ถ้าโลกนี้มีเส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่ว ตอนนี้ขาของผมก็ข้ามเส้นมาก้าวหนึ่งแล้ว — อ่า... เผลอทำผิดศีลข้อ 1 ซะแล้วสิ
สืบสวนสอบสวน,ลึกลับ,พารานอมอล,ชาย-ชาย,ระทึกขวัญ,นิยายวาย,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)ถ้าโลกนี้มีเส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่ว ตอนนี้ขาของผมก็ข้ามเส้นมาก้าวหนึ่งแล้ว — อ่า... เผลอทำผิดศีลข้อ 1 ซะแล้วสิ
Content Warning
Blood เลือด, Corpse ศพ, Dead Body ศพ, Gore เลือดและอวัยวะภายใน, Ghost วิญญาณ, Murder การฆาตกรรม, Paranormal อธิบายไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์, PTSD ปัญหาทางจิตหลังจากเหตุการ์สะเทือนขวัญ, Supernatural เหนือธรรมชาติ, Violence การใช้ความรุนแรง
Genre: Horror/Suspense/Mystery/Crime/Boy Love
แนะนำเรื่อง:
หลังจากที่ทีมของเธียรไธเข้าบุกล้อมแก๊งค้าอวัยวะที่โรงงานร้าง คนร้ายทุกคนถูกจับและส่งตัวไปเข้ากระบวนการพิจารณาโทษ แม้จะปิดคดีได้แล้ว แต่ตัวเขารู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ สัมผัสพิเศษบอกเขาว่าตัวการที่ถูกเขาวิสามัญไปไม่ใช่หัวหน้าตัวจริง มีใครบางคนกำลังมองดูเขาอยู่ และความรู้สึกแปลกประหลาดที่คืบคลานเข้ามาก็ยิ่งทำให้เขารับรู้ได้ถึง 'อันตราย' ที่กำลังจะเกิดขึ้น
เรื่องนี้เป็น Spin Off จากเรื่อง In Danger สัมผัสมรณะค่ะ (เรื่องหลักเป็นนิยายวายนะคะ) เนื้อหาตอนต้นจะมีการรีแคปเหตุการณ์ก่อนหน้าให้นิดหน่อย แต่เพื่อให้ได้อรรถรสและซึมซับบรรยากาศ อลิซแนะนำให้อ่านเรื่อง In Danger สัมผัสมรณะ ด้วยนะคะ ^^
เมื่อเข้ามาข้างในโรงงานได้แล้ว ผมก็พบว่าสถานที่ภายในถูกจำลองมาจากโรงงานร้างในคดีทุกกระเบียดนิ้ว เหมือนทุกอย่างแม้กระทั่งบรรยากาศจนผมเกือบคิดว่าผมย้อนกลับไปในวันนั้น
“อ๊าก!” เสียงของใครบางคนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาใกล้อย่างตระหนก หลอดไฟเพดานกะพริบอย่างติด ๆ ดับ ๆ ฉายภาพใบหน้าตื่นกลัวของชายคนหนึ่ง “ช่วยด้วย!”
เขาร้องลั่นเพื่อขอความช่วยเหลือ ดวงตาที่ขึ้นเส้นเลือดเบิกโพลงด้วยความกลัว ด้านหลังของเขามีวิญญาณอาฆาตกำลังตามมา ร่างกายที่ไม่ครบสามสิบสองประการของวิญญาณดวงนั้นทำให้ผมพอเดาได้ไม่ยากถึงสาเหตุการตาย
ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เขาสวมชุดกาวน์ผ่าตัดสีเขียวที่เปื้อนไปด้วยเลือด หน้ากากอนามัยถูกถอดออกไปเพื่อเปิดทางเดินหายใจ “ช่วยด้วย! ทำอะไรสักอย่างที! ยิงมันก็ได้!”
เขาตะโกนเสียงดังพร้อมมองปืนอาคมในมือของผม ขณะเดียวกันนั้นเองวิญญาณที่กำลังตามมาก็ส่งเสียงออกมาว่า
“มันฆ่าฉัน มันหั่นฉันไปขาย! มันต้องตาย!”
