บททดสอบการเอาชีวิตรอดของนักล่าต่างสายพันธุ์

รวมเรื่องสั้น - ตอนที่ 2 ล่าเหี้ยมไอ้เข้พันธุ์นรก โดย ลักกี้ หยาง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แอคชั่น,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ,เรื่องสั้น,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

รวมเรื่องสั้น

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ,เรื่องสั้น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

บททดสอบการเอาชีวิตรอดของนักล่าต่างสายพันธุ์

ผู้แต่ง

ลักกี้ หยาง

เรื่องย่อ

สารบัญ

รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 1 ล่าปีศาจเสือสมิง,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 2 ล่าเหี้ยมไอ้เข้พันธุ์นรก,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 3 บ้านแสนสุข,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 4 ลูกซองเจาะกะโหลกปีศาจ,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 5 การตกหลุมรักของคุณหนูจอมเวท,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 6 เพื่อนแท้ เพื่อนตาย,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 7 หน้ากากแก้ว,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 8 ไม่เคยหนีพ้น (1/2)

เนื้อหา

ตอนที่ 2 ล่าเหี้ยมไอ้เข้พันธุ์นรก

สัตว์ก็คือสัตว์

มันทำตามสัญชาตญาณ

ไม่สนใจเรื่องเหตุและผลเหมือนคนหรอก

ไกรวงศ์



"ไอ้ไกร ! แกตื่นได้เเล้วจะนอนไปถึงไหน"

ไกรวงศ์ หรือ ไกร ซึ่งกำลังหลับสบายในรถบ้านของตัวเอง เป็นงั้นต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะตรงประตูรถ ชายหนุ่มจำต้องลุกจากเตียงเพื่อมาดูว่าใครบังอาจมารบกวนเวลานอนของเขาเช่นนี้ แต่เมื่อไกรวงศ์เปิดหน้าต่างก็เห็นชายฉกรรจ์ที่น่าจะอาวุโสกว่า ยืนกอดอกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนไม่ได้ขับถ่ายมาเป็นเวลาสามปี ไกรวงศ์ถอนหายใจเล็กน้อยและเปิดประตูรถออกมา เพื่อเผชิญหน้ากับ พรานชัย อดีตรุ่นพี่ทหารที่ผันตัวมาเป็นนายพราน

พรานชัยจะทำงานคอยระแวดระวังพวกสัตว์ดุร้าย เข้ามาอาละวาดในเขตชุมชนหรือไม่ ด้วยประสบการณ์มากมาย ทำให้พรานชัยสามารถจัดการกับพวกสัตว์ร้ายต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น ไกรวงศ์ตัดสินใจจะเดินทางมาเยี่ยมรุ่นพี่ เพราะไม่ได้เจอกันนาน และตั้งใจจะให้อีกฝ่ายเป็นไกด์พาเที่ยวชมธรรมชาติด้วย

"พี่ชัย มีอะไรหรือเปล่า" เขาถามด้วยท่าทางยังไม่ตื่นดีนัก "มันยังไม่ถึงเวลานัดเลยนี่"

"ข้ามาหาแกก็เพื่อจะบอกว่า วันนี้ข้าคงไม่ได้พาแกเที่ยวนะ โปรแกรมการเที่ยวในป่าถูกระงับไว้ก่อน" พรานชัยพูดเสียงเครียด

"อ้าว ทำไมล่ะพี่ เกิดอะไรขึ้น" ไกรวงศ์ถามด้วยความตกใจ

"ข้าได้รับแจ้งมาว่ามีคนหนึ่งในหมู่บ้านหายไปนะสิ" พรานชัยบอก "ป่านนี้แล้วมันยังไม่กลับบ้านเลย" 

"งั้นรอผมก่อนพี่" 

พรานชัยฉงนใจเล็กน้อยแต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ไกรวงศ์พ้นสภาพการเป็นยุวชนทหาร กลายเป็นทหารชั้นประทวน หรือเรียกอีกอย่างคือเขาโตพอที่จะช่วยงานของพรานชัย สิบนาทีกว่า ๆ ไกรวงศ์พร้อมด้วยสุนัขคู่ใจชื่อ เจ้าด่าง เป็นสุนัขขนสีน้ำตาลมีอานบนหลัง มันกระดิกหางให้กับพรานชัย

ทั้งสองพากันเดินไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ แต่ก่อนจะเคลื่อนรถนายพรานก็เหมือนมองหาใครอีกคน ซึ่งไกรวงศ์รู้ว่าอีกฝ่ายมองหา ปรมศรณ์ กลั่นปัญญา หรือ เปา เพื่อนสนิทของไกรวงศ์ 

"ไอ้เปามันไปปั่นจักรยานแล้วมั่ง พี่" ไกรวงศ์บอก "เมื่อวานเห็นมันบอกผมอยู่"

"ห๊ะ ! ปั่นจักรยาน เวลาแบบนี้เนี่ยนะ" พรานชัยร้องถาม

"ให้ผมตามมันไหม" ไกรวงศ์ถาม

"ระหว่างทางที่ข้าขับรถ แกก็ใช้ไอ้โทรจิตห่าเหวอะไรนั้นบอกกับไอ้เปาละกัน เราช้าไม่ได้"

