ชาย-ชาย,รัก,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
จากการประมาณการ และเมื่อผมได้ยินเสียงเอะอะ ของคนกลุ่มใหญ่ ก็เดาได้ว่า ทีมงานของเราได้เดินทางกันมาถึงเชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเมื่อผมเดินไปเปิดประตูก็เป็นคนคุ้นหน้าที่มีสีหน้าอ่อนเพลียจากการเดินทาง แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเจอหน้าผมพี่ ๆ ก็ไม่วายจะส่งยิ้มมาให้
"คุณต้นครับ มาถึงกันแล้ว" ผมรีบเดินไปบอก คุณต้นมองนาฬิกาและบอกให้ไปรอออกไปพร้อมกันตอนห้าโมงเย็น
ผมจึงเดินไปแจ้งกับทุก ๆ ห้อง และทุกคนก็รับรู้ ผมรู้ไม่มีใครกล้าสาย เพราะคุณต้นมาด้วย บอกห้าโมงก็คือห้าโมงตรงล้อต้องหมุน
"เป็นไง มาเที่ยวล่วงหน้า" เสียงพี่แผนกเซลล์เดินมาคุยด้วยอย่างล้อ ๆ
"เที่ยวอะไรกันพี่ มากับคุณต้น พี่ก็รู้ ๆ อยู่ สั่งงานผมทั้งวัน" ผมบอกไป ซึ่งแม้จะเกินความเป็นจริงไปหน่อย แต่ทุกคนในบริษัทก็พอจะเข้าใจ
ผมกลับเข้ามาพักในห้อง แต่คุณต้นก็ลุกไปล้างหน้าล้างตาแล้ว และพูดชวนผมให้ลงไปข้างล่างด้วยกัน ...นั่นไงผิดจากที่ผมว่าเสียที่ไหนกันเล่า
คุณต้นไปยืนคุยกับพี่คนขับรถ และทีมงานเซ็ทบูทและอุปกรณ์ ซึ่งเมื่อเอาของมาเก็บที่ห้องพักก็จะขับรถไปรอเราก่อนที่ห้างกลางใจเมือง
ผมกับคุณต้นกลับมารอชาวคณะที่ล็อบบี้ และทุกคนก็ทยอยกันลงมา และเมื่อเวลาห้าโมงตรงเผง ล้อรถของพวกเราก็หมุน และเสียงพูดคุยจอแจก็คงดังไปทั่วทั้งคันรถ
แต่ผมน่ะติดรถมากับคุณต้น แกว่าอยากให้ทุกคนได้นั่งกันสบาย ๆ ไม่อึดอัด
เมื่อถึงห้างที่ว่า พวกเราก็ช่วยกันคนละมือคนละไม้ ขนของเท่าที่ทำได้ และทำตามกระบวนการจนบูทของเราเป็นรูปเป็นร่าง
สินค้าถูกตรวจนับ ทำสต๊อก และจัดวาง อีกด้านก็ตรวจดูความเรียบร้อย และด้วยทีมงานมืออาชีพ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จสมบูรณ์
แน่นอนว่าคุณต้นกับผมต้องกลับเป็นคนสุดท้ายของทีม เพราะแกก็ต้องตรวจความเรียบร้อยเสียก่อน
"หิวไหมล่ะ?" คุณต้นถามแต่ผมก็ได้แค่อมยิ้ม
"มาถึงภาคเหนือก็ต้องกินขันโตก" คุณต้นบอกและท่าทางจะจัดรายการ วิบูลย์ชวนชิมอีกแล้ว
"คุณต้นเก่งนะครับ กินตั้งเยอะไม่ยักอ้วน" ผมบอกแต่แกก็ทำท่าจะค้อนใส่ผม
"ผมก็พยายามกินน้อย ๆ แล้วแต่มันอืดเอง" แกว่าพร้อมกับก้มลงมองพุงกะทิที่มันเริ่มมีเนื้อหนังขึ้นมาน้อย ๆ