แล้วจู่ ๆ ภาพตรงหน้าก็เคลื่อนไหวช้าลงคล้ายกับวิดีโอที่ถูกปรับลดความเร็วให้เป็นโหมดสโลโมชัน เป็นสถานการณ์ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังต้องการให้ผมเลือก...
ผมจ่อปืนไปข้างหน้า มือข้างนั้นมันสั่นอย่างไม่มั่นใจ เวลานี้ผมต้องทำยังไง? ผมต้องวิสามัญคนร้ายในคดีค้าอวัยวะเพื่อไม่ให้มันไปทำชั่วอีก หรือผมต้องหยุดวิญญาณอาฆาตตนนั้น? แต่ผมไม่มีอะไรที่จะกักวิญญาณได้เพราะงั้นทางเลือกเดียวตอนนี้คือสลายดวงวิญญาณ
ให้ตายเถอะ ไม่ว่าจะทางเลือกไหนก็ไม่ดี...
ชายคนนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 6 ที่อ้างตัวว่าถูกอาจารย์แพทย์หลอกให้มาเข้าร่วมขบวนการ ปัจจุบันกำลังสู้คดีอยู่ในชั้นศาลซึ่งมีแนวโน้มชนะสูง นักศึกษาคนนั้นมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยนั่นจึงเป็นเรื่องที่ง่ายหากครอบครัวของเขาจะว่าจ้างทนายเก่ง ๆ มาทำคดี
ภายใต้ใบหน้าที่พยายามทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์นั้น ผมรู้ดีว่าจิตใจของเด็กคนนั้นดำมืดแค่ไหน การสัมผัสครั้งเดียวแม้จะแค่เฉียด ๆ ก็ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าคนคนนั้นดีหรือเลว คดีนี้ไม่ใช่คดีแรกของเขาและยิ่งไปกว่านั้นคือมันยังไม่ใช่คดีสุดท้าย
ส่วนวิญญาณตนนั้นถ้าผมปล่อยให้ตามจองเวรต่อไปอาจไม่เป็นผลดีต่อการไปสู่สุคติ เพราะหลังจากที่ฆ่านักศึกษาแพทย์คนนี้แล้ว วิญญาณดวงนั้นจะต้องตามไปฆ่าคนอื่นอีกแน่ ๆ ถ้าผมตัดสินใจที่จะหยุดวิญญาณดวงนั้น วิธีเดียวที่ผมต้องทำก็คือการสลายดวงวิญญาณซึ่งนั่นหมายความว่าดวงวิญญาณนั้นจะถูกทำลายและไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้อีก
ไม่ว่าเลือกเส้นทางไหน สุดท้ายปลายทางของผมก็คือการทำลายชีวิตของผู้อื่น
มือของผมจับกระบอกปืนที่เย็นเยียบ ชั่วขณะที่ผมกำลังลังเล จู่ ๆ ก็มีเงาของใครบางคนเดินเข้ามาซ้อนทับร่างของผม ร่างโปร่งแสงที่มีร่างกายแบบเดียวกันจ่อปลายกระบอกปืนไปที่วิญญาณตนนั้นก่อนจะเหนี่ยวไก
ปัง!
นักศึกษาแพทย์สะดุ้งโหยง เขาตรวจสอบร่างกายของตัวเองก่อนถอนหายใจโล่งอกเมื่อไม่พบว่าตัวเองบาดเจ็บ ขณะเดียวกันร่างของวิญญาณอาฆาตก็เกิดการลุกไหม้แล้วสลายไปไม่เหลือไว้แม้ขี้เถ้า
ผมยืนนิ่งราวกับหยุดหายใจ เงาที่ซ้อนทับร่างผมเดินตรงไปข้างหน้า นักศึกษาแพทย์รีบกุลีกุจอเข้ามากอดขาและขอบคุณเงานั้น... เงาที่มีรูปร่างและใบหน้าเหมือนผมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สิ่งที่ยังติดในความทรงจำคือวันนั้นผมปลดปล่อยดวงวิญญาณไปเยอะมาก แต่ผมไม่ยักจำได้ว่าผมกำจัดวิญญาณอาฆาตตนนี้ไปด้วย
แต่แล้วสิ่งที่เกินความคาดหมายของผมก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเงาร่างนั้นหันปลายกระบอกปืนไปที่นักศึกษาแพทย์แล้วกดยิงอย่างไม่ลังเล
ปัง!
