ถ้าโลกนี้มีเส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่ว ตอนนี้ขาของผมก็ข้ามเส้นมาก้าวหนึ่งแล้ว — อ่า... เผลอทำผิดศีลข้อ 1 ซะแล้วสิ

Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off) - Episode 7 โดย wandery @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ลึกลับ,พารานอมอล,ชาย-ชาย,ระทึกขวัญ,นิยายวาย,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ลึกลับ,พารานอมอล,ชาย-ชาย,ระทึกขวัญ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายวาย,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off) โดย wandery @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ถ้าโลกนี้มีเส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่ว ตอนนี้ขาของผมก็ข้ามเส้นมาก้าวหนึ่งแล้ว — อ่า... เผลอทำผิดศีลข้อ 1 ซะแล้วสิ

ผู้แต่ง

wandery

เรื่องย่อ

Content Warning

 

Blood เลือด, Corpse ศพ, Dead Body ศพ, Gore เลือดและอวัยวะภายใน, Ghost วิญญาณ, Murder การฆาตกรรม, Paranormal อธิบายไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์, PTSD ปัญหาทางจิตหลังจากเหตุการ์สะเทือนขวัญ, Supernatural เหนือธรรมชาติ, Violence การใช้ความรุนแรง

 

Genre: Horror/Suspense/Mystery/Crime/Boy Love

แนะนำเรื่อง:

หลังจากที่ทีมของเธียรไธเข้าบุกล้อมแก๊งค้าอวัยวะที่โรงงานร้าง คนร้ายทุกคนถูกจับและส่งตัวไปเข้ากระบวนการพิจารณาโทษ แม้จะปิดคดีได้แล้ว แต่ตัวเขารู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ สัมผัสพิเศษบอกเขาว่าตัวการที่ถูกเขาวิสามัญไปไม่ใช่หัวหน้าตัวจริง มีใครบางคนกำลังมองดูเขาอยู่ และความรู้สึกแปลกประหลาดที่คืบคลานเข้ามาก็ยิ่งทำให้เขารับรู้ได้ถึง 'อันตราย' ที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

เรื่องนี้เป็น Spin Off จากเรื่อง In Danger สัมผัสมรณะค่ะ (เรื่องหลักเป็นนิยายวายนะคะ) เนื้อหาตอนต้นจะมีการรีแคปเหตุการณ์ก่อนหน้าให้นิดหน่อย แต่เพื่อให้ได้อรรถรสและซึมซับบรรยากาศ อลิซแนะนำให้อ่านเรื่อง In Danger สัมผัสมรณะ ด้วยนะคะ ^^ 

สารบัญ

Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 0,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 1,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 2,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 3,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 4,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 5,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 6,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 7,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 8,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 9,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 10 [END],Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Extra Episode

เนื้อหา

Episode 7

 

หลังจากเลิกประชุมผมก็ไปจัดการงานในส่วนของครึ่งเช้าอีกนิดหน่อย จากนั้นช่วงบ่ายที่ว่างผมก็ไปรายงานตนต้องคดี กว่าจะทำเรื่องเสร็จก็นานพอตัวอยู่เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยไปตอนเย็นแล้ว

ถึงจะเป็นเวลาเลิกงานของผมพอดี แต่ว่าผมยังไม่อยากออกจากที่นี่ก็เลยถือโอกาสเข้าไปตรวจสอบอะไรบางอย่างในห้องเก็บของกลางเผื่อเจอเบาะแสที่อาจพลาดไป

แม้ร้อยเวรที่ดูแลห้องนี้จะทำเหมือนไม่อยากให้ผมเข้ามา แต่สุดท้ายก็อนุญาตอยู่ดีเพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในพยานที่เห็นว่าผมอยู่ที่สถานีตำรวจตอนเกิดเหตุ

ผมไขกุญแจเปิดตู้ล็อกเกอร์ที่เก็บหลักฐานของคดีแล้วยกกล่องออกมาหนึ่งกล่อง

สิ่งของภายในถูกใส่ไว้ในถุงซิปล็อกอย่างดี ในนั้นมีตะกรุด เครื่องราง และของใช้อื่น ๆ อย่างกระเป๋าเงินที่ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าใครเป็นเจ้าของยกเว้นลายนิ้วมือที่ประทับอยู่ นอกจากนี้ยังมีของอีกชิ้นด้วย ของที่อยู่ล่างสุดคืออาวุธที่พยานแจ้งเข้ามาว่าเห็นคนร้ายใช้มันสู้กับผม มีดหมอลงอาคมขนาดพอดีมือลักษณะคล้ายกับเล่มที่ผมเห็นในมิตินั้น

