ถึงวัยจะห่าง ต่างกันแค่เอื้อม...มันก็เท่านั้น

สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า - ตอน 3 สะดุดกลางใจ โดย ซูซี่แคท @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,อาชญากรรม,ชาย-หญิง,ไทย,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,อาชญากรรม,ชาย-หญิง,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า

รายละเอียด

สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า โดย ซูซี่แคท @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ถึงวัยจะห่าง ต่างกันแค่เอื้อม...มันก็เท่านั้น

ผู้แต่ง

ซูซี่แคท

เรื่องย่อ

พ่อเลี้ยงหนุ่มนามว่า 'พันธ์ศักดิ์' เกิดไปสะดุดกับสาวใหญ่กลางคนอย่าง 'บุรณี' โดยไม่คาดคิด จากเหตุการณ์ที่เขาต้องเข้าไปหลบอยู่ในห้องลองชุดชั้นในสตรีห้องเดียวกันวันนั้น

เธอผวาจนแทบช็อคเมื่อปืนสั้นในมือของชายผิวสองสีหน้าตาเอเชียกำลังเล็งมาที่หน้าเธอ เขาจู่โจมโดยเอาร่างกระแทกประตูห้องจนล็อคหลุดกระเด็น ทันใดเธอก็ถูกดันเข้ามุมจนชายหนุ่มเอามือปิดปากแน่นเพื่อไม่ให้เธอส่งเสียงกรี๊ด...

จากวันนั้นสาวใหญ่อย่างเธอต้องเข้าไปพัวพันกับการตามล่าของเจ้าพ่อมาเฟียธุรกิจแฟชั่นที่โรม จนชีวิตของเธอและครอบครัวที่เหลือเพียงแม่สามีและลูกติดของสามีอิตาเลี่ยนที่เพิ่งเสียชีวิตจากหัวใจวายเฉียบพลันตกอยู่ในอันตราย...แทบบ้า

ชายหนุ่มจึงเข้ามารับผิดชอบชีวิตครอบครัวของเธออย่างจำยอม

แต่แล้วเธอก็ต้องมาติดบ่วงตกเป็นจำเลยผูกพันกับความรักที่ไม่น่าจะเป็นไปได้กับชายหนุ่มทายาทเจ้าของรีสอร์ตแห่งไร่ 'เทียมฟ้าภูลังกา'

ด้วยวัยสามสิบกว่าของชายหนุ่มกับสาวใหญ่อายุสี่สิบกว่าเช่นเธอ แน่นอนย่อมมีเสียงครหาสารพัดต่อต้านจากคำว่า 'รักต่างวัย'

รวมทั้งหัวใจของเธอด้วย ที่มีแต่คำว่า 'ยัยเฒ่า' อยากกินเด็ก เสียงเยาะเย้ยถากถาง

จากทุกสารทิศ จะทำให้เธอยอมพ่ายแพ้ หรือว่าจะไปต่อ อย่างที่ชายหนุ่มผู้ไม่เคย

ยอมปล่อยมือที่กำหัวใจเธอไว้

"ถึงวัยจะห่าง ต่างกันแค่เอื้อม...มันก็เท่านั้น"

ดราม่าเรื่องนี้จะตลกทั้งน้ำตา หรือว่า เย็นชาแบบไร้หัวใจ

แต่หัวใจสาวใหญ่เช่นเธอจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร เพราะผู้คุมหัวใจอยู่นั้น...ไม่มีวันถอยเลิกรานั่นเอง


สารบัญ

สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า-ตอน 1 ช็อกสุดขีด,สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า-ตอน 2 กาลครั้งหนึ่ง,สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า-ตอน 3 สะดุดกลางใจ,สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า-ตอน 4 ปริศนารหัสลับ,สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า-ตอน 5 โจทย์ชุดชั้นใน,สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า-ตอน 6 ฤาคราวยอมจำนน,สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า-ตอน 7 โคโม...แค่ระยะใจคิดถึง,สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า-ตอน 8 กระเป๋าใบนั้น,สะดุด (กลางใจ) ยัยเฒ่า-ตอน 9 เล่ห์อำพราง

เนื้อหา

ตอน 3 สะดุดกลางใจ

คำโปรย

ศรัทธาด้วยหัวใจ ไยฤา...มิไขว่คว้า

----------------

“คุณอยู่ไม่ห่าง...เท่าไหร่ เดี๋ยวผมจะไปส่งเอง...” ชายหนุ่มจ้องแววตาสีน้ำตาลใสกลมโตดุจแก้วตาเสือที่เห็นซี่เล็กๆ อยู่รอบขอบตาดำด้านนอกที่โตเกือบเต็มจอ

