ในค่ำคืนที่ยาวนานและยังเกิดปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือด ทว่าสำหรับคนทั่วไปอาจมองว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ไม่ใช่สำหรับคาร์เตอร์ แวมไพร์ผู้ไม่เคยตายแม้จะผ่านมาหลายร้อยปี ในขณะที่ผู้คนบนโลกค่อยๆ ร่วงโรยแต่เขาก็ยังคงอยู่ และยังคงตามหาหญิงสาวเลือดบริสุทธิ์ ที่เกิดในคืนพระจันทร์สีเลือด ดังนั้นหากวันไหนที่พระจันทร์แปลเปลี่ยนเป็นสีเลือด นั้นก็เหมือนพระเจ้ากำลังให้พรเขา คาร์เตอร์ยืนมองทารกน้อยหลายคนที่ กำลังร้องไห้แข่งกันด้วยสายตาค้นหา แต่ก็เจอแต่ความผิดหวังอยู่ร่ำไป “ไม่มีสักคนที่มีกลิ่นเลือดหอมหวา
รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,ไทย,อื่นๆ,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แวมไพร์ล่าสวาท ( 3p)ในค่ำคืนที่ยาวนานและยังเกิดปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือด ทว่าสำหรับคนทั่วไปอาจมองว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ไม่ใช่สำหรับคาร์เตอร์ แวมไพร์ผู้ไม่เคยตายแม้จะผ่านมาหลายร้อยปี ในขณะที่ผู้คนบนโลกค่อยๆ ร่วงโรยแต่เขาก็ยังคงอยู่ และยังคงตามหาหญิงสาวเลือดบริสุทธิ์ ที่เกิดในคืนพระจันทร์สีเลือด ดังนั้นหากวันไหนที่พระจันทร์แปลเปลี่ยนเป็นสีเลือด นั้นก็เหมือนพระเจ้ากำลังให้พรเขา คาร์เตอร์ยืนมองทารกน้อยหลายคนที่ กำลังร้องไห้แข่งกันด้วยสายตาค้นหา แต่ก็เจอแต่ความผิดหวังอยู่ร่ำไป “ไม่มีสักคนที่มีกลิ่นเลือดหอมหวา
ในค่ำคืนที่ยาวนานและยังเกิดปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือด ทว่าสำหรับคนทั่วไปอาจมองว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ไม่ใช่สำหรับคาร์เตอร์
แวมไพร์ผู้ไม่เคยตายแม้จะผ่านมาหลายร้อยปี ในขณะที่ผู้คนบนโลกค่อยๆ ร่วงโรยแต่เขาก็ยังคงอยู่ และยังคงตามหาหญิงสาวเลือดบริสุทธิ์ ที่เกิดในคืนพระจันทร์สีเลือด
ดังนั้นหากวันไหนที่พระจันทร์แปลเปลี่ยนเป็นสีเลือด นั้นก็เหมือนพระเจ้ากำลังให้พรเขา
คาร์เตอร์ยืนมองทารกน้อยหลายคนที่ กำลังร้องไห้แข่งกันด้วยสายตาค้นหา แต่ก็เจอแต่ความผิดหวังอยู่ร่ำไป
“ไม่มีสักคนที่มีกลิ่นเลือดหอมหวา
ตอนที่2
ผ่านมาสามเดือนก็เกิดโรคระบาด ทำให้หลายประเทศต้องตัดขาดจากโลกภายนอก ส่งผลให้เศรษฐกิจพังคนเริ่มตกงาน และเธอดันเป็นหนึ่งในนั้น
“พี่จำเป็นต้องลดพนักงาน ขอโทษด้วยนิก้า” เคลลี่เจ้าของร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่เธอทำประจำ ประกาศปลดพนักงานแบบสายฟ้าแลบ เหลือไว้เพียงเชฟไม่กี่คน เพราะต้องปิดร้านแล้วขายแบบออนไลน์แทน
