บททดสอบการเอาชีวิตรอดของนักล่าต่างสายพันธุ์

รวมเรื่องสั้น - ตอนที่ 3 บ้านแสนสุข โดย ลักกี้ หยาง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แอคชั่น,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ,เรื่องสั้น,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

รวมเรื่องสั้น

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ,เรื่องสั้น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

บททดสอบการเอาชีวิตรอดของนักล่าต่างสายพันธุ์

ผู้แต่ง

ลักกี้ หยาง

เรื่องย่อ

สารบัญ

รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 1 ล่าปีศาจเสือสมิง,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 2 ล่าเหี้ยมไอ้เข้พันธุ์นรก,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 3 บ้านแสนสุข,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 4 ลูกซองเจาะกะโหลกปีศาจ,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 5 การตกหลุมรักของคุณหนูจอมเวท,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 6 เพื่อนแท้ เพื่อนตาย,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 7 หน้ากากแก้ว,รวมเรื่องสั้น-ตอนที่ 8 ไม่เคยหนีพ้น (1/2)

เนื้อหา

ตอนที่ 3 บ้านแสนสุข

เราเป็นพี่น้องกัน

เรามีกันอยู่แค่นี้ต้องรักกันให้มาก ๆ นะ

แม่แต๋ว



บ้านกลั่นปัญญาอพยพจากต่างแดนที่ห่างไกล มาลงหลักปักฐานที่ประเทศใหม่ซึ่งมีชื่อว่า ฟรอนเทียร์ เดิมทีครอบครัวทำอาชีพทำไร่ทำสวนผักไปขายในตลาดตัวเมือง รายได้ก็ถือว่าดีสามารถประคองชีวิตคนในครอบครัว ไม่ต้องลำบากมากนักและไม่เคยมีความคิดจะย้ายสัญชาติเป็นชาวฟรอนเทียร์ เพื่อรับราชการทหาร เนื่องจากเป็นอาชีพเดียวที่ประเทศนี้สงวนให้กับคนของเขา

แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึงเมื่อลูกหลานคนหนึ่ง ตัดสินใจเปลี่ยนสัญชาติมาเป็นทหาร เพื่อเอาสวัสดิการของราชการ มาเติมคุณภาพชีวิตครอบครัวมากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดจะสร้างชื่อเสียงอะไรให้ตนเองแต่อย่างใด จนมาถึงรุ่น จ่าสิบเอกปุญญธร ที่ได้สร้างชื่อตนเอง ในสมรภูมิชายแดนสู้กับกองโจรขนยาเสพติด โดยเขาในตอนนั้นบุกเดี่ยวถล่มฐานมันราบคาบ

แต่แม้จะมีชื่อเสียงแล้วแต่นิสัยส่วนตัวของจ่าสิบเอกปุญญธร เป็นคนรักความเงียบสงบไม่หลงในคำคติมายาต่าง ๆ และยังคงใช้ชีวิตเงียบสงบกับ แม่เเต๋ว ภริยาของตนตามวิถีดั่งเดิมของบรรพบุรุษ ทั้งสองมีลูกด้วยกันสามคน ชายสองและหญิงหนึ่ง 

ปรมศรณ์ หรือ เปา ลูกชายคนโตของจ่าสิบเอกปุญญธร และเป็นคนแรกของตระกูลที่ได้รับพรจากลูกแก้วฟีนิกซ์วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของฟรอนเทียร์ ในอดีตเขามักถูกบิดาจับฝึกดาบตั้งแต่จำความได้ ปัจจุบันปรมศรณ์สังกัดอยู่ทีมจู่โจมในหน่วยรบพิเศษ 

