สมัยนี้แล้วยังมีจดหมายลูกโซ่อยู่อีกเหรอ? — ถ้าหากมันเป็นแค่เรื่องงมงาย ถ้ามันไม่ได้มีอาถรรพ์... ใครก็ได้บอกผมที ว่าทำไมเงาที่อยู่นอกหน้าต่างตอนนี้ ถึงได้ดูเหมือนกันคน(?)ในจดหมายเลย...

In Danger สัมผัสมรณะ - บทที่ 2 ทายทัก (2) โดย wandery @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ชาย-ชาย,อาชญากรรม,นิยายวาย,ไสยศาสตร์,วิญญาณ,สัมผัสพิเศษ,ฆาตกรรม,มนตร์ดำ,สยองขวัญ,เล่นของ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

In Danger สัมผัสมรณะ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ชาย-ชาย,อาชญากรรม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายวาย,ไสยศาสตร์,วิญญาณ,สัมผัสพิเศษ,ฆาตกรรม,มนตร์ดำ,สยองขวัญ,เล่นของ

รายละเอียด

สมัยนี้แล้วยังมีจดหมายลูกโซ่อยู่อีกเหรอ? — ถ้าหากมันเป็นแค่เรื่องงมงาย ถ้ามันไม่ได้มีอาถรรพ์... ใครก็ได้บอกผมที ว่าทำไมเงาที่อยู่นอกหน้าต่างตอนนี้ ถึงได้ดูเหมือนกันคน(?)ในจดหมายเลย...

ผู้แต่ง

wandery

เรื่องย่อ

คำเตือน

นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

สถานที่ เหตุการณ์ และตัวละครเป็นเรื่องสมมติ มิได้พาดพิงถึงองค์กร วิชาชีพ หรือบุคคลใด มีการแต่งเรื่องราวที่เกินจริงเพื่อให้นิยายมีความสนุกและระทึกมากขึ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ

 

แนะนำเรื่อง:

ในคืนที่แสนจะปกติแต่ไม่ปกติ เมื่อจดหมายลูกโซ่ถูกส่งเข้าอีเมลรัว ๆ จน 'ภูมิ์วา' ไม่สามารถพิมพ์รายงานต่อได้ ความรำคาญทำให้เขาเปิดอ่านมันในที่สุด แต่ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่อีเมลธรรมดา เพราะมันมีส่งผีมาด้วย...

สารบัญ

In Danger สัมผัสมรณะ-แนะนำเรื่อง และ ตัวละครหลัก, In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 0 บทนำ, In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 1 จดหมายลูกโซ่ (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 1 จดหมายลูกโซ่ (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 2 ทายทัก (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 2 ทายทัก (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 2 ทายทัก (3), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 3 อุปาทาน (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 3 อุปาทาน (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 4 ลางมรณะ (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 4 ลางมรณะ (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 4 ลางมรณะ (3), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 5 มนตร์ดำ (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 5 มนตร์ดำ (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 5 มนตร์ดำ (3), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 6 ปัดเป่า (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 6 ปัดเป่า (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 6 ปัดเป่า (3), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 7 วันโกน (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 7 วันโกน (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 7 วันโกน (3), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 8 โจมตี (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 8 โจมตี (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 9 ฝันบอกเหตุ (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 9 ฝันบอกเหตุ (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 9 ฝันบอกเหตุ (3), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 10 ไสยขาว (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 10 ไสยขาว (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 10 ไสยขาว (3), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 11 พึงระวัง (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 11 พึงระวัง (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 11 พึงระวัง (3), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 11 พึงระวัง (4), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 12 ลักพา, In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 13 สัมผัสมรณา (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 13 สัมผัสมรณา (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 14 ปลดปล่อย (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 14 ปลดปล่อย (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 14 ปลดปล่อย (3), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 14 ปลดปล่อย (4), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 15 คลี่คลาย (1), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 15 คลี่คลาย (2), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 15 คลี่คลาย (3), In Danger สัมผัสมรณะ-บทที่ 15 คลี่คลาย (4) [END], In Danger สัมผัสมรณะ-ตอนพิเศษ : หัวใจของเธียรไธ, In Danger สัมผัสมรณะ-Extra End

เนื้อหา

บทที่ 2 ทายทัก (2)

มีแค่ผมคนเดียวที่มองเห็นเธอ...

