เมื่อมรดกตกทอดที่ได้รับมาจากรุ่นพ่อ และแม่ สู่รุ่นลูกกลับกลายเป็นคำสาปร้าย ทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากคำสาปเหล่านั้นมีเพียงแค่ ตามหาความรักที่แท้จริงเท่านั้น

(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา - ตอนที่ ๒๔ ๒๔ โดย แมวสลิดศรีสยาม @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ครอบครัว,ไทย,แฟนตาซี,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ครอบครัว,ไทย,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา โดย แมวสลิดศรีสยาม @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เมื่อมรดกตกทอดที่ได้รับมาจากรุ่นพ่อ และแม่ สู่รุ่นลูกกลับกลายเป็นคำสาปร้าย ทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากคำสาปเหล่านั้นมีเพียงแค่ ตามหาความรักที่แท้จริงเท่านั้น

ผู้แต่ง

แมวสลิดศรีสยาม

เรื่องย่อ

 

บทนำ

"กาลครั้งหนึ่ง มีชายหนุ่มได้ติดตามเดินทางพร้อมคณะชาวตะวันตก ได้เดินทางไปยังป่าอันแสนไกล เพื่อตามหาเพรช พลอย จินดา 

ที่สวยงามเพื่อนำมาทำเป็นเครื่องประดับให้กับเหล่า ลูกๆ ของตนนั้น ชายหนุ่มและคณะได้เดินทางหาสมบัติเหล่านี้ เป็นวัน เป็นเดือน จนย่านกลายเป็นปี ในที่สุดแผนที่ได้นำเหล่าคณะหยุดที่ถ้ำแห่งหนึ่งกลางป่าลึกที่มีธรรมชาติรายล้อม ดูช่างสวยงาม คณะและชายหนุ่มไม่รอช้า ได้เข้าไปข้างในถ้ำหวังว่าจะมีสมบัติมหาศาล ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อได้เข้าไปยังตัวถ้ำ ทั้งคณะและชายหนุ่มได้พบกับสมบัติดั่งใจหวัง แต่แล้วกับมีสมบัติที่แสนจะวิเศษนั้นคือ อัญมณีทั้ง ๗ เม็ดที่สุดแสนจะบริสุทธิ์ ที่มิอาจจะประเมินค่าของ อัญมณีเหล่านั้นได้ แต่แล้วความโลภที่กัดกินภายในใจ หรือเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นก็ตามได้ทำให้เหล่าคณะมีความต้องการที่จะครอบครองสมบัติไว้เพียงผู้เดียว ก่อให้เกิด โศกอนาถกรรมขึ้นเหล่าคณะได้ฆ่าฟัน เพื่อแย่งชิงสมบัติทำให้ถ้ำสั่นไหวอย่างรุนแรงจนได้ถล่มลงมา กลับมีเพียงชายหนุ่มที่หนีรอดออกมาได้ แต่ภายในมือของเขานั้นกลับมีกล่องไม้โบราณ ทีได้บรรจุเหล่าอัญมณีเหล่านั้นไว้"

 

สารบัญ

(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๑ ๑,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๒ ๒,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตทนที่ ๓ ๓,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๔ ๔,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๕ ๕,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๖ ๖,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๗ ๗,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๘ ๘,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๙ ๙,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๑๐ ๑๐,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๑๑ ๑๑,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๑๒ ๑๒,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๑๓ ๑๓,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๑๔ ๑๔,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๑๕ ๑๕,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๑๖ ๑๖,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๑๗ ๑๗,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๑๘ ๑๘,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๑๙ ๑๙,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ดอนที่ ๒๐ ๒๐,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๒๑ ๒๑,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๒๒ ๒๒,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๒๓ ๒๓,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๒๔ ๒๔,(อ่านฟรี 60 วัน)นิยายชุด ปริญธิดา เรื่อง ปิ่นลดา-ตอนที่ ๒๕ ๒๕

เนื้อหา

ตอนที่ ๒๔ ๒๔

๒๔

 