เลือดและสมองถูกระเบิดออกมาเลอะใบหน้า ของเหลวสีแดงไหลย้อยออกมาทาทับเลือดของใครต่อใครบนชุดกาวน์ของเขา...
นี่ผม... ฆ่าเขาด้วยงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้! ถ้าอย่างงั้นผมจะมีความทรงจำที่นักศึกษาคนนั้นไปขึ้นศาลได้ยังไง?!
ทว่าเมื่อผมพยายามคิดย้อนถึงเหตุการณ์ในวันขึ้นศาลของนักศึกษาแพทย์ ผมกลับไม่สามารถดึงความทรงจำส่วนนั้นออกมาได้ราวกับว่ามันถูกรีเซตแล้วแทนที่ด้วยไฟล์ใหม่ไปแล้ว...
ระหว่างที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด คนร้ายร่วมขบวนการที่ทีมของผมจับได้ก็พากันวิ่งออกมาพร้อมเสียงตะโกนของความกลัว ด้านหลังมีกลุ่มก้อนดำทะมึนของวิญญาณอาฆาตกำลังตามมา
ผมเห็นเงาร่างของผมยกปืนขึ้น ตัวผมคนนั้นกำลังเตรียมจะยิงนัดถัดไปแล้ว ผมก้มมองปืนของตัวเอง หรือการที่กระสุนในแม็กกาซีนของผมเหลือน้อยขนาดนี้เป็นเพราะว่าผมใช้มันไปในคดีครั้งนั้น?
ทว่าในความสับสนสมองของผมก็ยังมั่นใจกันว่าวันนั้นผมไม่ได้ยิงใคร...
“หยุดนะ!”
อะไรบางอย่างดลใจให้ผมตะโกนหยุดเงาของตัวเองก่อนที่ ‘ตัวผม’ จะตัดชีวิตของใครเพิ่ม
เงาร่างหยุดชะงักก่อนหันกลับมามองอย่างงุนงง เขาทำท่าเหมือนกับว่าได้ยินแต่กระนั้นก็มองไม่เห็นผม
“อย่ายิงนะ! นายไม่อยากเข้าใกล้โลกอีกฝั่งหรอก!”
ใช่... อย่างน้อย ๆ ถ้าเป็นตัวผมจริงก็ต้องเข้าใจสิว่าการที่ก้าวเข้าโลกวิญญาณคือการเอาพลังชีวิตไปทิ้งอย่างสูญเปล่า
แต่ดูท่าผมจะคิดผิดที่ว่าเขาได้ยินผมเพราะเงายังคงเดินไปข้างหน้าและจัดการยิงกราดใส่คนร้าย ยิงคนเสร็จก็เดินเข้าไปหากลุ่มมวลของผีแล้วใช้สองมือที่ทรงพลังบดขยี้พลังงานวิญญาณให้แตกสลายไป
ถ้าจะหยุดตัวผมต้องทำยังไง? แล้วทำไมตัวผมในมิตินี้ถึงได้มีนิสัยไม่เหมือนผมเลยสักนิด?
วาบ...