สาเหตุที่ว่าทำไมผมมั่นใจขนาดนั้นก็เป็นเพราะที่อีกฟากของถนนมีทั้งรถทั้งผู้คนที่เดินผ่านไปมา ถึงแม้คนจะไม่ได้เยอะเหมือนอย่างตอนกลางวัน แต่คนพวกนั้นก็เดินผ่านไปราวกับว่าเธอเป็นอากาศ

ไม่มีใครมองเห็นเธอเลย แม้แต่คนในร้านเองที่นั่งหันหน้าไปทางเดียวกับผมก็ยังมองไม่เห็นผู้หญิงคอหัก และพูดคุยอย่างสนุกกับกลุ่มเพื่อน

“สวัสดีครับ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง ผมที่กำลังตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าหันกลับไปมองอย่างตกใจ คนที่เข้ามาทักผมเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับไอ้เพชร ที่จริงมันเพิ่งจะมารู้จักไอ้เพชรก็ตอนเข้ามหาวิทยาลัยแล้วได้ทำกิจกรรมรับน้องด้วยกันนี่แหละ เห็นว่าอยู่คณะนิติ 

ผมชะเง้อหน้าไปมองด้านหลังคนที่เข้ามาทักเพื่อให้แน่ใจว่าไอ้เพชรไม่ได้มากับมัน ไม่อย่างนั้นไอ้รัญกับพี่รามิลที่กำลังมาที่นี่มีหวังได้เปิดวอร์กับไอ้เพชรแน่นอน

“มองหาใครเหรอ” คนตัวสูงตรงหน้าเอ่ยถามพร้อมกับยิ้ม

ไอ้คนนี้มันมีชื่อว่า ‘ทอย’ นับว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง ปีที่แล้วมันได้ตำแหน่งเดือนคณะด้วย ถึงจะพลาดตำแหน่งเดือนมหา’ ลัยไปไม่กี่คะแนนก็ตาม และที่สำคัญคือมันตามจีบผมมาหนึ่งปีแล้ว แต่ว่าผมไม่สนใจมันหรอก ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เลย เพราะมันเป็นเพื่อนกับไอ้เพชร...

“ฉันอยู่ตรงนี้แท้ ๆ แต่กลับมองหาคนอื่นเหรอ ใจร้ายจังเลยนะ”

ทอยพูดตัดพ้อก่อนจะเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงข้าง ๆ ผม มันมองเงาสะท้อนของตัวเองตรงผนังกระจกก่อนจะเสยผมที่ยุ่งแล้วจัดให้เป็นทรง

แต่ผมก็ใจร้ายจริง ๆ นั่นแหละ ที่จริงมันก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร มันช่วยผมในหลายเรื่องเลยด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละ เพราะมันดันมาเป็นเพื่อนกับไอ้เพชร แล้วก็ผมรู้อยู่แล้วด้วย ว่าสักวันไอ้รัญต้องเลิกกับไอ้เพชร ถ้าเกิดผมคบกับทอยจริง ๆ เวลาจะนัดกันไปไหนมาไหน ผมกลัวไอ้รัญมันจะลำบากใจเอาน่ะสิ

“แล้ววันนี้คิดไงถึงมาที่นี่อ่ะ” ทอยถามก่อนจะพูดติดตลก “ทุกทีเห็นอยู่แต่ร้านเหล้า”

ผมถอนหายใจกับมุกแป้กของทอยแล้วเบือนหน้าหนี ตอนนี้ผมแม่งโคตรอึดอัดเลย ไอ้รัญมึงช่วยรีบมาที

“ไม่ยอมคุยด้วยเลยสินะ” ทอยยังคงไม่ลดละในความพยายาม

“เพื่อนนายทำเรื่องไม่ดีกับเพื่อนฉันไว้”

“แต่เพชรไม่ใช่ฉันสักหน่อย”

อืม ที่พูดมาก็มีเหตุผล แต่ถึงอย่างนั้น...