ภายในห้องโถงที่กว้างขวางแห่งหนึ่งภายในราชวัง “ตั้งใจกันให้ดี ๆ ขั้นตอนการถวายตัวเป็นข้ารับใช้ ข้าจะสาธิตให้ดู” ลาดา (ลดา) มองการสอนอย่างตั้งใจโดยที่มีเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คล้าย ๆ จะเป็นเพื่อนสนิทของร่างนี้ พร้อมกับเหล่ากลุ่มคนรุ่นราวคราวเดียวกันอีกจำนวนหนึ่ง เนื่องด้วยสถานการณ์ตอนนี้ จำต้องไหลไปตามน้ำก่อน ลาดา (ลดา) ได้เรียนรู้ขั้นตอนการปฏิบัติ หลายขั้นตอน แต่ด้วยร่างที่ลดา ได้อยู่นั้นร่างกายเหมือนกับว่าฝึกฝนมาอย่างดี จึงไม่ยากนักที่จะทำตามผู้สาธิต

“เอาละ...อีกประเดี๋ยว ข้าจะมาเรียกพวกเจ้า เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อคนสอนพูดเสร็จได้เดินออกไปจนลับประตูทางเข้า

“พวกเอ็งชื่ออะไรกันบ้างรึ ส่วนข้าชื่อสาย” เด็กสาวตรงข้ามกล่าวทักทายลาดา และเพื่อนของตน

“ข้าชื่อแย้ม ส่วนนี้ก็ลาดา เพื่อนของข้า” ทำให้ลาดา ได้รู้ว่าเด็กสาวที่อยู่ข้าง ๆ ตนนั้นชื่อแย้ม เป็นเพื่อนตน

“ข้าฝากตัวด้วยนะ” ทั้งสามต่างยิ้มให้กัน...

หลังจากที่แม่นมเดินออกไป สาย แย้ม และลาดา ได้พูดคุยกัน ทำให้ลาดาได้รู้ว่าแย้มเป็นเพื่อนสนิทของลาดาในอดีต และพวกเธออยู่ในช่วงเตรียมตัวเพื่อถวายตัวเป็นข้ารับใช้ในวังหลวง ลาดาพยายามเก็บข้อมูลและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยนี้

ในขณะเดียวกัน ในอีกฟากหนึ่งของวังหลวง ภายในห้องบรรทมที่ตกแต่งอย่างหรูหรา องค์หญิงมณีรินทร์ หรือกษัตริย์หญิงองค์ใหม่ กำลังทรงงานอย่างหนัก พระองค์ทรงศึกษาเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง รวมถึงทรงค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอัญมณีที่สืบทอดมาแต่ละยุด แต่ละสมัยของราชวงศ์ ด้วยสีพระพักตร์ที่เคร่งขรึมและแน่วแน่

“ท่านพี่เพคะ เพลาพักผ่อนแล้วนะเพคะ” เสียงหวานใสของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น ทำให้องค์หญิงมณีรินทร์ละสายพระเนตรจากเอกสาร หญิงสาวผู้นั้นคือ เจ้าจอมเดือนเพ็ญ พระญาติสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างองค์หญิงมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์

“ข้ายังต้องสะสางงานเหล่านี้ให้เสร็จก่อนเพ็ญ งานราษฎร์งานหลวงมากมายนัก ข้ามิอาจประมาทได้” องค์หญิงมณีรินทร์ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว

“แต่ท่านพี่ก็ทรงงานมาทั้งวันแล้วนะเพคะ ร่างกายจะทรงประชวรเอาได้” เจ้าจอมเดือนเพ็ญกล่าวด้วยความเป็นห่วง

องค์หญิงมณีรินทร์ทรงถอนพระปัสสาสะ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วง แต่ข้าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องบ้านเมืองของเรา”

ในขณะที่องค์หญิงมณีรินทร์และเจ้าจอมเดือนเพ็ญกำลังสนทนากันอยู่นั้นเอง ขันทีคนสนิทก็เข้ามาแจ้งว่า ถึงเวลาที่เหล่าเด็กสาวจะเข้าถวายตัวแล้ว องค์หญิงมณีรินทร์จึงทรงลุกขึ้นและเสด็จไปยังห้องโถงใหญ่

