อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่ทั้งทีต้องมีผัวให้ได้อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่แล้ว คราวนี้ต้องมีผัวให้ได้ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
อุตส่าห์ได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ผมจะเริ่มต้นแก้ไขให้ชีวิตของผมให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านให้ได้ แล้วผมจะต้องหาผัวเป็นของตัวเองให้ได้สักคน
โดย : Chavaroj
เมื่อขึ้นรถเมล์ ผมอดที่จะชอบใจตัวเองที่ได้พูดถึงพี่โย ว่าเป็นคนไม่สำคัญ ออกไปอย่างนั้น และผมก็อดจะแปลกใจที่หัวใจของผมไม่ได้สั่นหรือรู้สึกแย่แต่อย่างใด
และเมื่อถึงบ้าน กิจวัตรประจำวันของผมก็ยังคงอยู่ในโหมดความสุขเหมือนเช่นเดิม และออกจะรู้สึกดีที่อีกไม่กี่เดือนจะได้ไปเที่ยวเชียงใหม่พร้อมกับทำงานไปด้วย
แต่ไอ้ที่คุณต้นชวนว่า ให้ผมไปก่อนเพื่อไปเที่ยวสักวันสองวันอันนั้นผมก็ละไว้นะ เพราะผมก็คิดว่าไปกับพวกพี่ ๆ ในออฟฟิศน่าจะสนุกกว่า และที่สำคัญผมก็ต้องพยายามวางตัวอย่างที่พ่อเคยเตือน
ผมไม่อยากให้ใครมาว่าผมประจบประแจง หรือปีนเกลียว และไอ้การรับปากของผมกับคุณต้นในวันนั้นก็เป็นการรับปากเพื่อมารยาทไปอย่างนั้น
ที่ผมค่อนข้างตื่นเต้นกับเชียงใหม่ ต้นเหตุมันก็มีแค่เรื่องเล็ก ๆ ก็คือ ไอ้หนังสือนิตยสารที่ผมอ่านสักเล่ม นางแบบไปถ่ายแบบที่วัดที่เชียงใหม่ ละในเล่มมีคอลัมน์สอนทำอาหารก็สอนทำอาหารเหนือเสียด้วย
จริง ๆ อาหารเหนือพื้น ๆ ผมก็เคยลองชิมมาบ้างแต่ไม่บ่อยเพราะในกรุงเทพฯ หาร้านอาหารเหนือไม่ค่อยได้ในตอนนี้
หมูฮ้อง แกงฮังเล ลาบคั่วเหนือ น้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม แกะโฮะ
แต่ไอ้ที่ผมค่อนข้างจะรู้จักดีก็คือ แคปหมูเจ้าดังที่พี่เซลล์ภาคเหนือแกชอบซื้อมาฝากพวกผมนั่นแหละ และรู้สึกว่าแคปหมูนี้ทำให้ผมใกล้ชิดเชียงใหม่เข้าไปมากทีเดียว ยิ่งถ้าได้แคปหมูคู่กับน้ำพริกหนุ่ม แล้วถ้าดีงามไปกว่านั้นก็คือเป็นน้ำพริกหนุ่มที่ใส่น้ำปู หรือน้ำปู๋ ด้วยล่ะก็ กินคู่กับข้าวเหนียว รับรองว่าข้าวหมดกระติ๊บเลยทีเดียว
ดูวิดีโอกับพ่อและแม่เสร็จผมก็เข้านอนและตื่นเช้ามาด้วยความสดชื่น
จนมาถึงที่ทำงานโดยพ่อใจดีขับรถมาส่งเหมือนเคย และเมื่อลงมาพร้อมกับห่อกับข้าวมากมาย ผมก็เจอคุณต้นอีกแล้วอย่างแสนบังเอิญ
"บังเอิญจัง สวัสดีครับ" ผมกล่าวสวัสดีและค้อมตัวให้เพราะมือของผมสองข้างถือของพะรุงพะรัง
