ถ้าโลกนี้มีเส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่ว ตอนนี้ขาของผมก็ข้ามเส้นมาก้าวหนึ่งแล้ว — อ่า... เผลอทำผิดศีลข้อ 1 ซะแล้วสิ

Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off) - Episode 9 โดย wandery @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ลึกลับ,พารานอมอล,ชาย-ชาย,ระทึกขวัญ,นิยายวาย,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ลึกลับ,พารานอมอล,ชาย-ชาย,ระทึกขวัญ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายวาย,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off) โดย wandery @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ถ้าโลกนี้มีเส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่ว ตอนนี้ขาของผมก็ข้ามเส้นมาก้าวหนึ่งแล้ว — อ่า... เผลอทำผิดศีลข้อ 1 ซะแล้วสิ

ผู้แต่ง

wandery

เรื่องย่อ

Content Warning

 

Blood เลือด, Corpse ศพ, Dead Body ศพ, Gore เลือดและอวัยวะภายใน, Ghost วิญญาณ, Murder การฆาตกรรม, Paranormal อธิบายไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์, PTSD ปัญหาทางจิตหลังจากเหตุการ์สะเทือนขวัญ, Supernatural เหนือธรรมชาติ, Violence การใช้ความรุนแรง

 

Genre: Horror/Suspense/Mystery/Crime/Boy Love

แนะนำเรื่อง:

หลังจากที่ทีมของเธียรไธเข้าบุกล้อมแก๊งค้าอวัยวะที่โรงงานร้าง คนร้ายทุกคนถูกจับและส่งตัวไปเข้ากระบวนการพิจารณาโทษ แม้จะปิดคดีได้แล้ว แต่ตัวเขารู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ สัมผัสพิเศษบอกเขาว่าตัวการที่ถูกเขาวิสามัญไปไม่ใช่หัวหน้าตัวจริง มีใครบางคนกำลังมองดูเขาอยู่ และความรู้สึกแปลกประหลาดที่คืบคลานเข้ามาก็ยิ่งทำให้เขารับรู้ได้ถึง 'อันตราย' ที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

เรื่องนี้เป็น Spin Off จากเรื่อง In Danger สัมผัสมรณะค่ะ (เรื่องหลักเป็นนิยายวายนะคะ) เนื้อหาตอนต้นจะมีการรีแคปเหตุการณ์ก่อนหน้าให้นิดหน่อย แต่เพื่อให้ได้อรรถรสและซึมซับบรรยากาศ อลิซแนะนำให้อ่านเรื่อง In Danger สัมผัสมรณะ ด้วยนะคะ ^^ 

สารบัญ

Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 0,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 1,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 2,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 3,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 4,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 5,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 6,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 7,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 8,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 9,Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Episode 10 [END],Dangerous Sense สัมผัสอันตราย (In Danger Spin Off)-Extra Episode

เนื้อหา

Episode 9

 

สถานการณ์ตรงหน้าทำเอาผมมึนงงคล้ายถูกไม้หน้าสามฟาด กลุ่มคนชุดดำตรงหน้าไม่มีใครเงยหน้าขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว ราวกับกำลังเล่นสงครามประสาท นี่ไกรศรมันอยากได้ร่างของผมขนาดให้ลูกน้องทำแบบนี้เลยเหรอ

“บอกมาว่ามันอยู่ที่ไหน” ผมถามพร้อมกับยกปืนเพื่อขู่พวกเขา ทว่าคนร้ายพวกนี้กลับยิ้มกระหยิ่มดีใจที่ได้ผู้บัญชาการกลับคืน

“กลับมาแล้วสินะครับ!”

“หัวหน้าของเราต้องแบบนี้สิ!”

“เอาเลย! ฆ่าผมเลยครับ! แบบนั้นผมจะได้ติดตามท่านตลอดไป!”

“ทำให้พวกเราเป็นวิญญาณบริวารด้วย!”

นี่พวกมันบ้ากันไปหมดแล้วเหรอ?!

ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ปอบไกรศรมันดูแลลูกน้องยังไง จะสะกดจิตหรือใช้คุณไสยไม่ว่าวิธีไหนก็ไม่สมควรทั้งนั้น

อย่างไรก็ตามผมคิดว่าผมพอเดาได้ว่าไกรศรอยู่ไหน ร่างที่มันเคยสิงสู่ตายไปแล้วทำให้ตอนนี้มันไม่มีที่อยู่ เป็นไปได้ว่าวิญญาณของมันน่าจะอยู่อีกมิติหนึ่ง พลังงานวิญญาณของมันอ่อนแอเกินไปที่จะข้ามมายังโลกมนุษย์ เมื่อผมรู้สึกถึงอากาศเย็นจากโดยรอบผมก็เข้าใจว่าทำไมมันถึงเลือกเวลานี้

17 นาฬิกา ช่วงเวลาที่คนเฒ่าคนแก่เรียกกันว่า ‘ผีตากผ้าอ้อม’ โบราณว่าไว้เวลานี้คือยามที่โลกมนุษย์และโลกวิญญาณมาบรรจบกัน ผีจะข้ามมายังโลกมนุษย์และมนุษย์ก็อาจข้ามไปยังโลกของผีโดยไม่รู้ตัว

“เธียรไธ” เสียงแหบพร่าลอยมาตามกระแสลมหนาว

อากาศโดยรอบบิดเบี้ยวจนภาพที่ผมเห็นหมุนวนเป็นเกลียว ถึงปู่จะเคยเล่าให้ฟังว่าการข้ามไปยังโลกวิญญาณนั้นค่อนข้างเป็นไปได้ยาก แต่ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนอย่างผม...คนอย่างพวกเรา

“ศีลข้อไหนสำคัญที่สุดเหรอครับ” ผมเคยถามปู่เมื่อครั้งยังเด็ก วันนั้นปู่กำลังลับมีดอยู่ ข้างตัวมีหม้อดินหลายขนาดวางเรียงอย่างไม่เป็นระเบียบนัก หากตั้งใจฟังให้ดีจะได้ยินเสียงครวญครางเบา ๆ ดังออกมา

กระท่อมหลังเล็กตั้งอยู่กลางป่า แสงแดดยามเย็นส่องกระทบใบไม้แห้ง ปู่ยิ้มก่อนวางมีดที่ลับจนคมลงข้างตัว เขาลูบหัวผมเบา ๆ พลางเอ่ยเสียงเรียบ “สำคัญทุกข้อ แต่ข้อที่เอ็งห้ามละเมิดเด็ดขาดคือข้อที่ 1”

“ข้อที่ 1” ผมเท้าคางแล้วมองออกไปด้านนอก เห็นมดกลุ่มหนึ่งกำลังลากแมลงที่ตายแล้วกลับรังของพวกมัน “ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต”

“ใช่แล้ว”

“ทำไมถึงเป็นข้อนี้เหรอครับ” ผมเอียงคอสงสัย

ปู่หัวเราะเบา ๆ ก่อนส่งของบางอย่างให้ “เพราะสำหรับคนแบบพวกเรามันเป็นการเปิดประตูไปสู่อีกโลกที่น่ากลัว เอ็งไม่อยากเข้าไปในโลกแบบนั้นหรอก”

ว่าจบปู่ก็ลุกแล้วหยิบเชือกป่านมาคล้องหม้อดินเหล่านั้น แบกพวกมันขึ้นหลังแล้วเดินลงจากกระท่อม ก่อนเข้าไปในป่าท่านหันมาพูดกับผม

“ยามนี้คือเวลาผีตากผ้าอ้อม เอ็งควรกลับบ้านได้แล้วเธียร”

“แล้วปู่ละครับ” ผมลุกขึ้นเตรียมตัวใส่รองเท้าตามท่านไป ทว่าเสียงของลุงชัยดังขึ้นก่อนจะก้าวเดิน

“เธียร!” ลุงชัยเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ร้อนรน เขาเดินมากระชากแขนผมอย่างแรงจนผมตกใจ “ทำไมมาเล่นไกลขนาดนี้ ทุกคนตามหาเอ็งอยู่!”