ปฤณ หรือ เป้ ลูกชายคนที่สองเป็นคนกลางของบ้าน มีนิสัยแตกต่างจากพี่ชายโดยสิ้นเชิง ปฤณจะเป็นคนเลือดร้อนอารมณ์วัยรุ่น ถึงไหนถึงกันและยังมีความลูกดื้อพอสมควร แม้จะชอบโดดฝึกดาบกับบิดา แต่อาวุธประจำกายของเขาก็เป็นดาบเช่นกัน เป็นอีกคนที่ได้รับพรจากลูกแก้วฟีนิกซ์ ปัจจุบันปฤณสังกัดอยู่ทีมจู่โจมในหน่วยรบพิเศษ แต่คนละสังกัดกับพี่ชาย

ปัญจมา หรือ ปริม ลูกสาวคนแรกและเป็นลูกคนเล็กสุด นิสัยแมน ๆ เหมือนเด็กผู้ชาย พอโตขึ้นมาหน่อยหนึ่งก็เริ่มตัดผมสั้น กลายเป็นทอมบอยแต่ทุกคนในบ้านก็ยอมรับในตัวตนของปัญจมา สนิทกับปฤณเพราะพี่ชายคนรองเป็นคนดูแล จึงมีนิสัยคล้ายปฤณและก็ชอบแกล้งปฤณอีกด้วย ปัญจมาเป็นอีกคนในตระกูลที่ได้รับพรจากแก้วฟีนิกซ์ ปัจจุบันปฤณสังกัดอยู่ทีมจู่โจมในหน่วยรบพิเศษ แต่คนละสังกัดกับพี่ชายสองคน



🏠🏠🏠🏠



"พี่เปา ไปตามน้อง ๆ มากินข้าวเร็ว" แม่เเต๋วหันมาบอกกับลูกชายคนโต "แม่ทำกับข้าวเสร็จแล้ว พ่อรออยู่"

ปรมศรณ์พยักหน้ารับและลุกจากห้องนั่งเล่น แล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อที่จะไปตามน้องทั้งสอง โดยห้องของปฤณจะอยู่ทางซ้าย ห่างจากบันไดทางขึ้น-ลงนิดหน่อย เสียงเพลงดังมาจากด้านในห้อง ก่อนที่ปรมศรณ์จะเคาะประตูสามครั้งและเปิดมันเข้าไป ปฤณกำลังนั่งโยกหัวตามจังหวะเพลงมัน ๆ โดยไม่คิดจะสนใจพี่ชายที่เข้ามาในห้องแล้ว

ปรมศรณ์ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา เขาเดินไปปลดปลั๊กเครื่องเล่นเพลง ปฤณที่กำลังสุทรีกับเพลงก็ชะงักนิ่งไป และหันขวับมาทางปรมศรณ์ด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก แต่ปรมศรณ์ไม่แยแสและเดินออกจากห้องปฤณไป โดยพูดทิ้งท้ายสั้น ๆ ว่า

"ลงไปกินข้าว พ่อกับแม่รออยู่" 

พอออกจากห้องปฤณถัดไปประมาณสี่ก้าว ก็จะเป็นห้องของปัญจมาน้องคนเล็ก ซึ่งเขาไม่ต้องไปตามให้เสียเวลา เพราะประตูห้องเปิดออกพร้อมเจ้าตัวที่เดินออกมาพอดี เช่นเดียวกับปฤณที่ยอมออกจากห้องนอน สามพี่น้องพากันเดินลงมาที่ห้องรับประทานอาหาร ซึ่งจ่าสิบเอกปุญญธรกำลังนั่งกินข้าวกับแม่เเต๋วอยู่

แม่แต๋วหันมาทางลูกทั้งสามและควักมือเรียก "มา ๆ กินข้าวได้แล้ว แม่ทำของโปรดให้พวกลูกด้วย"

ปัญจมานั่งข้างบิดาและทำหน้าลุกวาวเมื้อเห็นไก่ทอดน้ำปลาและกุนเชียงที่ทำจากเนื้อปลา ปัญจมาจึงไม่รอช้ารีบตักข้าวใส่จานทันที ปรมศรณ์เดินตามหลังน้องคนเล็ก ยกเว้นปฤณที่มีแอบหยิบไข่เจียวเข้าปาก แม่แต๋วตีมือลูกชายตัวแสบไปทีหนึ่ง สามพี่น้องตักข้าวของตัวเองแล้วแต่ปฤณก็ยังไม่ยอมเดินมาที่โต๊ะ