พรานชัยพาไกรวงศ์เดินทางไปยังบ้านของชาวบ้านผู้มีนามว่า ลุงสาร ชาวประมงที่มักจะออกไปหาปลาเป็นประจำ ตามปกติแล้วลุงสารจะกลับมาบ้านเวลาเที่ยงทุกวัน เพื่อนำปลาที่จับได้นำมาให้ ป้ากบ ภรรยานำไปขายในตลาดต่อ แต่นี่มันผ่านมาหนึ่งวันกลับไร้วี่แววของลุงสาร หากจะบอกว่าแกพายเรือไปกินเหล้ากับเพื่อน ก็ไม่น่าจะใช่เพราะป้ากบรู้ดีว่า สามีของแกแม้มีเพื่อนฝูงแต่เหล้าก็ไม่เคยแตะต้อง

กอปรกับเพื่อนของลุงสารก็พูดเสียงเดียวกันว่า ทั้งวันลุงสารไม่ได้พายเรือมาหาที่บ้านเลย ระหว่างที่พรานชัยกำลังคุยกับป้ากบอยู่ ไกรวงศ์เดินมาดูท่าเรือหลังบ้าน เท่าที่เขาสำรวจวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ ส่วนมากจะสัญจรด้วยเรือเนื่องจากชุมชน ติดอยู่กับแม่น้ำลำธารและเหมือนมันจะเชื่อมไปถึงตลาดน้ำด้วย 

เจ้าด่างที่อยู่ข้าง ๆ ไกรวงศ์ก็จ้องมองที่แม่น้ำพลางส่งเสียงขู่ออกมา ราวกับมันรับรู้อันตรายบางอย่างได้ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของมัน ไกรวงศ์ยอมรับว่าเขาไม่เคยรู้สึกหวาดระแวงแม่น้ำขนาดนี้มาก่อน ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนหลายคนแล้ว ถึงความกลัววิตกกังวลที่มีต่อแม่น้ำขุ่นแบบนี้

"ไอ้ไกร แกทำอะไรอยู่น่ะ" พรานชัยเดินมาตามหลังจากคุยกับป้ากบเสร็จแล้ว "หรือแกเห็นอะไรมา"

ไกรวงศ์สั่นศีรษะเบา ๆ "ตอนนี้ยังพี่... พี่ชัย ผมถามอะไรพี่หน่อยสิ" 

"แกจะถามอะไรข้า" 

"ที่นี่มีจระเข้ไหม" 

พรานชัยขมวดคิ้วหนักขึ้นกว่าเดิมกับคำถามของไกรวงศ์ กอปรกับเห็นเจ้าด่างที่ส่งเสียงขู่เป็นระยะ ๆ ที่แม่น้ำตรงหน้า พรานชัยเจอสัตว์ร้ายมาเยอะก็จริง แต่จระเข้ยังไม่เคยเจอเลยในแถบชุมชนนี้ แม้มันจะติดแม่น้ำก็ตามทีและหากสังหรณ์ของพรานชัยถูกต้อง เห็นทีคงต้องแจ้งให้ผู้ใหญ่บอกให้ชาวบ้าน งดเดินทางด้วยเรือไปก่อน จนกว่าจะหาตัวลุงสารเจอ

"ข้าพึ่งเป็นพรานอยู่นี่ได้แค่สี่เดือนเอง ยังไม่เคยเจอจระเข้ว่ะ" พรานชัยตอบ "แกคิดว่าเป็นฝีมือของสัตว์ตัวนี้หรือ"

"อืม ผมไม่แน่ใจหรอกพี่ แต่ผมกับเจ้าด่างรู้สึกไม่ไว้ใจแม่น้ำแห่งนี้เลย" ไกรวงศ์บอก

"เอาอย่างนี้นะข้าจะลองสอบถามชาวบ้านคนหนึ่งดู เผื่อจะมีเบาะแสอะไรบ้าง" พรานชัยสรุป "เข้าหมู่บ้านกับข้าหน่อย ไอ้ไกร"


🐊🐊🐊🐊


พรานชัยพาไกรวงศ์ไปพบกับ ลุงจัน ผู้ใหญ่บ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่มากว่าห้าสิบปี ยืนยันหนักแน่นว่าตั้งแต่เด็กจนโต ยังไม่เคยเจอจระเข้เเม้แต่ตัวเดียว รวมทั้งชาวบ้านบางส่วนก็ยืนยันอีกแรงว่าไม่เคยเห็น ผ่านไปสี่นาทีเจ้าหน้าที่ทางการก็เดินทางมาถึง และเริ่มออกค้นหาตัวลุงสาร ซึ่งไกรวงศ์ก็ติดตามพร้อมกับอาสาสมัคร ถึงกระนั้นพรานชัยก็อดที่จะถามหาปรมศรณ์ไม่ได้