ผมในวัยเด็กเอียงคอสงสัย “แต่ผมมากับปู่นะครับ”

“เหลวไหล! เอ็งจะมากับปู่ได้ยังไง? ปู่น่ะ...” ไร้ซึ่งเสียงใดออกมา ผมที่ยังไม่รู้อะไรมองลุงอย่างงุนงง

“ผมมากับปู่จริง ๆ นะ! ใช่ไหม... ครับ?” ผมหันไปทางป่าที่ปู่เดินลงจากกระท่อม ทว่าเมื่อมองไปกลับไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นเลย ไม่มีสิ่งยืนยันว่าปู่เคยยืนอยู่ตรงนั้น... ยกเว้นตะกรุดแคล้วคราดที่วางอยู่นิ่ง ๆ

ลุงชัยวางมือบนไหล่ผมแผ่วเบา แกเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาที่ห้ามไม่อยู่ไหลรินออกมาหยดแล้วหยดเล่า “วินาทีสุดท้ายปู่ก็ยังห่วงเอ็งนะเธียร”

ตะกรุดที่ฝังอยู่ในแขนนานนับสิบปีสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันสะเทือนแรงมากขึ้นจนแทบฉีกแขนผมเป็นชิ้น ๆ กระทั่งมิติบิดเบี้ยวดูดผมเข้าไปโผล่สถานที่ใหม่

โถงทางเดินสีครีมมีเสียงก้องสะท้อนจากเหล็กที่หดตัวเพราะอากาศเย็นดังมาเบา ๆ ข้างหน้ามีห้องขังที่ปิดล็อกลูกกรงเรียบร้อยสองฝั่งทางเดิน เรือนจำยามนี้ดูวังเวงไม่น้อย กล้องวงจรที่ติดอยู่ด้านบนหันหน้ามาทางผม

พวกมันคงจับภาพผมจากกล้องพวกนี้

“ช่วยด้วย!”

เสียงร้องของใครคนหนึ่งดังออกมาจากโถงทางเดินข้างหน้า ผมเดินตามเสียงกังวานก็ไปเจอเข้ากับห้องขังที่เป็นต้นเสียง เบื้องหลังลูกกรงเหล็กมีชายสองคนกำลังรุมทำร้ายใครบางคนอยู่ หมัดกระแทกท้องชายคนหนึ่งในชุดสีกากี หากไม่มีตราเครื่องแบบติดอยู่ที่เสื้อก็คงไม่รู้ว่าเขาคือผู้คุม

“หยุดนะ!” ผมเขย่ากรงเหล็กอย่างแรง เมื่อมองลงมาก็พบว่าประตูลูกกรงถูกล็อกอยู่ ผมเงยหน้ากลับไปมองผู้คุมแล้วขมวดคิ้ว เขาเข้าไปทำบ้าอะไรในนั้น? หาเรื่องตายชัด ๆ

“หึหึหึ” เสียงหัวเราะระคนเย้ยหยัน หนึ่งในนั้นชูมือขึ้นแล้วเขย่าพวงกุญแจดอกใหญ่ที่แย่งมา หลังจากจัดการผู้คุมเสร็จมันต้องใช้กุญแจพวงนั้นหนีแน่นอน

“ช่วยผมด้วย! อ๊าก!” ผู้คุมคนนั้นอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันสองนักโทษก็รุมถีบรุมเตะ “ชะ... ช่วยที!”

ผมถีบประตูสุดแรง กระนั้นลูกกรงเหล็กหนาก็ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย

‘ฆ่าพวกมันที! ผมจะตายแล้ว!’ เสียงจากจิตใต้สำนึกของผู้คุมส่งผ่านมาถึงผม ใบหน้าสิ้นหวังมีเลือดกบปากแทบมองดูไม่ได้ โครงหน้าบริเวณโหนกแก้มยุบลงเพราะโดนทุบจนกระดูกแตก ‘ได้โปรด...’

ผมกัดฟันแน่น มือที่กำปืนเย็นเยียบ เวลานี้ผมต้องทำยังไง ผมต้องตัดสินใจอีกแล้วใช่ไหม?