นาทีนั้นทุกคนรู้ดีว่าปฤณจะเอาไปกินที่ห้องตัวเอง

"ไม่ต้องเลยนะเป้" แม่แต๋วบอก "มากินที่โต๊ะเลยลูก"

"โธ่ แม่" ปฤณครางออกมา

"ลูกเอาไปกินในห้องก็ไม่เคยเก็บมาล้างให้แม่เลย" แม่เเต๋วว่า "มีแต่แม่ต้องไปเก็บมาให้ทุกรอบ"

ถึงจะโดนบ่นแต่ปฤณก็ไม่ยอมขยับมานั่งที่โต๊ะ จนปรมศรณ์ต้องหันมากำราบน้องชายตัวดีเสียหน่อย เขาหันมาทางปฤณและพูดเสียงดุใส่ "ไอ้เป้ แกจะมานั่งกินดี ๆ หรือจะนั่งกินกับพื้น"

ปฤณที่รู้นิสัยพี่ชายก็รีบทำตามอย่างว่าง่าย ทำให้บรรยากาศการรับประทานอาหาร จึงราบรื่นไม่มีปัญหาอะไร ระหว่างนั้นจ่าสิบเอกปุญญธรที่เงียบมาตลอดก็กระแฮ่มออกมา ทุกคนจึงหันมามองบิดาที่เหมือนจะมีเรื่องคุยด้วย

"เปา มีแพลนจะไปเที่ยวไหนกับไกรมันหรือ" จ่าสิบเอกปุญญธรถามขึ้น 

"ออ ไปเที่ยวบ้านพี่ชัยครับ" ปรมศรณ์พูด

"ชัย ใช่คนที่ลาออกแล้วไปเป็นพรานล่าสัตว์ใช่ไหม" 

"ใช่ครับ" 

แม่เเต๋วแสดงความคิดเห็นบ้าง "เออ แม่ได้ยินมาว่าแถวที่ตาชัยย้ายไปอยู่น่ะ มันใกล้ป่าใกล้แม่น้ำนี่ สัตว์อันตรายมันเยอะนะลูก"

"มันอุดมสมบูรณ์ไงแม่ สัตว์ถึงเยอะ" ปรมศรณ์อธิบาย "ถึงมันจะมีหลงเข้ามาในเขตชุมชนก็น้อยมาก" 

"ยังไงลูกก็ต้องระวังตัวด้วย อย่าระห่ำเหมือนเจ้าเป้มันมาก" แม่เเต๋วบอก

ปฤณหันขวับมาทางมารดา 

"อ้าว แม่ แล้วทำไมโยงมาที่ผมล่ะ" 

"หรือมันไม่จริงล่ะ แม่ได้ยินจากจ่าครูฝึกฟ้องแม่ทุกวัน แล้วดูสิเจ็บตัวกลับบ้านทุกครั้ง"

"เอาน่าแม่" จ่าสิบเอกปุญญธรตัดบท "นาน ๆ ครั้งลูกมันจะกลับบ้านที อย่าบ่นมันนักเลย"

หลังจากที่ทุกคนจัดการอาหารบนจาน แม่แต๋วฝากให้ลูกทั้งสามล้างจาน ซึ่งสามพี่น้องก็ช่วยงานบ้านอย่างว่าง่าย ปรมศรณ์ขึ้นห้องเพือจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพราะอีกไม่กี่นาที เขาต้องไปเที่ยวกับ ไกรวงศ์ หรือ ไกร เพื่อนสนิทเพื่อไปเยี่ยมอดีตทหารพี่เลี้ยง ชัย ซึ่งปัจจุบันลาออกจากงานราชการ และย้ายจากฟรอนเทียร์ไปอยู่แถบทิศตะวันออกเฉียงใต้ 