เพื่อความสบายใจของพรานชัย ไกรวงศ์จึงบอกไปว่าเพื่อนตัวแสบของเขา ไม่ได้อยู่ใกล้กับแม่น้ำเพราะมันแทบจะไม่มีถนนสำหรับปั่นจักรยานเลย แม้ในใจชายหนุ่มจะภาวนาตลอดว่าอย่าให้ปรมศรณ์ทำอะไรพิเรน ๆ เลย เจ้าหน้าที่คนหนึ่งขอให้ไกรวงศ์เอาเจ้าด่างไปด้วย ซึ่งเขาจับสายจูงแน่นมากและขอเป็นคนสั่งสุนัขของตนเอง ทั้งหมดพากันลงเรือและล่องไปตามแม่น้ำในสายที่ลุงสารใช้สัญจร

ตลอดทางเจ้าด่างเอาแต่ส่งเสียงขู่ไม่มีแผ่วลง พฤติกรรมนี้สร้างความกังวลให้คนอื่นพอสมควร ไกรวงศ์ก็รู้สึกหวาดระแวงตามไปด้วย สุดท้ายเขาตัดสินใจใช้พลังมานา เชื่อมเข้ากับธรรมชาติแห่งนี้เพื่อการค้นหาที่ง่ายขึ้น ภาพในหัวของไกรวงศ์เป็นป่าที่ถูกย้อมเป็นสีฟ้า ซึ่งมันแปลว่าตรงนี้ปลอดภัยไม่มีอะไรผิดปกติ ยกเว้นตรงมุมซ้ายมือถูกย้อมเป็นสีแดง

"ทุกคนตรงมุมซ้าย ระวังด้วย" ไกรวงศ์ตะโกนบอก "ผมไม่แน่ใจว่ามันคือโพรงอะไร"

พรานชัยบอกให้ทุกคนเตรียมอาวุธให้พร้อม เผื่อจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อเรือทุกลำแล่นเข้ามาจอดใกล้ ๆ จุดที่น่าสงสัย พรานชัยก็วางปืนลงและคว้ามีดทหารออกมา และค่อย ๆ ลงน้ำอย่างเชื่องช้า ตามด้วยพรานผู้ช่วยอีกสามถึงสี่คน ส่วนคนบนเรือหันปากปืนไปทางโพรงต้องสงสัย ไกรวงศ์สั่งให้เจ้าด่างเงียบห้ามส่งเสียง ซึ่งมันทำตามคำสั่งเขาอย่างว่าง่าย

ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่า บริเวณอื่นมีอะไรน่าสงสัยหรือไม่ สามนาทีต่อมาพรานชัยก็โผล่ขึ้นจากผิวน้ำ สีหน้าคร่ำเครียดและพูดแค่ว่า "เจอลุงสารแล้ว มาช่วยดึงซากเรือออกหน่อย" 

ทั้งหมดใช้เวลาสิบห้านาทีหรืออาจนานกว่านั้น ในที่สุดพวกเขาก็พบซากเรือลำหนึ่ง ซึ่งทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นเรือหาปลาของลุงสารแน่นอน ทว่าที่น่าสยดสยองคือพรานชัยนำชิ้นส่วนของมนุษย์ออกมาด้วย คาดว่าน่าจะเป็นของลุงสาร ทุกคนต่างขนลุกขนพองไปตาม ๆ กัน และต่างรีบขับเรือกลับเข้าฝั่งทันที เพราะตามประสบการณ์ของ พรานโอ่ง ผู้ช่วยของพรานชัยยืนยันว่า โพรงนั้นคือรังของจระเข้ไม่ผิดแน่นอน

ทั้งหมดต้องมาวางแผนในการรับมือกันต่อ ในขณะเดียวกันพรานชัยก็นำร่างที่เหลืออยู่ของลุงสาร นำส่งคืนให้กับครอบครัวเพื่อนำไปประกอบพิธีฝังร่าง ป้ากบร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างมาก หลังจัดการส่งร่างลุงสารไปไม่นาน ไกรวงศ์ได้ยินเสียงปั่นล้อจักรยาน กำลังมาทางที่เขากับเจ้าด่างยืนอยู่ เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นปรมศรณ์นั่นเอง

"เพิ่งจะยอมโผล่หัวมาหรือไง ไอ้เปา" ไกรวงศ์พูดใส่สหายตนเอง "ปั่นจักรยานไปถึงไหนมาเนี่ย"

ปรมศรณ์ลากจักรยานเข้าไปผับเก็บแขวนท้ายรถ แล้วตามมาสมทบพร้อมเล่าให้ไกรวงศ์ฟังว่า ระหว่างทางเขาได้ยินชาวบ้านพูดกันเรื่องจระเข้ รวมทั้งสภาพศพของลุงสารที่เหลือแค่ขากับนิ้วไม่กี่นิ้ว ซึ่งไกรวงศ์ยอมรับว่าข่าวลือเรื่องเล่าจะแพร่กระจายเร็วปานนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ปรมศรณ์จะบอกกับชายหนุ่มไม่ใช่เรื่องเดียว

