลก่อน เดี๋ยวจะได้ไปส่งมัน เดี๋ยวแม่ตักกับข้าวให้ลูกก่อนแล้วจะตามไป" แม่บอกและผมก็นั่งกินข้าวกับพ่อ
"ยังดีชิงมีผัวซะก่อน ร้องเพลงในครัวเขาว่าจะได้ผัวแก่ นี่ชิงมีผัวซะแล้วเลยเจ๊ากันไป" พ่อกระซิบนินทาแม่กับผมเมื่อแม่นอกจากจะร้องเพลงแล้วยังส่ายสะโพกไปมาตามจังหวะเพลงซะด้วย
กินข้าวเสร็จผมก็เตรียมของหอบใหญ่ไปขึ้นรถแล้วพ่อถึงเดินตามมาและรับตำแหน่งสารถี
ขับรถไปพ่อก็ฟังข่าวไป ผมก็ควักหนังสือนิตยสารรายเดือนของแม่มาอ่านไป จนพ่อไม่วายจะบ่น
"นั่งรถไปอ่านหนังสือไปเดี๋ยวสายตาเสียกันพอดี" พ่อบ่นแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ
"ตุลดูแต่รูปน่ะพ่อ กลับไปบ้านค่อยอ่าน" ผมเปิดหนังสือพวกแม่บ้าน และเลื่อนไปเปิดหน้าเมนูอาหารด้วยความใจร้อน
"ไอ้นี่น่ากิน ไว้เดี๋ยวตุลเอาไปให้แม่ดูดีกว่า" ผมดูแล้วก็บอกพ่อ พร้อมกับอ่านชื่อรายการอาหารออกมา
"แม่เขาว่าจะทำพรุ่งนี้มะรืนนี้นี่แหละ" พ่อตอบกลับจนผมอมยิ้ม แม่ของผมนี่ไวจริง ๆ แน่สิหนังสือส่งมาที่บ้าน และยามว่างแม่ก็อ่านก่อน ต่อเมื่อสามสี่วันนั่นแหละหนังสือถึงจะมาถึงมือผม
พ่อขับรถมาส่งผมถึงหน้าบริษัท ผมยกมือไหว้พ่อตอนก่อนจะลงจากรถ และไม่ลืมบอกพ่อให้ขับรถดี ๆ และยืนมองจนพ่อขับรถจากไป
พอกลับหลังหันจะเดินเข้าบริษัท ก็เจอคุณต้นจอดรถตรงหน้าพอดี และเมื่อแกเปิดประตูออกมาผมก็ยิ้มกว้างให้ พร้อมกับชูถุงกับข้าวให้คุณต้นดู
"สนใจจะรับเป็นมื้อเที่ยงไหมครับ ห่อละสามสิบบาท" ผมพูดอย่างล้อ ๆ จนคุณต้นอมยิ้มและขมวดคิ้ว แล้วจึงเดินมาหาผม
"มีอะไรน่ากินบ้างครับ?" คุณต้นถามและผมก็เปิดปากถุงพร้อมกับจาระไนอาหารที่แม่ของผมตักใส่ถุงมาให้
"มีบวบผัดไข่ใส่กุ้ง แกงจืดสาหร่าย ผัดพริกขิงหมู อ้อมีแกงส้มกับแกงเขียวหวานด้วย แล้วก็ถ้าไม่เผ็ดก็มีหมูทอด ไข่ต้ม กับกุนเชียงครับ" ผมสาธยายและคุณต้นก็เลือกซื้อไปสามอย่าง พร้อมกับให้แบงก์ร้อยผมมา
"ไม่ต้องทอนก็ได้ครับ" คุณต้นพูดอย่างกวน ๆ ใส่ผม
"ไม่เอาครับของซื้อของขาย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมไม่ทอนแต่ให้ไข่ต้มคุณต้นอีกถุงนึง ถือว่าซื้อเยอะ ให้ราคาส่ง
"สี่ถุงนี่ถือว่าซื้อส่งแล้วหรือครับ?" คุณต้นถามกลับอย่างล้อ ๆ
"ก็ปกติคนอื่นเขาซื้อกันแค่ถุงเดียวไงครับ นี่ซื้อตั้งสี่" ผมพูดแล้วก็หยิบถุงใส่ไข่ต้มให้คุณต้นอีกถุง แล้วเราก็แยกย้ายกันไปทำงาน
จนช่วงบ่ายนั่นแหละที่หัวหน้าแผนกใช้ให้ผมเอาเอกสารไปให้คุณต้นเซ็นอีกแล้ว
"ขออนุญาตครับ" ผมพูดพร้อมกับเคาะประตูห้องของแกและเปิดประตูกระจกไปเบา ๆ เมื่อแกหันมามองและพยักหน้าให้
"เอกสารเอามาให้คุณต้นเซ็นครับ" ผมบอกและยืนรอเอกสารเนื่องจากเป็นเอกสารด่วน