ชายหนุ่มไม่ละสายตายังจดจ้องแววตาคู่นั้น แต่ใจกลับจมไปกับภาพเก่าๆ ของอดีตคนรักที่โผล่ขึ้นมาราวกับว่าเธอยังไม่จากเขาไปไหน พิมพ์ชญาชอบเปลี่ยนสีแก้วตาด้วยการใช้คอนแทคเลนส์ สี dolla brown ที่เธอชื่นชอบมักถูกสั่งซื้อโดยฝากชายหนุ่มสั่งจากเพื่อนที่เมืองไทยส่งมาให้อยู่เป็นประจำ

“อะ...เออ คุณใส่คอนแทคเลนส์รึ” บุรณีถลึงตาใส่ชายหนุ่ม

แต่ตอนนี้เธอเห็นแววตาที่กร้าวมาตลอดจากที่เกิดเหตุจนถึงที่นี่ มันเริ่มฉายแววอบอุ่นที่ซ่อนลึกอยู่ข้างในออกมา

“โอ๊ย...จะบ้าตาย นายนี่...หัดรู้กาลเทศะบ้าง...ก็ดีนะ” บุรณีสั่งสอนเขาเหมือนเป็นน้องชาย

“เอาล่ะ...จะออกกันกี่โมงดี” เขาเปลี่ยนเรื่องทันควัน ไม่อยากต่อคำกับเธอ ซึ่งท่าทางและคำพูดคำจาบอกเลยว่า เธอไม่ใช่สาวน้อยกุ๊กกิ๊กที่จะมาล้อเล่น ยิ่งสายตาที่สาดใส่ตอนเขามองท่าทีเธอตอกกลับขณะอยู่ในรถ...ประหนึ่งเสือชีต้าเพรียวลมพร้อมกระโจนขย้ำคอเขาได้...เธอแตกต่างจากพิมพ์ชญา ที่ทั้งดุทั้งสั่งสอนราวกับคุรุ

“Dottore หมอสั่งให้ฉันนอนพักสักชั่วโมงนึง...”

“โทรบอกที่บ้าน...ก่อนดีไหม”

“Mamma mia …โอ๊ย แม่เจ้า...ฉันสายมากจริงๆ” บุรณีอุทาน ลืมไปว่าตอนนี้มันเกือบสี่โมง ถ้าขืนพักอีกหนึ่งชั่วโมง เธอจะกลับถึงบ้านเกือบหนึ่งทุ่ม

“มือถือฉัน มันคงตกอยู่ที่ร้านนั่น...” หญิงสาวทำตาโตหวาดผวา ใจสั่น...มือไม้รีบควานหา แต่มันคืออากาศธาตุรอบเตียงคนไข้ กระเป๋าถือหายไปจากห้วงจิตสำนึกตอนไหนบุรณีปะติดปะต่อภาพจิกซอนั้นไม่ได้เลย สมาธิที่ควบคุมจิตมันเตลิดกระเจิดกระเจิงไปช่วงที่เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว

“อย่ากลับไปอีก ผมเตือน... จำไว้ด้วยล่ะ!!!” ชายหนุ่มกระชากเสียงหนักลงท้าย

“โห...สั่ง อย่าง...ฉันนี่!!!...จะเชื่อเหอะ รู้ไหมชั้นในแบรนด์แบบนั้น ฉันฝันมาเป็นชาติ หลายปีดูแต่ภาพจากเว็บ...เก็บเงินกว่าจะซื้อได้...” บุรณีเสียงเบาหงอยๆ ตอนประโยคลงท้าย

“La Perla แค่ ลา เพอร์ลา ...จะหามาให้” น้ำเสียงห้วนๆ ทำบุรณีค้อนขวับ เธอคิดว่าหนุ่มคนนี้พื้นฐานธรรมชาติไม่น่าใช่คนก้าวร้าวอะไรมากมาย ดูมาดแล้วเขาน่าจะอบอุ่นมากกว่าเย็นชาไร้หัวใจเช่นที่แสดงออกมา

“ไปเถอะ... หมอจี คงติดคนไข้หลายคน ดีโนก็อาการสาหัส...เฮ้อ” ชายหนุ่มหมายถึง Dott. Gino ดอตตอร์ จีโน เพื่อนของเขาที่ยังวุ่นวายกับอาการของหนุ่มที่เคราะห์ร้ายคนนั้น