"ไม่อืดหรอกครับ ตุลว่ากำลังดี แบบคนมีสง่าราศี ถ้าผอม ๆ เป็นเศรษฐี ตุลไม่เคยเห็นสักคน" ผมว่าไปและคุณต้นก็หัวเราะขำ
ขับรถออกไปชานเมืองสักหน่อย และร้านอาหารเล็ก ๆ บรรยากาศแบบล้านนา น่าดู แถมคนเดินออกมาต้อนรับก็เป็นผู้หญิงหน้าตายิ้มแย้ม ใส่ชุดพื้นบ้านสวยงามออกมาทักทายสวัสดีและพาเราไปนั่งที่โต๊ะในร้าน
ผมมอบหน้าที่สั่งอาหารให้คุณต้น และออกจะตื่นตะลึงกับโตกใบใหญ่ที่แออัดไปด้วยอาหารสารพัดชนิด
"โอ้โห น่าทานจังครับ" ผมอุทานและทำตาโต และรอจนคุณต้นเป็นผู้เปิดงาน
ไอ้โน่นก็ดี ไอ้นี่ก็อร่อย นั่นก็หากินยาก สารพัดที่คุณต้นจะเอ่ยปากชม และชวนผมกิน ซึ่งสุดท้าย เราสองคนก็กลับห้องด้วยอาการอิ่มตื้อ และจุกจนก่อนเข้าโรงแรมต้องขอซื้อยาเอามาละลายน้ำดื่มแก้จุกเสียดเอาทีเดียว ซึ่งคุณต้นเองก็ไม่ต่างกันเพราะซัดไปเยอะเหมือนกัน คงจะเพราะข้าวเหนียวแน่ ๆ เห็นกระติ๊บนิดเดียวแต่กินแล้วแน่นตื้อไปหมด
และเมื่อกลับมานอน หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ไม่พูดไม่จา ต่างคนต่างหลับเพราะทั้งเหนื่อยทั้งง่วงและทั้งอิ่ม
เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ตื่นมากินอาหารเช้า แล้วก็ไปทำงาน ซึ่งช่วงเที่ยงและช่วงเลิกงานผมก็มีหน้าที่ติดตามคุณต้นไปกินอะไรกับแก เพื่อจะได้ไม่เหงา ซึ่งผมก็ถือว่าเป็นลาภปากเพราะคุณต้นดูจะรู้ว่าตรอก ซอกซอยไหนมีของเอร็ดอร่อยบ้าง
และเมื่อกลับมาถึงห้องพัก ก็ดูละครบ้าง อ่านหนังสือบ้าง หรือแกเกิดนึกไอเดียอะไรได้ ก็สั่งให้ผมจด
การเป็นอย่างนี้จนถึงวันกลับ และคุณต้นแกก็ชวนผมไปเดินถนนคนเดิน ซึ่งแกคุยอวดว่าครึกครื้น และเดินสนุก
"พรุ่งนี้เรากลับช้ากว่าเขา พักผ่อนอีกวันถือซะว่าฉลองที่ขายดี" แกว่าและเดินนำผมลิ่ว ๆ ตั้งแต่ประตูท่าแพทีเดียว
เดินกันก็ใช้เวลาอยู่นานสองนาน แม้ว่าผมจะเริ่มเมื่อยขานิด ๆ แต่เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว และการได้เดินอะไรที่ได้กลิ่นอายความเป็นวิถีพื้นถิ่นมันก็น่าสนใจ
ซึ่งผมกับคุณต้นก็ได้ซื้อของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เมื่อสุดท้ายกลับถึงโรงแรม อาการอิ่มตื้อก็เล่นงานเสียอีกเช่นเคย
"ถ้าจัดงานแล้วเลิกดึก ๆ ต้องตามคุณต้นไปกินโน่นกินนี่บ่อย ๆ ตุลอ้วนแน่ ๆ" ผมไม่วายจะบ่น
