บททดสอบการเอาชีวิตรอดของนักล่าต่างสายพันธุ์
แอคชั่น,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ,เรื่องสั้น,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
รวมเรื่องสั้นดีจังเลยเนอะ
นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปง่าย ๆ
คนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ป้อมปราบ
ทีมฮันเตอร์ เป็นทีมจู่โจ่มพิเศษในสังกัดหน่วยรบนามว่า อาร์ทิสส์ แห่งกองพันฟีนิกซ์ แม้กำลังพลจะไม่ค่อยเยอะมากเพราะถึงก่อตั้งไม่นาน แต่ถึงกระนั้นในทีมฮันเตอร์ก็มีอยู่เจ็ดคนที่มีความโดดเด่นไม่แพ้ใคร ได้สมญาว่า "เดอะฮันเตอร์" ซึ่งมีจุดเด่นคือพวกเขาสามารถใช้พลังปราณของสัตว์ป่าได้ และพลังปราณสัตว์ป่าของพวกเขาก็สมกับที่อยู่ในทีมฮันเตอร์เสียจริง
ป้อมปราบ คือหนึ่งในเจ็ดที่เป็นผู้ครอบครองพลังปราณสิงโต ซึ่งถือว่าหายากมากในบรรดานักรบที่มีพลังปราณสัตว์ป่า และด้วยพลังนี้ส่งผลให้เขามีความโดดเด่นมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะสมาชิกนักรบสังกัดทีมฮันเตอร์รุ่นที่สี่ร้อยยี่สิบเจ็ด มีคนเคยกล่าวว่าหากเมื่อใดที่ป้อมปราบอยู่บนสนามรบ เขาจะกลายเป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมออกล่าเหยื่อ และไม่เคยมีศัตรูคนไหนรอดพ้นจากคมดาบในมือของเขา
เรียกได้ว่าป้อมปราบคือสัตว์นักล่าในร่างมนุษย์
"ใกล้วันหยุดแล้ว มึงไม่คิดจะกลับบ้านหรือไงว่ะ" เสียงทักจาก เมธัส หรือ แฮค หนึ่งในหกสหายที่ป้อมปราบสนิทด้วย
และแน่นอนว่าเมธัสก็เป็นผู้ที่ครอบครองปราณสัตว์ป่าด้วยเช่นกัน
"ไม่ล่ะ กูไม่อยากกลับบ้าน" ป้อมปราบพูดและหันมาทางเมธัส "แล้วมึงล่ะ วันหยุดยาวจะกลับบ้านไหม"
เมธัสสั่นศีรษะ "ไม่ว่ะ ถ้ามึงไม่กลับกูก็ไม่กลับ"
"ไม่คิดถึงบ้านหรือไง" ป้อมปราบถามต่อ
"ยากตรงไหนกัน กูก็ไป-กลับก็ได้นี่" เมธัสว่าและนั่งข้างป้อมปราบ
ป้อมปราบที่ได้ยินก็ถึงกับสั่นศีรษะเล็กน้อย
"ไอ้แฮค มึงนี่นะ..."