"มีอะไรกินบ้างครับเนี่ย ผมมาดักรอเลยนะ" คุณต้นพูดไปยิ้มไป และผมคิดว่าแกน่าจะล้อผมเล่น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เสนอรายการอาหารที่ขายดี โดยแกก็ซื้อในราคาเหมาอีกเช่นเคย แต่วันนี้ล่อไปหกอย่าง
"ทำไมวันนี้ซื้อเยอะจัง กินคนเดียวหมดหรือครับ?" ผมไม่วายถาม และหยิบห่อกับข้าวใส่ถุงไปให้แกด้วย
"ซื้อฝากคุณเปิ้ลด้วยน่ะครับ สงสารแก ท้องแล้วไปไหนมาไหนก็ลำบาก" คุณต้นพูดอย่างใจดี ผมเองก็สนิทกับพี่เปิ้ลเพราะแกก็ทำงานมายาวนาน เรียกว่าเรียนจบใหม่ ๆ ก็มาทำงานที่นี่เลย ทำตั้งแต่สาวจนมีลูกมีผัวกันเลยทีเดียว
แรกเริ่มพี่เปิ้ลก็เป็นผู้ช่วยกึ่ง ๆ เลขาให้ป๊าของคุณต้น จนป๊าคุณต้น เกษียณตัวเองออกไป ใคร ๆ ก็เรียกป๊าคุณต้นว่า เฮียแม้จริง ๆ ผมต้องเรียกแกว่าคุณลุงหรืออาแปะให้สมศักดิ์ศรี แต่ใคร ๆ ในบริษัทเรียกแกอย่างนี้ผมก็เลยเรียกตามเขาไป
เมื่อเฮียเลิกทำงานไปและมาบริษัทเป็นครั้งคราว พี่เปิ้ลก็เลยโดนโอนย้ายมาช่วยงานคุณต้นแทน ซึ่งก็ช่วยสอนงานด้วย และช่วยงานคุณต้นสารพัด
แกใจดี พูดเพราะ และเก่งกาจสมกับเป็นมือขวาของเฮียและคุณต้น แม้ว่าแกจะไม่ใช่คนสวย และอายุปาเข้าไปสามสิบกว่า ๆ แล้ว
แต่คนเก่งและนิสัยดี ในวันหนึ่งก็เกิดมีคนมาตกหลุมรัก และก็แต่งงานแต่งการจนตั้งท้องจนท้องโย้อย่างทุกวันนี้นี่แหละ
ผมก็เลยแถมกับข้าวที่ดูจืด ๆ ไปด้วยอีกอย่าง ว่าที่คุณแม่ป้ายแดงจะได้รับการบำรุงเยอะ ๆ หน่อย
รอจนคุณต้นขึ้นออฟฟิศไป ผมก็ยืนขายของอยู่หน้าบริษัทนิดหน่อยแล้วก็เอาของไปขายพี่ ๆ ที่แผนกอื่น ๆ ซึ่งก็หมดในเวลารวดเร็ว ก็บริษัทของมันก็เล็กแค่นี้
กลับมาทำงานและทำอย่างเพลิน ๆ หัวหน้าแผนกผมที่เดินกลับมาหลังจากประชุมก็เรียกผมเข้าไปคุยส่วนตัวในห้อง
"มีอะไรหรือครับพี่?" ผมถามเสียงสั่นนิด ๆ เพราะหน้าแกดูจริงจังเสียเหลือเกิน
"ตุลเบื่องานตรงนี้ไหม?" หัวหน้าถามและจ้องหน้าผมเขม็งจนผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น และถ้ามาถามอย่างนี้ผมก็คิดไปสารพัด และคิดว่าจะตอบอย่างไรดี ไม่ใช่จะปลดผมออกเพราะผมเอากับข้าวมาขายที่บริษัทหรอกนะ
"ไม่เบื่อหรอกครับ บริษัทเราทำงานสนุกจะตาย" ผมบอกยิ้ม ๆ และรอฟังว่าแกจะว่ายังไงต่อ
"คืออย่างนี้นะ เมื่อกี้พวกหัวหน้าแผนกคุยกัน จริง ๆ มันก็ไม่มีเรื่องอะไรใหญ่หรอก พอดีอย่างที่ตุลรู้ คุณเปิ้ลแกท้อง แล้วก็จะคลอดในอีกไม่นานนี้แล้ว ก็เลยอยากหาคนมาทำงานแทนแกในช่วงที่แกลาคลอดน่ะ" หัวหน้าแผนกของผมว่าและมองผมอย่างชั่งใจ