หลังจากที่สารวัตรเด่นรับแจ้งเหตุจากพยานเขาก็ส่งคนเข้าตรวจค้นพื้นที่ทันที ทีมพิสูจน์หลักฐานพบมีดตรงจุดใกล้บริเวณที่เขาตาย เมื่อส่งตรวจเรียบร้อยแล้วพิสูจน์หลักฐานก็นำของกลางมาคืนให้พร้อมรายงานว่าพบลายนิ้วมือของคนร้ายบนอาวุธ

ผมมองมีดเล่มนั้นแล้วขมวดคิ้วมุ่น ผมสาบานว่าผมไม่เห็นเขาถืออาวุธในวันที่เราสู้กัน แต่ถ้าพยานคนนั้นบอกว่าเห็นแสดงว่าคนคนนั้นต้องตาดีมาก แถมยังมือไวมากอีกต่างหากเพราะหลังจากที่ผมลั่นกระสุนพยานคนนั้นก็กดโทรแจ้งตำรวจทันที

ผมที่โทรไปหาสารวัตรเด่นหลังจากเผลอทำการวิสามัญฆาตกรรมงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อสารวัตรบอกว่ามีพลเมืองโทรมาแจ้งเหตุแล้ว พยานคนนั้นขอไม่ออกนามและขอให้ข้อมูลทางโทรศัพท์เท่านั้น

ผมยังจำได้อยู่เลยว่าวันนั้นตัวเองลุกลี้ลุกลนแค่ไหน ผมพยายามกวาดสายตามองให้ทั่วแต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เห็นมนุษย์สักคนเลย ถ้ามีพยานอยู่ตรงนั้นจริงไม่มีทางที่เขาจะหนีไปได้ไวขนาดนั้นแน่ เพราะช่วงเวลาที่ผมกดโทรหาสารวัตรห่างจากเวลาที่ผมลั่นไกไม่กี่นาที อีกอย่างผมมั่นใจมากว่าตรงจุดเกิดเหตุไม่มีอาวุธอื่นนอกจากปืนของผม

ทว่าเมื่อหน่วยพิสูจน์หลักฐานมาถึงพวกเขาก็เจออาวุธของคนร้าย บนมีดไม่ได้มีเลือดของผมและผมเองก็ไม่ได้มีแผลจากการถูกแทงเพราะงั้นการที่ผมวิสามัญฆาตกรรมเขาไปเลยนับว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ถึงสารวัตรเด่นจะช่วยพูดว่ามันเป็นการป้องกันตัวของเจ้าพนักงานก็เถอะ แต่เพราะผมไม่ได้ตายหรือเกือบตายเหตุผลก็เลยไม่หนักแน่นพอ...

ว่าก็ว่าเถอะ มีดเล่มนี้มันไม่ได้ถูกเสกมาใช่ไหม

ผมส่ายหัวสลัดความคิดบ้าบอออกไป มันจะเสกมาเฉย ๆ ได้ยังไง สิ่งที่ผมต้องคิดคือหลักฐานมันถูกสร้างมาได้ยังไงมากกว่า...

เมื่อตรวจดูพยานวัตถุครบแล้วผมก็ย้ายมาตรวจสอบเอกสารบ้าง

ภาพใบหน้าคนร้ายที่อยู่ตรงหัวมุมเป็นการดึงภาพของบัตรประจำตัวประชาชนมาจากฐานข้อมูลในระบบ แม้ภาพถ่ายจะสีซีดไปหน่อยแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่ทำรายงานฉบับนี้ขึ้นมามีความสามารถในการแปลงไฟล์ภาพให้ชัดมากแค่ไหน

ในรายงานประวัติของคนร้ายรายนี้ไม่มีบรรทัดไหนที่บอกว่าเขาเคยเปลี่ยนชื่อมาก่อน นั่นเลยทำให้ความมั่นใจของผมเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย

หรือว่ามันจะชื่อไกรศรจริง ๆ วะ? ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคนที่ดึงผมเข้ามิติประหลาดนั่นเป็นใครล่ะ?