ทั้งสองนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ตรงสนามฝึก พลางนั่งมองยุวชนทหารและทหารชั้นประทวน พากันขนกระเป๋าขึ้นรถ เพื่อจะเดินทางกลับบ้านในช่วงวันหยุดยาว มีไม่กี่คนที่ตัดสินใจจะอยู่ค่าย ซึ่งป้อมปราบเป็นหนึ่งในนั้น ก่อนที่เมธัสจะตัดสินใจไม่กลับบ้าน คงเพราะไม่อยากให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว
สักพักสายตาของป้อมปราบก็เห็นพี่ชายกับน้องชายของตน กำลังเดินตามหลังพี่ชายสามคนของเมธัส พึ่งจะเดินขึ้นรถไปเมื่อครู่นี่เอง ดูเหมือนจะมีแค่เขาคนเดียว ที่ตัดสินใจจะไม่กลับบ้านนับตั้งแต่เขาทะเลาะกับพ่อ มันก็ผ่านมาได้สองปีแล้วที่ชายหนุ่มไม่กลับบ้าน และป้อมปราบเชื่อว่าพ่อก็คงไม่แยแสเรื่องนี้อยู่ดี
เมธัสตัดสินใจชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบแทน "มึงรู้ข่าวเพื่อนกลุ่มเราแล้วหรือยัง"
ป้อมปราบขมวดคิ้ว "มึงพูดถึงใครว่ะ"
"อ้าว ก็ไอ้ลาวานะสิ.... อย่าบอกนะว่ามึงไม่รู้เรื่องมัน"
"ไอ้ลาวา มันทำไม"
"มันเจอคู่ผูกวิญญาณของมันแล้ว"
คู่ผูกวิญญาณ คือคนที่จะเป็นเหมือนดั่งคู่แท้คู่ชีวิตของนักรบฟีนิกซ์ ซึ่งพวกเขาไม่อาจรู้ได้ว่าใครจะเป็นคู่ผูกวิญญาณของตน เพราะมันเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง แต่ที่เหมือนกันคือเมื่อได้พบคู่แล้ว พวกเขาเอาความสนใจทุกอย่างมาอยู่กับคู่ที่ตัวเองผูกจิตเพียงผู้เดียว เสมือนเป็นทุกอย่างของชีวิตเลยก็ว่าได้
หรือแปลอีกนัยคือพวกเขาจะสูญเสียความเป็นตัวเองด้วย กลายเป็นเหตุให้นักรบฟีนิกซ์หลายคนโดยเฉพาะรุ่นหลัง ๆ จะค่อนข้างหวาดกลัวต่อการผูกวิญญาณพอสมควร ซึ่งป้อมปราบยอมรับว่าในอดีตเขาก็เคยหวาดหวั่นเหมือน แต่วันนี้เขามั่นใจเต็มร้อยว่า ตัวเขาไม่มีหวั่นไหวต่อใครก็ตามที่ต้องกลายเป็นคู่ผูกวิญญาณในอนาคต
แต่เรื่องที่ พันสร หรือ ลาวา เพื่อนในหกสหายของป้อมปราบ ที่ตอนนี้ได้พบกับคู่ผูกวิญญาณของตัวเองแล้ว ในฐานะที่รู้จักกันมานานก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อไม่น้อยเลยทีเดียว ป้อมปราบนึกภาพไม่ออกเลยว่าพันสรยามที่อยู่กับคู่ผูกวิญาณ จะมีพฤติกรรมแบบที่เขาเคยเห็นจาก กิตติกวิน หรือ กัส พี่ชายคนโตหรือไม่ แต่เขาก็ภาวนาว่าอย่าเป็นเช่นนั้น
เพราะมันเป็นภาพที่สยดสยองไม่น้อย
"แล้วมึงรู้ไหมว่า คนที่มันไปผูกวิญญาณด้วย เป็นใคร" ป้อมปราบถาม
"กูก็ไม่ค่อยรู้มากเท่าไหร่ แต่เห็นเขาลือว่าคู่มันน่ะ มีเชื้อสายราชวงศ์" เมธัสพูด