ขณะที่รอหญิงสาวตามมาขึ้นรถพันธ์ศักดิ์ค้นหาตำแหน่งบ้านของบุรณีจากในแผนที่ตรงจอหน้าแผงคอนโซลในรถแวนสีดำกันกระสุนคันที่ขับมา

“โอ๊ย... พรึ้บบ...” มีเสียงร้องดังขณะหญิงสาวกำลังลุกขึ้นอย่างโซเซ...ตามด้วยเสียงก้นกระแทกกลับนั่งลงไปบนรถเข็นอีกครั้ง บุรุษผิวเข้มที่ทำหน้าที่เข็นรถมาส่งคว้าเธอไว้เกือบไม่ทัน

“เอ้า...เป็นอะไรนั่น” ชายหนุ่มเดินกลับมาดูหน้าตายู่ยี่แดงก่ำของบุรณี เธอร้องครางเพิ่งมารู้ตัวเพราะข้อเท้าซ้ายที่พลิกตอนวิ่งหนีออกมา ขณะนี้น่าจะเริ่มระบม

เขาเอามือไปจับข้อเท้าของหญิงสาวเห็นมันบวมแดงโตเท่าลูกมะนาว ฝ่ามือที่กำลังลูบคลึงยิ่งทำให้เธอร้องโอยและเบี่ยงหนีทำให้หัวเข่าของเธอเด้งไปกระแทกโดนโหนกแก้มของเขาจนได้ พันธ์ศักดิ์ทั้งอายทั้งโกรธ แต่เห็นหนุ่มผู้ช่วยพยาบาลมองยิ้มๆ เหมือนเขาเป็นตัวตลก ชายหนุ่มจึงเอ่ยกลบเกลื่อนด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองแบบเขินๆ

“เดี๋ยวผม...อุ้มเธอไปที่รถเอง”

“เฮ้ย...ฉันเดินเองได้...” บุรณีหันไปพูดอิตาเลียนขอร้องให้หนุ่มผิวเข้มช่วยพยุงเธอไปที่รถ แต่พันธ์ศักดิ์รีบเข้ามาคว้าเอวเธอแล้วเอามือช้อนใต้ขาทั้งสองข้างอุ้มเธอ เดินฉับฉับไปที่รถ จากนั้นก็โยนเธอลงไปด้านหลังที่เขาเปิดประตูรอไว้แล้ว

“เอ้า...Signora คุณนาย เชิญนอนตามสบาย” เขาทำหน้ามุ่ยเปิดประตูคนขับแล้วกดคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็วราวพายุ

“แล้วยาแก้ปวด แก้อักเสบมีไหม...” ชายหนุ่มเริ่มนึกขึ้นได้ขณะขับมาเกือบครึ่งทาง ก่อนถึงบ้านเธอแถวหมู่บ้านในโมนิโตลา

“คงมีอยู่ล่ะ...ไม่ลำบากนายหรอก” บุรณีพูดเบาๆ เธอถอนหายใจนึกย้อนว่าทำไมถึงได้เฉยไม่บอกหมอว่ามีอาการเจ็บตรงไหน ได้แต่ส่ายหน้าตอนที่ผู้ช่วยพยาบาลถามอาการต่างๆ เธอกลับไม่รู้สึกว่าข้อเท้ามีปัญหา คงด้วยอาการช็อกและพิษระบมของกล้ามเนื้อยังไม่เริ่มแสดงอาการ

“ทำไม...คุณถึงไม่เป็นอะไรเลย กระสุนไม่เฉียดผิว...แปลกพิลึก” ชายหนุ่มเอ่ยถามลอยๆ แต่เหลือบมองดูหน้าหญิงสาวคนนี้จากกระจกหลังว่าเธอจะตอบเขาอย่างไร

“คงมีพระดีมั้ง...”