ทว่าเซนส์ตัวดีของผมดันติดอยู่ที่คำว่า ‘เปลี่ยนชื่อ’ ราวกับประสาทสัมผัสไม่สามารถรับเอาคำว่า ‘ไม่’ ที่อยู่ด้านหน้ามาประมวลผลได้

 

 

 

ก๊อก! ก๊อก!

ผมเคาะประตูห้องทำงานของแผนกหนึ่ง ยืนรอไม่นานคนที่อยู่ด้านในก็ออกมาเปิดประตูให้ เขามองผมแล้วขมวดคิ้ว

“เลิกงานแล้วยังไม่กลับอีกเหรอผู้กอง?”

ผมชะเง้อหน้ามองด้านใน ดูเหมือนคนอื่นในทีมของเขาจะกลับกันหมดแล้ว

“ฉันก็ดีใจที่เจอนายเหมือนกัน” ผมยิ้มแล้วผลักเขาให้กลับเข้าไปก่อนปิดประตูลงเบา ๆ

“คราวนี้เรื่องอะไรอีกครับพี่เธียร?”

ตำรวจรุ่นน้องเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้หมุนของตัวเอง ท่าทางของเขาดูลุกลี้ลุกลนเล็กน้อยราวกับกลัวว่าจะมีใครมาเห็นเข้า ชุดคอมพิวเตอร์หน้าตาไฮเทคตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ส่วนประกอบที่ดูมีสไตล์และแสงไฟที่วิ่งวนดูคล้ายชุดเกมมิ่ง ไม่รู้เจ้านี่ไปทำเรื่องขอยังไงถึงได้ประกอบชุดคอมพิวเตอร์พวกนี้ขึ้นมาได้

ผมเดินไปหน้าโต๊ะของรุ่นน้องก่อนหยิบเมาส์ที่มีรูปทรงไม่เหมือนรุ่นทั่วไปขึ้นมาดู ด้านข้างมีปุ่มกดเพิ่มมาหลายปุ่มและแสงที่วิบวับพวกนี้ก็ทำให้ผมอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะแซวรุ่นน้อง

“ชุดเกมมิ่ง? นี่พวกเรามีงบกันขนาดนี้เลยเหรอ?”

รุ่นน้องที่กำลังทำหน้าเลิ่กลั่กรีบแย่งเมาส์ไปจากมือของผม “อันนี้ผมเอามาเองต่างหาก พี่มานี่ต้องการให้ผมทำอะไรครับ?”

เจ้ารุ่นน้องพูดพลางชะโงกหน้าไปมองกระจกที่บานประตู “มีใครรู้ไหมว่าพี่มาที่นี่ แล้วพี่รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ข่าวเรื่องพี่มันแพร่กระจายในสน. ขนาดไหน”

“ทำไม? กลัวจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดหรือไง?”

“ก็ใช่น่ะสิครับ!”

รุ่นน้องคนนี้มีชื่อว่า ‘อาร์ต’ เป็นหนึ่งในทีมของตำรวจไซเบอร์ หน้าที่หลักคือการสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็เช่นการเปิดโปงมิจฉาชีพอย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือพวกหลอกโอนเงินอะไรเทือกนั้น

แต่ว่านอกจากทำงานในส่วนนี้แล้ว ทีมตำรวจไซเบอร์ยังมีส่วนช่วยในการสนับสนุนทีมสืบสวนและสอบสวนอาชญากรรมอีกด้วย ข้อมูลที่เป็นประโยชน์บางอย่างจำเป็นต้องอาศัยตำรวจไซเบอร์ช่วยในการสืบค้น

“สรุปมีเรื่องอะไรครับ?” เจ้าอาร์ตถามพร้อมกับกอดอก

ผมยกยิ้มก่อนเข้าประเด็นทันที “ช่วยหาข้อมูลของคนร้ายที่ชื่อไกรศรให้หน่อยสิ ขอข้อมูลแบบละเอียดเลยนะ อย่างพวกสูติบัตรและใบเปลี่ยนชื่ออะไรพวกนั้นด้วย”