ป้อมปราบอึ้งจนเกือบพูดอะไรไม่ออก
"เล่นของสูงซะด้วย ไอ้ลาวาเอ้ย" ป้อมปราบพึมพำ
"เออ แต่พ่ออากิ แม่งทำนายเเม่นฉิบหาย"
ท่านทูตอากิระ หรือที่พวกเขาจะเรียกว่า "พ่ออากิ" ผู้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตของประเทศฟรอนเทียร์มายาวนาน ถือว่าเป็นผู้อาวุโสของเหล่านักการทูตในประเทศก็ว่าได้ อีกจุดเด่นอีกอย่างนอกจากวาทะศิลป์แล้ว พ่ออากิยังมีความสามารถด้านโหราศาสตร์ด้วย แถมยังแม่นยำยิ่งกว่านักพยากรณ์เสียอีก
ที่สำคัญในหมู่ "ลูกบุญธรรม" หากใครโดนพ่ออากิทายทักเรื่องคู่ผูกวิญญาณ โอกาสพลาดน้อยมากป้อมปราบจึงคิดว่า พันสรคงถูกพ่ออากิทำนายเรื่องนี้ไปแล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนักกลายเป็นว่าเหลือพวกเขาหกคน ที่ยังคงสถานะ "โสด" อยู่
"ไอ้ลาวาโดนพ่ออากิทักใช่ไหม" ป้อมปราบถาม
"ใช่ ประมาณสองเดือนก่อน" เมธัสตอบ
"พี่กัสกับไอ้ปอร์เซ่ก็โดนไปแล้ว" ป้อมปราบบอก "พี่กัสเจอคู่ผูกวิญญาณ ส่วนไอ้ปอร์เซ่โดนทักไปเมื่อวาน มันเล่าให้กูฟัง"
"อ้าว งั้นตอนนี้ก็เหลือแค่มึงแล้วนี่" เมธัสพูด
ป้อมปราบยิ้มมุมปากและหันมาทางเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าอันมั่นใจ
"ต่อให้พ่ออากิจะทำนายให้กู ...กูก็ไม่หวั่นไหวกับคู่ผูกวิญญาณง่าย ๆ หรอก"
เมธัสยิ้มหน้าเจื่อ ๆ พลางคิดในใจว่า ตนอยากเตือนป้อมปราบเหลือเกิน แต่ด้วยความที่รู้นิสัยของเพื่อนคนนี้ดี จึงทำให้เมธัสจำต้องปิดปากสนิทแม้จะยากลำบากก็ตาม เพราะพันสรก็เคยพูดแบบนี้เหมือนกัน ในตอนที่พ่ออากิทายทักเอาไว้ ซึ่งสุดท้ายตัวของพันสรก็หลงลืมทุกคำที่เคยพูดไว้จนหมดสิ้น
ซึ่งเมธัสได้แต่หวังว่าป้อมปราบจะไม่มีสภาพแบบนั้น
🦁🦁🦁🦁🗡🗡🗡🗡
ป้อมปราบที่คิดมาตลอดว่าวันหยุดยาวนี้ เขาจะได้พักผ่อนเก็บแรงไว้ ที่ไหนได้เขากลับโดนปู่ตัวดีอย่าง พันโทตุรากร ปัจจุบันวางมือจากกองทัพมาเป็นนักการทูต จับส่งชายหนุ่มให้ติดตามคณะทูตเดินทางไปยังประเทศที่มีชื่อว่า ประเทศโซอารา เป็นประเทศที่มีระบบปกครองกษัตริย์ ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่เป็นจักรวรรดิ แต่เพราะพิษจากสงครามกับเศรษฐกิจหลังสงคราม ไม่นานจากจักรวรรดิก็กลายเป็นประเทศเหมือนในปัจจุบัน
แต่ด้วยการแก้ปัญหาต่าง ๆ ของกษัตริย์กับข้าราชการ ไม่นานประเทศโซอาราก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง แถมนี่จะเป็นครั้งแรกที่จะมีการติดต่อค้าขายกับฟรอนเทียร์ และผู้มาทำหน้าที่ด้านการทูตก็คือพันโทตุรากร ปู่ของป้อมปราบนั้นเอง หน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายคือคุ้มกันคณะทูต