"แกคิดว่ามันเป็นฝีมือของผู้มีพลังสัตว์สมิงไหมว่ะ" ปรมศรณ์ถามความเห็นของเพื่อน

"อะไรทำให้แกคิดแบบนั้น" ไกรวงศ์

พลังสัตว์สมิง คือสกิลของผู้ที่สามารถแปลงกายเป็นสัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะช้าง เสือ สิงโต หมาป่าหรือแม้กระทั่งจระเข้ อีกประเภทหนึ่งจะถูกเรียกว่า พลังสัตว์สมิงเทพ ใช้เรียกผู้ที่สามารถแปลงกายเป็นมังกรหรือสัตว์เทพในตำนาน แต่ก็หายากมากเพราะต้องฝึกฝนมาแรมปี ใช่ว่าทุกคนจะฝึกสำเร็จ

"พอดีระหว่างทางที่ข้าปั่นจักรยานขากลับ ข้าเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางแปลก ๆ ทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่นอกหมู่บ้าน" ปรมศรณ์เริ่มเล่าให้ฟัง

"นอกหมู่บ้านหรือ" ไกรวงศ์ทวนคำเพื่อน

"ใช่" 

"แล้วแกเห็นหน้าชายคนนั่นชัดไหม" 

ปรมศรณ์สั่นศีรษะในเชิงเสียดาย

"ไม่เลย มันอยู่ในระยะไกลไปหน่อยเลยบอกหน้าตาไม่ได้ มันรู้แค่ว่าเป็นผู้ชาย" ปรมศรณ์ตอบ "แต่คน ๆ นั่นพอห็นข้าปั่นจักรยานมา ก็รีบหาที่หลบเลยนะ"

ไกรวงศ์ครุ่นคิดหลังฟังเรื่องเล่าจบ หากชายคนนี้ที่ปรมศรณ์ไปเจอมา คือผู้มีพลังสัตว์สมิงจริง ๆ ละก็ มันก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อีกต่อไป แต่ปัญหาคือปรมศรณ์ไม่สามารถระบุใบหน้าชายปริศนาได้ชัดเจน เนื่องจากอยู่ระยะไกลพอสมควร ทั้งสองจึงตั้งใจว่าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับพรานชัย ทันใดนั้นมีเสียงโวยวายมาแต่ไกล ทุกคนหันไปมองหาต้นเสียงซึ่งมาจากเด็กคนหนึ่ง วิ่งมาหาลุงจันด้วยท่าทางตื่นกลัว ปากร้องไม่หยุดว่า "จระเข้ จระเข้"

พรานชัยและพรานคนอื่น ๆ วิ่งมาหาเด็กน้อย เพื่อสอบถามว่าเจอกับจระเข้ได้อย่างไร จึงได้คำตอบว่าอยู่นอกหมู่บ้านไปเล็กน้อย แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือบริเวณที่ว่า มันคือที่เดียวกับตรงที่ปรมศรณ์เจอกับชายปริศนาพอดี ทั้งหมดพร้อมอาวุธครบมือต่างรีบรุกหน้าไปยังที่เกิดเหตุ ทว่ากลับไม่มีใครพบจระเข้ที่ว่า นอกจากรอยคลานเคลื่อนไหวเป็นทางของมัน ซึ่งตรงหน้าคือแม่น้ำลำธาร

ความวิตกกังวลของอย่างหนึ่งของบรรดาเหล่านายพรานคือ ดูจากรอยคลานที่มันทิ้งไว้มันมีขนาดใหญ่มากกว่าจระเข้ทั่วไป พรานโอ่งที่เคยล่าจระเข้มาก่อนยังพูดได้เต็มปากว่า ไม่เคยเจอตัวที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ไม่สิ... ต้องเรียกว่า "จระเข้ยักษ์" ก็ไม่ผิดนัก ชาวบ้านคนหนึ่งที่เกิดอาการหวาดหวั่นก็เผลอพูดสิ่งมงคลออกมาว่า

"หรือมันจะเป็นจระเข้ผีว่ะ" 

พรานชัยหันไปตำหนิชาวบ้านคนนั้นทันที 

"ถ้าปากพูดได้แค่นี้ แกเงียบไปเลยดีกว่า" 

ด้านไกรวงศ์และปรมศรณ์ตามด้วยเจ้าด่าง เดินตามรอยคลานของจระเข้ จนถึงริมแม่น้ำลำธารดังกล่าวชายหนุ่มค่อนข้างวิตกพอสมควร แค่จระเข้ธรรมดาที่ตัวใหญ่ ก็เป็นปัญหาใหญ่แล้วแต่นี่ถ้าเป็นผู้มีพลังสัตว์สมิง ต้องเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงมาก แถมดูท่าจะเป็นศัตรูที่รับมือยากพอสมควร เจ้าด่างส่งเสียงขู่ออกมาเป็นระยะ ๆ ไม่ต่างจากรอบก่อน 