กลับมาที่ลาดา สาย และแย้ม พวกเธอได้รับการเรียกตัวไปยังห้องโถงใหญ่

“เตรียมตัวให้พร้อม ได้เพลาเข้ารับการถวายตัวแล้ว” ลาดาพยายามตั้งสติและทำตามที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทุกคนรอบ ๆ เริ่มทยอยเดินตามแม่นมออกไป

“ลาดา เร็วเข้าเจ้าเดี๋ยวไม่ทันดอก” แย้มเรียกลาดาที่เหม่อ และประหม่าอยู่ในขณะนั้น

“จ๊ะ...ไปแล้วจ้ะ” เมื่อพวกเธอเข้าไปในห้องโถง ลาดาก็ได้พบกับองค์หญิงมณีรินทร์เป็นครั้งแรก องค์หญิงทรงมีพระสิริโฉมงดงาม สง่า และเปี่ยมไปด้วยพระบารมี ทำให้ลาดารู้สึกประทับใจ จนกระทั่ง ถึงขั้นตอนพิธีการสืบราชสันตติวงศ์ ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป พิธีดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น จนกระทั่ง ถึงพิธีสืบทอดอัญมณีทับทิม ประจำราชวงศ์ ลาดาสัมผัสได้ทันที เมื่ออัญมณีผ่านหน้าของตน มุ่งตรงไปที่บัลลังก์ที่องค์หญิงมณีรินทร์ทรงประทับอยู่ เมื่อกล่องไม้เปิดออก ภายในมีดาบที่ตกแต่งอัญมณีต่างๆ แต่ที่สะดุจตาคืออัญมณีทับทิม ที่ถูกฝังอยู่ตรงกลาง พิธีการถวายตัวดำเนินไปอย่างราบรื่น ลาดา สาย และแย้ม ได้รับการคัดเลือกให้เป็นข้ารับใช้ในวังหลวงอย่างเป็นทางการ ลาดาได้รับมอบหมายให้ดูแลงานเล็กๆ น้อยๆ ในพระตำหนักขององค์หญิงมณีรินทร์ ทำให้เธอมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับองค์หญิงมากขึ้น ลาดาสังเกตเห็นว่าองค์หญิงมณีรินทร์ทรงมีภาระมากมาย และทรงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง ลาดาจึงพยายามช่วยเหลือองค์หญิงเท่าที่เธอจะทำได้ และใช้โอกาสในการหาเบาะแสเพื่อกลับไปยังยุคปัจจุบัน ด้วยความเฉลียวฉลาดและความตั้งใจจริงของลาดา ทำให้เธอได้รับความไว้วางใจจากองค์หญิงมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอเริ่มสำรวจวังหลวงและสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับอัญมณีที่นำพาเธอมาที่นี่ แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสใด ๆ

ในยามดึกหลังจากพิธีถวายเป็นข้ารับเวลาก็ล่วงเลยไปแล้วหลายเดือน และเวลาผ่านไปได้พอสมควร ลาดา เตรียมตัวก่อนเข้านอน

“พี่ลดา...พี่ลดา...” เสียงปริศนาดังอยู่รอบตัว ลาดา ไม่สามารถจับทิศทางต้นตอของเสียงได้

“เสียงนี้...ขวัญ...เสียงขวัญใช่มั้ย” ลาดาขานรับเสียงนั้นด้วยอาการตื่นตกใจ

“ทางนี้ พี่ลดา...” เสียงดังมาจากด้านหลัง ลดารีบหันไปมอง ด้านหลังเป็นกระจกที่ติดอยู่ด้านหลังบนฝาผนัง ภาพที่เห็นปรากฏร่างของพาขวัญ อยู่ภายในกระจก เป็นภาพลาง ๆ แต่พอจะเห็นเป็นรูปร่างได้