“ฉันไม่สน”

ผมเองก็ไม่อยากให้ทอยมาเสียเวลากับผมเหมือนกัน คนดี ๆ แบบทอยควรจะได้เจอคนที่ดีกว่าผมหรือเปล่า

คนข้าง ๆ ผลิยิ้มเล็กน้อยเมื่อทำให้ผมเปิดปากพูดได้ ถึงแม้ประโยคที่ออกมามันจะฟังดูไม่เป็นมิตรก็ตาม แต่ทอยก็ดูจะชอบใจไม่น้อย

ผมมองไปยังที่ที่ผู้หญิงคอหักคนนั้นเคยอยู่ ตอนนี้เธอหายไปแล้ว ในใจของผมค่อยโล่งอกไปหน่อย จากนั้นไม่นานรถบิ๊กไบค์สีดำคันใหญ่ของพี่รามิลก็ขับมาพร้อมกับไอ้รัญในชุดเสื้อกันฝนสีเหลืองหัวเป็ด

“ขอตัวนะ” ผมลุกขึ้นแล้วหมุนตัวเพื่อจะเดินออกไปหาไอ้รัญ แต่ถูกมือของทอยคว้าแขนเอาไว้

“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหน”

ผมหันไปมองแล้วขมวดคิ้ว ทอยเมื่อเห็นสายตาที่ไม่พอใจของผมก็ยอมปล่อยมือ

“โทษที ไม่ได้ตั้งใจจะจับแรง”

ปัญหามันไม่ใช่ว่าจับแรงหรือไม่แรงสักหน่อย

“ภู!”

ไอ้รัญที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา เรียกผมพร้อมกับกวักมือให้เดินไปหาตรงที่นั่งอีกฝั่งของร้าน

ผมพยักหน้าให้เพื่อนสนิท ก่อนจะหันหลังขวับเดินหนีออกมาโดยไม่หันกลับไปมองทอย

ขอละ นายอย่ามาจีบฉันเลย

พี่รามิลลุกออกจากโต๊ะไปหน้าเคาน์เตอร์ คงจะไปสั่งเครื่องดื่มแน่ ๆ ส่วนไอ้รัญที่นั่งรออยู่แล้วก็กวักมือไว ๆ เรียกผม

“ไอ้ภู! มึงเรียกกูมาดูอะไรเนี่ย?”

รัญคงจะหมายถึงฉากที่ผมคุยกับทอยแน่เลย

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” ผมส่ายหัวแล้วบอกมันไป ตอนนี้ความกลัวเริ่มลดลงแล้ว แต่กลับมีความหงุดหงิดใจเข้ามาแทน

“แล้วมึงให้กูออกมาทำไม? แล้วก่อนหน้านี้เสียงมึงเป็นอะไร? อย่าบอกนะว่ามันทำอะไรมึง?”

ไอ้รัญจี้ถามผมเป็นฉอด ๆ สีหน้าของมันแสดงอารมณ์โกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ จนผมต้องหยุดมันไว้ ก่อนที่มันจะคิดมากไปกว่านี้

“มันไม่ได้ทำอะไรกูทั้งนั้น”

“แล้วมึงเป็นอะไรวะ”

“กู...”

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

เสียงร้องเตือนจากเครื่องเรียกคิวในมือทำให้บทสนทนาของเราทั้งคู่หยุดลงแค่นั้น ผมส่งยิ้มแห้งให้มันก่อนจะลุกเดินไปรับเครื่องดื่ม ผมก้มหัวให้พี่รามิลเล็กน้อยตอนที่เดินสวนกัน

พี่รามิลมองผมแปลก ๆ ก่อนจะเดินกลับไปนั่ง

ตอนนั้นผมได้แต่คิดวน ๆ อยู่กับตัวเอง ว่าผมควรจะเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอมาให้ไอ้รัญฟังดีไหม ถ้าเล่าไปแล้วมันจะเชื่อผมหรือเปล่า หวังว่ามันคงจะไม่คิดว่าผมเป็นบ้าหรอกนะ

นมน้ำผึ้งร้อน ๆ ถูกชงใส่แก้วกาแฟกระดาษที่มีโลโก้ของร้านปิดด้วยฝาพลาสติกสีน้ำตาล ผมใช้หลอดกาแฟร้อนดูดลิ้มรสชาติของนมอุ่น

อืม... ห่างจากเหล้ามากินนมบ้างก็ไม่เลว

ผมมองสองคนนั้นที่มีความสามารถพิเศษในการจู๋จี๋กันได้ทุกที่ทุกเวลาแล้วก็หมั่นไส้

“ที่เคยบอกว่าตาจะเป็นกุ้งยิงอ่ะ กูไม่ได้ล้อเล่นนะ” ผมพูดแซวไอ้รัญก่อนจะนั่งลงที่อีกฝั่ง

ไอ้รัญที่อยู่ตรงข้ามกับผมโดยนั่งขดตัวเล็กตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขนพี่รามิลมองค้อนเบา ๆ ใส่ผม

