บททดสอบการเอาชีวิตรอดของนักล่าต่างสายพันธุ์
แอคชั่น,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ,เรื่องสั้น,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
รวมเรื่องสั้น"ยักษ์ ตื่นได้แล้ว จะนอนไปถึงไหน"
แม้มันจะเป็นวันหยุดพักร้อนก็จริง แต่สำหรับคนเป็นแม่อย่าง เชิญขวัญ มันก็ไม่สมเหตุสมผลในการนอนกินบ้านกินเมืองแบบนี้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ รณยศ หรือ ยักษ์ ต้องตื่นลุกขึ้นจากเตียงอย่างเสียไม่ได้ เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจและไปจัดการธุระส่วนตัว เพื่อจะลงมาที่ห้องนั่งเล่นรวมกับสมาชิกในครอบครัว วันนี้สำหรับเขาแล้วเป็นวันดีมาก ๆ เลยทีเดียว เพราะมันเป็นวันที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
"ตื่นแล้วหรือลูก" พันตรีรัชชศิร์ หันมาถามเมื่อเห็นลูกชายคนโตเดินลงมา
รณยศหาวออกมาก่อนจะตอบพ่อ "ครับพึ่งตื่นนะครับ" เขาตอบและเดินมานั่งข้าง รณพีร์ หรือ พีพี น้องชายคนรองของเขา
"ก็ลองไม่ตื่นดูสิ แม่จะเอาน้ำราดตัวเลยเชียว" เสียงของเชิญขวัญดังมาจากด้านในห้องครัว
"ผมตื่นแล้วครับ" รณยศพูดเสียงดังกลัวว่ามารดาจะไม่ได้ยิน
"โธ่ พี่ยักษ์ เบา ๆ หน่อยแสบแก้วหู" รณพีร์หันมาพูด
"เออ พี่ขอโทษ"
รณยศเขาเป็นพี่คนโตสุดในห้าพี่น้อง ซึ่งต่างได้รับสมญาในค่ายยุวชนทหารว่า "พี่น้องช็อตกัน" เพราะทุกคนใช้ปืนลูกซองกันหมด พันตรีรัชชศิร์เชื่อว่าน้อง ๆ ยึดพี่คนโตเป็นหลัก ครู่ต่อมาเชิญขวัญก็มาตามทุกคนกินข้าว ทุกคนจึงไปรวมตัวที่ห้องรับประทานอาหาร ตั้งแต่อยู่ค่ายมานานรณยศแทบจะหลงลืม รสอาหารฝีมือแม่เพราะไม่ได้กลับบ้านนานมาก
ที่สำคัญรณยศกำลังจะพ้นสภาพยุวชนทหาร สู่การมาเป็นทหารอาชีพชั้นประทวนในเร็ว ๆ นี้ มันย่อมแปลว่าเขาจะสามารถกลับมานอนที่บ้านได้ แม้ว่าที่ค่ายจะมีห้องพักของตัวเองก็ตาม แต่สำหรับเด็กหนุ่มบ้านคือที่ที่ดีที่สุด หลังจากที่ทุกคนจัดการอาหารบนจานเสร็จ รณยศตั้งว่าจะไปนั่งรับลมที่ลำธารข้างหลังบ้านเสียหน่อย
"พี่ยักษ์ครับ" เสียงของ รณเดช น้องชายคนที่สี่เรียกจากหน้าบ้าน
รณยศจึงเดินมาหารณเดช
"มีอะไร" เขาถาม
"มีคนมาหาครับ" รณเดชตอบและชี้ไปที่หน้าประตูทางเข้า ซึ่งมีรถมอเตอร์ไซค์กับยุวชนทหารคนหนึ่งยืนอยู่
