สมัยนี้แล้วยังมีจดหมายลูกโซ่อยู่อีกเหรอ? — ถ้าหากมันเป็นแค่เรื่องงมงาย ถ้ามันไม่ได้มีอาถรรพ์... ใครก็ได้บอกผมที ว่าทำไมเงาที่อยู่นอกหน้าต่างตอนนี้ ถึงได้ดูเหมือนกันคน(?)ในจดหมายเลย...
สืบสวนสอบสวน,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ชาย-ชาย,อาชญากรรม,นิยายวาย,ไสยศาสตร์,วิญญาณ,สัมผัสพิเศษ,ฆาตกรรม,มนตร์ดำ,สยองขวัญ,เล่นของ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
In Danger สัมผัสมรณะสมัยนี้แล้วยังมีจดหมายลูกโซ่อยู่อีกเหรอ? — ถ้าหากมันเป็นแค่เรื่องงมงาย ถ้ามันไม่ได้มีอาถรรพ์... ใครก็ได้บอกผมที ว่าทำไมเงาที่อยู่นอกหน้าต่างตอนนี้ ถึงได้ดูเหมือนกันคน(?)ในจดหมายเลย...
คำเตือน
นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
สถานที่ เหตุการณ์ และตัวละครเป็นเรื่องสมมติ มิได้พาดพิงถึงองค์กร วิชาชีพ หรือบุคคลใด มีการแต่งเรื่องราวที่เกินจริงเพื่อให้นิยายมีความสนุกและระทึกมากขึ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
แนะนำเรื่อง:
ในคืนที่แสนจะปกติแต่ไม่ปกติ เมื่อจดหมายลูกโซ่ถูกส่งเข้าอีเมลรัว ๆ จน 'ภูมิ์วา' ไม่สามารถพิมพ์รายงานต่อได้ ความรำคาญทำให้เขาเปิดอ่านมันในที่สุด แต่ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่อีเมลธรรมดา เพราะมันมีส่งผีมาด้วย...
พลอยโบกมือบ๊ายบายผมแล้วเดินขึ้นอาคารเรียนไป ผมส่งยิ้มให้เธอก่อนจะเดินผ่านฝูงนักศึกษาเพื่อขึ้นทางเชื่อมไปอีกอาคารหนึ่ง แม้ผมจะไม่ได้สนใจในภาษาเขมรหรือภาษาขอมโบราณ แต่ผมก็พอรู้มาบ้างว่าเรื่องราวของตัวอักษรขอมมันเป็นมายังไง
อักษรขอมถือว่าเป็นตัวอักษรที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนอกจากจะพบในบันทึกทางศาสนาแล้ว ยังพบได้ในตำราของคาถาอาคมและมนตร์ดำที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ด้วย
ภาษาขอมเป็นภาษาที่ผมไม่เคยสนใจและไม่คิดจะลงเรียน แต่ว่าหลังจากนี้ผมคงจะต้องสนใจมันแล้วละมั้ง หลังจากที่ผู้ส่งจงใจใช้ภาษาขอมส่งอีเมลจดหมายลูกโซ่มาหาผม
ผมถอนหายใจให้กับตัวเอง เมื่อคิดว่าตัวเองต้องลงเรียนภาษานี้จริง ๆ
ถ้าเป็นตัวใกล้เคียงที่ต้องลงเรียน ก็คงจะอยู่ในภาคภาษาตะวันออกละมั้ง คนยิ่งลงเรียนน้อยด้วยสิ ให้ไปนั่งเรียนเหงา ๆ แบบนั้น คงไม่ไหวหรอก...
“ภู!”
ผมได้ยินเสียงของผู้หญิงตะโกนเรียกชื่อผมจากที่ไกล ๆ เสียงเหมือนกับพลอยเลย แต่พลอยไม่น่าเรียกชื่อผมห้วนแบบนี้นะ
“ว่าไง”
ผมตอบรับพร้อมกับหันหลังไป บางทีพลอยอาจจะลืมอะไรก็ได้ ก็เลยรีบเรียกผม แต่ทว่าด้านหลังของผมมันกลับเป็นพื้นที่ทางเดินโล่ง ๆ ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยสักคน บนทางเชื่อมอาคารที่กำลังข้ามฟากนี้มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น
นี่มันอะไรกัน... เมื่อกี้ยังมีคนอยู่เต็มเลยนี่?