“น้องขวัญ” ลาดา เรียกร่างนั้น

“พี่ลดา รอก่อนนะคะ หนูพยายามตามหาร่างจิตของพี่อยู่...ตอนนี้ขวัญได้ยินแค่เสียง...พี่รอขวัญอีกหน่อยนะคะ พลังของหนูจะตื่นขึ้นแล้วค่ะ...พี่รอก่อนนะ...” พาขวัญพูดยังไม่ทันจบ มีเงาสีดำปกคลุมไปทั่วร่างพาขวัญและจางหายเข้าไปในเงานั้นก่อนที่จะหายไป ลาดา ตกใจกับเหตุตรงหน้า ก่อนจะสะดุ้ง ตื่นขึ้นด้วยเสียงไก่ขันแรกในยามเช้า

ในพระราชวังหลวง บรรยากาศตึงเครียดปกคลุมไปทั่ว ข่าวการรุกรานจากแคว้นฝ่ายเหนือแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ประชาชนต่างหวาดกลัว องค์หญิงมณีรินทร์ทรงเรียกประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองเพื่อหารือถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

"ข้าได้รับรายงานว่ากองทัพฝ่ายเหนือได้เคลื่อนพลประชิดชายแดนของเราแล้ว พวกมันมีกำลังพลมากกว่าเราหลายเท่า" องค์หญิงมณีรินทร์ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พระพักตร์เคร่งขรึม

"แต่เราก็มิอาจยอมให้พวกมันรุกรานแผ่นดินของเราได้ ข้าพระพุทธเจ้าขอเสนอว่า เราต้องต่อสู้! พระเจ้าข้า" แม่ทัพใหญ่กล่าวด้วยความฮึกเหิม

"แต่เราก็มิอาจยอมให้พวกมันรุกรานแผ่นดินของเราได้ ข้าพระพุทธเจ้าขอเสนอว่า เราต้องต่อสู้! พระเจ้าข้า" แม่ทัพใหญ่กล่าวด้วยความฮึกเหิม

ลาดาซึ่งยืนอยู่ด้านหลังองค์หญิงมณีรินทร์ในฐานะข้ารับใช้ ได้ยินทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เธอรู้สึกถึงความกดดันและความรับผิดชอบอันหนักอึ้งที่องค์หญิงมณีรินทร์แบกรับไว้

หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม องค์หญิงมณีรินทร์ทรงมีพระบัญชาให้เตรียมความพร้อมรับศึกอย่างเต็มที่ มีการเกณฑ์ไพร่พล ฝึกฝนการรบ และจัดเตรียมเสบียงอาหาร ลาดาได้รับมอบหมายให้ดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องอาหาร เครื่องทรง และการพักผ่อน หลายวันผ่านไป ข่าวการปะทะกันบริเวณชายแดนเริ่มหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ องค์หญิงมณีรินทร์ทรงตัดสินพระทัยที่จะนำทัพออกรบด้วยพระองค์เอง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่เหล่าทหาร

"ลาดา เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะนำเจ้าไปด้วย" องค์หญิงมณีรินทร์ตรัสกับลาดา

"เพคะ องค์หญิง" ลาดารับคำอย่างหนักแน่น แม้ในใจจะรู้สึกหวาดหวั่น แต่เธอก็รู้ว่านี่คือหน้าที่ของเธอ

ในวันเตรียมตัวก่อนที่จะเคลื่อนพลในวันรุ่งเช้า

“เอ็งต้องเดินทางไปกับองค์หญิงจริงรึ ลาดา” แย้ม ถามลาดา ที่นั่งอยู่ที่หน้าต่าง

“ใช่แล้วข้าต้องตามองค์หญิงออกศึกในวันรุ่ง” แววตาของลาดายังคงทำใจไม่ได้ เนื่องด้วยในยุคสมัยของตน ถึงจะมีเรื่องร้าย ๆ มากมายก็ตาม แต่ยังเทียบไม่ได้กับยุคสมัยนี้ที่ยังคงมีสงคราม แต่ในครั้งนี้กับกัน เนื่องด้วยชนวนสงคราม คืออัญมณีเจ้าปัญหา ที่ลาดาต่างรู้ดี ของพลังของมัน