ด้านปฤณก็ขึ้นไปอยู่บนห้องตามเดิม ซึ่งก็คงไปฝึกดีดกีต้าเพื่อเล่นเพลงที่ชื่นชอบ มีเพียงปัญจมาที่ตัดสินมานั่งรับลม ตรงหน้าบ้านที่มีแปรงผักหลายแปรงปลูกไว้ ผลงานนี้มาจากบิดาที่วางมือจากวงการทหาร โดยมีมารดาคอยช่วยดูแลให้มันเติบโตและนำมาบริโภคเป็นอาหาร ปัญจมาเห็นทั้งสองที่กำลังช่วยรดน้ำต้นไม้อยู่ รอยยิ้มของความสุขและความรัก ของทั้งสองมีให้กันคือหัวใจของบ้านหลังนี้ รวมทั้งความรักที่ท่านมีให้กับเขาและพี่ชายทั้งสองด้วย

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเมื่อใดที่ปัญจมาเจอเรื่องหนักหนาสาหัสแค่ไหน บ้านหลังนี้และความรักของพ่อแม่ ก็มักจะเยียวยาและเติมแรงใจให้อยู่เสมอดังคำที่แม่แต๋วมักจะพูดกับสามพี่น้อง

"ถ้าวันใดลูก ๆ เจอเรื่องหนักมากแค่ไหน แล้วรู้สึกเหนื่อยและท้อ ก็กลับบ้านมาหาพ่อกับแม่นะ"

ครู่ต่อมาปัญจมาก็เห็นรถบ้านคันหนึ่งแล่นเข้ามาในเขตบ้านกลั่นปัญญา ซึ่งเขาจำได้ว่ามันคือรถบ้านของไกรวงศ์ เพื่อนสนิทของปรมศรณ์นั้นเอง ทันทีที่รถเข้ามาจอดก็พอดีกับที่พี่ชายคนโต เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง ตามประสาของพี่คนโต ปรมศรณ์เดินมาขยี้ผมบนหัวปัญจมาด้วยความเอ็นดู

"พอได้แล้วพี่เปา" ปัญจมาบ่น "ผมบนหัวปริมเสียทรงแล้ว" 

"เออ เดี๋ยวนี้ห่วงหล่อซะด้วย" ปรมศรณ์สัพยอกอีกฝ่าย "มีสาวแล้วเหรอ เราน่ะ"

"ไม่มีซะหน่อย พี่เอาอะไรมาพูด" ปัญจมาพูด

"หือ ใช่เหรอ น้องปริมของพี่หล่อขนาดนี้ จะไม่มีสาวคนไหนมาติดได้ไง"

"ปริมไม่มีหรอก แต่พี่เป้ไม่แน่"

"ห๊ะ ไอ้เป้เนี่ยนะ"

บทสนทนาของสองพี่น้องต้องยุติลง เมื่อไกรวงศ์ร้องทักทายหลังออกมาจากรถ เสียงประตูบ้านเปิดออกอีกรอบ ปรมศรณ์รู้สึกแปลกใจที่เห็นปฤณยอมออกจากห้อง 

"ออกจากห้องเป็นด้วยเหรอ" ปรมศรณ์ถามอ

"เป็นสิ แล้วผมก็ตั้งใจจะมาส่งพี่ด้วย"

ปรมศรณ์กับปัญจมามองหน้าปฤณด้วยสีหน้า ที่ผสมกันระหว่างความไม่ไว้ใจและความแปลกใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปรมศรณ์ไปเที่ยวกับไกรวงศ์ ปฤณก็ไม่เคยคิดจะออกจากห้องเลย ลำบากแม่แต๋วต้องไปตามตัวอีก ฝั่งปฤณก็รู้ว่าโดนมองอยู่

"มีอะไร" ปฤณถาม

"แกแปลก ๆ นะไอ้เป้" ปรมศรณ์พูด "โดนตัวอะไรเข้าสิงมาหรือเปล่า"

"เพี้ยนไปกันใหญ่แล้วพี่เปา" 

ปัญจมาทำท่าเหมือนเห็นใครบางคน จึงเผลอพูดเสียงอันดังขึ้นว่า "อ๊ะ เจ้าหญิงฟีเนียมาบ้านเราด้วย !" 