ปรมศรณ์จะกังวลมากกว่าใครที่สุด สาเหตุมันเพราะลำธารที่เจ้าจระเข้เลื่อยคลานลงไป เป็นถนนทางน้ำสัญจรของชาวบ้าน และมันยังเชื่อมไปทางตลาดน้ำในหมู่บ้านอีกแห่ง ไกรวงศ์เริ่มจะมองเห็นหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือาจจะเกิดขึ้นไปแล้ว สองหนุ่มและสุนัขพันธุ์หลังอานอีกหนึ่ง วิ่งตรงไปรถมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้านสองคัน ทั้งคู่ทำการขอ (ยึด) รถเพื่อขับไปยังหมู่บ้านที่อาจตกเป็นเป้าจระเข้ยักษ์

พรานชัยที่รู้นิสัยของสองหนุ่มดีจึงสั่งให้พรานทุกคน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทางการเตรียมอาวุธใหพร้อม แล้วไล่ตามหลังของสองหนุ่มอย่างรวดเร็ว


🐊🐊🐊🐊


ไกรวงศ์กับปรมศรณ์ที่เร่งรถให้เร็วที่สุด ตระหนักได้ว่ามันก็ไม่อาจสู้ความเร็วของจระเข้ยักษ์ได้ ทันทีที่เข้าเขตหมู่บ้านมาได้ไม่นาน สองหนุ่มได้ยินเสียงกรีดร้องดังระงมมาจากฝั่งตลาดน้ำ ตามด้วยชาวบ้านที่หนีตายออกมา ต่างพูดเสียงเดียวกันว่า "จระเข้ยักษ์" ทั้งสองไม่รอช้าต่างยอมเรียกอาวุธประจำกายออกมา โดยอาวุธของไกรวงศ์คือหอก ส่วนปรมศรณ์เป็นดาบหนึ่งเล่ม จากนั้นทั้งสองก็ขับรถแล่นเข้าตลาดน้ำทันที

และเมื่อมาถึงที่ทางเข้าแล้วสองหนุ่มก็ถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจ เพราะภาพเบื้องหน้าคือจระเข้ที่มีขนาดลำตัวใหญ่ เทียบเท่ากับรถบัสประจำทางสองชั้น มันกำลังพุ่งทำลายบ้านเรือนที่ติดแม่น้ำไปหลายหลัง บนแม่น้ำถูกย้อมเป็นสีแดงฉานพร้อมชิ้นส่วนที่เคยเป็นของคนหรือสัตว์ ลอยกระจัดกระจายบนผิวน้ำ เจ้าด่างส่งเสียงเห่ากึกก้องผิดวิสัยของสุนัข

"ไอ้ไกร ! มันไม่ได้มาตัวเดียว" ปรมศรณ์ร้องบอกและชี้ให้เพื่อนดู "มันมีบริวาร"

ไกรวงศ์เห็นจระเข้ขนาดธรรมดาเข้าจู่โจมใส่ชาวบ้าน เหมือนมันทำตามคำสั่งของจระเข้ตัวใหญ่ วินาทีนั้นชายหนุ่มก็หวนนึกถึงเรื่องเล่าสมัยเด็กที่ นาวาเอกไกรทอง บิดาเคยเล่าให้ฟังถึงเทพีนาม อัมมิต นางเป็นเทพีที่มีหัวเป็นจระเข้ และเป็นผู้ให้กำเนิดสัตว์ร้ายชนิดนี้ คนโบราณจึงเชื่อว่าเหล่าจระเข้คือลูกหลานของนาง ทว่าในบันทึกอันเก่าแก่ก็มีบันทึกเอาไว้ว่า เทพีอัมมิตได้แอบสร้างลูกผสมระหว่างมนุษย์กับเทพขึ้น

ซึ่งเทพีอัมมิตทำการล่อลวงเหล่าชายฉกรรจ์มากมาย มาหลับนอนมีความสัมพันธ์ด้วยและนางจะให้กำเนิดลูกผสมออกมา ในบันทึกเขียนไว้ว่าเหตุผลที่เทพีอัมมิตทำเช่นนี้ เพราะต้องการจะชิงความเป็นใหญ่กับพี่น้องเหล่าเทพของนาง แต่การจะทำเช่นนั้นได้นางต้องมีกองทัพ และลูกผสมของนางก็คือกองกำลังหลัก แต่แล้วความทะเยอทะยานของนาง ก็ต้องพบกับความล้มเหลว

นางพบว่าลูก ๆ ของนางส่วนหนึ่งกลับมีสัญชาตญาณของจระเข้มากเกินไป ในขณะที่ลูกผสมอีกส่วนมีสติปัญญาเหมือนมนุษย์ มีจำนวนน้อยเกินกว่าจะสร้างกองทัพได้ กอปรกับแผนการของนางก็แตก เทพสูงสุดออกคำสั่งให้กวาดล้างลูก ๆ ของเทพีอัมมิต แม้นางจะชั่วร้ายแต่ความเป็นแม่ก็สูงส่งไม่แพ้ใคร นางยอมสละตนเองเพื่อให้ลูก ๆ บางส่วนรอด