เช้าวันรุ่งขึ้นก็มาถึง...กองทัพของล้านนาเคลื่อนพลออกจากเมืองหลวง องค์หญิงมณีรินทร์ทรงม้าอยู่หน้าขบวน ทรงฉลองพระองค์นักรบ และทรงพระมาลาเหล็ก พระพักตร์แน่วแน่และเด็ดเดี่ยว ลาดาขี่ม้าตามเสด็จอยู่ด้านหลัง คอยดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ที่ลาดา ได้มาอยู่ในร่างนี้ ลาดาได้เป็นที่ไว้วางใจขององค์หญิงมณีรินทร์ เมื่อพระองค์ ได้ฝึกฝนวิชารบ การขี่ม้า หรือแม้กระทั่งการศึก ลาดา ก็ได้รับอนุญาตในการฝึกฝนร่วมด้วย จึงเป็นเหตุผล ที่องค์หญิงทรงให้ลาดา ติดตามพระองค์ด้วยนั้นเอง

“ลาดาข้าจะมอบหมายหน้าที่เจ้า ในการจัดเตรียมอาหารและน้ำดื่ม การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการส่งสารเจ้าไหวหรือไม่” องค์หญิงหันมาบอกกับลาดา ขณะที่มอบหมายหน้าที่ ณ ฐานที่มั่นในสนามรบ

“น้อมรับพระบัญชาเพคะ องค์หญิง”

วันต่อมาเมื่อกองทัพเดินทางถึงชายแดน ก็ได้พบกับสภาพความเสียหายจากการปะทะกันก่อนหน้านี้ บ้านเรือนถูกเผาทำลาย ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย องค์หญิงมณีรินทร์ทรงมีพระบัญชาให้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ไม่นานนัก กองทัพฝ่ายเหนือก็ปรากฏตัว พวกเขามาพร้อมกับอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน และมีจำนวนมากกว่ากองทัพของล้านนาอย่างเห็นได้ชัด

"เตรียมรบ!" เสียงบัญชาของแม่ทัพใหญ่ดังขึ้น

องค์หญิงมณีรินทร์ทรงชักพระแสงดาบออกจากฝักแสงสีแดงสาดส่องไปทั่วสนามรบ ทรงนำทัพเข้าต่อสู้อย่างกล้าหาญ ลาดาอยู่เคียงข้างพระองค์ คอยช่วยเหลือและปกป้องพระองค์อย่างสุดกำลัง การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด เลือดและน้ำตาไหลนองแผ่นดิน ลาดาได้เห็นภาพความโหดร้ายของสงครามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็พยายามตั้งสติและทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด องค์หญิงมณีรินทร์ทรงนำทัพต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ ทรงแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและพระปรีชาสามารถในการรบ ทำให้เหล่าทหารมีกำลังใจในการต่อสู้เป็นอย่างมาก

ในขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ลาดาสังเกตเห็นว่าองค์หญิงมณีรินทร์ทรงถูกล้อมไว้โดยทหารฝ่ายเหนือหลายนาย เธอรีบเข้าไปช่วยเหลือทันที

"องค์หญิง ระวัง!" ลาดาตะโกน พร้อมกับผลักองค์หญิงหลบจากการโจมตีของทหารฝ่ายเหนือ

แต่ในขณะเดียวกัน ลาดาก็ถูกทหารฝ่ายเหนืออีกคนโจมตีเข้าอย่างจัง ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บ