วินาทีนั้นปฤณหันขวับไปทางที่ปัญจมาบอก และเขาพบว่าโดนน้องตัวแสบ หลอกจนได้แถมมันยังกระตุกต่อมความสงสัย ผสมความอยากรู้อยากเห็นของพี่ชายคนโตอีก 

"ใครคือเจ้าหญิงฟีเนีย" ปรมศรณ์ถามและจ้องจับผิดปฤณ

"ไม่มีอะไรหรอกพี่" ปฤณหลบตาไม่ยอมมองหน้าปรมศรณ์ ยิ่งชวนน่าสงสัยขึ้นไปอีก

แต่การจับผิดก็ต้องยุติลงเพราะไกรวงศ์ เดินมาตามปรมศรณ์เพราะต้องเดินทางไกล ปฤณถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็เพียงครู่เดียวเมื่อปรมศรณ์หันมากระซิบว่า "พี่กลับมาเมื่อไหร่ เราต้องคุยกันหน่อยนะ ไอ้น้อง" หลังขู่น้องชายเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินไปกอดบิดาและมารดา โดยแม่แต๋วอวยพรให้ทั้งคู่เดินทางปลอดภัย

ปรมศรณ์หันมาทางปัญจมา "พี่ไม่อยู่ อย่าดื้อกับพ่อและแม่ล่ะ" 

"อืม" ปัญจมาพยักหน้ารับ

หลังจากที่ปรมศรณ์กับไกรวงศ์เดินทางออกจากบ้านแล้ว ปัญจมาตั้งใจว่าอีกไม่กี่วันตัวของเขาก็ต้องกลับฐาน เพื่อทำภารกิจของยุวชนทหาร จึงตั้งใจว่าจะไปจัดกระเป๋าล่วงหน้าเสียหน่อย ทว่ายังไม่ทันจะย่างเท้าเดินก็โดนปฤณดักทางไว้ คงเพราะเรื่องที่ปัญจมาไม่ควรพูดออกมานั้นเอง

"อะไรของพี่อีกเนี่ย พี่เป้" ปัญจมาพูด

"ไม่ต้องเลย ตอบคำถามพี่มาก่อน" ปฤณยืนขวางทางไม่ให้เจ้าน้องตัวแสบเข้าบ้าน 

"จะถามอะไรปริมล่ะ" 

"ปริมรู้เรื่องเจ้าหญิงฟีเนียได้ไง" 

คำถามที่ปฤณสงสัยนั้นคนที่ตอบให้กลับไม่ใช่ปัญจมา แต่เป็นแม่แต๋วที่เดินมาเข้าร่วมวงสนทนาด้วย โดยมีจ่าสิบเอกปุญญธรเดินตามมาติด ๆ ซึ่งคำตอบที่ปฤณได้จากมารดาคือ ในคืนแรกที่เขากลับมาบ้าน ช่วงตอนกลางคืนทุกคนในบ้านยกเว้นปรมศรณ์ที่ยังไม่กลับบ้าน ต่างได้ยินปฤณนอนละเมอถึงชื่อเจ้าหญิงฟีเนีย แม่แต๋วจึงตั้งใจว่าจะถามเจ้าลูกชายเรื่องนี้เหมือนกัน

แต่สิ่งที่ปฤณทำคือวิ่งหน้าตั้งหายเข้าไปในบ้านทันที




🏠🏠🏠🏠



และแล้ววันนี้ก็มาถึงปัญจมาพร้อมกับปฤณ ต่างแบกกระเป๋าเป้ทหารออกมาจากบ้าน โดยมีบิดากับมารดามายืนส่งทางเข้า เนื่องจากจะมีรถกรมทหารมารับทั้งสองเอง แม่แต๋วกล่าวอวยพรขอให้ลูกทั้งสองปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สามนาทีต่อมารถจิ๊ปทหารก็แล่นเข้ามาจอดปากทางเข้า ปฤณกับปัญจมาก็สวมกอดมารดาแน่นมาก 