เทพีอัมมิตเปิดประตูมิติต่างโลกและส่งลูกที่รอดชีวิตไปที่นั้น ดังนั้นในโลกที่ลูกนางไปอาศัยอยู่จึงมักมีข่าวเรื่องพบจระเข้ตัวใหญ่ และมีการถูกปราบไปแล้วมากมาย จุดเด่นอีกอย่างคือลูกผสมของเทพีอัมมิต ยามกลายร่างเป็นจระเข้จะมีขนาดตัวใหญ่กว่าปกติ และยังสามารถควบคุมฝูงจระเข้ได้ นอกจากนี้มันจะมีลิ้นด้วยเพราะจระเข้ทั่วไปจะไม่มีลิ้น

"แม่งเอ้ย... เรื่องเล่าของพ่อเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย" ไกรวงศ์พึมพำ

"ไอ้ไกร มีอะไรหรือเพื่อน" ปรมศรณ์หันมาถาม

"ไอ้เปา นี้ไม่ใช่จระเข้ธรรมดา"

"ห๊ะ ! หมายความว่าไง"

"มันคือลูกผสมของเทพีอัมมิต !"

ไกรวงศ์บิดมอเตอร์ไซค์ตรงไปยังด้านใน ท่ามกลางความวุ่นวาย ที่ฝูงชนพยายามหนีตายชายหนุ่มจ้องมองฝูงจระเข้ ที่กำลังว่ายไล่สังหารคนที่ขึ้นฝังไม่ทัน เจ้าด่างส่งเสียงเห่ากึกก้องจนทำให้บรรดาเหล่าจระเข้ ถึงกับหยุดชะงักและหันมาทางเจ้าด่าง ไกรวงศ์เอาฝ่ามือวางลงบนตัวเจ้าด่าง ปากพึมพำคล้ายท่องคาถาบางอย่าง นาทีต่อมาบนตัวของเจ้าด่าง ปรากฏรอยอักขระมนตรา

"ไปฆ่าพวกมัน !" 

สิ้นคำสั่งของเจ้านายเจ้าสุนัขขนสีน้ำตาล ก็วิ่งตรงไปยังแม่น้ำที่มีจระเข้หลายตัว กำลังรอเหยื่อตกหล่นใส่ปาก ทว่าฉับพลันร่างของเจ้าด่างก็เปลี่ยนไป มันกลายเป็นหมาป่าที่มีขนาดใหญ่มาก ขนบนตัวเป็นสีดำมีรอยสักอักขระมนตราเรืองแสงสีทอง คมเขี้ยวของจระเข้ไม่อาจระคายผิวมันได้ แต่เจ้าด่างสามารถกัดฉีกกระซากพวกมันอย่างง่ายได้

ไกรวงศ์ทิ้งรถลงและจับหอกอันเป็นอาวุธประจำกาย เขายืนเผชิญหน้ากับจระเข้ยักษ์ที่จ้องมองมาทางเขา พริบตานั้นเขาก็พุ่งทะยานเข้าจู่โจมใส่บรรดาเหล่าจระเข้ ที่เป็นสมุนของมันคมหอกทิ่มแทงจระเข้ที่เข้ามาขวางทางมากมาย ส่วนปรมศรณ์ที่ตามมาสมทบ ตัดสินใจเข้าช่วยคนที่ยังอยู่ในน้ำขึ้นมา โดยเขาใช้ดาบคู่ฟาดฟันจระเข้ให้ออกห่าง 

ปัง ! 

เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของกลุ่มพรานชัยที่ตามมาสมทบกลุ่มสุดท้าย ทุกคนเห็นไกรวงศ์กับหมาป่าสีดำสู้กับจระเข้ ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเข้าใกล้ตัวการใหญ่ได้แล้ว ปรมศรณ์จึงใช้พลังไฟธาตุวายุ พาตัวเองตามไปช่วยเพื่อน เจ้าด่างก็เข้ามาช่วยเปิดทางให้กับปรมศรณ์

"ขอบใจนะ เจ้าด่าง"

สองหนุ่มกระโจนขึ้นมาอยู่อีกฝั่ง เผชิญหน้ากับจระเข้ยักษ์ที่นิ่งอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง ไกรวงศ์เอาปลายหอกชี้ใส่หน้าจระเข้ ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงเข้มเหมือนเปลวไฟ 

"เปิดเผยตัวเองออกมาซะ บุตรแห่งเทพีอัมมิต" เขากล่าวขึ้น

วินาทีนั้นร่างจระเข้ก็กลายเป็นชายวัยฉกรรจ์ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กระทั่งมีพรานโอ่งร้องออกมาว่า "ไอ้หรั่ง ! นั่นแกหรือเปล่า" พรานชัยหันมาทางเพื่อนพรานด้วยกันเพื่อต้องการคำตอบ จึงได้ความว่า หรั่ง เป็นเด็กกำพร้าถูกทิ้งแล้วถูกพ่อพรานโอ่งรับมาเป็นบุตรบุญธรรม แต่ด้วยลักษณะทางกายภาพของหรั่ง ที่เกิดมามีตาสีฟ้ากับผมทองจึงมักถูกแกล้งเสมอ