“ให้ฉันทำงานในครัวแทนไม่ได้เหรอเคลลี่”ดานิกายังต่อรอง
“ไม่ได้จริงๆ ฉันไม่มีเงินจ้างพวกเธอแล้ว”
หญิงสาวเดินคอตกออกมาจากร้าน อยากจะร้องไห้ให้สาสมกับความผิดหวัง งานล้างจานก็ไม่จ้างเธอมาสองอาทิตย์แล้ว ไหนจะร้านพิซซ่าที่จะประกาศปิดกิจการวันพรุ่งนี้อีก
ดานิกานั่งร้องไห้ ทอดมองหิมะที่กำลังโปรยปราย ไม่สนใจอากาศที่หนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ หากเป็นเช่นนี้ เธอจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าคีโมเดือนหน้า…
มองยอดเงินในมือถือยังไม่ถึงครึ่งที่ต้องจ่ายค่ารักษา ทว่าอยู่ๆ นามบัตรที่เผลอเก็บไว้ในกระเป๋า จนเกือบลืมไปแล้วว่าเคยรับมาจากใครก็ร่วงลงพื้น เธอหยิบขึ้นมาดู พรางทำหน้าครุ่นคิด ทำให้นึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อน
“โทมัสเหรอ” ก่อนคำพูดของชายผู้นั้นดังขึ้นมาในหัว
“เกิดวันหนึ่งเธอจะมาใช้บริการที่นี่”
เธอไม่รู้ว่าที่นั่นมันมีกิจการอะไร ทว่าตอนนี้ไม่มีทางเลือก จึงไม่อยากคาดเดาอะไรทั้งนั้น ดานิกาตัดสินใจกดเบอร์ต่อสายหาเจ้าของนามบัตร
“เป็นอะไร วันนี้ดูซึมๆ” นาวินที่เริ่มอาการดีขึ้น มองบุตรสาวที่เอาแต่นั่งหน้าเครียดตั้งแต่กลับมาจากที่ทำงาน
“ไม่มี”
“เสียงสูงเชียวนะ”หรี่ตาจับผิด
“หนูไปอาบน้ำดีกว่า บาย” เมื่อรู้ว่าอีกไม่นานเธอคงโป๊ะแตก ดานิกาจึงหาทางเลี่ยงด้วยการเข้าห้องนอนตัวเอง
ดวงตากลมโตกวาดสายตามองเตียงอย่างคนกลัดกลุ้ม พรางถอนหายใจยาว เหมือนต้องการระบาย ก่อนจะทิ้งตัวฟุบหน้าลงที่นอนอย่างหมดแรง ในหัวก็คิดวนเวียนถึงสิ่งที่ได้พูดคุยกับโทมัส
“หากเธอต้องการเงิน ก็เข้ามาขายเลือดที่นี่ได้”
“ไม่ผิดกฎหมายเหรอคะ” ดานิกาถามออกไปอย่างซื่อตรง จนได้ยินเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“อย่ากังวลเลย”
“ถ้าผิดกฎหมายหนูก็ไม่กล้าทำ”
“พวกตำรวจไม่กล้าทำอะไรหรอก ไม่งั้นฉันคงอยู่ไม่ได้จนถึงวันนี้”
“แน่ใจนะคะ”
“ตามใจเธอ แต่จะบอกอะไรให้นะ การขายเลือดครั้งหนึ่งเธอได้เงินมากกว่าทำงานส่งพิซซ่าทั้งอาทิตย์เลยล่ะ”
“.....” พอคิดตามจำนวนเงินแล้วชักอยากลอง
“ละแล้วเลือดฉัน คุณจะเอาไปทำอะไร” เป็นอีกครั้งที่ปลายสายหัวเราะ เขาเงียบไปช่วงหนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“รู้จักแวมไพร์ไหม”
“อะ…อะไรนะคะ” เธอตกใจมากในขณะที่ปลายสายเอาแต่หัวเราะอย่างขบขัน ทำเหมือนมันเป็นเรื่องตลก แวมไพร์อะไร…มันมีจริงที่ไหนกันล่ะ