“ภู”
เสียงนั้นเรียกผมจากข้างหลังอีกแล้ว
ผมหันไปตามเสียงเรียก และก็พบความว่างเปล่าเหมือนเดิม
ความรู้สึกผิดปกติคืบคลานเข้ามาในตัวผมอย่างช้า ๆ ถึงจะเป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องของสิ่งลี้ลับ แต่เพราะคุณแม่เป็นคนที่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้มาก นั่นจึงทำให้ผมพอจะซึมซับความเชื่อบางอย่างจากผู้เป็นแม่มาบ้าง
‘หากได้ยินเสียงคนเรียก อย่าขานรับ ลูกต้องดูให้แน่ใจก่อน’
อาการขนลุกแบบเดียวกันกับตอนที่เห็นหญิงคอหักในคืนนั้นหวนกลับมาอีกครั้ง
เอาแล้วไง แม่งเผลอขานรับไปแล้วด้วย
“ภู...”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกลากยาวปลิวผ่านสายลมเข้ามาในโสตประสาท พร้อมกันกับที่กระแสลมกระโชกที่ก่อตัวจากทางไหนไม่รู้พัดผ่านร่างของผม ใบไม้แห้งปลิวว่อนในอากาศผ่านหน้าผมไปก่อนจะเผยให้เห็นร่างของใครบางคนที่ยืนห่างจากผมไปไม่กี่เมตร
ผู้ชายตัวใหญ่พุงพลุ้ยสวมชุดเหมือนคนขายเนื้อ ผ้ากันเปื้อนที่ควรจะเป็นสีขาวมีแต่คราบของเลือดซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจนัก ว่ามันคือเลือดของหมูหรือเลือดของคนกันแน่ หรือบางทีผมอาจจะเชื่อว่ามันเป็นเลือดของหมูก็ได้ ถ้าคนตรงหน้าไม่ได้มีดวงตาที่กลวงโบ๋
“ภู”
มือเย็นแตะที่หลังคอจนร่างกายของผมสะท้าน ริมฝีปากที่แห้งผากเปิดปากอ้าก่อนจะร้องโวยวายเสียงดังเพราะความตกใจ พร้อมกับมือทั้งสองข้างที่พยายามปัดป้องอะไรก็ตามที่เข้ามาหาผม
“ว้าก!”
แม่งเอ๊ย! ทำไมกูซวยแบบนี้วะ?!
“ภู เป็นอะไร?”
เสียงที่ผมรู้จักเรียกชื่อซ้ำอีกครั้งพร้อมกับเขย่าตัวผม
เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อย ๆ ลืมขึ้นช้า ๆ เพื่อมองเจ้าของเสียง
“ทอย?”
“ใช่ ฉันเอง”
ทอยมองมาที่ผมด้วยสายตาแปลก ๆ ตอนนี้รอบข้างไม่ได้เงียบแล้ว สถานที่นี้ไม่ได้โล่งอีกต่อไป เพราะมันถูกบรรจุด้วยนักศึกษามากมายที่กำลังเดินสวนพร้อมกับสายตานับร้อยที่มองมายังผม
เมื่อกี้มัน... อะไรวะ? หลอนอีกแล้วเหรอ?
“เห็นยืนเหม่ออยู่ เป็นอะไรหรือเปล่า”
เมื่อกี้ผมแค่ยืนเหม่องั้นเหรอ?
“คงจะเครียดน่ะ”
ผมบอกปัดไปก่อนจะเดินหนีออกมา แต่ก็ถูกทอยคว้าข้อมือเอาไว้อีกครั้ง
“มีอะไร?”
ผมถามก่อนจะดึงข้อมือของตัวเองออก อีกฝ่ายที่เพิ่งรู้ตัวว่าจับแรงไปคลายมือออกก่อนจะพูดว่า
“พอดีไอ้เพชรมันบอกว่าจะมาเอาของที่เคยฝากรัญไว้”
“ของอะไรเหรอ?”