เมื่อหรั่งโตมาเป็นหนุ่มก็หลงรัก ตะเภาทอง ลูกสาวของ ลุงใหญ่ ผู้ใหญ่บ้านแห่งนี้ แต่ก็เป็นรักไม่สมหวังเหตุเพราะลุงใหญ่ไม่ปลื้มชายหนุ่ม กอปรกับตัวตะเภาทองก็คิดกับหรั่งแค่เพื่อน หรั่งเสียใจมากและหายตัวไปหลายปี 

ทว่าพรานโอ่งรับรู้ได้ว่าหรั่งเพื่อนที่โตมาด้วยกันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ดวงตาที่แทบจะเหมือนจระเข้จ้องมองสองหนุ่ม ด้วยความพยาบาทอาฆาต ซึ่งไกรวงศ์กับปรมศรณ์คิดว่าชายหนุ่มคงถูกสัญชาตญาณเดรัจฉานกลืนกินไปแล้ว 

"อย่ามาเสือกเรื่องของกู !" หรั่งออกคำสั่ง

ปรมศรณ์พูดสวนกลับทันควัน

"เป็นพ่อกูเรอะ ! ถึงมีสิทธิ์มาสั่ง"

ไกรวงศ์ยกมือห้ามเพื่อน "ทำไมมึงถึงต้องเข่นฆ่าพวกเขาเหล่านี้ด้วย"

"พวกมันเคยรังแกกู กูมาล้างแค้นพวกมัน" หรั่งตอบและมองหน้าไปที่ลุงใหญ่ "และกูมารับตะเภาทองของกู"

ลุงใหญ่หน้าซีด "ยะ... อย่าทำอะไรลูกข้าเลย ไอ้หรั่ง" ลุงใหญ่อ้อดวอน

แต่คำอ้อนวอนดูจะไร้ผลเมื่อหรั่งฉีกยิ้มออกมา และหรั่งก็หงายหลังจมหายไปในแม่น้ำเบื้องหลัง เท่านั้นยังไม่พอเหล่าจระเข้ก็พากันถอยทัพหนีหายไป ท่ามกลางความฉงนใจของทุกคน มีเพียงลุงใหญ่ที่วิ่งกลับไปที่บ้านของตน เนื่องจากลูกสาวทั้งอย่างตะเภาทองและ ตะเภาแก้ว อยู่บ้าน ฝั่งสองหนุ่มก็ไม่รอช้าพากันกระโดดกลับมาที่รถมอเตอร์ไซค์ เพื่อไล่ตามลุงใหญ่ไป


🐊🐊🐊🐊



ตะเภาทองกับตะเภาแก้วทั้งสองเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของลุงใหญ่ ด้วยใบหน้ารูปโฉมที่งดงามตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเข้าสู่วัยสาวก็มักมีหนุ่ม ๆ ตามมาจีบอยู่เสมอ แต่ก็ต้องพากันถอยยามที่ต้องเผชิญหน้ากับปืนลูกซองของลุงใหญ่ สาเหตุที่ลุงใหญ่คอยขัดขวางหนุ่มทั้งหลาย มันก็เป็นเพราะในอดีตลูกแฝด ได้ฝันถึงเนื้อคู่ที่จะมาช่วยปกป้องจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ลุงใหญ่เชื่อในคำทำนายนี้มากกว่าลูกแฝดของตนซะอีก

ทว่าบัดนี้ทั้งตะเภาแก้วและตะเภาทองตระหนักแล้วว่า มันก็แค่ความฝันมิได้มีมูลความจริงแต่อย่างใด เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสองพี่น้อง พวกผู้ชายที่บอกว่าจะปกป้องพวกเธอต่างก็พากันหนีเอาตัวรอดกันหมด เหลือแค่พวกเธอกับเจ้าอสูรกายยักษ์ ที่ต่อมามันก็คืนร่างมาเป็นมนุษย์ตามเดิม

"หรั่ง !" 

ชายหนุ่มผมทองแต่มีดวงตาคล้ายจระเข้ มองสบตากับตะเภาทอง ด้วยความคิดถึงและโหยหามากแค่ไหน

"ฉันดีใจที่เธอยังจำกันได้" หรั่งพูด

ตะเภาแก้วกอดน้องสาวไว้ในกอดอก ทั้งสองตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

"มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไมเธอถึง..." ตะเภาแก้วถามเสียงสั่น หญิงสาวไม่ได้ตาฝาดแน่นอน หรั่งคือจระเข้ยักษ์ที่ออกอาละวาด

"ไม่สำคัญอีกแล้ว ตะเภาแก้ว" หรั่งพูดและหรี่ตามองตะเภาทอง "ฉันมาที่นี่ก็เพื่อมารับเธอ ไปอยู่กับฉัน"

"ว่าไงนะ" ตะเภาแก้วตกใจมาก ไม่แพ้ตะเภาทอง มันแสดงให้เห็นว่าหรั่งยังคงยึดติดกับพี่สาวของเธอไม่มีเสื่อมคลาย