"อืม ขอบใจมาก เดี๋ยวพี่จัดการเอง"
รณยศเดินตรงมาหาแขกผู้มาเยือนด้วยท่าทางเบื่อหน่ายนิด ๆ เพราะรู้ดีว่า ฮิรุม่า มาหาถึงบ้านต้องเป็นเรื่องภารกิจแน่นอน ในหน่วยรบพิเศษจะมีธรรมเนียรสำหรับยุวชนทหาร ที่กำลังจะกลายเป็นทหารชั้นประทวน โดยแต่ละคนจะมีภารกิจเดี่ยวเป็นของตัวเอง ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ตัวรณยศด้วยเช่นกัน แต่ทำไมต้องมาตรงกับวันที่เขากลับบ้านด้วย
แถมวันประดับยศนายสิบยังไม่เริ่มจัดเลยด้วยซ้ำ แค่คิดมันก็ทำให้เด็กหนุ่มหงุดหงิดพอสมควร
"ฉันพึ่งพักร้อนได้แค่สองวันเองนะเว้ย" รณยศโพร่งใส่อีกฝ่าย "ใจคอจะไม่ให้พักเลยหรือไง"
"โทษทีนะรุ่นพี่ ที่ดันมารบกวนวันพักร้อน" ฮิรุม่าพูดและยื่นซองจดหมายสีขาวให้
รณยศชะงักไปสามนาทีและจ้องมองจดหมายสีขาวในมือ มันมีตราประทับรูปด้วงสีดำสนิท ซึ่งใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่ามันคือสัญลักษณ์ของชายผู้มีนามประหลาดว่า คลื่นกระแทกโลกา กล่าวกันว่าชายคนนี้ท่องโลกต่างมิติมานับไม่ถ้วน ใครก็ตามที่ได้รับภารกิจจากชายคนนี้ แสดงว่าฝีมือของคน ๆ นั้น เข้าตากรรมการอย่างจัง
"ทำไมหมอนี้เลือกฉันว่ะ" รณยศบ่นอุบอิบ
"ผมก็ไม่รู้แต่เขาเลือกพี่" ฮิรุม่าตอบ "เว้นแต่ถ้าพี่ไม่สะดวกที่จะทำ ให้คนอื่นรับช่วงต่อได้นะ"
ฮิรุม่ายื่นมือมาเอาซองจดหมายคืน แต่รณยศไม่ให้อีกฝ่ายยุ่งกับจดหมาย ฮิรุม่าพ่นลมหายใจเบา ๆ และอธิบายเพิ่มเติมว่า เนื่องจากวันเป็นช่วงพักร้อนตัวรณยศอย่าพึ่งเผาจดหมาย ไว้ครบกำหนดพักร้อนก็ค่อยมารับภารกิจ เมื่ออธิบายจบแล้วฮิรุม่าก็ขับมอเตอร์ไซค์จากไป โดยมีรณยศยืนถือจดหมายอยู่หน้าบ้าน
🔫🔫 VS 👿👿
หลังพักผ่อนเก็บแรงได้สามอาทิตย์ในที่สุด รณยศก็ตัดสินใจเผาจดหมายสีขาว เพื่อส่งสัญญาณให้คนของคลื่นกระแทกโลกามารับ พอแสงสีขาวสว่างวาบพุ่งขึ้นฟ้า และแตกกระจายบนท้องฟ้าเหมือนกับพลุ ประตูสีขาวปรากฏตรงหน้าเด็กหนุ่มพร้อมกับชายในชุดสูทสีดำ เดินออกมาจากหลังบานประตู และโค้งคำนับให้กับรณยศให้อารมณ์เหมือนพ่อบ้านในละครที่มารดาชื่นชอบ
"สวัสดีครับคุณรณยศ" ชายคนนั้นกล่าวทักทาย
"เออ" เขาพยักหน้าให้
"ตามกระผมมาได้เลย นายท่านกำลังรออยู่"