"ก็เพราะมันไม่บ่อยไง เอาน่านาน ๆ ที" คุณต้นหันมาปลอบใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมกับคุณต้นลงมาเคลียร์บัญชีค่าใช้จ่ายเรื่องห้องพัก บรรดาพนักงานน่ะกลับกันไปตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว และคุณต้นก็ใจดีให้ลางานได้หนึ่งวัน
เพราะถึงให้ลาครึ่งวันก็ได้ผลไม่ค่อยต่างกัน และกว่าจะกลับถึงบ้านช่องกันก็ดึกดื่นเที่ยงคืน
"แวะไปซื้อผ้าหม้อห้อมที่แพร่กันก่อน" แกบอกและขับรถไปเรื่อย ๆ ซึ่งพอถึงถิ่นที่ขาย ชาวบ้านสองข้างทางขายผ้าหม้อห้อม ผ้ามัดย้อม และทั้งหมวกทั้งกระเป๋า
ซึ่งผมก็ได้เสื้อไปฝากเพื่อน ๆ คือ ปูกับเหมยและชูวิทย์กับประวิทย์ ไหนจะหลานตัวน้อยลูกองปูอีก แต่พอจะกลับผมตาดีไปเจอเสื้อสวยก็เลยซื้อมาอีกสามตัวให้ตัวเองและพ่อกับแม่
วันนี้ผมรู้สึกได้ว่าเป็นวันที่คุณต้นดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษผิดกว่าทุกวัน และไม่คิดถึงเรื่องงานเลย ดูเหมือนจะให้ผมจดงานแค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นยังพาผมแวะตามวัดไหว้พระสำคัญ ๆ ให้ได้เสริมบารมีก่อนกลับบ้านด้วย
"วันนี้แลคุณต้นอารมณ์ดีนะครับ" ผมแซวและคุณต้นก็ยิ้มกว้างกลับมาให้
"ก็มันสบายใจหนิ" คุณต้นบอกและหันมามองหน้าผม ซึ่งผมก็อยากเขกกะโหลกตัวเองว่าคำพูดแค่นี้ทำไมต้องหน้าร้อนกันด้วยและแค่สองสามวันนี้ผมดูเหมือนจะหน้าร้อนเพราะแกเอาบ่อย ๆ ทีเดียว
เหมือนดั่งขามา คุณต้นขับรถไปก็ร้องเพลงไป ซึ่งเพลงไหนผมชอบผมก็ร้องกับแกไปด้วย ว่าไม่ได้ เจ้านายของผมก็เสียงดีไม่ใช่เล่น
"สมัยก่อนเฮียเกือบจะเอาดีทางเป็นนักร้องเลยนะ" คุณต้นคุยอวด
"บร๊ะ จริงหรือครับ ผมว่าคุณต้นเป็นได้สบาย ๆ เลยล่ะ" ผมบอกแต่ไม่ใช่เพราะอยากยอแต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
"เครื่องดนตรีผมก็เล่นเป็นนะ กีตาร์ กลอง เบส" คุณต้นคุยอวดอีก
"แต่ตุลเล่นไม่เป็นสักอย่างหัวมันไม่เอาจริง ๆ ครับ" ผมบอกกลับ
"แล้วทำไมคุณต้นไม่เป็นนักร้องล่ะครับ?" ผมไม่วายจะถามแกกลับทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่แล้ว
"ก็แน่ล่ะ หน้าที่ของลูกคนโต ก็ต้องรับสืบทอดกิจการ ป๊าวางแผนมาตั้งแต่เฮียหัดพูดได้แล้วล่ะมั้ง แต่ไม่เป็นไรหรอก ถึงไม่ได้เป็นนักร้อง อยู่บ้าน หรืออยู่ว่าง ๆ ก็เอากีตาร์มาเล่นมาร้องเพลงแก้เหงาได้" คุณต้นพูดอย่างปลง ๆ