"ทีนี้แผนกบุคคลเขาก็เลยเสนอให้ตุลไปทำงานแทนคุณเปิ้ลแกจนกว่าแกจะกลับมาทำงานได้น่ะ คือต้องให้แกช่วยสอนงานก่อน แล้วแกก็ลาคลอดอีกสามเดือน คือเขามองว่าตุลทำงานดี คล่องและละเอียดรอบคอบ ฝ่ายบุคคลก็เลยให้พี่มาลองถามตุลว่าสนใจไหม"
"เอ่อแล้วพี่คิดว่ายังไงล่ะครับ อยากให้ตุลไปช่วยงานเขาหรือเปล่า?" ผมถามกลับไป เพื่อชั่งใจหัวหน้า
"ใจจริงพี่ก็ไม่อยากให้ตุลไปหรอก เพราะถ้าตุลไป แผนกเราก็ต้องรับงานโหลด แต่ถ้าคิดในแง่บริษัท มันก็ไม่มีตัว จะจ้างคนใหม่ พอเขากลับมาจะให้เขาไปทำแผนกไหนจริงไหม แต่พี่ก็มองว่า ดีนะ เพราะอีกอย่างอายุตุลกับคุณต้นก็ใกล้ ๆ กันน่าจะคุยกันเข้าใจ" แกว่าและผมก็นั่งใช้ความคิด
"ถ้าไม่มีใครตุลไปก็ได้ครับ" ผมบอกออกไปเพราะคิดว่าถึงยังไงส่งคนมาพูดแบบนี้แล้ว ไม่ไปก็ไม่ได้แล้วละ
"งั้นก็เคลียร์งานในแผนกสักสองสามวัน แล้วค่อยไปให้คุณเปิ้ลช่วยฝึกงานก็แล้วกันนะ" แกว่าและผมก็กลับมานั่งที่โต๊ะและมองกองเอกสารที่ผมต้องรับผิดชอบ
จนช่วงเที่ยงก็คุยกันไปกินข้าวกันไปกับพี่ ๆ ในแผนก ซึ่งทุกคนก็ดูจะยินดีที่ผมไป ไม่ใช่อะไรหรอก เท่าที่ฟังดูแล้ว ส่งผมไปบูชายัญดีกว่า เพราะใคร ๆ ก็กลัวความละเอียดหยุมหยิมของคุณต้นนั่นเอง
แต่เมื่อครั้นมาช่วยงานพี่เปิ้ลและให้แกสอนงาน ผมก็รู้สึกว่างานผู้ช่วยของคุณต้นนั้นสนุกกว่าที่ผมคิดไว้แฮะ
เพราะเอาจริง ๆ การนั่งอยู่ในออฟฟิศเย็น ๆ ทั้งวันแม้ว่ามันจะสบาย แต่การจ้องตัวเลขทั้งวันบางครั้งมันก็น่าเบื่อ
แต่คุณต้นมีประชุมเอย มีการเดินทางไปโรงงานเอย หรือบางทีก็ไปสัมมนาอะไรของแก และผมฟังแล้วมันก็น่าสนุกอยู่ไม่ใช่น้อยเหมือนกันเพราะผู้ช่วยในอนาคตคือผมก็ต้องติดสอยห้อยตามแกไปทุก ๆ ที่เสียด้วย
"อย่างตุลนี่ไม่โดนคุณต้นบ่นหรอก เพราะทำงานละเอียด พี่ยังเคยพลาดโดนคุณต้นตำหนิ แต่แกก็ไม่ได้ว่าอะไรรุนแรงหรอกนะ แต่แหม ของมันพลาดกันได้เนอะ" พี่เปิ้ลเม้าพร้อมกับกินอาหารที่ผมเอาไปขายด้วยกัน
"แล้วอาหารเที่ยงของคุณต้นล่ะพี่?" ผมไม่วายจะถามเพราะดูเหมือนพี่เปิ้ลนอกจากจะคอยดูแลเรื่องงานก็ต้องดูแลเรื่องอื่น ๆ อย่างเช่นเรื่องอาหารการกินให้คุณต้นด้วย
"ก็ต้องจัดให้น่ะสิ พี่นะแสนดีใจที่ตุลเอากับข้าวมาขาย ก็ออฟฟิศเรามันกันดารของกินออกจะตาย ก่อนมาพี่ก็ซื้อข้าวเปล่าแล้วก็กับข้าวมาจากบ้าน ได้กับข้าวของตุลนี่แหละ ช่วยชีวิต ไม่งั้นพี่ก็ไม่รู้จะเอาอะไรให้ตัวเองกับคุณต้นกินดี" พี่เปิ้ลอธิบายจนผมหายสงสัยว่าทำไมแกซื้อกับข้าวของผมบ่อย ๆ