ส่วนบิดาแค่เดินจับไหล่ลูกทั้งสองเท่านั้น แล้วเมื่อทั้งสองเดินขึ้นรถ และรถจิ๊ปก็แล่นจากไป แม่แต๋วยืนมองรถคันนั้นจนมันลับตา จ่าสิบเอกปุญญธรเดินมายืนข้างภรรยา เพราะอยู่กินมานานจึงรู้ว่าแม่แต๋วกำลังคิดอะไรอยู่ จึงตัดสินใจชวนมานั่งเก้าอี้ รับลมเย็น ๆ ตรงหน้าบ้านแทน เมื่อความเงียบเข้าปกคลุมบ้าน มันก็ชวนให้สองพ่อเฒ่ายายเฒ่ารูสึกเหงาไม่น้อย

ภาพในความทรงจำปรากฏเด่นชัดในความคิดของทั้งสอง ตั้งแต่วันที่ตัวจ่าสิบเอกปุญญธรกำลังทำสวนผักหน้าบ้าน แล้วจะมีแม่แต๋วที่กำลังอุ้มปรมศรณ์ลูกคนแรก ยืนดูพ่อทำสวนผักด้วยความรู้อยากเห็น หรือตอนที่ปฤณในวัยเด็กเผลอทำผักในสวนเสียหาย เพราะไปเตะฟุตบอลในสวน จนถูกบิดาทำโทษด้วยท่าลุก-นั่ง

และภาพของปัญจมาที่อายุแค่ห้าขวบเริ่มหัดขี่จักรยานได้แล้ว คิดไปคิดมามันเวลามันก็ช่างผ่านไปเร็วเหมือนกัน บัดนี้ลูกทั้งสามเติบใหญ่มากพอที่จะรู้จักความรักแบบหนุ่มสาวแล้ว มันก็ชวนใจหายไม่น้อย

โดยเฉพาะกับแม่แต๋ว

"พอลูกไม่อยู่แล้ว มันก็เงียบเหงาเหมือนกันเนอะพี่" แม่แต๋วเปิดบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบ

"จริง มันก็คล้ายสมัยพี่แหละ ตอนพี่ไม่อยู่พ่อกับแม่ก็คงจะเหงาไม่ต่างกัน" จ่าสิบเอกปุญญธรพูดกับภรรยา พลางยืดแขนยืดขาบนเก้าอี้

"เสียดายที่ฉันก็เอาคำตอบจากเจ้าเป้ไม่ได้ในวันนี้" แม่แต๋วว่า

ทหารยศจ่าหันมามองภรรยาแวบหนึ่ง และสั่นศีรษะ

"อยากรู้ว่าผู้หญิงที่มันละเมอถึงคือใครล่ะสิ" 

"ก็ใช่นะสิพี่ บางทีอาจเป็นคนกำราบเจ้าเป้อยู่หมัดก็ได้นะ"

"งั้นพี่กับแต๋วก็ต้องดูแลสุขภาพกายและใจ รอเจ้าเป้กลับมา แล้วเค้นมันดูว่าไปถูกใจหญิงคนไหนเข้า" จ่าสิบเอกปุญญธรพูดติดตลก

สองสามีภรรยาต่างหัวเราะชอบใจออกมา เมื่ออากาศเริ่มร้อนแล้ว จ่าสิบเอกปุญญธรก็ลุกขึ้นเพื่อเข้าบ้านไปทำอะไรฆ่าเวลาเสียหน่อย จึงมีแค่แม่แต๋วที่ยังนั่งอยู่หน้าบ้าน พลางคิดจินตนาการถึงลูกทั้งสามกลับมาบ้าน ซึ่งเธอก็มักจะยืนรออยู่ตรงนี้ เพื่อจะพูดคำว่า

"ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะลูก"



จบบริบูรณ์


🏠🏠🏠🏠