แต่ในความคิดของป้อมปราบคือ อยากถีบปู่ผู้แสนน่าเคารพคนนี้ตกจากเครื่องบินซะ ทว่าสุดท้ายป้อมปราบก็เปลี่ยนใจ หันมาสนใจข้อมูลที่อยู่ในเอกสารแทน ทำให้เขารู้ว่าคนที่ทำหน้าที่ต้อนรับเขาคือใคร แกรนด์ดยุกซีมอนล์ ดาแดริโอ โอรสของ พระราชาไซม่อน เกิดจากบุตรีของขุนนางตระกูลดาแดริโอ ทำหน้าที่เป็นเสมือนผู้พิทักษ์ของประเทศ
ตามประวัติแกรนด์ดยุกซีมอนล์มีทายาทอยู่สองคน คนโตเป็นลูกสาวชื่อ เคียร่า ส่วนลูกชายชื่อ ซีนอส ว่าที่แกรนด์ดดยุกต่อจากบิดา ป้อมปราบคิดว่าอีกฝ่ายคงพาครอบครัวมาด้วย สักพักชายหนุ่มก็ตัดสินใจเปิดดูภาพของเจ้าบ้านที่มาต้อนรับเสียหน่อย แกรนด์ดยุกซีมอนล์กับซีนอสมีสีผมทองและดวงตาสีแดงเหมือนทับทิม
"สำเนาถูกต้องซะด้วย ไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอให้ลำบาก" ป้อมปราบพึมพำและกดเปลี่ยนภาพถัดไป ซึ่งมันทำให้เขาสะดุดตาพอสมควร
เคียร่าไม่ได้มีสีผมเหมือนพ่อหรือน้องชาย เธอไว้ผมยาวสีดำมีดวงตาสีม่วงเป็นประกาย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองอัญมณี ผิวของเธอขาวผุดผ่องราวกับไข่มุกส่องประกาย แต่น่าแปลกป้อมปราบรู้สึกเหมือนกับ หญิงสาวกำลังซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
แต่แล้วสติของป้อมปราบกลับมาอีกครั้ง เมื่อเสียงประกาศแจ้งว่าบัดนี้ พวกเขาได้เดินทางมาถึงประเทศโซอาราแล้ว ป้อมปราบลุกจากเก้าอี้เดินไปรวมกลุ่มกับทีมคุ้มกัน คณะทูตจะเดินนำหน้าก่อน พันโทตุรากรนำขบวนในฐานะนักการทูต โดยมีป้อมปราบอารักขาอยู่ใกล้ ๆ ความหงุดหงิดเพิ่มเป็นทวีคูณ
ทั้งหมดพากันลงจากเครื่องบินลงมายังลานบิน ซึ่งมีผู้คนมากมายยืนต้อนรับพวกเขาล้นหลาม สายตาของป้อมปราบคอยกวาดไปรอบ ๆ คอยสังเกตหาความผิดปกติ แต่ก็ไม่พบอะไรที่น่ากังวล จนกระทั่งสายตาของชายหนุ่มหยุดลงที่หญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าคณะทูต ณ ขณะนี้
ป้อมปราบตกตะลึงกับภาพตรงหน้า เขาจำได้ว่านี่คือเคียร่า บุตรีเพียงคนเดียวของแกรนด์ดยุกซีมอนล์ ในภาพถ่ายก็ดูงดงามพออยู่แล้ว แต่พอได้เห็นตัวจริงเสียงจริงแล้ว ป้อมปราบยอมรับว่าเธองดงามยิ่งกว่าภาพถ่ายเสียอีก และในตอนที่พันโทตุรากรเผชิญหน้ากับแกรนด์ดยุกซีมอนล์ ป้อมปราบเผลอสบตากับเคียร่าโดยบังเอิญ
ตึก... ตึก... ตึก...