"โชคดีนะคุณต้นแกเป็นคนกินง่าย" พี่เปิ้ลนินทาต่อและผมก็อดจะนึกขำไม่ได้ที่ง่ายของแกก็คือข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว หรือข้าวผัด แสนธรรมดา
ผมนั่งทำงานโต๊ะติดกับพี่เปิ้ลซึ่งตั้งอยู่หน้าห้องทำงานของคุณต้น ดังนั้นทุก ๆ วันผมก็ต้องเจอหน้ากับแก แต่แปลก ที่การคุยกันมีน้อยเต็มที ก็พ่อมีงานยุ่งทั้งวี่ทั้งวันจริง ๆ
อย่างวันนี้ ก็มีประชุมตั้งแต่เช้า ผมถูกพี่เปิ้ลเรียกตัวให้มาเตรียมข้าวให้คุณต้นในตอนก่อนเที่ยง พร้อมกับฟังพี่เปิ้ลบ่นว่าจะประชุมอะไรกันนักกันหนา
และเมื่อเที่ยงตรง คุณต้นก็จะเดินมานั่งกินข้าวที่ห้องทำงานของแก แต่จะมีโซนที่แยกไว้ซึ่งใช้รับแขกบ้าง หรือให้แกได้พักผ่อนกินข้าวคนเดียวบ้าง
ต่อตอนบ่ายแกก็ไปประชุมต่อ โดยมีผมเข้าไปนั่งสังเกตการณ์ และคอยจดสิ่งที่คุณต้นบอกให้ทำเป็นระยะ ๆ
จนย่างเข้าสี่โมงเย็น ประชุมเสร็จ คุณต้นก็ต้องลงมานั่งอ่านแล้วก็เซ็นเอกสารอีกกองโต จนห้าโมงเลิกงาน ผมเดินลงมาจะกลับบ้านแล้ว แกก็ยังนั่งทำงานอยู่ต่อ
"ช่วยไม่ได้บริษัทของคุณต้นเองอ่ะเนอะ" ผมเปรยเบา ๆ กับตัวเองแล้วก็เดินไปขึ้นรถเมล์
ระหว่างรอรถเมล์ และเมื่อได้ขึ้นผมก็จะนั่งตรงที่นั่งประจำคือค่อนไปทางท้ายและเป็นเบาะเดี่ยว ผมชอบนั่งตรงนี้เพื่อจะได้มองและคิดอะไรเพลิน ๆ
และสิ่งที่ผมมองเห็นตอนนี้ก็คือรถสปอร์ต รุ่นเดียวกัน สีเดียวกันกับรถของพี่โย แต่คนขับเป็นผู้หญิง และผมก็อดคิดถึงพี่โยไม่ได้ว่าช่วงนี้แกหายไป ไม่ติดต่อมาเหมือนเคย
อาจเพราะโดนผมปฏิเสธติด ๆ กันหลายรอบ หรือแกอาจงานยุ่งกระมัง
แต่ผมออกจะสบายใจเสียด้วยซ้ำ และพักหลัง ๆ ผมออกจะรำคาญถ้าพี่โยโทรมาหา
บ่ายวันหนึ่ง ซึ่งใกล้เต็มทีกับงานที่บริษัทของเราจะไปจัดที่เชียงใหม่ ก็ใคร ๆ ในแผนกต่างก็ตื่นเต้น รวมถึงมีการโอ้อวดและทับถมนิดๆ สำหรับคนที่ไม่ได้ไปด้วย
"ตุลหาโรงแรมให้คุณต้นนะ อ้อ เอาแบบพอดี ๆ แกไม่ชอบแบบแพงหรูหรา เดี๋ยวพี่เอาชื่อโรงแรมเก่าที่พวกเราไปพักกันทุกทีให้ แล้วเดี๋ยวตุลก็ไปเอารายชื่ออีกทีว่าแผนกไหนส่งใครไปบ้าง" พี่เปิ้ลสั่งงานและผมก็เอาปากกากับกระดาษมาจดตามคำสั่ง พร้อมกับเดินไปขอรายชื่อในทุก ๆ แผนก บางแผนกก็ต้องลงไปตามทวงรายชื่อเอง ถือว่าเป็นการเม้ามอยไปด้วยในตัว บางแผนกก็ส่งเมลมาให้
"อย่าลืมเผื่อเหลือเผื่อขาดเผื่อคนไปเกินอีกสักสองสามคน" พี่เปิ้ลเตือนอีก และผมก็โทรไปสอบถามรายละเอียดกับทางโรงแรมที่พัก