"ลาดา!" องค์หญิงมณีรินทร์ทรงตกพระทัยเมื่อเห็นลาดาบาดเจ็บ ด้วยความโกรธกริ้ว ในมือพระองค์ทรงถือดาบคู่ใจไว้แน่น ภายในใจทรงสั่งให้อัญมณีสัมแดงฤทธิ์ สิ่งที่คล้ายกับหมอกควันสีแดงแผ่ออกจากดาบ ทหารฝ่ายศัตรูที่ล้อมรอบไว้นั้นโดยพลังควบคุม แววตาเปลี่ยนเป็นสีแดง “จงตายซะ!” ทหารที่โดนควบคุมสังหารตนเองโดยไม่ลังเล สายเลือดไหลนองไปทั่วสนามรบ ทหารฝ่ายศัตรูหลายร้อยนายจบชีวิตลงเพียงไม่กี่อึดใจ หลังจากฝ่าวงล้อมออกมาได้ องค์ทรงเร่งให้พาลาดาไปรักษา

สงครามกับฝ่ายเหนือยืดเยื้อยาวนาน กินเวลาหลายปี การสู้รบดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียไพร่พลและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก องค์หญิงมณีรินทร์ทรงนำทัพด้วยพระปรีชาสามารถและความกล้าหาญ ทำให้ทัพล้านนาสามารถต้านทานการรุกรานของฝ่ายเหนือไว้ได้

ในระหว่างสงคราม องค์หญิงมณีรินทร์ทรงพบว่ามีหัวเมืองบางแห่งแอบติดต่อกับฝ่ายเหนือและคิดกบฏ พระองค์จึงทรงวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อจัดการกับพวกกบฏเหล่านี้ เมื่อโอกาสมาถึง องค์หญิงมณีรินทร์ทรงนำทัพเข้าปราบปรามพวกกบฏอย่างเด็ดขาด สามารถยึดครองหัวเมืองเหล่านั้นกลับคืนมาได้สำเร็จ และลงโทษพวกกบฏอย่างสาสม

เมื่อสงครามใกล้สิ้นสุด องค์หญิงมณีรินทร์ทรงตระหนักถึงพลังอันตรายของอัญมณีทับทิม และคำสาปที่ผูกพันอยู่กับมัน พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะปิดผนึกคำสาปนี้อย่างถาวร เพื่อไม่ให้ใครต้องตกเป็นเหยื่อของมันอีก

องค์หญิงมณีรินทร์ทรงเรียกแม่ทัพคนสนิท ลาดา และปุโรหิต มาปรึกษาหารือถึงวิธีการปิดผนึกคำสาป ปุโรหิตได้แนะนำพิธีสาปแช่งเลือด ซึ่งเป็นพิธีโบราณที่ทรงพลัง แต่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของผู้ทำพิธี

“พิธีสาปแช่งเลือด... นั่นหมายความว่า...” แม่ทัพคนสนิทเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ถูกต้องแล้ว ท่านแม่ทัพ” องค์หญิงมณีรินทร์ตรัส “ข้าจะสละชีพของข้า เพื่อฝั่งคำสาปนี้ไว้”

“มิได้! องค์หญิงเพคะ! หม่อมฉันมิยอม!” ลาดาคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์หญิง น้ำตาคลอเบ้า “มีวิธีอื่นมิใช่หรือเพคะ?”

องค์หญิงมณีรินทร์ทรงลูบศีรษะลาดาอย่างอ่อนโยน “ลาดา เจ้าเป็นดั่งน้องสาวของข้า ข้าขอบใจเจ้าสำหรับความห่วงใย แต่ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว นี่เป็นทางเดียวที่จะปกป้องแผ่นดินของเราได้”

“แต่...” ลาดาพยายามจะคัดค้าน

“พอเถิด ลาดา” องค์หญิงมณีรินทร์ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าตัดสินใจแล้ว”

“องค์หญิง...” แม่ทัพคนสนิทเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “เหตุใดจึงต้องเป็นเช่นนี้?”