จู่ ๆ ขนที่หลังคอก็ลุกชันราวกับสัญญาณเตือนว่าอันตรายกำลังเข้ามา อักขระยันต์บนปืนสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นเองที่ความคิดหนึ่งไหลแวบเข้ามา
มิตินี้คือมิติที่มันสร้างขึ้น การที่ผมเห็นตัวผมฆ่าคนอาจเป็นเพราะนั่นคือสิ่งที่ปอบตัวนี้ต้องการให้ผมเห็น ถ้าอย่างนั้นการที่จะหยุดมันและออกจากมิตินี้ให้ได้ผมต้องกลับไปเผชิญหน้ากับมันตรง ๆ
ผมเม้มปากและกัดฟันตัวเอง แต่จะใช้วิธีไหนจัดการกับมันล่ะ? ขนาดกระสุนลงอาคมยังทำอะไรมันไม่ได้เลย ผมมองสองมือของตัวเองที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
ให้ตายสิ
ผมหันหลังให้เงาของตัวเองแล้วเดินเลี้ยวมาอีกทาง ถึงจะเดินห่างออกมาแล้วแต่เสียงปืนที่ตัวผมในมิตินี้ใช้กระหน่ำยิงสังหารก็ยังดังมาอย่างต่อเนื่องและทุกครั้งจะมีเสียงร้องโหยหวนของวิญญาณเป็นเสียงปิดท้าย
ไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด
ผมยังจำเส้นทางภายในโรงงานนี้ได้ดี ประตูสีดำบานใหญ่ด้านหน้ายังดูลึกลับเหมือนเช่นเคย ครั้งที่แล้วผมเจอชายชุดดำซึ่งเป็นหัวหน้าอยู่ในห้องนั้น เพราะงั้นถ้าครั้งนี้ผมจะคาดหวังว่าเจอตัว ‘ไกรศร’ นั่งรอผมอยู่ด้านในก็คงไม่ผิดใช่ไหม
ผมเก็บปืนอาคมลงก่อนใช้มือผลักประตูเข้าไป ผนังประตูเย็นสะท้านมือผมกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก
เป็นดั่งที่ผมคาดเดาเอาไว้ ปอบตัวนั้นที่ดึงผมเข้ามาในมิตินี้กำลังนั่งรออย่างสบายใจเฉิบอยู่บนเก้าอี้สำนักงาน บนโต๊ะตรงหน้ามันมีขวดโหลแก้วขนาดกลางตั้งอยู่ ทว่าของภายในไม่ใช่ข้อเท้าของธาราเหมือนอย่างครั้งที่แล้วแต่กลับเป็นมือซ้ายที่มีนิ้วนางสวมแหวนวงหนึ่ง แหวนวงนั้นคือแหวนหมั้นซึ่งผมบรรจงสวมให้เองกับมือ
...มือของภูมิ์วา
“ไอ้เวร” ผมกำมือและกัดฟันแน่นพร้อมเข้าไปฉีกกระชากคอของมันทุกเมื่อ แต่ว่าก็ต้องข่มอารมณ์ของความโกรธเอาไว้ก่อนไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนของมัน
ปอบที่ชื่อ ‘ไกรศร’ ตัวนี้มันต้องการให้ผมแสดงด้านมืดของตัวเองออกมา
“นายนี่มุ่งมั่นเหมือนกันนะ” มันพูดพลางส่งเสียงหัวเราะชวนขนลุก
“...”
“ไสยดำไม่ดีตรงไหน นายเองก็ข้ามเส้นมาแล้วนี่”
“คนที่มองกูตอนนั้นคือมึงใช่ไหม?” ผมถามเสียงแข็ง หลังจากที่ได้เห็นการแสดงของมันไปตอนนี้ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าสายตาที่มองผมผ่านคนที่ผมเป่าหัวไปคือมัน
มันเลิกคิ้วแล้วทำหน้าฉงน “อืม... ไม่รู้สิ แต่ยังไงก็เถอะ ความรู้สึกที่ข้ามเส้นมาแล้วเป็นไงบ้างล่ะ สัมผัสพิเศษของนายเฉียบคมขึ้นเยอะเลยนี่ ว่าไหม?”