"ผมก็อ่านหนังสือไป หรือไม่ก็ช่วยแม่ทำกับข้าวขาย ไม่มีอะไรอื่นทำจากนี้หรอกครับ" ผมไม่วายจะพูดไปบ้าง เผื่อคุณต้นแกจะได้รู้สึกว่าไม่เดียวดายจนเกินไป มีคนห่วยกว่าแกอยู่ด้วยตรงนี้ทั้งคน
"แต่ได้ช่วยแม่ผมก็มีความสุขนะครับ ผมจะสามสิบแล้ว บางคืนเบื่อ ๆ ผมยังหอบหมอนมานอนห้องแม่เลย นอนดูวิดีโอด้วยกัน นอนคุยเล่นกัน บางทีพ่อกับแม่บ่นเมื่อยผมก็เหยียบให้แกบ้าง"
"อ้าวไม่บอกเฮียว่าเหยียบเป็น จะได้ให้เหยียบบ้าง" คุณต้นพูดขำ ๆ
"ไว้คราวหน้าก็แล้วกันครับ เห็นมีคนมาคุยว่าจะไปออกงานที่นครอีกหนิครับ" ผมบอกซึ่งแกก็พยักหน้า และนครที่ว่าก็คือจังหวัดนครศรีธรรมราช นั่นเอง
"ดีจะได้ไปกินขนมจีนกัน ร้านดังอยู่ใกล้ ๆ วัดพระพระมหาธาตุเลย ผมพอจะจำทางได้เลา ๆ" คุณต้นพาเข้าเรื่องกินอีกแล้วจนผมต้องเหล่ตาไปมองพุงของแก
นั่งฟังเพลงเรื่อยไปบางทีผมก็ง่วงเผลอหลับไปก็มี แต่เมื่อรู้สึกตัวก็รีบหาน้ำมาดื่ม หาอะไรมาเคี้ยว ไม่อย่างนั้นจะหาว่าตัดช่องน้อยแต่พอตัว
"นอนต่อก็ได้ ใกล้เข้ากรุงเทพฯ ละ เดี๋ยวผมปลุก" คุณต้นบอกอย่างใจดี แต่ผมก็แค่ปรับเบาะเอนเล็กน้อยและนอนลืมตาฟังเพลงดีกว่า
"ไม่นอนแล้วหรอ?" คุณต้นถามเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมนอน
"ไม่นอนแล้วครับเดี๋ยวคืนนี้นอนไม่หลับ" ผมตอบกลับไป
"ตุลเฮียถามตุลหน่อยสิ ตุลว่าเฮียดุมั๊ย เป็นเจ้านายที่แย่หรือเปล่า?" คุณต้นถามคำถามที่ทำเอาผมอึ้งไปเลย
พยายามคิดจากมุมมองของตัวเอง และมุมมองของหลาย ๆ คน ผมก็ค่อย ๆ เรียบเรียงคำตอบไป
"คุณต้นไม่ดุหรอกครับ เป็นคนละเอียด ถ้าคนชุ่ย ๆ หน่อยเขาก็คงไม่ค่อยชอบใจ แต่ตุลว่า คนเป็นหัวหน้าก็ต้องละเอียดแบบนี้ ถ้าเทียบกับที่ทำงานเก่าของตุล...เอ่ออย่าว่าตุลนินทาที่ทำงานเก่านะครับ" ผมรีบออกตัวและคุณต้นก็ทำทีว่ารอฟังอยู่
"ที่ทำงานเก่าคุณตุลเป็นยังไงหรอ?" คุณต้นออกปากถาม
"มันไม่ใช่แค่หัวหน้าหรอกครับ มันรวมถึงเพื่อนร่วมงานด้วย ที่นั่นมันการแข่งขันสูง การเมืองสูง เราต้องสังกัดใครสักคนที่จะคุ้มหัวเราได้ ซึ่งเขาจะคุ้มครองเราก็ต่อเมื่อเรามีผลประโยชน์กับเขามากพอ ทำประโยชน์ ทำยอดขายให้เขาได้น่ะครับ" ผมตอบออกไปขณะที่คิดเรียบเรียงคำพูด
"แล้วบริษัทของเราล่ะ?"