รณยศเดินตามชายชุดสูทเข้ามายังด้านหลังประตูสีขาว สถานที่เบื้องหน้าเหมือนวิหารโบราณ ที่รายล้อมด้วยดาวเคราะห์นับไม่ถ้วน ลอยหมุนรอบวิหาร มันเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว ต่อมาชายชุดสูทก็นำทางเด็กหนุ่มตรงมาทางศาลาหลังหนึ่ง ซึ่งมีชายวัยฉกรรจ์กำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่
ชายชุดสูทสีดำเดินไปกระซิบข้างหูชายคนนั้น ก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตารณยศ และชายที่นั่งดื่มน้ำชาก็ลุกขึ้นหันมาทางเขา หากดูด้วยตาเปล่าใคร ๆ ต่างก็คิดว่า ชายตรงหน้าอายุประมาณสามสิบตอนต้น แต่ตามความจริงไม่มีใครรู้ว่าอายุจริงของคลื่นกระแทกโลกา รวมทั้งตัวตนของเขาด้วย
แม้แต่พ่อบุญธรรมอย่าง พ่ออากิ ก็ยังไม่รู้ ทำให้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับชายคนนี้ จึงเต็มไปด้วยปริศนาลึกลับมากมายนั้นเอง คลื่นกระแทกโลกาเดินมาให้การต้อนรับเด็กหนุ่มในฐานะเจ้าบ้าน
"ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ของข้า รณยศ"
"ทำไมถึงเลือกมอบภารกิจให้ผม" เขาถามสิ่งที่สงสัยมานาน "คนที่เก่งกว่าผมก็มีหลายคนนี่"
คลื่นกระแทกโลกาหัวเราะเสียงดังชอบใจ และปรบมือสามครั้ง "มาถึงก็ถามเข้าประเด็นตรง ๆ เลยหรือนี่... ดี ! ข้าชอบ"
"ผมแค่สงสัยเท่านั้น" รณยศขมวดคิ้ว
"พอดีว่าข้าได้ยินเรื่องเล่าว่า เจ้ากับสหายอีกห้าคนถล่มรังผีดิบในป่าช้าแห่งหนึ่ง เพื่อช่วยกลุ่มนักเรียนที่หายไป แถมได้ยินว่าเจ้าน่ะ"
คลื่นกระแทกโลกาก้มมองมาที่ปืนลูกโม่ที่อยู่ข้างเอวรณยศ
"ข้าได้ยินว่าเจ้าอาวุธประจำกายนี่ สังหารผีดิบไปหลายตน รวมทั้งประมุขของพวกมันด้วย"
รณยศคิดอยู่แล้วว่าเรื่องวีรกรรมในป่าต้องสาป จะแพร่กระจายเร็วเหมือนโรคระบาด แต่ใครจะไปคิดว่าเรื่องนี้ ตัวคลื่นกระแทกโลกาก็รู้ด้วย เด็กหนุ่มจึงพอเข้าใจแล้วว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงเลือกเขามาทำภารกิจเดี่ยว ทว่าในความคิดของเขาวีรกรรมนี้ไม่ใช่ของรณยศคนเดียว แต่มันก็เป็นสหายรบอีกห้าคนด้วยเช่นกัน
คลื่นกระแทกโลกาจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างพินิจ เหมือนจะล่วงรู้ความคิดในใจของอีกฝ่าย จึงเดินมารินชาใส่ถ้วยพร้อมพูดว่า "ไม่ต้องกังวลไปหรอกพ่อหนุ่ม สหายทั้งห้าของเจ้าก็ได้จดหมายจากข้าเช่นกัน"
รณยศโล่งอกที่ได้ยินเช่นนี้