“มันไม่ได้เป็นกันเพราะแบบนี้สักหน่อย”

เพื่อนสนิทของผมเองก็มีความสามารถแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน ความสามารถที่ทำให้คนที่อยู่กับมันมีความสุข เพราะแบบนั้นพี่รามิลก็เลยติดมันหรือเปล่านะ แต่ก็นั่นแหละพอมีไอ้รัญบรรยากาศรอบตัวผมก็เลยพลอยผ่อนคลายไปด้วย จนลืมไปเสียสนิทเลยว่าผมเรียกมันออกมาทำไม

“พรุ่งนี้จะมาทำงานไหวป่ะเนี่ย” พี่รามิลถามผมที่สภาพดูไม่ค่อยดีเท่าไร

“ไหวครับ” ผมตอบพร้อมกับเปิดฝาแก้วนมร้อนแล้วกระดกขึ้นดื่ม

ไอ้เรามันไม่ชินกับการดูดจากหลอดจริง ๆ นั่นแหละ...

ทว่าพี่รามิลกลับนิ่งไปจนผมสงสัย หรือพี่เขาห่วงกลัวว่าผมจะตื่นไปทำงานไม่ไหวหรือ ผมหันไปมองไอ้รัญที่เริ่มหาวก่อนจะหรี่ตาใส่มัน คนที่น่าห่วงว่าจะตื่นไม่ไหวไม่ใช่ผมหรอก

“พอดีพรุ่งนี้เพื่อนพี่จะมาหา อาจจะต้องมาเปิดร้านกันเช้าหน่อย”

ผมพยักหน้ารับ ก็ตามอย่างที่พี่รามิลบอกนั่นแหละ ถ้าเปิดตามเวลาพี่เขาก็กลัวว่าร้านจะยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกับเพื่อน

“ได้ครับพี่ ไม่มีปัญหา”

“แต่ว่า...” เสียงของพี่รามิลเรียบนิ่งจนทำเอาคนร่วมโต๊ะขนลุก “...ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ มองได้ แต่อย่าไปยุ่งกับมัน”

‘อย่าไปยุ่งกับมัน’ งั้นเหรอ? พี่รามิลหมายถึงอะไรกันแน่

“ทำไมเหรอครับ” คนที่งัวเงียถามขึ้นพร้อมมือไม้ที่ปีนป่ายไปทั่วตัวพี่รามิล จนอีกคนต้องจัดการจับล็อกแขนเอาไว้ก่อนที่จะจับนู่นจับนี่ไปทั่ว

“เอาเป็นว่าอย่าไปยุ่งก็แล้วกัน” พี่รามิลลุกขึ้นก่อนจะขอตัวพาไอ้รัญกลับไปนอนก่อน “แล้วภูกลับยังไง”

ผมยิ้มบาง ๆ ให้พี่รามิล ก่อนจะพูดออกมาว่า

“ผมว่าคืนนี้จะอยู่ที่นี่แหละครับ”

อย่างที่ผมได้บอกไปเลย คืนนี้ผมจะนั่งอยู่ที่ร้าน All Day Long นี่แหละ ขืนกลับห้องไป มีหวังได้เจอ... ไม่อยากจะเอ่ยถึงเลย ...ให้ตาย

พี่รามิลเลิกคิ้วสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรผมต่อ

“มึงแน่ใจนะ ไปนอนห้องกูไหม ตอนนี้เที่ยงคืนกว่า หอคงล็อกประตูไปแล้ว”

ไอ้รัญที่ไม่รู้ว่าละเมออยู่หรือเปล่าพูดขึ้น นี่มันไม่ได้ฟังผมเลยใช่ไหมว่าผมจะอยู่ที่ร้านนี้ทั้งคืน แล้วก็อีกอย่าง ห้องมึงก็ห้องพี่รามิลไม่ใช่หรือไง?! กูไม่อยากไปเป็น กขค. โว้ย!