"เดี๋ยวผมรอรับนะครับ แผนกคลังเขารออยู่" ผมบอกและยื่นเอกสารลัดคิว และคุณต้นก็อ่านเอกสารไปทีละบรรทัดจนผมอดจะทำหน้าเซ็งใส่แกไม่ได้
แต่นึกอีกทีก็งานมันต้องละเอียดลออ และลายเซ็นของแกอันนี้ก็มีมูลค่าตั้งห้าล้านบาททีเดียว
"แกงเขียวหวานอร่อยครับ ไข่ต้มยางมะตูมก็อร่อย ขนาดไม่ได้กินร้อน ๆ นะครับ" คุณต้นเอ่ยปากชม และผมก็แค่กล่าวขอบคุณ ไม่ได้พูดอะไรต่อมากเพราะคนรอเอกสารรออยู่ด้านล่างแล้ว
และเมื่อได้ลายเซ็นของคุณต้นผมก็วิ่งตื๋อลงมาข้างล่างยื่นเอกสารให้พี่คนขับรถ และแกก็รีบขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว จนผมถอนหายใจเฮือกออกมา
"รีบอะไรขนาดนั้นคะคุณตุล" น้องพนักงานแม่บ้านที่กำลังเช็ดกระจกอยู่ถึงกับหันมาคุยกับผม
"เอกสารสำคัญน่ะครับ" ผมตอบและอมยิ้ม แล้วจึงค่อย ๆ เดินกลับขึ้นไปแผนกของตัวเองและรีบแจ้งหัวหน้าว่าจัดการกับเอกสารและส่งให้คนขับรถเรียบร้อยแล้ว
"ยังดีเป็นตุลไปขอลายเซ็นนะ ถ้าเป็นคนอื่นโดนคุณต้นบ่นแน่ ๆ ที่ทำเอกสารช้าเอานาทีสุดท้าย" เจ้านายบ่นกับผมและเดินกลับเข้าไปในห้อง ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มหน้าเจื่อนและกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตัวเองเหมือนเคย
ใกล้จะสิ้นเดือนแล้ว อีกวันสองวันบรรดาเซลล์จากต่างจังหวัดก็จะมาเข้าประชุม รวมถึงส่งใบสั่งซื้อ ซึ่งอีตอนนั่นแหละแผนกของผมก็จะยุ่งกันหัวหมุนทีเดียว
แต่ในความยุ่งขิง พวกเราก็เต็มใจเพราะของฝากจากต่างจังหวัดก็จะมีมากำนัลพวกเราเป็นลาภปาก
เซลล์ภาคเหนือก็จะเอาแค๊ปหมูหรือไม่ก็แหนมมาฝาก หรือเซลล์ภาคใต้ก็จะเอาสะตอหรือของกินของภาคใต้มาฝาก
ซึ่งอันที่จริง พวกเฮีย ๆ เซลล์พวกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเอาของมาฝากพวกเราเลย แต่เพราะแกใจดีและเห็นพวกเราเป็นเหมือนลูกหลาน และนี่แหละก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ผมรักบริษัทแห่งนี้
และเมื่อเลิกงานผมก็เก็บของและค่อย ๆ เดินลงมาตามบันได แต่เมื่อจะออกไปก็เจอคุณต้นยืนคุยกับเฮียเซลล์ภาคอีสานอยู่อย่างออกรส ผมยกมือไหว้แกละทำท่าจะเดินไป แต่แกก็ชิงขอตัวไปเสียก่อนจนเหลือผมยืนอยู่กับคุณต้นแค่สองคน
"ทำไมวันนี้คุณต้นกลับไวล่ะครับ?" ผมเอ่ยปากถาม
"พอดีมีงานแต่งญาติ ๆ กันน่ะครับ เลยต้องรีบกลับ" คุณต้นตอบและผมก็ทำท่าจะเดินจากมา
"คุณตุลครับ" คุณต้นไม่วายจะเรียกผมอีกทีจนผมชะลอฝีเท้าและหันกลับไปมองหน้าแก
"เมื่อวานคุณตุลไปไหนหรอครับ?" คุณต้นถามและผมก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง
"คนรู้จักน่ะครับไปกินข้าวเย็นด้วยกัน....ไม่ใช่คนสำคัญอะไร" ผมตอบยิ้ม ๆ แล้วรีบเดินกลับบ้าน พ่อมาส่งแต่ไม่ได้มารับและขากลับผมก็ต้องนั่งรถเมล์กลับเอง ผมจึงรีบเดินไปที่ป้ายรถเมล์อย่างว่องไว