"งั้นจะให้ผมทำอะไร" รณยศถาม
คลื่นกระแทกโลกาแสดงภาพของชายคนหนึ่ง ซึ่งอายุประมาณยี่สิบปีกว่า ๆ ไว้ผมซอยสั้นแสกขวา ใส่ชุดสูทสีน้ำเงินเข้มบ่งบอกถึงฐานะที่ไม่ธรรมดา ใบหน้าของชายหนุ่มหล่อเหลาสมเป็นคนไฮโซ สาวใดที่เห็นก็ต้องหลงเสน่ห์ชายคนนี้อยู่แล้ว ครู่ต่อมาคลื่นกระแทกโลกาก็เล่าเรื่องราวของชายคนนี้ให้รณยศฟัง
โดยชายคนนี้มีชื่อว่า สพล ภายนอกเหมือนลูกคนรวยทั่วไป แต่แท้จริงแล้วสพลคือผู้มีพลังพิเศษเช่นเดียวกับรณยศ ซึ่งเจ้าตัวใช้พลังที่มีข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า จนกระทั่งถูกกำราบลงด้วยฝีมือของตัวคลื่นกระแทกโลกา ที่เดินผ่านมาเห็นสพลกำลังทำร้ายคนแก่ เพียงเพราะคนแกคนนั้นเดินชนสพลโดยไม่ได้ตั้งใจ
แน่นอนว่าคนไร้สามัญสำนึกอย่างสพล ย่อมต้องการที่จะเอาคืนคนที่ทำให้ตนขายหน้า ถึงขั้นยอมไปเข้าพวกกับ "เดม่อน" เป็นคำที่ใช้เรียกผู้มีพลังพิเศษที่ดื่มเลือดปีศาจเข้าไป หากเป็นเพียงการดื่มเลือดปีศาจทั่วไป อย่างมากสพลก็จะมีพลังเพิ่มและกระหายการฆ่าด้วย แต่ปัญหาที่ใหญ่คือสพลได้เผลอทำสิ่งที่ไม่ควร จนถูกคำสาปกลายเป็นอสูรกาย
จากนั้นคลื่นกระแทกโลกาก็ฉายภาพหนึ่ง มันคืออสูรกายที่มีลำตัวขนาดใหญ่ รูปร่างของมันเหมือนโครงกระดูกที่มีหนังสีแดง ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้และมีดวงตาสีเขียว รณยศเห็นสะเก็ดไฟตามผิวหนัง ซึ่งคลื่นกระแทกโลกาอธิบายว่ามันคือไฟแห่งคำสาป ที่กำลังแผดเผาภายในของสพลแต่ก็ไม่ทำให้ถึงตาย
"ท่านจะให้ผมกระทืบมันใช่ไหม" เขาหันมาถาม
"ถูกต้อง" คลื่นกระแทกโลกาตอบ "อันที่จริงข้าไล่ล่ามันมาสามวัน และเกือบจะสำเร็จแล้วแต่ก็มีคนมาขวางข้าซะก่อน"
รณยศหน้านิ่วคิ้วขมวด "เดม่อนเหรอครับ"
คลื่นกระแทกโลกาพยักหน้าตอบ
"แถมมันยังเป็นหมาลอบกัดที่ไม่ธรรมดาเลย มันอาศัยช่วงที่ข้ามัวแต่ล่าเจ้าสพล เลยเล่นงานข้าตอนเผลอนี่แหละ"
คลื่นกระแทกโลกาเปิดแขนเสื้อขวาออก เผยให้เห็นบาดแผลคล้ายเหมือนน้ำร้อนลวก กลิ่นเหม็นลอยติดจมูก จนรณยศต้องรีบเอามือปิดจมูกไว้
"ดังนั้นข้าจะแบ่งงานกับเจ้า" คลื่นกระแทกโลกาพูดและปิดแขนเสื้อตามเดิม "ข้าจะตามล่าคนที่สร้างแผลนี้กับข้า ส่วนเจ้า.... จัดการกับอสูรกายตัวนี้ซะ"
รณยศเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก
"แล้วผมจะต้องไปล่ามันได้ที่ไหนล่ะครับ"
คลื่นกระแทกโลกาไม่ตอบแต่กลับดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ปรากฏประตูมิติสีขาวออกมา และอธิบายว่ามันจะนำทางไปยังถิ่นที่อสูรตนนี้ซ่อนตัวอยู่ โดยมันจะคอยดักทำร้ายคนที่หลงเข้ามาในเขตของมัน ดังนั้นสิ่งรณยศต้องระวังคืออาจมีคนโดนลูกหลงด้วย เด็กหนุ่มที่ได้ยินก็ถึงกับถอนหายใจยาวออกมา แต่สุดท้ายเขาก็เดินเข้าไปในประตูมิติที่เปิดอยู่
คลื่นกระแทกโลกาตะโกนอวยพรจากด้านหลัง
"ขอให้ล่าสนุกนะ เจ้าหนุ่ม"
ได้ยินแล้วมันก็ชวนให้อยากหันหลังมาชูนิ้วกลางใส่เหมือนกัน
🔫🔫 VS 👿👿
รณยศยืนเกาหัวด้วยความฉงนใจ ผสมด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะสถานที่ที่เขาโผล่มามันแทบไม่มีคนเลย มันเป็นถนนก็จริงแต่เด็กหนุ่มก็ไม่เห็นรถผ่านมาสักคัน เดชะบุญที่เขาพกไฟฉายมาด้วยจึงตัดสินใจเดินไปเรื่อย ๆ ก่อน เวลาผ่านไปได้สักพัก รณยศเห็นแสงไฟจากรถคันหนึ่งจากที่ไกล ๆ พอเดินมาในระยะที่ได้ยินเสียง
เขาจึงรู้ว่าคนบนรถกำลังพยายามสตาร์รถ เมื่อมั่นใจว่าเป็นคนเขาก็เดินไปหาทันที ดูเหมือนว่าคนบนรถจะมากันแค่สองคน และคาดว่าน่าจะเป็นคู่รักกัน สองชายหญิงต่างฉงนใจที่เห็นรณยศในเวลากลางคืนแบบนี้ ด้านรณยศคิดว่าทั้งคู่น่าจะอายุยี่สิบห้าเห็นจะได้
"เฮ้ย ไอ้น้องมาทำอะไรแถวนี้ มันอันตรายนะ" ฝ่ายชายพูดด้วยความเป็นห่วง
"รถของพวกพี่สตาร์ไม่ติดเหรอครับ" เขาถาม เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ "เอาไฟฉายของผมไหม มันสว่างกว่า"
ชายหนุ่มยอมให้รณยศส่องไฟฉายให้ แต่ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มเอง ก็คอยดูรอบ ๆ พงหญ้าอย่างระแวดระวัง ก่อนที่นาทีต่อมาชายหนุ่มร้องเสียงหลงว่า มีคนตัดสายไฟเชื้อเพลิงทำให้รถหยุดชะงัก ทว่าสิ่งที่รณยศสะดุดคือคำสบถที่ชายคนนั้นมากกว่า
"ก่อนหน้านี้พี่ไปไหนมา" รณยศถาม
"พี่แวะเข้าหมู่บ้านหนึ่งมา มันมีร้านซ่อมรถพี่ให้ช่างมันเช็คเครื่อง" ชายหนุ่มตอบหัวเสีย "ที่ไหนได้ ไอ้สารเลวเอ้ย"
รณยศนึกถึงคำเตือนของคลื่นกระแทกโลกา ให้ระวังอาจมีคนโดนลูกหลง ไม่คิดเลยว่าจะแม่นยำอะไรปานนี้ อย่างไรก็ตามต้องหาทางกลับเข้าหมู่บ้านก่อน รณยศตัดสินใจถามชายหนุ่มว่ามีเทปกาวอะไรไหม เดชะบุญที่ฝ่ายหญิงตอบจากในรถว่ามี เด็กหนุ่มนึกขอบคุณสกิลการซ่อมรถยนตร์จากทหารช่าง