พอได้ยินคำขออาร์ตก็ถลึงตาใส่ผม เขาอ้าปากเตรียมจะด่าแต่ก็ต้องกลืนมันกลับไปเพราะเดี๋ยวจะมีใครผ่านมาได้ยินเข้า ด้วยเหตุนั้นรุ่นน้องตัวดีก็เลยต้องกระซิบแทน “พี่จะบ้าเหรอ?! คดีมันปิดไปแล้ว ผมเข้าไปเอาข้อมูลอีกไม่ได้! พี่ก็รู้ว่าการเข้าฐานข้อมูลน่ะต้องทำเรื่องขออนุญาตก่อน ไหนจะยังต้องมีลายเซ็นอนุมัติของป๋าด้วย! ถ้าเข้าไปโดยพลการตอนนี้ผมโดนเด้งแน่ ๆ”

อาร์ตบ่นออกมาเป็นฉอด ๆ ไม่รู้เพราะยังไม่ได้กินข้าวหรืออย่างไรถึงได้ดูโมโหแบบนี้ “อีกอย่างคนเก่ง ๆ ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว ถ้ามีคนตามรอยได้ว่าผมแอบเข้าไปค้นข้อมูลละก็...”

รุ่นน้องใช้มือทำท่าปาดคอตัวเอง “...แม่ผมที่เอาผมไปโม้กับเพื่อนบ้านได้มาเชือดผมแน่ หลังรู้ว่าผมโดนไล่ออกน่ะ”

ผมมองท่าทางแอคติ้งเกินจริงของอาร์ตแล้วหัวเราะ “นายไม่กลัวว่าฉันจะไปหาคนที่เก่งกว่านาย แต่นายกลัวว่าจะถูกไล่ออกเนี่ยนะ?”

“แก้ใหม่เดี๋ยวนี้เลยครับ ผมกลัวแม่ผมต่างหาก”

“แล้วนายจะช่วยฉันไหม?”

อาร์ตอ้ำอึ้งไปพักหนึ่ง ผมดูออกว่าเขาอยากช่วยผมแต่ผมก็เข้าใจได้ว่าทำไมคนที่ยึดมั่นในความถูกต้องแบบเขาถึงกำลังลังเล “ทำแบบนี้มันผิดนะพี่เธียร พี่อาจโดนตรวจสอบ ไม่สิ ไม่ใช่แค่พี่ แต่ผมก็จะโดนด้วย! ขอร้องล่ะ ไม่รู้ว่าพี่คิดอะไรอยู่แต่ผมว่าพี่อย่าทำเลย”

อาจเพราะได้ลองทำผิดครั้งแรกไปแล้ว ครั้งนี้ผมเลยไม่ได้รู้สึกผิดมาก...

“ผมขอโทษจริง ๆ พี่ แต่มีเรื่องนี้ที่ผมช่วยพี่ไม่ได้”

“อืม ฉันเข้าใจแล้ว งั้นไม่เป็นไร” ผมกำลังจะเดินออกไป ทว่ารุ่นน้องกลับเรียกเอาไว้เสียก่อน

“พี่เธียร”

ผมหันกลับไปมอง ใบหน้าของตำรวจรุ่นน้องกำลังแสดงความลังเล ผมกำลังจะบอกเขาว่าไม่ต้องช่วยก็ได้แต่เขาดันชิงพูดขึ้นก่อน

“ผมรู้จักคนที่อาจช่วยพี่ได้”

ผมเลิกคิ้วขึ้น ขณะเดียวกันก็มองดูรอบ ๆ ว่ามีสายตาของใครกำลังแอบมองอยู่หรือเปล่าก่อนเลื่อนสายตากลับไปที่อาร์ต

ตำรวจรุ่นน้องไม่ได้พูดออกเสียง เขาขยับปากเป็นคำพูดสี่พยางค์ให้ผมเดาว่าเขาพูดอะไร แม้จะไม่ได้ยินแต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

สิ่งที่อาร์ตให้ผมมาคือรหัสลับสำหรับใช้ติดต่อกับแฮกเกอร์ในดาร์กเว็บ ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่ผิด กระนั้นผมก็ต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล

 

 

 

“ทำไมวันนี้กลับช้าจังเลยครับ” ภูมิ์วาเดินออกมาเปิดประตูรับผมทันทีที่ได้ยินเสียงรถ

“พี่ไปตรวจสอบอะไรมานิดหน่อย”

“แน่ใจนะครับ?” น้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ สายตาจับผิดราวกับตำรวจสอบสวน “ไม่ได้ไปอยู่กับใครมาแน่นะ?”