ผมเลือกยิงไหล่นักโทษที่ล็อกคอผู้คุมอยู่ ตัวเขาสะบัดถอยหลัง มันแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนก้มลงเลียเลือดของตัวเอง ต้องบ้าแค่ไหนถึงยังรัดคอตัวประกันไม่ยอมปล่อยแม้เลือดไหลท่วม

“ถ้าไม่ปล่อย กูจะยิงมึงอีกนัด”

มันหัวเราะ “อยากให้ปล่อย ก็ยิงหัวสิ หึหึ”

เอาจริงดิ...

“อึก! ชะ...” ผู้คุมเรือนจำกำลังจะตาย เขาแทบเค้นคำพูดออกมาไม่ได้แล้ว

“ตายไปสักคนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” คนที่เพิ่งปล่อยหมัดใส่ชายโครงเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน มันหันมามองผม สะบัดมือที่ชุ่มเลือดก่อนดึงคอผู้คุมแล้วง้างหมัดเตรียมทำลายกะโหลกของผู้คุม

ปัง!

กระสุนเจาะทะลุมือของมัน เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นเลอะผนังห้อง มันชะงักไปเล็กน้อยก่อนปล่อยมือที่กระชากคอเสื้อผู้คุมออกแล้วเดินเข้ามาหาผม ส่วนอีกคนเห็นดังนั้นก็หยุดการกระทำไปด้วย

“คิดว่าแค่นี้จะหยุดเราได้เหรอ หึหึ” มันหันไปส่งสัญญาณให้อีกคน

ชายตัวใหญ่ล้วงบางอย่างออกมาจากข้างหลัง ด้ามแปรงสีฟันที่ถูกเหลาจนแหลมกำลังจะแทงเข้าใส่ลำคอของผู้คุม เสี้ยววินาทีนั้นมือเย็นเยียบของผมที่จับปืนพลันร้อนวาบ

ปัง!

ผมสังหารคนไปอีกหนึ่งคนแล้ว

เวร...

ผู้คุมร่างทรุดลงกระแทกพื้น เขาอ้าปากหายใจกอบโกยเอาอากาศเข้าไปให้เยอะที่สุด ใบหน้าเขียวที่เกือบขาดอากาศมีน้ำหูน้ำตาไหลน่าสงสาร แววตาที่มีหวังมองผมอย่างขอบคุณก่อนความสุกสกาวจะดับลงเมื่อนักโทษอีกคนคว้าแปรงสีฟันปลายแหลมมาแทงตัดหลอดลม

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!” ความโกรธปะทุออกราวกับลาวาร้อนที่พวยพุ่ง ผมจ่อปืนไปที่อีกคนและปลิดชีพมันอย่างไม่ลังเล ใบหูอื้ออึงจากเสียงปืนที่สะท้อนก้อง เสียงวิ๊งหมุนวนอยู่ในแก้วหู ดวงตาที่พร่าเลือนมองลอดกรงเหล็กเข้าไป ในนั้นมีคนตายถึงสามคน สองในนั้นถูกสังหารโดยผมและผมก็เพิ่งรู้ว่าเมื่อครู่ตัวเอง ‘ตั้งใจ’ ยิงคนตาย

จากนั้นผมก็คุมตัวเองไม่อยู่คล้ายสติถูกความโกรธเข้าครอบงำ กระสุนไร้จำกัดเติมเข้าแม็กกาซีนโดยที่ผมไม่ต้องถอดมันออกมา สถานที่คุมขังซึ่งควรมีผู้คุมหลายคนกลับไร้เงาของเจ้าหน้าที่ อย่างกับว่าทั้งทัณฑสถานแห่งนี้มีผู้คุมอยู่คนเดียวและได้ตายไปแล้ว

เสียงระเบิดของดินปืนดังสลับกับเสียงรองเท้าที่กระทบพื้น นักโทษหลังลูกกรงไม่สามารถหนีจากความตายที่ผมมอบให้ได้ สองฝั่งทางเดินเอ่อล้นไปด้วยโลหิตของคนชั่วและปลอกกระสุน

ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเส้นทางของตัวเองจะเต็มไปด้วยกองศพของนักโทษพวกนี้