"อืม...ตุลว่าบริษัทเรามันอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านนะครับ คือมีทั้งคนใหม่คนเก่า ที่กลมกลืนกันดี คนเก่าก็จะเอื้อเฟื้อ และเป็นกันเอง ส่วนคนใหม่ ที่เพิ่งรับมา ซึ่งคุณต้นเฟ้นหามาจากบริษัทโด่งดัง ซึ่งผู้จัดการฝ่ายขายคนนี้ก็มีฝีมือจริง ๆ เพราะแค่สามเดือนก็ทำยอดทะลุเป้าได้แล้ว" ผมตอบออกไปซึ่งคุณต้นก็รับฟังและอมยิ้ม
"เฮียถามอะไรเครียดไปไหมเนี่ย?" คุณต้นถามแต่ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันหนักอะไร ใคร ๆ ในบริษัทเราก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น
"งั้นถามเรื่องเบา ๆ บ้างดีกว่า...ถามอะไรดี อ้อ ตุลมีแฟนหรือยัง?" คุณต้นถามแต่ผมก็ทำท่าอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่
"ไม่มีหรอกครับ ไม่น่าจะมีด้วย" ผมตอบกลับไปและทำหน้าเบื่อระอา
"แล้วไอ้หมอที่ทำเมินใส่ตุลนั่นล่ะ คบกันในฐานะไหน" คุณต้นถามอีกและผมก็นิ่งอึ้งไป เพราะไม่รู้จะพูดคำตอบอะไรออกมา
"เอ่อ...เฮียขอโทษ เฮียละลาบละล้วงเกินไปหน่อย ไม่ต้องตอบหรอก" คุณต้นบอกและยื่นมือมาตีไหล่ผมเบา ๆ
"ตอบได้ครับ ก็เคยคุย ๆ กันนิดหน่อยน่ะครับ ก็เป็นความสัมพันธ์ที่จะว่าลึกซึ้งก็มีนิดหน่อย แต่มันไม่มีสถานะไปแล้วตอนนี้ และตอนนี้จบแล้วล่ะครับ และตุลก็ไม่ได้รู้สึกว่าเค้าเป็นคนสำคัญอะไรแล้วด้วย" ผมตอบออกไป และคิดถึงหน้าเหมยขึ้นมาทีเดียว
"แล้วไปรู้จักมักจี่กันได้ยังไงล่ะ?" คุณต้นไม่วายซอกแซกถามอีก
"รู้จักกันตอนผมเรียนต่อภาคสมทบน่ะครับ พอดีอยู่ห้องเดียวกัน ทำงานกลุ่มด้วยกัน ก็เลยสนิทกันในตอนนั้น" ผมตอบออกไปอย่างกลาง ๆ
"แล้วคุณต้นล่ะครับ เคยอกหักไหมครับ?" ผมย้อนถามแกมั่ง เพราะจำได้ว่าแกเคยพูดว่าแกเคยอกหักรักคุดอยู่บ้าง
"ก็เคยสิ ถึงผมหล่อขนาดนี้ก็เถอะ" คุณต้นพูดแล้วก็หัวเราะจนผมต้องค้อนให้
"แสดงว่ามีหลายคน" ผมถามไปอีก
"คนเดียว แค่คนเดียวผมก็จะตายอยู่แล้ว" คุณต้นบอกพร้อมกับถอนหายใจยาว
"ก็คล้าย ๆ กับตุลนั่นแหละ เฮียเจอกับเขาตอนไปเรียนที่เมืองนอก อยู่หอพักเดียวกัน แล้วยิ่งเป็นคนเอเชียด้วยกัน ก็เลย สนิทกันเร็วสักหน่อย" คุณต้นพูดแล้วก็หยุดเหมือนทำราวกับจะระลึกถึงความหลัง
"ก็พูด ๆ คุย ๆ จนตกลงว่าจะคบกัน แต่คราวนี้จนถึงตอนเรียนจบ ต่างคนต่างก็แยกย้าย เขาไม่มาอยู่ไทย เพราะเขาเองก็มีกิจการของที่บ้านต้องดูแลเหมือนกัน" คุณต้นบอกแล้วก็เงียบไป จนผมรู้สึกอึดอัด
"งั้นเฮียต้นชอบคนแบบไหนล่ะครับ เผื่อตุลเจอจะได้เอามาแนะนำ" ผมบอกออกไปและพยายามทำน้ำเสียงให้ร่าเริง เพราะบรรยากาศมันชักจะหดหู่