“เพราะข้าคือกษัตริย์ ข้าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องราษฎรของข้า” องค์หญิงมณีรินทร์ตรัสตอบ “และนี่คือสิ่งที่ข้าต้องทำ”

พิธีสาปแช่งเลือดถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และเป็นความลับ องค์หญิงมณีรินทร์ทรงทำพิธีด้วยพระองค์เอง ทรงร่ายมนตร์และใช้พระโลหิตของพระองค์เพื่อผนึกคำสาปไว้ในอัญมณีทับทิม พลังเวทมนตร์แผ่กระจายไปทั่วบริเวณ พิธีดำเนินไปจนถึงรุ่งเช้า เมื่อแสงอาทิตย์แรกสาดส่อง องค์หญิงมณีรินทร์ก็สิ้นพระชนม์ ทรงยืนอยู่บนแท่นพิธียังสง่างาม

ก่อนสิ้นพระชนม์ องค์หญิงมณีรินทร์ได้มอบหมายให้แม่ทัพคนสนิท ลาดา และปุโรหิต นำอัญมณีทับทิมไปผนึกไว้กับอัญมณีศักดิ์สิทธิ์อีกเจ็ดชิ้นในสถานที่ลับ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครค้นพบและนำพลังของมันไปใช้

“จงเก็บรักษาสิ่งนี้ไว้เป็นความลับ อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด” องค์หญิงมณีรินทร์ตรัสสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย

“หม่อมฉันขอสาบานว่าจะรักษาความลับนี้ไว้ด้วยชีวิต” แม่ทัพคนสนิทกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“หม่อมฉันก็เช่นกันเพคะ” ลาดากล่าวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

“ข้าขอให้คำมั่นว่าจะปกป้องความลับนี้ยิ่งกว่าชีวิตของข้า” ปุโรหิตกล่าวเสริม

แม่ทัพคนสนิท ลาดา และปุโรหิต ทำตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด พวกเขานำอัญมณีทับทิมไปผนึกไว้กับอัญมณีอีกเจ็ดชิ้นในสถานที่ลับที่ไม่มีใครรู้จัก เมื่อทั้งสามเดินทางมาถึง ณ แท่นพิธีกลางป่า เมื่อมาถึง ก็พบกับบุคคลอีกจำนวนนึงที่ต่างนำอัญมณีคำสาปติดตัวมาด้วย ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลที่ต้องผนึกสิ่งนี้ไว้ เมื่อพิธีเตรียมการใกล้เสร็จ ผู้อาวุโสที่เป็นผู้ดำเนินพิธีได้กล่าวว่า “ตัวแทนของอัญมณีแต่ละเม็ด ก้าวออกมา” แม่ทัพ หันมามองที่ ลาดา และปุโรหิต

“ข้าไปก่อนนะ...ฝากที่เหลือด้วยนะท่านปุโรหิต” สิ้นคำพูดปุโรหิตพยักหน้าตอบคำพูดของแม่ทัพ

“เจ้าไปเถิดไม่มีสิ่งได้ที่เจ้าต้องห่วงหรอก...”

ลาดามองตามแผ่นหลังของแม่ทัพเดินออกไปทางแท่นพิธี ปุโรหิต มองไปทางลาดา

“เจ้ายืนมองดูเถิด สิ่งที่เจ้าสงสัยจะกระจ่างตรงหน้าเจ้าแล้ว”

“…” ลาดาแปลกใจในคำกล่าวของปุโรหิต

และแล้วเวลาก็มาถึง “ถึงเพลาแล้วพวกเจ้า” ชายหญิงทั้งเจ็ดที่ยืนรอบแท่นพิธีโดยมี ผู้อวุโสดำเนินพิธีอยู่บริเวณกลางแท่นพิธี เสียงสวดคาถา ดังก้องไปทั่วป่า ลาดาพยายามฟัง แต่ไม่สามารถจับใจความในคาถานั้นได้ มีดในมือของผู้ทำพิธีชุขึ้นบนฟ้า พร้อมกับทั้งเจ็ดคน เมื่อสิ้นสุดคำกล่าว มีดทั้งแปดเล่มปักลงบนหัวใจของตนเอง เสียงมีดผ่าเข้าขั้วหัวใจ ดังก้อง พร้อมกับแสงทั้งเจ็ดส่องประกายสว่างสวยสดใสดังแสงเหนือ ที่ตรงข้ามกับเหตุการณ์อันน่าสะพึงที่ลาดา ได้เห็นแม้หลายปีที่ผ่านมาในสนามรบ จะเห็นผู้คนล้มตายมากเพียงใดก็ตาม ยังไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ร่างของเหล่าคนทำพิธีค่อย ๆ สลายไปช้า ๆ จนไม่หลงเหลือร่าง เหลือไว้เพียงของที่ใช้ทำพิธีที่วางบนแท่นบูชาเพียงเท่านั้น...