“ดะ... ได้...” เจ้าของร่างที่ขาใช้การไม่ได้คลานเข้ามาหาผม แต่เพราะมีกรงขังคั่นระหว่างเรามันจึงไม่สามารถเอื้อมมือมาได้ ผมเล็งปืนไปที่ขาอีกข้างของมันแล้วลั่นไกก่อนที่คำว่า ‘โปรด’ จะลอดไรฟันออกมา

ม้วนภาพเหตุการณ์ที่ไหลเข้ามาในหัวทำให้ผมไม่สามารถทนรับได้ นักโทษเหล่านี้ก่ออาชญากรรมมามากตั้งแต่การลักเล็กขโมยน้อย พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนมาอยู่ในจุดที่ร่วมขบวนการค้าอวัยวะ ผมพยายามปิดกั้นสมองตัวเองไม่ให้รับภาพเหล่านั้น กระนั้นก็ไม่เป็นผล ดูเหมือนทางเดียวที่ตัดสัญญาณภาพได้จะมีแค่ทางเดียวคือผมต้องทำลายตัวส่งสัญญาณ

อาการปวดจี๊ดแล่นเข้ามาในหัวอีกครั้ง เปลือกตาปิดอัตโนมัติเมื่อรับเข้ากับความเจ็บปวดที่ยากทนไหว

ยังไม่หมดอีกเหรอ?

แค่นี้ผมก็ฆ่าไปเยอะแล้วนะ...

ความปวดที่คล้ายถูกรัดศีรษะค่อย ๆ ทุเลาลง ผมเงยหน้าขึ้นเห็นไฟกะพริบจากกล้องวงจรปิด ป่านนี้มันคงจับภาพฆาตกรอย่างผมไปหมดแล้ว

ใจหนึ่งผมอยากทำลายกล้องวงจรปิดไปเสียแต่อีกใจก็ไม่อยากทำ หากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เกี่ยวโยงกับโลกความจริง …ผมจะกลับไปรับโทษตามกฎหมาย

แล้วในที่สุดก็มาถึงห้องขังสุดท้าย ด้านในมืดทึบราวกับแสงถูกดูดออกไปหมด เงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งนั่งอยู่กลางห้องก่อนจะลุกขึ้นยืน พริบตาเดียวดวงตาสีแดงก็มาปรากฏตรงหน้าผม

บางอย่างในตัวบอกผมว่ามันกำลังจะเริ่มโจมตี! ผมยกแขนขึ้นมากันตามสัญชาตญาณ ทว่าผมช้าไป...อาจเป็นเพราะตอนนี้ผมอยู่ในถิ่นของมัน

พลั่ก!

มันต่อยเข้าที่คางของผมเต็ม ๆ กระนั้นสองขาก็ตั้งหลักได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะโจมตีใส่ครั้งที่สอง ผมคว้าข้อมือของอีกฝ่ายก่อนจะเหวี่ยงมันออกไปด้านนอก

แสงไฟฉาบบนใบหน้าของมัน อสูรกายตัวนี้มีใบหน้าบิดเบี้ยวสยดสยองเกินกว่าจะเป็นใบหน้าของมนุษย์ มันหรี่ตาลงเมื่อแสงสีขาวของหลอดไฟส่องเข้าไปในดวงตา ลมหายใจที่พ่นออกมาส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง ร่างกายที่อาบท่วมไปด้วยน้ำเหลืองตั้งท่าเตรียมกระโจนกลับเข้าความมืด

ผมหันชี้ปลายกระบอกปืนไปทางมันแล้วเหนี่ยวไก กระสุนอาคมกระแทกร่างดันตัวมันให้ห่างจากกรงขัง ปอบสู้แสงไม่ได้เพราะงั้นก่อนหน้านี้มันเลยล่อผมให้เข้าไปหา ฉะนั้นเพื่อสร้างความได้เปรียบผมต้องจำกัดเขตแดนให้มันอยู่ในที่สว่าง

ผมเช็กจำนวนกระสุนในแม็กกาซีนแล้วเลิกคิ้ว ประหลาดดีที่มิตินี้ผมมีกระสุนไม่จำกัด ถึงอย่างนั้นกระสุนอาคมก็ทำอะไรมันไม่ได้ ผมเม้มปากแล้วขมวดคิ้ว หรือว่ามันไม่ใช่กระสุนอาคม?