เสียงหัวใจที่เต้นแรงจนป้อมปราบรู้สึกอึดอัดจนบอกไม่ถูก ป้อมปราบพยายามยืนนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะเอามือกุมหน้าอก สิ่งที่เขาทำได้คือเบี่ยงสายตาไปทางอื่นแทน หารู้ไม่ว่าท่าทางของเขาล้วนอยู่ในสายตาของเคียร่าทั้งสิ้น เธอมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าฉงนใจ
[เป็นอะไรของเขาล่ะเนี่ย] เธอคิด
พันโทตุรากรกับแกรนด์ดยุกซีมอนล์ต่างแนะนำตนเองแล้ว ฝ่ายเจ้าบ้านก็ไม่ลืมที่จะให้สมาชิกครอบครัวแนะนำตัว พันโทตุลากรมองเคียร่าด้วยความสนใจพอสมควร
"เคียร่า เธออายุเท่าไหร่หรือ" พันโทตุรากรถามขึ้น ป้อมปราบมองหน้าปู่ตัวเองทันที
[เฮ้ย ! เดี๋ยวสิ ปู่คิดทำอะไรวะ] เขาคิดด้วนความรู้สึกสยดสยอง
ขณะเดียวกันฝั่งเคียร่าที่แม้จะไม่เข้าใจว่า ทำไมอาคันตุกะต่างแดนถามแบบนี้
"ปีนี้ฉันจะอายุครบสิบแปดแล้วคะ" เคียร่าตอบ
คำตอบของเธอทำให้พันโทตุรากรพึ่งพอใจพอสมควร และหันมาทางหลานชายอย่างป้อมปราบ "โห่ ไล่เลี่ยกับหลานชายฉันเลยนี่"
แกรนด์ดยุกซีมอนล์ขมวดคิ้ว "หลานชาย..."
"โอ้ ต้องขออภัยท่านแกรนด์ดยุกด้วย... เอ้า เจ้าปราบ มานี่สิ"
ป้อมปราบทำต้องเดินมายืนข้างพันโทตุรากร พร้อมกับแนะนำตัวให้อีกฝ่ายรู้จัก ซึ่งหลังจากแนะนำตัวเสร็จแล้ว แกรนด์ดยุกก็นำทางคณะทูตไปขึ้นรถเพื่อพาไปยังที่พำนัก ซึ่งโซอาราจัดเตรียมไว้ให้แล้ว ทันใดนั้นเองป้อมปราบสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง เขาไม่รอช้ารีบคว้าดาบคู่ใจออกมา และกระโจนข้ามกลุ่มคนไปทางขวามือ
พริบตานั้นป้อมปราบก็ปล่อยคลื่นพลังไฟธาตุอัคคีออกมา มันพุ่งลอยข้ามหัวฝูงชนตรงไปที่กลุ่มคนชุดดำที่มาพร้อมอาวุธครบมือ การซุ่มโจมตีที่ยังไม่ทันได้เริ่ม เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีคนรู้ตัวเร็วแบบนี้ แถมไม่กี่อึดใจป้อมปราบก็ยืนอยู่ท่ามกลางศัตรูนับสิบ พริบตานั้นเขาก็ปล่อยพลังปราณสัตว์ป่าออกมา
เหล่าศัตรูต่างพากันขนลุกขนพอง เหงื่อท่วมตัวให้ความรู้สึกเหมือนว่า พวกมันกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์นักล่ากระหายเลือด
"ฆ่ามัน !"
พวกศัตรูต่างกรูเข้ามาโจมตีใส่ป้อมปราบพร้อมเพรียงกัน แต่ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะโต้กลับด้วยดาบในมือ ชายหนุ่มก็เห็นคลื่นพลังมานาสีฟ้าเหมือนน้ำ พัดผ่านตัวเขาพุ่งเข้าไปจัดการกับศัตรู พริบตาเดียวพวกมันก็ถูกจัดการเรียบร้อย ป้อมปราบมึนงงกับภาพที่เห็น ก่อนจะหันไปทางขวามือและเห็นเคียร่ายืนข้างเขา
"นายน่ะ บาดเจ็บตรงไหนไหม" เธอหันมาถามชายหนุ่ม
ป้อมปราบยืนเงียบเอาแต่มองหญิงสาว พอได้อยู่ในระยะใกล้แล้วก็ยิ่งทำให้เขารู้ว่า เคียร่างดงามจนไม่อาจละสายตาได้ แถมกลิ่นหอมที่โชยออกมาจากผิวเนื้อ ก็ช่างยั่วยวนให้เขาอยากเข้าไปสัมผัสเหลือเกิน ทว่าป้อมปราบได้สติขึ้นมาและตกใจกับความคิดชั่ววูบ จึงเอาฝ่ามือตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ
แน่นอนว่าเคียร่าที่เห็นก็ทั้งตกใจและสงสัยว่า อีกฝ่ายตบหน้าตัวเองทำไม
"นายตบตัวเองทำไม" เคียร่าถาม
"ตบยุง" ป้อมปราบตอบสั้น ๆ
สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว พวกคนร้ายโดนจับกุมและแกรนด์ดยุกซีมอนล์ ก็ทำหน้าที่พาคณะอาคันตุกะเดินทางไปยังที่พำนัก โดยระหว่างทางป้อมปราบได้ข้อมูลจากเลขาของพันโทตุรากรว่า ตระกูลดาแดริโอเป็นตระกูลผู้ครอบครองจิตวิญญาณแห่งน้ำ ดังนั้นคลื่นพลังมานาที่เห็นตามที่ป้อมปราบเข้าใจ แท้จริงแล้วมันคือจิตวิญญาณของธาตุน้ำ
ทว่าสิ่งที่รบกวนจิตใจป้อมปราบอยู่ มันคือตอนที่เคียร่ายืนอยู่ใกล้เขามากกว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเขาไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งชีวิตที่ผ่านมาเขาฝึกในการสู้รบ และอยู่กับยุวชนทหารที่เป็นผู้หญิงก็หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยหวั่นไหวแบบนี้เมื่อเทียบกับตอนเจอเคียร่า
และนี่คือครั้งแรกที่เขาเสียศูนย์เพราะผู้หญิง
ระหว่างที่ป้อมปราบนั่งเงียบอยู่ในความคิดตัวเอง พันโทตุรากรกลับยิ้มที่มุมปากหน่อย ๆ พลางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ในวันที่ตนถูกท่านทูตอากิระเรียกให้ไปเข้าพบ เพื่อมอบหมายงานการทูตให้ ซึ่งมันควรจะจบแค่เรื่องงานทว่าพันโทตุรากรก็เหลือบไปเห็นกองไพ่ทาโร่ข้าง ๆ ท่านทูตอากิระ
ในใจก็อยากถามเกี่ยวกับหลานชายในสายเลือดของตนเอง แต่ก็คิดว่าไม่เหมาะที่จะถามจึงตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ เพื่อกลับไปเตรียมตัวเดินทาง
"จริงสิ ลืมบอกนายไปอย่างหนึ่ง" ท่านทูตอากิระพูดขึ้น "เอาเจ้าปราบไปกับนายด้วยสิ ฉันได้ยินว่าหมอนี้ไม่กลับบ้านช่วงวันหยุดยาว"
พันโทตุรากรขมวดคิ้ว เรื่องความบาดหมางระหว่าง พันเอกรักษ์ กับป้อมปราบ ใช่ว่าตนจะไม่รู้แต่ก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งได้ แต่คำถามคือทำไมท่านทูตอากิระถึงแนะนำให้พาไปด้วย เนื่องจากปกติทหารจากทีมจู่โจมพิเศษ ไม่ค่อยทำภารกิจเกี่ยวกับคณะทูตเท่าไหร่ ท่านทูตอากิระเหมือนจะรับรู้ความคิดของอีกฝ่าย
ท่านทูตอากิระหันมาทางกองไพ่ทาโร่ และหยิบไพ่สองใบออกมาวางบนโต๊ะ
"พอดีว่ามีใครคนหนึ่งกำลังรอให้เจ้าปราบไปพบน่ะ"
นาทีนั้นเองพันโทตุรากรก็เข้าใจความหมายของท่านทูตอากิระทันที พริบตานั้นเขาก็กลับมานั่งเก้าอี้ตามเดิม สีหน้าดูตื่นเต้นมากกว่าปกติ
"ท่านอากิระ ที่ท่านพูดมาเมื่อครู่... หมายความว่า..."
"อืม ตามที่นายเข้าใจนั้นแหละ แต่... โชคชะตามันก็เล่นตลกเหมือนกัน"
"หือ ยังไงหรือครับ"
🦁🦁🦁🦁🗡🗡🗡🗡