"คนแบบไหนหรอ ก็ไม่มีอะไรมาก เอาเป็นว่าคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ คุยด้วยทุกเรื่อง หน้าตาแบบไหนก็ไม่มีสเปคนะ แต่ก็อย่าขี้เหร่จนพาไปเดินที่ไหนไม่ได้ก็พอ เอาแค่พอพาไปวัดตอนกลางวันได้ จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้" คุณต้นบอกและหันมายิ้มให้ และไอ้คำตอบสุดท้ายของคุณต้นก็ทำเอาผมตัวชา และหาเรื่องอื่นคุยไม่วกเข้ามาเรื่องส่วนตัวของแกอีกแล้ว
รถมาส่งผมที่บ้านเอาช่วงเย็นย่ำ ซึ่งพ่อกับแม่ก็เจ้ากี้เจ้าการ ให้ผมชวนคุณต้นมากินข้าวเย็นด้วยกันเสียพร้อม ๆ กันเลย
"เอาสิครับ ลาภปากผมเลย รบกวนคุณพ่อคุณแม่ฝากท้องอีกสักมื้อนะครับ" คุณต้นพูดอย่างแสนเป็นกันเอง จนแม่ยิ้มจนหน้าบาน
ส่วนผมน่ะเหรอ โน่นหิ้วของฝากเหยง ๆ อยู่คนเดียว เดินเข้าเดินออกสองสามรอบ
"ไม่ช่วยหิ้วเลย อย่างนี้ของฝากอดก็แล้วกัน" ผมพูดอย่างงอน ๆ แต่พ่อกับแม่ก็ยังเอาแต่ชวนคุณต้นคุยโน่นคุยนี่ จนผมเดินมาถึงโต๊ะอาหารที่แม่ตักข้าวเผื่อให้เรียบร้อยแล้ว เห็นกับข้าวที่มีแต่ของโปรดของผม ความงอนก็หายไปในทันที
"โหแม่ น่ากินจัง" ผมร้องและรีบตักปูผัดผงกะหรี่มาใส่จานของตัวเอง นาน ๆ จะได้กินเสียที
ซึ่งในระหว่างการกิน ผมเห็น ที่คุณต้นชวนพ่อกับแม่คุยกันได้อย่างไม่ขัดเขิน และท่าทางเจ้ากี้เจ้าการอย่างที่คุณต้นใช้ในชีวิตประจำวันมันหายไปไหนเสียก็ไม่รู้
วันนี้ทั้งวัน ผมเห็นแต่คุณต้นที่ ดูสบาย ๆ เป็นกันเอง คุยสนุก และใครอยู่ใกล้ ๆ ก็สบายใจ ยิ่งถ้าเทียบกับพี่โยด้วยแล้วล่ะก็ ขาวกับดำ หน้ามือกับหลังตีนเอาเลยทีเดียว
พี่โยเย่อหยิ่งเจ้ายศเจ้าอย่าง แต่คุณต้นติดดิน และทำตัวสบาย ๆ
พี่โยชอบความหรูหรา อาหารก็ต้องกินแต่ร้านอาหารหรู ๆ ส่วนคุณต้น จะร้านหรู ร้านธรรมดา หรือนั่งกินกับเพิงข้างทาง แกก็ไม่ได้รังเกียจ แถมไม่ถือเนื้อถือตัวเสียด้วย
พี่โยแต่งตัว ไม่ว่าจะเสื้อผ้า ของใช้ และเฟอร์นิเจอร์ประดับกาย ก็ต้องของแพงที่สุด ดีที่สุด แต่คุณนั้นเจ้านายของผมนั้น พ่อแต่งตัวสบายจัด แถมชอบซื้อของเซลล์ซะด้วย ผมเคยติดสอยห้อยตามแกไปห้างเพื่อซื้อของลดราคาแล้วยังมีหน้าที่หิ้วให้แกซะด้วย
และสิ่งที่ผมไม่ชอบใจที่สุดก็คือ ยามที่ผมชวนพี่โยมากินข้าวที่บ้าน แกจะแสดงทีท่าไม่อยากมา อึดอัด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะรังเกียจ หรืออะไร แต่คุณต้นเข้าบ้านผม และถึงบ้านผมจะเป็นบ้านธรรมด๊าธรรมดา แกก็ไม่ได้มีสีหน้ารังเกียจ ให้ผมได้จับสังเกตเลยแม้แต่นิดเดียว
"มันของนอกกาย ผมว่า เอาแค่พอดูได้ ไม่แพงเกินไป ไม่ถูกเกินไปจนคุณภาพไม่ดี ก็พอ อ้อผมว่ามันสำคัญตรงกึ๋นมากกว่า" แกว่าและผมก็พยักหน้าเออออ อย่างเห็นด้วยที่สุด เมื่อผมถามถึงข้าวของเครื่องใช้ของแก
คุณต้นคุยสนุกแตกต่างจากชูวิทย์ รายนั้นออกไปในแนวตลกโปกฮา ไร้สาระ แต่คุณต้นคุยแล้วน่าฟัง แถมฟังแล้วมีประโยชน์ จนพ่อกับแม่นั่งฟังอ้าปากหวอ ก็ฝีปากแกขนาดนี้ ลูกค้าใหญ่ ๆ จะไม่ตกเป็นเหยื่อฝีปากแกได้อย่างไรกันเล่า
ผมเองยังฟังเพลินเลย!!!