ผมโยนปืนกระบอกนั้นทิ้งไป กว่าจะคิดได้ผมเสียเวลาไปเยอะเลย มันย้ายแค่ตัวผมเข้ามา ไม่ได้ย้ายอาวุธมาด้วยเสียหน่อย

ปอบใช้รยางค์ที่ยาวผิดธรรมชาติยันตัวเองให้ลุกขึ้น ร่างกายผิดมนุษย์เหยียดตัวก่อนจะพุ่งเข้าโจมตี กรงเล็บแหลมคว้าข้อมือของผมอย่างรวดเร็วราวกับมันรู้ว่าผมเปลี่ยนไปสู้มือเปล่า ปอบไกรศรแยกเขี้ยวอวดฟันดำที่เต็มไปด้วยน้ำลายก่อนอ้าปากกว้างแล้วงับลงมา

“เวรเอ๊ย!”

ข้อมือข้างซ้ายถูกกัดจนเส้นเอ็นขาด มันบ้วนก้อนเนื้อออกก่อนจะตั้งท่าเตรียมกัดอีกข้าง

ผมอาศัยจังหวะที่มันกำลังอ้าปากออกแรงฝืนจนดึงข้อมือออกได้ จากนั้นเสี้ยววินาทีที่ปากของมันพุ่งเข้ามาผมก็ปล่อยหมัดที่กำแน่นต่อยกระแทกฟันของมัน แผงฟันน่าสะอิดสะเอียนแตกกระจายพร้อมส่งกลิ่นเหม็นของศพ

“มึงตายมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย?!”

มันหัวเราะปล่อยกลิ่นน้ำหนองเหม็นคลุ้ง “อืม... นานพอเป็นปู่นายได้ละมั้ง”

“กวนตีนละมึง”

ผมอาศัยจังหวะทีเผลอเตะตัดขาจนมันล้มลงไปก่อนสวดท่องคาถาเสริมพลังให้ตัวเอง แล้วยกมืออีกข้างที่ยังใช้การได้บีบหลอดลมของมัน

ผิวที่สัมผัสกับมือผมส่งเสียงดังฉ่าออกมาพร้อมกับควันไหม้ที่พวยพุ่ง คอของมันเดือดยิ่งขึ้นเมื่อผมจิกเล็บลงไป มือที่ถูกสร้างมาเพื่อสลายวิญญาณกำลังแผดเผาปอบชั่วร้าย ทว่าไกรศรกลับคลี่ยิ้มพึงพอใจ

ฉับพลันนั้นเองท้ายทอยของผมก็รู้สึกขนลุก

ผมพลาดตรงไหน? ทำไมการสังหารมันจึงส่งผลให้เกิดเรื่อง ‘อันตราย’ ล่ะ?

สัมผัสพิเศษตื่นตัวอย่างถึงขีดสุด มันใช้มือที่เก้ ๆ กัง ๆ จับแขนของผมก่อนจะทำบางสิ่ง

อักษรขอมโบราณและอักขระยันต์วิ่งออกมาจากตัวของมันแล้วไต่ขึ้นมาที่แขนของผม จะดึงมือกลับตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

มันกำลังส่งต่อคุณไสย!

เวร...

ที่แท้ ‘อันตราย’ ที่ผมสัมผัสได้เมื่อครู่ก็คือไสยดำของมันนี่เอง

“กูไม่เอา! ปล่อย!” ผมคิดผิดมาโดยตลอด มันไม่ได้ต้องการร่างของผมเพื่อใช้เป็นภาชนะใบใหม่ แท้จริงแล้วมันต้องการส่งต่อไสยดำต่างหาก ผมนี่มันโง่จริง ๆ คำใบ้ถูกบอกเอาไว้ตั้งนานแล้ว ทำไมผมถึงคิดไม่ได้?!

ชั่ววินาทีที่ตัวอักษรสุดท้ายกำลังจะไหลเข้ามา ความทรงจำในวันฝนตกก็หวนกลับมาอีกครั้ง

“แค่ไสยขาวมันจะไปทำอะไรได้”