มันพูดอย่างกับว่ารู้จักผมดีอย่างนั้นแหละ “มึงไม่ใช่กู มึงจะรู้ได้ยังไงว่าสัมผัสพิเศษของกูมันดีขึ้น”
แต่ว่า... สิ่งที่มันพูดมานั้นไม่มีข้อไหนที่ผิดเลย สัมผัสพิเศษของผมเฉียบคมขึ้นจริง ๆ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องสัมผัสตัวใครเพียงแค่มองเข้าไปในตาของคนคนนั้นผมก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นคนดีหรือคนเลว... รู้ถึงขั้นว่าบาปกรรมที่เคยทำมาในอดีตมีอะไรบ้าง ราวกับว่าหลังจากที่ผมทำผิดศีลข้อ 1 ซึ่งเป็นข้อห้ามที่ไม่ควรละเมิดของการฝึกไสยขาวเป็นการสร้างทางเชื่อมให้ผมข้ามมาฝั่งไสยดำ ผลของมันคือการเปิดประสาทสัมผัสให้ผมรับรู้ได้มากยิ่งขึ้น
ปู่ของผมเคยบอกว่าวิชาที่ตระกูลของเราสืบต่อกันมานั้นไม่เหมือนกับคุณไสยสายอื่น ๆ เพราะวิชาที่ปู่ถ่ายทอดมาให้ผู้ที่รับวิชาจะต้องรักษาศีลอย่างเคร่งครัด การกระทำผิดเพียงครั้งเดียวอาจส่งผลต่อการใช้คุณไสยในอนาคตอีกทั้งยังทำให้วิชาแปดเปื้อน
ผมไม่ได้บอกกับลุงชัยว่าผมละเมิดศีลไปหนึ่งข้อ แต่ถึงยังไงผมก็ปิดมันจากการหยั่งรู้ของลุงไม่ได้
วันนั้นผมไม่น่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำสิ่งที่ผิดพลาดเลย ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจถอยกลับได้แล้ว ที่สำคัญตอนนี้คือห้ามยอมให้ไสยดำครอบงำเด็ดขาด
ผมมองใบหน้าที่ดำคล้ำของมัน ขืนต่อปากต่อคำกับมันไปก็ไม่มีประโยชน์ เสี้ยววินาทีที่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะใช้สองมือนี้ดับสลายดวงวิญญาณของมัน จังหวะนั้นรอบตัวมืดลงราวกับแสงที่เคยส่องสว่างถูกหลุมดำดูดเอาไปหมด
ผมควบคุมจังหวะการหายใจและปล่อยประสาทสัมผัสให้ทำหน้าที่ของมัน ขนทั่วทั้งร่างพร้อมใจกันลุกชันคล้ายเตือนว่ากำลังจะเกิดอันตราย ทว่าจุดที่รู้สึกได้ถึงอันตรายมากที่สุดคือใบหูข้างซ้ายของผม
“เวลาจะหมดแล้ว”
ผมยกแขนขึ้นมาป้องกันขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างกวาดไปข้างหน้า กางฝ่ามือคว้าจับอะไรก็ตามที่เข้ามาโจมตี กระนั้นสิ่งที่ผมคว้าได้ก็มีเพียงอากาศและความว่างเปล่า กระทั่งผมลืมตาขึ้นอีกครั้งภาพตรงหน้าก็ทำเอาผมเกือบลืมหายใจ
“มึงไม่ใช่คนที่ชื่อไกรศร มึงเป็นตัวตายตัวแทนของมันหรือไง” คนตรงหน้าถามพร้อมกับจ่อปลายกระบอกปืนมาที่หน้าผากของผม
เปรี้ยง!
สายฟ้าที่ลากเส้นผ่านคือแสงเดียวที่ทำให้ผมมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
บอกทีว่าผมต้องทำยังไงเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตกใจไปมากกว่านี้
“ตอบดิวะ!” คนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันกับผมกำลังตะโกนถามตัวผมที่คุกเข่าอยู่ น่าแปลกที่ตอนนี้ร่างกายของผมมันช้ำระบมและไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ตอนนี้แม้แต่การพยายามอ้าปากเพื่ออธิบายสิ่งที่ตัวเองอยากพูดยังยากเลย
แม่ง... เล่นกันแบบนี้เลยเหรอวะ จับผมมาใส่ร่างของคนที่ผมฆ่า ไกรศรมันแค้นผมขนาดที่อยากให้ผมตายด้วยมือของตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ
“มันใช้อาคมอะไร?” คนตรงหน้าถาม คำพูดทุกประโยคถูกปล่อยออกมาเหมือนเดิมเป๊ะทุกประโยค นี่มันอยากให้ผมทนไม่ได้จนอกแตกตายเพราะเจอเหตุการณ์ซ้ำใช่ไหม
กระนั้นผมกลับยิ้มมุมปากเล็ก ๆ พร้อมกับหัวเราะ ตัวผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันใช้อาคมอะไร
“เลิกกวนตีนแล้วตอบคำถามมาได้แล้ว!”