“เราจะทำยังไงต่อดีละท่านปุโรหิต” ลาดาถามปุโรหิต...

“สำหรับข้า...ข้าจะเข้าไปบำเพ็ญตนในป่า แต่ส่วนเจ้า...” ปุโรหิต มองไปที่ลาดา

“ถึงเพลาแล้ว...ที่เจ้าจะกลับไปยังที่ของเจ้า” ลาดาตกใจในคำพูด

“ไม่ต้องตกในหรอก พวกข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนที่นี้” ลาดายิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่เมื่อรู้ความจริงว่าทั้งองค์หญิง ทั้งแม่ทัพ รู้ความจริงความเป็นมาของตน...

“ใกล้ถึงเพลาแล้ว...ข้าจะช่วยเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อยามจันทรา ขึ้นตรงเหนือหัว เจ้าจงตามเสียงเรียกนั้นไป อย่าหันกลับมามองเป็นอันขาด ไม่ว่าได้ยินเสียงอันใดเรียกขานให้กลับก็ตาม”

“แต่เรื่องทางนี้ละท่าน...” ลาดาตอบกลับ ปุโรหิต

“เป็นพระประสงค์ขององค์หญิง...ให้เราทั้งสามหายไปโดยมิต้องกลับไปยังเมืองอีก” ปุโรหิตตอบสิ่งที่ลาดาสงสัยออกไป “ถ้าเจ้าพลาดโอกาสนี้ไป น้องสาวเจ้าจะไม่สามารถช่วยได้แล้วหนา...” ทั้งสองสบตากันสักครู่

“พี่ลดา...พี่ลดา...” เสียงดังก้องอยู่ตรงข้ามป่าอีกฝั่งของแท่นพิธี ลาดา หันไปมองทางปุโรหิต

“…” ปุโรหิต ทำเพียงพยักหน้าให้กับลาดา “วิ่ง...อย่าหันกลับมามอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

น้ำตาของลาดาไหลออกมา เหมือนเป็นสัญญาณของการจากลาที่ไม่อาจหวนคืน ลาดา โผลเข้าไปกอดปุโรหิต ก่อนที่จะโดนไม้เท้าดันหน้าผากไว้ “จะไปก็อย่ามาทำให้ข้าผิดศีล...ไอ้เด็กนี้” ก่อนที่จะใช้มือลูบหัวลาดาเบา ๆ

“พวกข้าขอบใจเอ็งมากนะ...ไปได้แล้ว…น้องเจ้าจะไม่ไหวแล้ว”

“ไปก่อนนะปู่...” ลาดายิ้มให้ และวิ่งตรงไปยังเสียง เมื่อวิ่งออกห่างจากแท่นพิธีเรื่อย ๆ แสงไปเริ่มริบรี่ลงทีละนิด ทีละนิด จนมืดสนิท แม้แต่ใกล้เพียงฝ่ามือก็มิอาจเห็น แสง...มีแสงสีเขียวส่องสว่างขึ้นตรงหน้าของลาดา เมื่อเห็นแสงรู้ได้ทันทีว่าต้องวิ่งเข้าไปยังแสงนั้น เมื่อใกล้ถึง มือสีดำมากมายเอื้อมมาจับทั้งแขน ขา และไหล่ของลาดา “ขอข้าไปด้วย...” เสียงเยือกเย็นแพร่ออกมาจากด้านหลังของลาดา ความกลัวเข้าครอบงำภายในจิตใจตน ด้วยเฮือกสุดท้ายลาดาพยายามพุ่งตัวสุดแรงสลัดมือเหล่านั้นจนหลุดพ้น และเข้าไปยังแสงได้สำเร็จ...