"คุณตุลเข้ามาหาผมหน่อยครับ" เสียงคุณต้นดังพร้อมกับการเปิดประตูแง้มนิด ๆ จนผมต้องรีบหยิบปากกาและกระดาษไปจดคำสั่งของเจ้านาย
"ครับผม สั่งได้เลย" ผมพูดพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งและเตรียมปากกามาจด
"คุณเปิ้ลบอกรายละเอียดเรื่องโรงแรมแล้วใช่ไหมครับ?" คุณต้นถามและผมก็รับคำ
"ผมอยากไปก่อนวันงานสักสองวัน คุณตุลก็ตามผมไปด้วยนะ ผมว่าจะค่อย ๆ ขับรถไปจะได้ไม่ต้องรีบ ไปถึงเย็น ๆ นอนค้างพออีกวันยังไม่ทำงานผมว่าจะแวะเยี่ยมลูกค้าตามร้านยี่ปั๊วะก่อน จะได้ไม่ต้องรีบ แล้วอย่างอื่นก็ตามกำหนดการนะครับ" คุณต้นสั่ง และผมก็มองหน้าแก
"เอ่อ จะให้ผมนอนห้องเดียวกับคุณต้นหรอครับ หรือคุณต้นอยากเป็นส่วนตัวหน่อย" ผมอดจะถามไม่ได้ เรียกว่าถามเผื่อเอาไว้ก่อน
"ก็นอนด้วยกันสิครับ จะได้ประหยัดงบ อีกอย่าง คราวนี้เอาห้องละสองคนพอ เอาเตียงคู่ จะได้เป็นส่วนตัวหน่อย โรงแรมนี้ค่าโรงแรมไม่แพงเท่าโคราช คนอื่น ๆ จะได้นอนสบาย ๆ ด้วย" คุณต้นบอกและคุยรายละเอียดหยุมหยิมอะไรอีกเล็กน้อยตามสไตล์คนละเอียดของแก
และเมื่อเดินออกมาผมก็จัดการทำลิสต์ และเช็กห้องเช็กจำนวนคนแล้วจึงโทรศัพท์ไปติดต่อกับโรงแรมจนเสร็จเรียบร้อย แล้วจึงแจ้งรายละเอียดให้พี่เปิ้ลตรวจสอบอีกที
"โอ๊ยมีตุลมาช่วยพี่นี่สบายตัวสบายใจขึ้นเยอะ ถ้าเมื่อก่อนพี่อยู่คนเดียวนะ จะจัดงานแต่ละที ยิ่งไปต่างจังหวัดด้วยล่ะก็ พี่นี่เครียดจึงอยากทึ้งหัวตัวเอง" พี่เปิ้ลบ่นไปหัวเราะไปอย่างอารมณ์ดี
และผมว่า ถ้าทำงานตรวจเช็กให้มันเรียบร้อย ทบทวนสักสองสามรอบ โอกาสผิดพลาดมันก็ไม่น่าจะมี
และผมว่ามาช่วยพี่เปิ้ลตรงนี้ผมก็ไม่ค่อยเครียดเท่าไหร่ ยิ่งผ่านมาเกือบอาทิตย์พอเรียนรู้งานจนเข้าใจลักษณะงาน ผมว่าดีกว่าอยู่แผนกเก่าเสียอีก
"เย็นพรุ่งนี้คุณต้นมีกินเลี้ยง ตุลต้องไปด้วยนะแต่งตัวมาให้เรียบร้อย ๆ หน่อยมีสูทก็เตรียมมาด้วยก็ดี" พี่เปิ้ลสั่งและผมก็ออกจะงงว่าจะให้ผมไปทำไม
"งานนี้สำคัญ จริง ๆ มันก็แค่งานแต่งงานแหละ แต่มันรวมทั้งผู้ซื้อและผู้ขายดีลเลอร์ทั่ววงการเลย เราไปจะได้เปิดหูเปิดตา" แล้วพี่เปิ้ลก็จาระไน อะไรอีกร้อยแปด
ซึ่งผมก็ออกจะเบื่อนิด ๆ เพราะอยากจะกลับบ้านไปดูละครกับพ่อแม่มากกว่า
พอวันรุ่งขึ้น เห็นคุณต้นเดินมาถึงห้องทำงานของตัวเอง จากที่ใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา หรือบางทีพ่อก็ใส่เสื้อโปโลของบริษัท แถมใส่กางเกงยีน ซะด้วย