“ถ้าว่างวันไหนก็เข้ามา”
ทว่าพอโทรกลับอีกครั้งเขากลับไม่รับสาย ไม่รู้ว่าที่โทมัสพูดมามันจริงหรือไม่ เพราะน้ำเสียงเขาก็ดูหยอกล้อยามพูดเรื่องแวมไพร์
เธอก็เคยได้ยินเรื่องแวมไพร์มาบ้างตั้งแต่เด็กจนโต แต่ไม่เคยพบเจอกับตัว ไม่รู้ว่าควรเชื่อหรือไม่ว่ามันมีจริง แต่แล้วยังไง…ในเมื่อเธอไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว จำต้องขายเลือดอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดานิกามองมือที่เย็นเฉียบของตัวเอง ก่อนจะยกขึ้นมาถูเพื่อคลายหนาว มองซ้ายแลขวาเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่ไม่มีแม้สักคนเดินผ่าน เธอยืนชั่งใจอยู่นาน ทั้งที่ทำใจมาสักพักแล้วว่าอย่างไรก็ต้องทำ
ร่างบางกำชับชุดกันหนาวให้เข้าที่ มองดูหิมะที่ร่วงลงมาก่อนจะเดินเข้าไปยังตึกร้างสภาพเก่าราวไม่มีคนอยู่ ทว่าภาพในกลับเต็มไปด้วยผู้คนหน้าตาอิดโรย ท่าทางสิ้นหวัง ช่างต่างกับภายนอกที่เธอเห็น ก็จริงแหละ ถ้าใครไม่สิ้นหวังหรือหมดทางเลือก คงไม่มีใครเดินเข้ามาในที่แห่งนี้
“ฉันมาขายเลือดค่ะ”
ดานิกาเอ่ยบอกพนักงาน ไม่นานเธอก็ถูกเชิญขึ้นไปบนห้องชั้นสาม หญิงสาวกวาดตามองเตียงที่เรียงรายอยู่สามสี่เตียง ทว่ามีแค่ผู้หญิงคนเดียวที่ยังนอนเจาะเลือดอยู่ ด้วยความที่เธอค่อนข้างกลัวเลือด พอเห็นความแดงฉานของมันอยู่ไม่ไกลจากตัวยิ่งแทบลมจับ
“ดีใจที่ได้พบนะ”
เสียงทุ้มๆ ดังอยู่ตรงหน้า ดึงสติดานิกาให้หันมามอง ยังตกใจคนทักไม่ให้ซุ่มให้เสียง
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“มานั่งนี้สิ”
ดานิกาเดินตามโทมัสไปนั่งบนเตียงคนไข้
“ดื่มก่อนนะ” โทมัสยื่นขวดน้ำให้ ทว่าเธอกลับมองเขาด้วยความระแวง ชายวัยกลางคนถึงกับยิ้ม
“ไม่มียาพิษหรอก”
“ฉันจะเชื่อคุณได้ยังไง”
“ถ้าเธอไม่เชื่อฉัน เธอคงไม่มาที่นี่”
ดานิกาถึงกับพูดไม่ออก เพราะมันจริงจนเถียงไม่ได้ ก่อนจะรับน้ำมาดื่มจนหมดขวด
“จะ จะทำอะไร”ยั้งแขนตัวเองที่โดนชายรุ่นพ่อจับดึงไป
“ฉันจะวัดความดัน”
“เอ่อ ค่ะ”อยู่ๆ ก็อายขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอคงจะระแวงเกินไป
“สงสัยจะไม่เคยบริจาคเลือด”
“ไม่เคยค่ะ นี่ครั้งแรก”
“อือ ความดันปกติ” เมื่อขั้นตอนนี้เรียบร้อย โทมัสจึงดึงสายรัดสีเหลืองอ่อน มารัดเหนือข้อศอก จากนั้นจึงยัดแท่งกระบอกเล็กใส่มือหญิงสาว “บีบด้วย”