เขารีบพันเทปกาวใส่สายไฟให้เข้ากับเครื่องจ่ายพลังงาน ส่งผลให้รถสตาร์ติดและชายหนุ่มรีบวิ่งขึ้นไปที่นั่งคนขับ เสี้ยววินาทีนั้นรณยศสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง กำลังมุ่งตรงมาทางพวกเขา พริบตานั้นรณยศไม่รอช้าควักปืนลูกโม่ออกมา พร้อมลั่นไกใส่ทิศทางที่คาดว่ามีอันตรายกำลังย่างกายเข้ามา
กระสุนลูกโม่พุ่งกระแทกใส่ตัวประหลาดตัวหนึ่ง มันกระเด็นตกลงไปในพงหญ้าพลางส่งเสียงร้องอย่างทุกทรมาน รณยศรีบกระโดดเข้าไปนั่งด้านในและบอกให้ชายหนุ่ม รีบขับรถออกจากที่นี่ แน่นอนว่าอีกฝ่ายเร่งเครื่องเต็มสปีดแล่นออกจากตรงนี้ทันที รณยศหันมามองด้านหลังเขาเห็นบางอย่างที่มีดวงตาสีแดง พากันออกมาจากพุ่มไม้พงหญ้า แต่ก็ไม่อาจไล่ตามได้เพราะรถแล่นมาไกลแล้ว
"นั้นมันตัวบ้าอะไรว่ะ" ชายหนุ่มสบถออกมาอย่างตื่นกลัว และหันมาปลอบคนรักที่ตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ "ไม่ต้องห่วงนะ เราต้องปลอดภัย"
"ไม่ว่ามันจะเป็นตัวห่านรกอะไรก็ตาม" รณยศแสดงความคิดเห็น "แต่มันแสดงให้เห็นว่า ไอ้คนตัดสายไฟรถพี่ จงใจส่งพี่สองคนให้พวกมัน"
"ทำไมล่ะ ทำไมน้องคิดแบบนั้น" หญิงสาวถามเสียงสั่น "พวกเราไม่ได้ทำอะไรให้เลย แค่ผ่านทางมาเท่านั้นเอง"
"นี่แหละคือคำถามที่ผมต้องไปหาจากไอ้ช่างที่มันดูแลรถพี่" รณยศพูดและหันมาถามชายหนุ่ม "มีชื่อร้านไหมพี่"
"ไม่ต้องถามหรอกเพราะมีแค่ร้านซ่อมรถที่เดียว" ชายหนุ่มบอก "นายคงไม่คิดจะไปที่หมู่บ้านที่ว่าหรอกนะ"
รณยศไม่ตอบคำถามและเวลาผ่านไปได้สามสิบนาที ในที่สุดทั้งสามก็เข้าถนนใหญ่และเข้าสู่ตัวเมืองข้างหน้า ซึ่งรณยศมั่นใจว่าทั้งสองปลอดภัยแล้วจึงขอลงข้างทาง โดยเขาเดินแวะเข้าปั้มจ่ายพลังงานรถ รณยศตั้งใจจะเติมพลังงานก่อนลุยงาน ทว่ายังไม่ทันเดินเข้าร้านก็มีชายคนหนึ่งปรากฏขึ้น
ชายชุดสูทดำผู้ติดตามของคลื่นกระแทกโลกา
"นายท่านสั่งให้กระผมเตรียมสิ่งนี้ให้คุณรณยศครับ" เขาบอกและยื่นขวดน้ำให้เด็กหนุ่ม "รวมทั้งนำทางคุณไปยังถิ่นของอสูรกายด้วย"
"อ้าว ไม่ใช่ตรงนั้นหรอกหรือ" เขาถามด้วยความสงสัย
"ออ ตรงนั้นนายท่านต้องการให้คุณไปช่วยคู่รักคู่นั่นก่อนครับ" ชายชุดสูทสีดำตอบ
"แล้ว..."