แต่วันนี้ชุดคุณต้นดูพิถีพิถันเป็นพิเศษ แล้วยังเสื้อสูทที่อยู่ในห่อที่แกถือมานั่นอีก
"คุณตุลเตรียมสูทมาแล้วใช่ไหม?" คุณต้นถามเมื่อจะเดินผ่านผม จนผมรับคำว่าผมเตรียมมาเรียบร้อยแล้ว
วันนี้ผมเองก็แต่งตัวเนี๊ยบ และต้องคอยระวังไม่ให้เสื้อเชิ้ตที่ใส่มาเปื้อน และเมื่อเดินตามคุณต้นลงมาหลังจากเลิกงาน ผมก็ยืนงง
"อ้าวรถคุณต้นไปไหนล่ะครับ?" ผมถามและมองหารถประจำตำแหน่งของแกที่จอดประจำ
"วันนี้ไปคันนี้กันครับ" คุณต้นบอกและชี้ไปที่รถหรู
"วันนี้ต้องมีหน้ามีตากับเขานิดนึง" คุณต้นบอกและอมยิ้ม
"มิน่าวันนี้คุณต้นถึงแต่งทรงผมด้วย" ผมอดจะแซวไม่ได้
"หล่อผิดปกติหรือไงครับ?" คุณต้นถามกลับและหัวเราะจนผมต้องพลอยหัวเราะตาม
ขึ้นรถมาแล้วผมก็เกร็ง ๆ สักหน่อย กลัวรถราคาหลายล้านจะมีมลทิน เพราะผมนั่งทับมันเข้า
"ทำตัวตามสบายก็ได้ครับไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอก" คุณต้นเอ่ยปากจนผมค่อย ๆ เอาหลังไปแตะที่นั่งจนเต็ม
และเมื่อลงจากรถ ที่ลานจอดรถของโรงแรมหรูหรา ผมกับคุณต้นก็หยิบสูทขึ้นมาสวม และมองดูคุณต้นที่ใส่สูทแล้วก็ดูออร่าเศรษฐีจับขึ้นมาทีเดียว
"แหมวันนี้ผมต้องคอยกันคุณต้นดี ๆ ไม่อย่างนั้นสาว ๆ ต้องตามจับคุณต้นให้ควักแน่ ๆ" ผมอดจะเอ่ยปากแซวจนคุณต้นอมยิ้มไม่ได้
"ไปกันเถอะครับ" คุณต้นเอ่ยปากและเดินนำ ส่วนผมก็เดินตัวลีบ ๆ ตามไปเบื้องหลังของแก
งานนี้งานใหญ่จริง และคุณต้นก็ออกแขกได้อย่างไม่อายใคร ไม่มากไม่น้อย และดูเข้าถึงได้ แต่ก็ยังสง่า ดูเป็นมิตรแต่ก็ไม่ก้ำเกิน ผมยืนอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ คอยไหว้คนโน้นคนนี้ที่พอจะเคยเห็นหน้าค่าตา
คอยจดบันทึกเวลาคุณต้นหันมาสั่งงาน และชักจะเข้าใจที่พี่เปิ้ลบอกขึ้นมาทีเดียว
ครั้นเมื่อถึงมื้ออาหาร ผมก็เห็นคุณต้นกินราวกับแมวดม และคนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกัน มันคงเป็นมารยาทสินะ ผมก็เลยพลอยกินได้แค่คำสองคำอย่างคนอื่นเขาบ้าง
แต่ไอ้ที่แย่ที่สุด ในงานนี้ก็คือผมดันเจอกับคนที่ผมไม่อยากเจอในตอนนี้เลย และเขาก็คงไม่คิดว่าจะเจอผมที่นี่ด้วย
แรกทีเดียวผมก็ไม่แน่ใจว่าผู้ชายที่แสนดูดีและนั่งอยู่ไกล ๆ พร้อมกับหัวเราะเสียงดังและพยายามทำตัวให้ดูโดดเด่นจะเป็นพี่โย
แต่ความที่แกก็เดินไปทักคนโน้นคนนี้เสียทั่ว จนเดินเฉียดเข้ามาใกล้ ๆ ผมแขนของแกโอบเอวผู้หญิงสวยแต่งตัวรัดรึงไว้ และผมแน่ใจว่าพี่โยเห็นผมแน่ ๆ