ผมหัวเราะ “ไปเอามาจากไหนละนั่น”

“คุณแสงดาวบอกมา” ภูมิ์วาหันหลังเดินเข้าบ้านให้ผมเป็นคนปิดประตู น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายคนกำลังงอน

“แสงดาว?”

“ใช่ เขาบอกว่าพี่เลิกงานแล้ว แต่ไม่ยอมกลับสักทีเพราะมัวไปคุยกับรุ่นน้อง”

ระหว่างที่ภูมิ์วากำลังพูดอยู่นั้น เขาไม่รู้เลยว่าผมกำลังเครียดแค่ไหน ถ้าผมจำไม่ผิดดูเหมือน ‘แสงดาว’ จะเป็นชื่อของวิญญาณผู้หญิงคอหักคนนั้น เธอมาแอบดูผมตั้งแต่เมื่อไรทำไมผมถึงไม่รู้สึกถึงเธอเลย ซ่อนอยู่ตรงไหนกัน?

ไม่สิ... ซ่อนอยู่ในตัวใครต่างหาก

“สรุปว่าคุยอะไรกันอยู่ครับถึงกลับดึก” น้องภูหยุดแล้วหันมาทำหน้าบึ้ง มองไปมองมาก็คล้ายแมวเหมือนกัน

ผมเดินเข้าไปกอดเด็กขี้งอน รัดวงแขนแน่นอยู่แบบนั้นพักหนึ่ง

“มีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ” ภูมิ์วาถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ

ผมตอบอืมเบา ๆ น้องอยากให้ผมคลายกอดแต่ผมไม่ยอมปล่อย ผมก็เลยยกตัวน้องขึ้น โอบอุ้มให้ลำตัวแนบชิดกันมากกว่าเดิม สูดดมกลิ่นของคนรัก สัมผัสเสียงหัวใจที่เต้นอยู่เพื่อให้ตัวเองมั่นใจว่าภูมิ์วายังอยู่ตรงนี้

“พี่ไปเจอมันมา”

“...” ภูมิ์วาเงียบไปครู่หนึ่ง “คนที่พี่ไปคุยเมื่อตอนเย็นเหรอครับ”

“เปล่า” ผมส่ายหัวเบา ๆ “ตอนที่เกิดสุริยุปราคาน่ะ”

น้องขมวดคิ้วบาง “แต่นั่นมัน... แค่สามนาทีเองนะครับ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนรักที่ถูกอุ้มตัวลอย “มันดึงพี่เข้าไปในมิติอะไรสักอย่าง”

น้องปัดเส้นผมที่ปิดหน้าผมออกก่อนก้มลงประทับจูบที่หน้าผากของผมแผ่วเบา “ไปกินข้าวอาบน้ำให้เรียบร้อยกันก่อนเถอะครับ จากนั้นเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน”

“อืม” ผมปล่อยน้องลงแล้วหันหลังกลับมาไปมองประตูบ้านที่ปิดสนิท ด้านนอกนั่นมีวิญญาณตนหนึ่งกำลังมองเข้ามา

ไม่รู้ว่าเธอมาดีหรือเปล่า แต่การที่หัวหน้าของเธอส่งผีมาเข้าใกล้คนรักของผมแบบนี้ต้องยอมรับเลยว่าพวกมันยั่วโมโหผมสำเร็จ

 

 

 

ผมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ภูมิ์วาฟังรวมถึงเตือนน้องให้ระวังวิญญาณทุกดวงที่เข้าใกล้ด้วย ถึงจะมีเบี้ยแก้อยู่กับตัวแต่ก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด

ผมดึงผ้านวมขึ้นมาห่มให้คนที่ชอบถีบผ้าห่มออก ร่างกายเล็กนอนขดคล้ายกุ้งดูน่าตลก

ไม่ไหวเลยนะ ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องมานอนหนาวก็อย่านอนดิ้นสิ

เด็กน้อยหลับปุ๋ยไปด้วยความเพลีย ได้ยินว่าการออกกำลังกายก่อนนอนอาจทำให้นอนไม่หลับแต่ดูเหมือนเรื่องนั้นจะทำอะไรภูมิ์วาไม่ได้