รณยศยังไม่ทันเปิดปากถามโดนตัดบทซะก่อน
"พื้นที่ตรงนั้นเป็นของเพื่อนคุณครับ" ชายชุดสูทสีดำอธิบาย "ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ คิมชุนดง อะไรนี่แหละ"
รณยศพยักหน้าเข้าใจในทันที
"งั้นพาผมไปล่าอสูรกายสพลเถอะครับ"
รณยศถูกพาตัวมายังวิหารร้างโบราณและเก่าแก่มาก แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มสัมผัสได้คือพลังชั่วร้ายที่แผ่ขยายออกมาจากวิหาร พริบตานั้นรณยศก็คว้าลูกโม่ออกมา และใช้พลังเปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นลูกซองแฝด ปืนที่รณยศถนัดมากที่สุด เพื่อเป็นการประกาศศักดิ์ดา เด็กหนุ่มเอาปืนลูกซองแฝดจ่อไปที่รูปปั้นเทวาลัย หน้าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์อยู่ซ้ายมือ
ปัง !
กระสุนอัคคีทำลายรูปปั้นเทวาลัยแตกละเอียด ส่วนบนขาดครึ่งเหลือแค่ส่วนล่างที่พุงพังเท่านั้น แต่ในความคิดของรณยศคือ แค่นี้ยังไม่พอจากนั้นเด็กหนุ่มก็หันปืน ไปทางรูปปั้นเทวาลัยอีกตน แต่ยังไม่ทันลั่นไกจิตสังหารแผ่ขยายออกมาจากด้านในวิหาร ลูกไฟขนาดใหญ่กว่าฟุตบอลพุ่งตรงมาที่รณยศ
เขาหันปากกระบอกปืนยิงสวนใส่ลูกไฟ เกิดแรงระเบิดเสียงดังสนั่นทั่วบริเวณลานวิหาร
"เฮ้ย ! มึงแน่จริงก็ออกมา" รณยศพูดจาท้าทาย "คิดว่ามุดอยู่ในวิหารแล้วกูจะลากตัวมึงออกมาไม่ได้"
พูดจบดวงตาของรณยศก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม มีตราสัญลักษณ์รูปดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง ส่งผลให้ไฟธาตุอัคคีเข้มตามด้วย ไม่กี่อึดใจเสียงฝีเท้าอันหนักอึ้งดังมาจากวิหาร แสงจันทร์จากบนท้องฟ้าสาดส่องมาที่ประตู เผยให้เห็นอสูรกายขนาดยักษ์ มีหนังหุ้มกระดูกและมีสะเก็ดไฟทั่วตัว แต่ที่เยอะสุดน่าจะเป็นที่หัว ดวงตากลมโปนเรืองแสงสีเขียว
ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสภาพปัจจุบันของอดีตรูปหล่อวัวตายควายล้ม มันจ้องมาที่รณยศตรงหน้าและเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เด็กหนุ่มลั่นไกลูกซองแฝดใส่อสูรกายก่อน กระสุนทะลุเข้าผิวหนังของมัน แรงระเบิดและกระจายไฟลุกลามทั่วร่างกายของมัน
อสูรกายเซถอยหลังก่อนจะเอื้อมมือไปด้านหลัง คว้าดาบที่ทำจากกระดูกไขสันหลังออกมา น้ำเหลืองน้ำหนองไหลท่วมดาบ ในความนึกคิดของรณยศ มันคืออาวุธที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุด ครู่ต่อมาอสูรกายทำการสะบัดคมดาบออกไป น้ำเหลืองกระเซ็นลงพื้นพลางส่งกลิ่นเหม็นไหม้
เขารู้ได้ในทันทีว่ามันคือน้ำกรด หากโดนเข้าไปมีเจ็บแน่ เสี้ยววินาทีที่รณยศหันไปทางอื่น เจ้าอสูรกายก็พุ่งเข้าระบะประชิด และฟาดดาบมาที่ตัวเด็กหนุ่ม เดชะบุญรณยศไหวตัวทัน เขาลั่นไกใส่กระสุนกระแทกเข้ากับใบดาบ รัศมีระเบิดจากไฟธาตุอัคคี ส่งผลให้อสูรกายเซถอยหลัง
"เอานี่ไปกิน !"