ผมถอนหายใจเมื่อเห็นสภาพเพื่อนที่ดูแบตเตอรี่ไม่เต็มร้อย ก่อนจะบอกให้พี่รามิลรีบเอามันไปเก็บได้แล้ว

“ถ้ามีอะไร มึงต้องรีบโทรหากูนะ!” แต่ไอ้รัญก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์

“ขี้โวยวายจังนะ” พี่รามิลพูดแซวมันก่อนจะหันมาบอกผมว่า “ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกนะ ตรงพื้นยังว่าง”

ผมเกือบยิ้มให้กับความใจดีของพี่รามิลไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าประโยคท้ายมันฟังดูหดหู่ไปหน่อย

พี่รามิลหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ล้อเล่น! ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลย”

ผมส่งยิ้มแห้งไปให้พี่เขา ก่อนจะรีบไล่ทั้งสองคนให้กลับไปนอนกันได้แล้ว

ความจริงก็เกรงใจพี่เขาด้วยส่วนหนึ่ง แต่ประเด็นหลักมันไม่ใช่ตรงนั้น เพราะผมเคยไปนอนค้างบ้านพี่รามิลมาแล้ว ตอนที่ไปทำงานคู่วิชาภาษาอังกฤษกับไอ้รัญ บ้านพี่รามิลอยู่ในหมู่บ้านจัดสรร เป็นบ้านสองชั้น ห้องนอนอยู่ชั้นสอง วันนั้นผมนอนชั้นล่างตรงโซฟา แต่ปัญหาก็คือเพดานมันไม่เก็บเสียง แล้วผมก็ไม่อยากได้ยินเสียงครางของไอ้รัญอีกแล้วด้วย...

“ระวังด้วยนะมึง! กลับหอเวลานี้ระวังโดนลักพาตัวด้วยนะ”

ก็บอกว่าคืนนี้ไม่กลับหอไง!

ผมส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะกระดกนมร้อนที่เย็นชืดไปแล้วจนหมดแก้ว

แต่เรื่องที่ไอ้รัญเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ ก็นับว่าเป็นหนึ่งในเรื่องสยองของมหาวิทยาลัยเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องอาถรรพ์อะไรนั่นหรอกนะครับ แต่มันเป็นเรื่องคดีคนหาย

ตั้งแต่ผมขึ้นปี 2 มา มีนักศึกษาหลายคนที่จู่ ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ปีที่ผ่านมาก็คงราว ๆ ห้าคนได้ ซึ่งก็มีทั้งคนที่อยู่หอนอกและหอใน ทางหอพักมหาวิทยาลัยเองก็ออกกฎให้นักศึกษากลับเข้าหอพักก่อนเที่ยงคืนเช่นกันเพื่อความปลอดภัย

ล่าสุดที่เป็นข่าวก็คงประมาณเมื่อห้าเดือนก่อน มีกล้องวงจรปิดจับภาพที่นักศึกษาหญิงถูกลักพาตัวระหว่างกำลังกลับหอกลางดึก จากเนื้อข่าวเธอคนนั้นพักอยู่หอนอก นั่นจึงเข้าทางผู้ก่อเหตุ แต่ทว่าไม่กี่วินาทีถัดมา ภาพของคนร้ายก็หายวับไป ราวกับว่ามันถูกตัดต่ออย่างไรอย่างนั้น

ทางตำรวจได้มีการเข้ามาสืบสวนในเรื่องนี้ วิดีโอจากกล้องถูกนำไปตรวจสอบ แต่น่าแปลกที่ไม่พบการตัดต่ออะไรเลย นอกจากนี้ยังไม่พบเบาะแสอะไรที่สามารถนำไปสู่ตัวคนร้ายได้ ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ขัดขืน ไม่มีดีเอ็นเอของใครเลยในที่เกิดเหตุ พยานวัตถุเดียวมีเพียงภาพจากกล้องวงจรปิดเท่านั้น ...ทุกอย่างมันไร้ร่องรอยจนดูคล้ายกับว่ามันไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์...

แต่พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นทีไร ผมก็รู้สึกสลดจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ห้าเดือนที่เธอคนนั้นหายตัวไป ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ผมไม่อยากจะคิดเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ครอบครัวของเธอจะต้องเสียใจมากแน่ ๆ ผมเชื่อว่าสักวันตำรวจจะต้องจับคนพวกนั้นได้ แม้พวกมันจะวิธีการบางอย่างในการทำลายหลักฐานก็ตาม

เฮ้อ... ไม่รู้จิตใจคนสมัยนี้มันเป็นอะไรกันไปหมด

 

 

 

 

⋆⋆⃟⊱✪⃝⃞⃝⊰⋆⃟⋆ ⋆⋆⃟⊱✪⃝⃞⃝⊰ ⋆⃟⋆⋆⋆⃟⊱✪⃝⃞⃝⊰

ยากแท้... หยั่งถึง