กินข้าวเสร็จ และพ่อกับแม่ก็ให้ผมเดินไปส่งคุณต้นที่รถ
"พรุ่งนี้ไม่ต้องเข้าออฟฟิศนะ โทรบอกคุณเปิ้ลด้วย ตอนเช้าผมมารับ ไปโรงงานด้วยกัน" คุณต้นบอกและขับรถจากไป และเมื่อผมกลับเข้ามาในบ้าน แม่ก็เอ่ยปากชมคุณต้นเสียราวกับเป็นเทวดา
"ดีจะตายแกมีลูกมีเมียหรือยังล่ะ ปีนี้คุณต้นแกอายุเท่าไหร่แล้ว?" แม่เอ่ยปากถาม
"จะสามสิบเดือนหน้านี่แหละแม่ส่วนลูกเมียยังไม่มีหรอกก็วัน ๆ มัวแต่บ้างาน" ผมรายงานให้แม่ฟัง
"อ๊ะ ก็ดี จีบเลยสิ ได้คนอย่างนี้ โอ๊ย สบายไปทั้งชาติ ไม่ใช่แค่แกรวยนะ แกทั้งดีทั้งเก่ง" แม่เอ่ยปากแซวและเดินมาบีบแก้มผม ส่วนผมก็มองตาแม่และทำหน้าไม่เห็นด้วย
จนไล่พ่อกับแม่ขึ้นไปพักผ่อนแล้ว ผมเก็บกวาดข้างของอยู่ข้างล่าง และนึกขึ้นมาได้ว่าควรโทรหาเหมยสักหน่อยเรื่องของฝาก
"สวัสดีจ้าเหมย สะดวกคุยมั๊ย?" ผมถามเพราะคนรับสายเป็นเหมยพอดี
"หวัดดีตุล เป็นยังไงไปเชียงใหม่ ได้อะไรมาฝากหรือเปล่าจ๊ะ?" เหมยเอ่ยปากถามเล่น ๆ แต่ผมก็ตอบไปว่ามีของฝากให้อยู่แล้ว
"วุ๊ย เกรงใจเราพูดเล่นนะตุล" เหมยรีบออกตัว
"เออไม่ใช่ของพุ่งของแพงอะไรหรอก เสื้อหม้อห้อมจากแพร่น่ะ ขากลับมากับคุณต้นแกพาแวะ เราเห็นว่ามันสวยดี ก็เลยซื้อมาฝากเหมยกับปู ประวิทย์กับชูวิทย์แล้วก็หลานด้วย" ผมรายงานจนเหมยเอ่ยปากขอบคุณไม่หยุด
"เออ เหมย เรามีเรื่องอยากปรึกษาอะไรนิดหน่อยน่ะ" ผมเอ่ยปากและคิดว่าเรื่องนี้ปรึกษาใครไม่ได้นอกจากเพื่อนของผมคนนี้เท่านั้น
"เรื่องอะไรว่ามา สำคัญหรือเปล่า หรือว่าแอบไปตกหลุมรักใครคะ?" เหมยพูดจนผมอึ้งไป
"จริงสิ ...อย่าบอกจะว่าแอบชอบใครเนี่ย ไหนว่ามาซิใครกัน ดีหรือเปล่า หล่อมั๊ย?" เหมยถามรัวเป็นชุดจนผมได้แต่ยิ้มเขิน
"เราว่าเราปลื้มเจ้านายของเราว่ะ คุณต้นเค้าใจดี ตอนอยู่กับเราแค่สองคน เรารู้สึกว่าแกใส่ใจเรามาก ๆ เลยล่ะ" ผมพูดออกไปอย่างเพ้อ ๆ
"ก็ดีสิ แล้วยังไงอีก?" เหมยถามต่อ
"ที่สำคัญ วันนี้คุยกันในรถ แกเฉลยว่าแกชอบทั้งผู้ชายแล้วก็ผู้หญิง แถมวันนี้คุยกันในรถ ยังถามเราว่ามีแฟนหรือเปล่า พอเราถามแกกลับแกก็เล่าว่าแกเคยมีแฟนสมัยเรียนที่ต่างประเทศ แต่เราไม่ได้ถามแกตรง ๆ หรอกว่าผู้ชายหรือผู้หญิง แต่แกว่า คนอยู่หอเดียวกัน มันก็น่าจะผู้ชายเหมือนกันนะ" ผมออกความเห็น และให้คนกลางได้ฟังเพื่อตัดสินใจ