“แม่ง!” ผมพยายามเค้นคำพูดแต่สิ่งที่ออกมามีเพียงแค่ถ้อยคำสบถ ผมเงยหน้าที่มองดวงตาของคนตรงหน้า ดวงตาแข็งกร้าวและไร้ความรู้สึกมองจ้องเข้ามาในดวงตาของผม น่าแปลกที่ตอนนี้แววตาของคนตรงหน้าเจือไปด้วยความสงสัยแบบเดียวกับผมเลย ราวกับว่าต่างฝ่ายต่างกำลังสงสัยว่าใครกันที่กำลังมองดูผ่านสายตาของเราทั้งคู่...
แต่ก่อนที่ความกระอักกระอ่วนจะเกิดมากขึ้นไปกว่านี้ คนตรงหน้าสอดนิ้วเข้าไปในโกร่งปืนแล้วเหนี่ยวไกอย่างไร้ความลังเล
ปัง!
ร่างกายของผมแข็งเกร็งก่อนจะล้มลง ศีรษะที่ถูกกระสุนอาคมทะลุผ่านกระตุกสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่ง ความรู้สึกพ่ายแพ้ที่ไม่อาจควบคุมเหตุการณ์ให้เป็นไปตามที่ต้องการได้มันช่างทรมาน
ขณะที่ภายในใจกำลังมีไฟแค้นก่อตัว แสงสีขาวและความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ก็ค่อย ๆ เข้ามาและโอบกอดร่างราวกับการปลอบประโลมผมจากความชั่วร้าย
ก่อนที่ความมืดทั้งหมดจะถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างผมได้ยินเสียงพูดของตัวเอง มันคือประโยคคุ้นเคยที่ยังทำให้ผมรู้สึกผิดจนถึงวันนี้
“เผลอทำผิดศีลข้อ 1 ซะแล้วสิ”
สุริยคราสผ่านพ้นไปแล้ว เวลาสามนาทียาวนานราวกับสามปี โทรศัพท์ที่ดังเพราะมีคนโทรเข้ามาหยุดส่งเสียงไปตอนไหนไม่รู้
เสียงของคนที่คาสายอยู่ดังออกมาเบา ๆ “พี่เธียร! ฮัลโหล? ได้ยินภูไหมครับ?”
มือที่สั่นเทาเพราะความรู้สึกสับสนยกโทรศัพท์ขึ้นมาที่หู “อืม พี่อยู่นี่”
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับพี่เธียร?”
ผมไม่รู้ว่าต้องอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ยังไงดี ปอบไกรศรมันใช้ช่วงเวลาของสุริยุปราคาดึงผมเข้าไปในมิติประหลาดจากนั้นก็ยัดภาพเหตุการณ์เข้ามาในหัวของผม
“มันใช้อาคมอะไร?”
“ครับ? พี่เธียรพูดเรื่องอะไรเหรอครับ? ภูไม่เห็นเข้าใจเลย”
“...เปล่า ไม่มีอะไร ภูอยู่ร้านไอ้มิลใช่ไหม? เดี๋ยวพี่ไปหานะ” ผมวางสายคนรักไปพร้อมกับความกังวลที่ยังหลงเหลืออยู่ หลากหลายความรู้สึกตีกันอย่างวุ่นวาย ผมไม่ว่าอะไรถ้ามันอยากมายุ่งกับผม แต่ขออย่างเดียวอย่าเอาคนใกล้ตัวผมเข้ามาเกี่ยวก็พอ
เงาของดวงจันทร์ที่บดบังดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวผ่านไปแล้ว ผู้คนที่ออกมายืนดูสุริยุปราคาพูดคุยเสียงดังด้วยความตื่นเต้นต่างจากผมที่ตอนนี้กำลังขมวดคิ้วด้วยความเครียด
วันนั้นที่ผมรู้สึกว่ามีใครอีกคนมองอยู่ สายตาที่จ้องมองเข้ามาในตอนนั้น สายตาที่มองทุกการกระทำตั้งแต่ผมชักปืนและเหนี่ยวไก…
มันคือสายตาที่ ‘ผม’ มองดู ‘ตัวผม’ เองใช่ไหม