เมื่อเห็นท่าทางที่เหมือนตะเภาทองจะขัดขืน แววตาโหดเหี้ยมก็ปรากฏขึ้น ผิวเนื้อตามตัวเริ่มมีเกร็ดของจระเข้ผุดขึ้น หรั่งขู่หญิงสาวว่าถ้าตะเภาทองไม่ยอมไปกับตน ชายหนุ่มจะสั่งให้บริวารฆ่าคนทั้งหมู่บ้านทั้งหมด รวมทั้งลุงใหญ่พ่อของเธอด้วยเช่นกัน ตะเภาทองจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอม เพราะเธอไม่ต้องการให้ใครต้องมาเดือดร้อน ฝั่งตะเภาแก้วก็ไม่อยากให้น้องสาวไป

สองพี่น้องโอบกอดเป็นครั้งสุดท้าย และเมื่อตะเภาทองกำลังจะเดินไปหาหรั่ง เสียงเครื่องยนต์ก็ดังมาแต่ไกล ทั้งหมดหยุดชะงักพร้อมกับรถมอเตอร์ไซค์พุ่งชนอัดร่างหรั่ง ปลิวกระเด็นทะลุออกนอกบ้าน ไกรวงศ์กับปรมศรณ์เอาหมัดชนกันด้วยความโล่งอกที่มาทัน หนุ่มทั้งสองลงจากรถและคว้าอาวุธออกมา โดยมีฝูงจระเข้ลอยอยู่เบื้องหน้า

หรั่งที่โกรธจนเลือดขึ้นหน้าก็กลายร่างเป็นจระเข้ตัวใหญ่ และสั่งให้บริวารเข้าโจมตีใส่ทั้งสอง นาทีนั้นไกรวงศ์พุ่งตัวตรงไปหาจระเข้ยักษ์แทบจะทันที ปรมศรณ์ทำหน้าที่คอยจัดการบริวารของหรั่ง เสียงปืนดังขึ้นมาจากฝั่งพรานชัยที่ตามมาสมทบอีกแรง

ไกรวงศ์รวบรวมพลังไว้ที่ปลายหอก และจับท่าเหมือนจะใช้มันจวนแทง หรั่งแผงฤทธิ์ไม่ยอมที่จะโดนปลิดชีพโดยง่าย จระเข้ยักษ์สะบัดหางใส่ข้างลำตัวชายหนุ่ม ไกรวงศ์เบี่ยงหลบได้ทันแต่ก็มีจระเข้ตัวหนึ่ง กระโจนใส่ด้านหลังของไกรวงศ์ เดชะบุญปรมศรณ์ตามมาช่วยไว้ทัน เขาสะบัดคมดาบตัดหัวจระเข้ตัวนั้นขาด 

ส่วนหรั่งในร่างจระเข้ยักษ์ถูกกระหน่ำด้วยปืนหลายกระบอกจากฝั่งพรานชัย กระสุนอาคมพุ่งทะลุเข้าผิวเกร็ดที่มีอักขระมนตรา หรั่งจึงตั้งใจจะแหวกว่ายหนี ไกรวงศ์ไล่ตามจระเข้ยักษ์ตามมาติด ๆ หรั่งฟาดหางและพยายามงับร่างชายหนุ่ม แต่ก็ได้แค่ความว่างเปล่าและไกรวงศ์ก็กระโดดขึ้นมาอยู่บนหลังจระเข้ พร้อมใช้มีดทหารเสียบปักเข้ากลางหลังมัน

หรั่งส่งเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวด และวินาทีนั้นไกรวงศ์ก็ใช้พลังไฟธาตุวายุอัดลงที่หอก และแทงทะลุทะลวงจากหลังออกจากกลางท้องของจระเข้ยักษ์ พริบตานั้นจระเข้มันก็นอนนิ่งสนิท ทว่าไกรวงศ์กลับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรง

"ไอ้ไกร ! อันตราย" ปรมศรณ์ร้องเตือน

ทันใดนั้นตรงผิวน้ำด้านขวามือของไกรวงศ์ มีกรงเล็บพุ่งขึ้นมาจู่โจมไม่ให้ทันตั้งตัว เดชะบุญชายหนุ่มใช้มีดทหารปัดป้องไว้ได้ ครู่ต่อมาเจ้าของกรงเล็บก็ปรากฏกายออกมา ซึ่งไกรวงศ์จำได้จากภาพในบันทึกของบิดา

เทพีอัมมิต มารดาแห่งจระเข้ทั้งปวง

นางอุ้มร่างไร้วิญญาณของหรั่ง พลางจ้องหน้าไกรวงศ์สลับกับปรมศรณ์

"เจ้าพวกชั้นต่ำ บังอาจสังหารลูกข้า พวกเจ้าต้องชดใช้ !"

สิ้นคำร่างของเทพีอัมมิตก็หายไป หลงเหลือไว้แค่ความว่างเปล่า ซึ่งสองหนุ่มรู้สึกเหมือนกันคือมันยังไม่จบแค่นี้แน่

และนางต้องกลับมาเอาคืนพวกเขาอย่างแน่นอน


จบบริบูรณ์

🐊🐊🐊🐊