"ไม่แน่หรอกตุล เมืองนอกน่ะ บางทีหอพักนักศึกษาเค้าก็รวมทั้งชายหญิงนั่นแหละ เขาไม่ได้เคร่งครัดประเพณีเหมือนคนไทยเราหนิ" เหมยพูดจนผมต้องตระหนักถึงข้อนี้
"แต่ที่เล่านี่ก็คือ เราไม่ได้อยากได้เขามาเป็นแฟนหรอกนะ แค่จะบอกว่าแอบปลื้มเท่านั้นน่ะ อยู่ใกล้แกแล้วมีความสุขดี เหมือนมีพี่ชายคอยปกป้อง" ผมพูดแล้วก็ยิ้มเขิน นิ้วมือของผมก็เอาแต่บิดสายโทรศัพท์จนแน่นไปแล้ว
"ของอย่างนี้มันก็ต้องค่อย ๆ ดูไป ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม แต่รีบได้ก็ดี เพราะไม่อย่างนั้นมันก็เข้าข่าย พบไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้" เหมยพรั่งพรูเป็นคำพังเพยจนผมขำออกมา
"เราคงไม่กล้าหรอก เขาเป็นถึงเจ้าของบริษัท เรามันพนักงานต๊อกต๋อย" ผมตอบและอมยิ้ม
"ว่าไม่ได้นาตุล ไม่อย่างนั้นนิทานเรื่องซินเดอเรร่ามันจะเกิดขึ้นได้ยังไง แต่เอาให้ดีนะ ของอย่างนี้มันต้องพิสูจน์กันค่ะ" เหมยพูดและหัวเราะตาม
"พิสูจน์ยังไงล่ะเหมย มันพิสูจน์กันง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?" ผมถามกลับ
"โธ่จะไปยากอะไร นี่ใคร นี่เจ้เหมย อ่อนนุชนะคะ" เหมยพูดจนผมหัวเราะกับฉายาของเจ้าตัว
คืนนั้นผมนอนพลิกตัวไปมา และคิดถึงแผนของเหมยอย่างที่ว่า
"ก็ดีเหมือนกัน ลองดู ถ้าเขาไม่ชอบเราก็จะได้ตัดใจ แต่ถ้าเกิดเขาตาถั่วมาชอบเราขึ้นมา อย่างน้อย จะได้ลองสานความสัมพันธ์ไงล่ะ" ผมบอกกับตัวเอง หัวเราะกับตัวเองอย่างเก้อเขิน และดึงผ้าห่มมาคลุมโปง
แต่จะว่าไป แค่คิดถึงหน้าของคุณต้นผมก็อมยิ้มแล้ว หรือว่าคุณต้นจะเป็นคนพิเศษของผมจริง ๆ กันนะ หัวใจกับความรักมันชอบเล่นตลกอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้
รักกันเร็วเดี๋ยวก็จบเร็ว เราไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน คุณตาที่แก่จนจะแซยิด ถ้ามองย้อนกลับมามองตัวเองตอนอายุยี่สิบปลาย ๆ ก็คงเห็นว่าตัวเองยังเด็ก