ผมตัวชาวาบ และมองแกพร้อมกับจะเอ่ยปากทักทาย แต่เมื่อแกทำราวกับผมเป็นอากาศธาตุ ผมก็ต้องหุบปากของตัวเองลง และยิ้มเจื่อน
"คุณตุล" เสียงคุณต้นเรียกผมจนผมต้องหันไปยิ้มและเดินตามแกต้อย ๆ เพื่อไปทักทายแขกผู้ใหญ่คนหนึ่ง ผมยืนฟังทั้งสองคุยกัน และดูเหมือนสติของผมขาดลอยจนผมถูกคุณต้นเรียกซ้ำ ๆ สองสามครั้ง
"คุณตุลโอเคไหม เป็นอะไรหรือเปล่า หรือไม่สบาย?" คุณต้นถามและทำท่าทางเป็นห่วง
"ไม่ได้เป็นอะไรครับ" ผมตอบกลับไปและยิ้มกว้างไปให้ และสูดหายใจลึก ๆ เพื่อจะได้กลับไปโฟกัสกับงานต่อ
"คุณตุลเป็นอะไร ดูเงียบไป" คุณต้นถามซ้ำ เมื่อผมกลับมาขึ้นรถ และเอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
"เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ" ผมตอบและพยายามเสแสร้งยิ้มไปให้
"เพราะคุณตุลเจอคนรู้จักหรือเปล่า?" คุณต้นถามโดยไม่ได้หันหน้ามามองผม
"คุณต้นเห็นหรอครับ ผมจะเดินเข้าไปทักทายเขา แต่เขาทำเป็นไม่รู้จักผมเสียอย่างนั้น" ผมบอกออกไป และอมยิ้มเศร้า ๆ
"ผมจำหน้าเขาได้ เห็นว่าผู้หญิงที่เขาพาเดินไปเดินมา เป็นคนที่เขากำลังจีบอยู่ เป็นลูกสาวของรัฐมนตรีหรือปลัดกระทรวงอะไรนี่แหละ" คุณต้นเล่าจนผมห่อเหี่ยวใจเข้าไปอีก
"อ้าวทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ ไหนว่าเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยสำคัญไงเขาไม่ทักเข้าหน่อย จ๋อยเลยหรอ?" คุณต้นถามเหมือนล้อ ๆ จนผมนึกถึงคำพูดของตัวเอง
"ผมบอกความจริงให้ก็ได้....คือผมหิวน่ะคุณต้น กินกันอย่างกับแมวดม" ผมเปลี่ยนหัวข้อเพราะไม่อยากพูดถึงพี่โยอีกแล้ว
"ดึกป่านนี้จะไปหาอะไรกินล่ะคุณตุล" คุณต้นหันมาบอก
"บ้านผมไง ยังไงก็ต้องมีของกินบ้างแหละ คุณต้นสนใจกินอาหารมื้อดึกไหมครับ?" ผมถามกลับไปจนคุณต้นทำท่าชั่งใจ
"จะรบกวนที่บ้านคุณตุลหรือเปล่า?" คุณต้นหันกลับมาถาม
"จะไปกวนอะไรกันคุณต้น บ้านผมขายข้าวราดแกงนะ" ผมหันไปบอก แล้วก็หัวเราะน้อย ๆ
จนสุดท้าย เมื่อถึงบ้านผมก็จัดแจงเอากับกับข้าวออกมาอุ่น และเจียวไข่อีกสักสองฟอง
"รู้ว่าไปแล้วกินแค่กันตายอย่างนั้น ผมกินอะไรรองท้องไปก่อนดีกว่า" ผมบ่นอีกจนคุณต้นอมยิ้ม
"คุณตุลพูดจนผมเห็นด้วยเลย ถ้ามีงานแบบนี้อีก คราวหน้าผมว่าเรามาแวะกินข้าวบ้านคุณตุลก่อนแล้วค่อยไปงานดีกว่า" คุณต้นเอออวย จนผมหันไปยิ้มด้วย
จบของคาว ก็ต่อด้วยของหวาน แม่นึกครึ้มปอกเงาะใส่กล่องแช่ตู้เย็นไว้ ผมก็เลยแบ่งออกมากินเสียเลย