ผมล้มตัวลงนอนข้างคนรัก กอดเขาไว้ในอ้อมแขน พยายามข่มตาให้หลับเหมือนอีกคน ทว่าเรื่องที่ต้องระแวงดันสุมรวมกันเยอะไปหมดจนผมปิดเปลือกตาไม่ได้

แฮกเกอร์ที่อาร์ตแนะนำมาบอกผมว่าเขาจะส่งข้อมูลให้ในตอนเช้า... คำว่า ‘ตอนเช้า’ นั่นแหละที่ทำให้ผมกังวลเพราะกลัวเรื่องเดจาวูจะเกิดขึ้นอีก

ครั้งก่อนตอนที่ผมสืบว่าใครเป็นคนทำของใส่น้องภู ตอนนั้นแม่หมอที่เปิดดวงของภูถูกพวกมันเก็บไปก่อนที่เธอจะได้บอกความลับกับพวกเรา เพราะงั้นคราวนี้ผมเลยกังวลเอามาก ๆ

หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไรนะ...

ติ๊ง!

หน้าจอโทรศัพท์ส่องแสงพร้อมกับเสียงเตือนข้อความเข้า ผมเอี้ยวตัวยกแขนข้างที่กอดภูออกไปหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะข้างเตียง ภูมิ์วาที่จู่ ๆ ก็เจออากาศหนาวขยับตัวเข้ามาซุกในอกผม

ผมมองไปที่แถบข้อความแจ้งเตือน มีอีเมลปริศนาเพิ่งส่งเข้ามา เมื่อกดเปิดเข้าไปอ่านผมก็ถอนหายใจโล่งอก ดูเหมือนแฮกเกอร์คนนั้นจะยังไม่เป็นอะไร

ผมเลื่อนอ่านไปเรื่อย ๆ เป็นอย่างที่ผมคิดจริงด้วย มันเคยเปลี่ยนชื่อมาก่อน มีใครบางคนปลอมแปลงเอกสารฉบับนั้น

ทว่าเมื่อเลื่อนอ่านมาถึงบรรทัดสุดท้ายผมก็พบว่ามีข้อความที่แฮกเกอร์ฝากเอาไว้ด้วย แต่เมื่ออ่านให้ดีผมก็พบว่ามันไม่ใช่ข้อความจากเขา

 

เวลาจะหมดแล้ว มาเจอกันที่โรงงานพรุ่งนี้ 17.00 น.

 

“เขายังไม่ตายหรอก”

ผมหันขวับไปที่ประตูห้องนอนทันที วิญญาณหญิงคอหักยืนอยู่ตรงนั้น การที่เธอมายืนตรงนี้ได้คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ภูมิ์วาอนุญาตให้เข้ามา

ผมสัมผัสถึงเธอได้นานแล้ว แต่เพราะรู้ว่าเธอคงไม่ทำอะไรผมก็เลยไม่ได้ไล่ให้เธอออกไป

“คราวที่แล้วก็หลอกให้ฉันไปฆ่าคน แล้วคราวนี้จะให้ทำอะไรอีก” ผมถามน้ำเสียงแกมประชด “ไปเป็นภาชนะให้หัวหน้าของเธองั้นสิ?”

เสียงกรอบแกรบดังออกมาเบา ๆ จากลำคอเมื่อเธอพยายามพูด แต่ดูเหมือนจะไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาได้

ผมรู้ว่าเธอไม่ได้อยากทำเรื่องไม่ดี แต่ถ้าไม่ทำเธอจะถูกไกรศรจับขังอยู่ในหม้อและไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก

“ช่างเถอะ ฝากกลับไปบอกมันด้วยว่าอย่ามายุ่งกับคนใกล้ตัวฉัน”

“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ” ภูมิ์วาที่สะดุ้งตื่นเพราะผมเสียงดังเกินไปปรือตาอย่างสะลึมสะลือ น้องขยับตัวซุกเข้ามา “กอดภูหน่อย ภูหนาว”

“ได้สิ ขอโทษนะ”

ภูมิ์วาส่งเสียงอือเบา ๆ

ผมหันกลับไปมองประตูอีกครั้งก็พบว่าหญิงคอหักหายไปแล้ว ตอนนี้ที่นี่ไม่มีวิญญาณดวงอื่นแล้วนอกจากเจ้าที่

“ตาครับ หลังจากนี้ห้ามให้วิญญาณดวงไหนเข้ามาอีกนะครับ”