ดานิกาก็ไม่อิดออดทำตามอย่างว่าง่าย ไม่นานเข็มแหลมคมก็เจาะเข้ามาในเส้นเลือด เธอหลับตาปี๋ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น
“เสร็จแล้ว” โทมัสมองคนที่กลัวจนสมองฟ่อ
เจ้าหล่อนค่อย ๆลืมตาขึ้นมา เหลือบมองสภาพแขนตัวเองแล้วหน้าซีด
“เธอนอนลงได้เลยนะ คงอีกสักพัก” โทมัสจัดแจงให้หล่อนนอน
“นานไหมคะ”
“ยี่สิบนาที”
ดานิกาถึงกับถอนหายใจ เงยหน้ามองเพดานอย่างพยายามระงับความกลัว พอเริ่มปรับตัวได้ก็มองสำรวจรอบๆ ห้อง สภาพห้องก็ไม่ได้ใหม่ไปจากตัวตึก เพียงแต่ดีกว่าข้างนอก มองเลยไปยังโต๊ะทำงานของโทมัส เธอเห็นมีอุปกรณ์ทางการแพทย์วางอยู่ จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
“คุณเป็นหมอแหรอคะ”
โทมัสมองเธอแล้วเงียบไปก่อนจะตอบ “ใช่”
“แต่รับซื้อเลือดเถื่อนเนี่ยนะ”
“อืม” พอได้ยินแบบนั้นก็อดขำกับความซื่อไม่ไหว ดานิกาขมวดคิ้ว งงว่าคำพูดเธอมันชวนหัวเราะขนาดนั้นเชียวหรือ
“เธอก็พูดเกินไป แต่ก็พูดถูก”
“...”
“แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่หมอแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะคะ”
“ฉันลาออกมาได้เป็นสิบกว่าปีแล้ว”
“งานมันไม่ดีเหรอคะ ถึงได้มาทำเรื่องผิดกฎหมาย”
“คงใช่ ที่นี่ค่าตอบแทนเยอะกว่า”
“แล้วแวมไพร์ที่คุณว่า อำเล่นใช่ไหมคะ” แววตาท่อประกายสงสัยใคร่รู้
“จริงสิ” พูดไปก็หัวเราะไป เหมือนคนไม่เคยมีเรื่องเครียดในชีวิต “เธอไม่เชื่อเหรอ”
“ค่ะ” เมื่อเห็นเขาหรี่ตามองมา ทำให้เธอชักอึดอัดจึงก้มหน้างุดแล้วพูด
“ฉันคิดว่ามันดูจะเกินจริงไปหน่อย นี้มันปี 2022 แล้วนะคะ”
“เด็กน้อย” ส่ายหน้าเอ็นดู
“ฉันยี่สิบแล้วค่ะ” เถียงขึ้นมาอย่างไม่ยอม เธอโตพอไม่ใช่เด็กอย่างที่โดนกล่าวหา
หลังจากให้เลือดเสร็จ เธอก็รู้สึกหน้ามืด อยากอาเจียนแต่ก็ต้องข่มใจไว้ มองซองสีขาวที่ยื่นมา หญิงสาวเปิดขึ้นมานับดู ก่อนจะตาโตจนลืมอาการจนหมดสิ้น
“ได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“แน่นอน เพราะเลือดเรามีค่ายังไงล่ะ” โทมัสยิ้มพอใจ เหมือนเห็นตัวเองตอนได้มาทำงานที่นี่ครั้งแรก
“แล้วหนูจะขายเลือดได้อีกเมื่อไหร่”
“อีกสามเดือน”
“นานไป” ดานิกาพึมพำกับตัวเอง ใบหน้ากลัดกลุ้ม
“เดือนหน้าไม่ได้เหรอคะ”
“ไม่ได้” น้ำเสียงเข้มขึ้น
“ฉันจำเป็นต้องใช้เงิน”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เธอคงไม่อยากอายุสั้นหรอกใช่ไหม”
ดานิกาพูดไม่ออก แต่ก็หมดปัญญาคงต้องดิ้นรนเอาเอง ดูจากเงินที่ได้น่าจะพอจ่ายค่าคีโมกับค่าใช้จ่ายทั้งเดือน
เธอจะไม่ยอมแพ้ให้กับโชคชะตาหรอก