“ฮ่ะ...อ่า มีของดีนี่เอง” ชายหนุ่มเหลือบดูกระจกอีกครั้ง จ้องประกายแววตาที่สะท้อนออกมาซึ่งเธอน่าจะเชื่อมั่นศรัทธาอะไรบางอย่าง

“ผมไม่เห็นคุณห้อยพระอะไร...” พันธ์ศักดิ์นึกสงสัย เพราะตอนที่อยู่ในห้องลองเสื้อที่ร้าน ไม่เห็นเธอสวมสร้อยคอ

“ฉันท่องคาถา...น่ะ”

“เหรอ...ครับบบ คาถาอะไร ขอเอาไปท่องมั่ง” ชายหนุ่มหยอกเล่นไปอย่างนั้น

“ขอพระเจ้าผ่านนักบุญ...นะ” หญิงสาวตอบเฉยๆ ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องจริงจังสำหรับชายหนุ่ม

“คุณเป็นคาทอลิก???!!!” เขาเอ่ยไม่เชิงยิงคำถาม เพราะเขาเองไม่ค่อยนับถือศาสนาจริงจัง จะกลับไปบวชก็ยังรีๆ รอๆ

“จะ...ยังไงดีล่ะ” บุรณีไม่อยากสาธยายเพราะความเชื่อของเธอยืดยาว

“ต้องคิด...แล้วค่อยมาบอกก็ได้นะ พรุ่งนี้ผมจะมารับ”

“ไปไหน...ฉันมีธุระต้องจัดการ”

“ไปซื้อของที่อยากได้...ชุดชั้นในไง...” เขาพูดสั้นๆ ขณะจอดรถใต้ต้นไม้หน้าบ้านแล้วกำลังเปิดประตูด้านหลัง

“มา...ผมอุ้มคุณไปส่งหน้าประตู กินข้าวเยอะกว่านี้หน่อยก็ดี ตัวเบาโหวง” ชายหนุ่มส่งแววตากรุ้มกริ่ม

“เออ...เออ...จะมารับกี่โมง” บุรณีหน้าแดงเปลี่ยนเรื่อง

“สิบโมงดีไหม...เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย ผม...พันธ์ศักดิ์ เรียก ‘พัน’ หรือ แพนด้าก็ได้ ถ้าชอบกอดหมี” เขารีรอเพื่อฟังว่าเธอชื่ออะไร

“บุรณี...เรียก ‘ลาร่า’ (Lara) ตามแม่สามีฉันล่ะกัน”

“ดูไม่ร่าเริง...เหมือนชื่อเลยยยย” ชายหนุ่มลากเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วเดินกลับไปที่รถ ก่อนจะขึ้นรถสตาร์ทก็ยังหันหลังกลับมาทำท่า ‘บายบาย’ ทำเอาเธออมยิ้มหน้าแดง

----------------


รุ่งขึ้นพันธ์ศักดิ์มารอรับบุรณีที่หน้าบ้านก่อนสิบโมงเล็กน้อย เขาเดินเกร่ไปมาชมความงดงามของบรรยากาศแห่งต้นฤดูใบไม้ร่วง บริเวณโดยรอบใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวค่อยกลายเป็นสีเหลือง บางต้นเริ่มเป็นสีน้ำตาลจางๆ เขามองไปยังเนินเขาลูกเตี้ยๆ ไล่เรียงเลยออกไป สีน้ำตาลอมฟ้าหม่นเทาคราพระอาทิตย์ยังไม่สูงเลยจากขอบฟ้าไปจรดเมฆ ช่างเหมือนภาพสีน้ำแต่งแต้มของพวกศิลปินโบราณ

แม่สามีได้ยินเสียงกดกริ่งจึงเดินออกมาเปิดประตู และยิ้มทักทาย Ciao Ciao สวัสดีชายหนุ่มเป็นภาษาอิตาเลียน นางหันกลับไปเพื่อส่งเสียงบอกหญิงสาวว่ามีคนมาหา พันธ์ศักดิ์ฟังภาษาที่นี่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เขาอยู่ยังไม่นานและไม่อยากเรียนรู้สักเท่าไหร่ เรื่องภาษาเป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับชายหนุ่ม เขานึกถึงคำพูดของอดีตคนรัก

“ศรัทธาด้วยหัวใจ ไยฤา...มิไขว่คว้า” พิมพ์ชญาเปิดหนังสือเล่มหนึ่งที่ชอบอ่านและแปลให้เขาฟังด้วยคำที่กลั่นกรองอย่างสวยงาม ปรัชญาเหล่านั้นสื่อถึงจิตวิญญาณของคนเรา

เธอบอกเขาว่า ไม่ว่าจะลงมือทำอะไรเราต้องเชื่อและศรัทธาก่อน จากนั้นมันจะไขว่คว้าไปให้ถึงจนได้

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับภาษาเนี่ย” ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิด

“เอ้า...ก็เชื่อว่าทำได้ พูดได้ ก็เป็นเองแหละ” อดีตคนรักมองหน้าเขาอย่างขำขำ


จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สนใจที่จะเรียนรู้กับมัน พูดแบบงูๆ ปลาๆ ภาษานี้มันมีเพศชายเพศหญิง ดูตลกสิ้นดี สิ่งของอะไรต่างๆ ต้องจำเพศไม่อย่างนั้นก็ใช้ไม่ถูก ยุ่งยากสำหรับเขามาก หมอจีเคยบอกเขาติดตลกว่า เวลานึกเพศไม่ออกก็ใช้มั่วๆ ไป ขนาดคนที่นี่ก็พูดผิดๆ ถูกๆ ภาษาเขียนนี่ยากมากสำหรับชายหนุ่ม เขามาเรียนหลักสูตรนี้ก็เพราะมันเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งจริงๆ เขาเองก็ไม่เคยเป็นนักเรียนนอกจะมาใช้ภาษาหรูหราอะไรได้

บุรณีเดินขากะเผลกๆ เปิดประตูหลัง แต่ชายหนุ่มเปิดประตูข้างคนขับให้เธอนั่งข้าง

“อย่ามากเรื่อง วันนี้ไม่ใช่คุณนาย”

“ได้...เราจะไปไหนกัน ร้านเดิมคงไม่ได้แล้ว”

“ไม่หรอก ผมจะพาไปห้องเสื้อที่ผมออกแบบให้” บุรณีมองหน้าชายหนุ่มอย่างงุนงง คำตอบของเขาทำให้เธอประหลาดใจมาก

“ทำไม...คนอย่างผมทำพวกนี้...ไม่ได้รึ” เขาพูดขึ้นขณะขับรถออกไป

“ปะ...เปล่า...ฉันแค่...มองว่า นายน่าจะเป็นนักฆ่ามากกว่านักออกแบบ”

บุรณีหันไปมองด้านข้างเห็นเขาขบกรามจนแก้มนูน คำพูดเธอคงจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวจากเมื่อวานทวีขึ้น

“ว่ามา...คุณเป็นคริสตัง???” เขาเปลี่ยนเรื่องทันทีเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์

“เปล๊า...” เธอตอบเสียงสูงกวนๆ

“เอ้า...แล้วไง”

“...แม่ฉันเป็นคนลาวมาแต่งงานกับพ่อที่เป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-ไทยที่หนองคาย ฉันเลยเหมือนลูกผสม นับถือทุกอย่างที่บ้านบอกว่าดี” เธอหวนนึกถึงภาพครั้งเป็นเด็กหน้าตาลูกเสี้ยวผสมนิดผสมหน่อย จนญาติพี่น้องบอกว่าไม่เลวนัก

“มิน่าล่ะ...หน้าตาเข้าท่า...ออกแนวๆ คนที่นี้”

“ใช่ คนที่นี่...ว่าฉันเป็นลูกครึ่งอิตาเลียน”

“ท่องคาถาอะไรเมื่อวาน” ชายหนุ่มรู้สึกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ

“นึกถึงนักบุญโยเซฟเวลามีภัยอะไร และ...” พันธ์ศักดิ์พูดแทรกขณะที่เธอพูดยังไม่ทันจบ

“โอ๊ะ...โอ... แล้ววันนั้นคุณนึกถึงท่านเหรอ”

“ไม่เลย...ช็อก...จนขี้กระจายขึ้นสมอง”

พันธ์ศักดิ์ระเบิดหัวเราะเสียงดังกลบเพลงเบาๆ ที่กำลังเปิดคลออยู่ในรถ

“บ้า...ทำฉันใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม...หายใจไม่ทั่วท้อง”

“ไม่จริง...คุณทำผมใจสั่นวาบหวิวมากกว่า...” เขาอมยิ้มกริ่มตาหวานเยิ้มเมื่อนึกถึงกลิ่นลมหายใจและเสียงรัญจวนออกจากริมฝีปากของเธอเมื่อวันวาน

“ประสาท...Merde” บุรณีด่าเป็นคำอิตาเลียน

“ผมว่า...เรากำลังถูกตาม!!!” เสียงเตือนของชายหนุ่มทำลายความเงียบ ใจเธอเต้นตูมตามแทบระเบิดจนคนข้างๆ น่าจะได้ยิน

“Mamma mia …โอ...แม่เจ้า” หญิงสาวยกมือทำเครื่องหมายกางเขน พระบิดา พระบุตร พระจิต (Sign of the Cross)

ทันใด...ระบบเสียงสั่งการ ดังพร้อมสัญญาณ

“เปิดเกราะกันกระสุนควอนตัม”