เขาเล็งที่น่องขาของอสูรกาย ลั่นไกไปสองนัดซึ่งกนะสุนอัคคี สร้างความเสียหายให้กับมันพอสมควร แต่มันก็ไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ยังตวัดคมดาบใส่เด็กหนุ่ม เดชะบุญที่รณยศยกปืนขึ้นมากันไว้ แต่ด้วยแรงของมันส่งผลให้เขา กระเด็นไถลพื้นและปืนหลุดมือ เจ้าอสูรกายแหวะยิ้มและวิ่งตรงมาทางเด็กหนุ่ม
อสูรกายเหวี่ยงดาบใส่รณยศกะจะให้ขาดเป็นสองท่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือรณยศจับใบดาบไว้แน่นมาก โดยไม่สนใจว่าน้ำกรดจะกัดกินผิวเนื้อฝ่ามือไปมากน้อยแค่ไหน วินาทีนั้นรอยยิ้มปรากฏบนหน้ารณยศ
"กูรอจังหวะนี้มานานแล้ว"
สิ้นคำจู่ ๆ มือที่ว่างอยู่ของรณยศ ปรากฏปืนลูกซองแฝดและเขายกขึ้นมา เล็งจ่อที่หัวของอสูรกายและลั่นไกสองนัดติด ๆ สองหัวกระสุนพุ่งตรงไปที่อสูรกายอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแม้แต่รณยศยังคาดไม่ถึง กระสุนนัดแรกทะลุใต้คาง แต่กระสุนอีกนักทำลายหน้าผาก เกิดเป็นรูขนาดใหญ่
นาทีต่อมามันก็ร่วงหล่นกระแทกลงพื้นแน่นิ่ง แต่รณยศยังไม่วางใจง่าย ๆ เขาจัดการยิงซ้ำใส่ร่างของมันไปหลายนัด จนชายชุดสูทสีดำต้องออกมาห้ามปราม
"พอได้แล้วครับคุณรณยศ" ชายชุดสูทสีดำกล่าว "คุณฆ่ามันได้แล้ว"
รณยศหันควับไปทางวิหารร้างเบื้องหน้า ถึงอสูรกายตัวนี้จะถูกกำจัด แต่ตราบใดที่วิหารแห่งนี้ยังอยู่มันก็อาจมีอสูรหรือปีศาจตัวใหม่ มาอาศัยอยู่ที่นี่แทนได้ รณยศรวบรวมพลังไฟธาตุอัคคีและหันปืนลูกซองแฝดไปทางวิหารร้าง เขาลั่นไกสองครั้งกระสุนที่พุ่งออกมา กลายเป็นเหมือนลูกไฟขนาดเท่าจรวด และทำลายวิหารร้างกระจุยเหลือแต่เศษอิฐเศษหินเท่านั้น
"ต่อจากตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ของกระผมเถอะ" ชายชุดสูทสีดำบอก "นายท่านกำลังรอพบคุณอยู่ พร้อมรางวัลที่จะมอบให้กับคุณ"
รณยศขมวดคิ้ว "รางวัล... รางวัลอะไร"
ชายชุดสูทสีดำยิ้มที่มุมปาก
"เดี๋ยวคุณก็รู้เองครับ"
พูดจบทั้งสองก็หายลับไปในทันที เหลือไว้แค่ซากปรักหักพังของวิหารร้างเท่านั้น
จบบริบูรณ์
🔫🔫 VS 👿👿