"กินของหวานล้างปากหน่อยครับมะกี้มีแต่ของเผ็ด ๆ" ผมบอกพร้อมกับวางจานเงาะพร้อมกับช้อนส้อมตรงหน้าคุณต้น
"ถ้าผมมาบ้านตุลบ่อย ๆ น่าจะอ้วนแน่ ๆ"
"ไม่ขนาดนั้นมั้งครับ ถ้าอ้วนก็น่าจะอ้วนเพราะไม่ได้ออกกำลังกายมากว่า" ผมบอกพร้อมกับมองหน้าท้องตัวเอง
พักหลัง ๆ เลิกงานไม่ค่อยเป็นเวลา จนผมไม่มีเวลากระโดดเชือกเลย
"งั้นตอนไปเชียงใหม่ ไปปั่นจักรยานกัน สนุกนะ อากาศดี ๆ ปั่นจักรยานไปเรื่อย ๆ" คุณต้นพูดเสียจนชวนฝัน และเมื่อผมเดินไปส่งแก และกลับมาปิดร้าน เก็บกวาดทำความสะอาดจานชาม แล้วจึงกลับไปอาบน้ำนอน
พออยู่คนเดียว ผมก็กลับมานึกถึงภาพของพี่โยที่เมินผม และทำเป็นมองไม่เห็นทั้ง ๆ ที่ผมเดินเข้าไปหา
ถึงผมตั้งใจแล้วว่าจะไม่สานต่อความสัมพันธ์กับแก แต่พอเจอแกทำเมินใส่ ผมก็ปวดหัวใจจี๊ด ๆ เหมือนกัน เพราะคิดว่าอย่างน้อยเราก็ยังเป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนกันได้
แถมตอนนี้ก็ดึกแล้ว จะโทรไปปรึกษากับเหมยก็เกรงใจ และผมก็คิดว่าผมไม่ควรอยู่คนเดียวไม่อย่างนั้นผมคงคิดมากอีกแน่ ๆ
ผมหอบหมอนและผ้าห่ม เดินย่องอย่างเบาที่สุดและทรุดตัวไปนอนที่พื้นข้าง ๆ เตียงนอนของแม่
"มานอนอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ" แม่บ่น
"มันร้อน" ผมบอกและทิ้งตัวลงนอน แม่พลิกตัวอีกหนและทำท่าจะกลับเข้าสู่ห้วงนิทรา
ผมนอนมองเงาตะคุ่ม ๆ ของแม่ และฟังเสียงกรนเบา ๆ ของพ่อ และมันช่างทำให้ผมคลายความไม่สบายใจจากเรื่องของพี่โยได้ชะงัดนัก
ถ้าผมเด็กกว่านี้อีกสักนิด ผมก็อยากจะโผไปให้แม่กอดและให้แม่ปลอบต่าง ๆ นานา แต่ตอนนี้ผมโตแล้ว และแค่การได้อยู่ใกล้ ๆ พ่อกับแม่ ผมก็อุ่นใจขึ้นมาประมาณหนึ่ง
พรุ่งนี้ผมต้องโทรศัพท์ไปคุยกับเหมย และผมเดาได้เลยว่าเหมยต้องด่าไอ้หมอนั่นอย่างสาดเสียเทเสีย พร้อมกับบ่นผมอีกสารพัด
แต่ผมก็พยายามนึกถึงคำพูดของเพื่อนรัก และนึกถึงความรักที่พ่อกับแม่เลี้ยงผมมาอย่างแสนดี พ่อแม่ดูแลและรักผมมาขนาดนี้ ผมจะไปเสียใจกับคนที่ไม่ได้รักผมทำไม
ผมฟุ้งซ่าน และคิดถึงเรื่องราวในวันนี้ที่ผ่านมา มีเรื่องที่ทำให้ยิ้มมั่ง และรู้สึกไม่ดีมั่ง แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ต้องขอบคุณประสบการณ์ห้าสิบกว่าปีที่ทำให้ผมปลงอะไรได้ง่ายขนาดนี้
ผมขยับผ้าห่มคลุมกาย และขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายและหลับตาลง
ได้นอนสบาย ๆ อยู่ใกล้ ๆ คนที่รัก ได้รู้สึกอุ่นใจ แค่นี้ผมก็ควรมีความสุขสำหรับตอนนี้มากแล้ว