“มันบอกว่าของส่วนตัว พอดีมันไม่กล้าสู้หน้าพวกนาย ก็เลยฝากฉันมายืมกุญแจ”
เอ... ไม่ใช่ว่ารัญขนของออกไปหมดแล้วเหรอ? ไอ้ที่เหลืออยู่ก็มีแต่เครื่องคอมพิวเตอร์นี่
ผมเหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้า ทอยพักอยู่หอเดียวกับผม แต่เราอยู่กันคนละชั้น ผมอยู่ชั้นสี่ ส่วนทอยอยู่ชั้นสาม ผมมองหมวกกันน็อกและกุญแจรถในมือของอีกฝ่าย เตรียมพร้อมขนาดนี้ดูเหมือนทอยคงจะไม่มีเรียนบ่ายสินะ
“ไปเอาเองได้ไหม”
ผมส่งกุญแจสำรองให้กับทอย ทอยรับมันไปอย่างงุนงงก่อนจะถามผมว่า
“ไม่ไปด้วยกันเหรอ”
“พอดีฉันมีเรียนต่อ เสร็จแล้วฝากไว้ใต้หอก็ได้”
“เอางั้นก็ได้” ทอยพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป
ผมถอนหายใจอีกครั้ง วันนี้มันวันซวยอะไรของผมเนี่ย ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดเปิดดูเวลา ยังมีเวลาอีกสิบห้านาทีก่อนคลาสเริ่ม
แต่จังหวะนั้นเองที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟนของผมถูกปลดล็อกด้วยระบบสแกนหน้า มือของผมกดเลื่อนภาพล็อกหน้าจอขึ้นด้วยความเคยชิน รูม่านตาที่เคยขยายกว้างค่อย ๆ หดเล็กลง เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองเปิดค้างไว้คืออะไร
อีเมลภาษาขอมอีกฉบับที่ผมยังไม่ได้เปิดดู ทำไมมันถึงขึ้นว่าอ่านแล้วล่ะ?
ผมมัวแต่คิดว่าทำไมอีเมลฉบับนั้นถึงถูกเปิดอ่าน จนไม่ได้สนใจเรียนวิชาภาคบ่าย แล้วไหนจะยังคำพูดก่อนหน้านั้นของพลอยด้วย
‘มันคือภาษาขอมค่ะ พี่ไม่ได้ไปทำให้ใครเกลียดมาใช่ไหมคะ’
โดยเฉพาะไอ้ประโยคท้ายนี่แหละที่มันทำให้ผมเริ่มคิดหนัก
“วันนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ”
ฝนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สะกิดแขนผม ส่วนไอ้เอฟตัวตั้งตี้ที่มักจะชวนออกไปกินเหล้าก็ยกแขนมาคล้องคอผมแล้วใช้มืออีกข้างตบที่อกเบา ๆ
“เครียดไรวะเพื่อน เดี๋ยววันนี้กูเลี้ยงมึงเอาไหม”
ผมผลักมันออกเบา ๆ ก่อนจะตอบไปว่า
“มึงบอกจะเลี้ยง ก็ไม่เคยเลี้ยงจริงอ่ะ”
“โห่ เพื่อน... วันนั้นกูเมาก็เลยสลบไปก่อนไง”
“เลิกโม้ คอแข็งอย่างมึงเนี่ยนะ”
ฝนหัวเราะเมื่อเห็นผมต่อล้อต่อเถียงกับไอ้เอฟ
หลังจากที่เลิกคลาสพวกเราสามคนเดินออกมาจากตึกคณะพร้อมกัน ระหว่างทางก็พูดคุยกันไปด้วยว่าจะไปกินร้านไหนดี เพราะผมเองก็ไม่คิดจะอยู่ห้องเหมือนกัน ขืนกลับไปมีหวังได้เจอทั้งผู้หญิงคอหักและคนขายเนื้อแน่ ๆ
กึก
แล้วสองเท้าของผมก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า
ผู้ชายตัวสูงสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำพับแขน กางเกงสีครีม เจาะจิวที่หูทั้งสองข้าง ตัดผมทรงวูฟคัท คนคนนั้นยืนพิงรถเก๋งสีดำที่จอดอยู่ตรงข้างฟุตบาทพร้อมกับมองมาที่ผม
“พี่เธียร?”
“จะไปไหน”
พี่เธียรที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวเอ่ยเสียงแข็งใส่ผมราวกับพ่อแม่ที่หวงลูก
“พี่รู้ได้ไงว่าผมอยู่คณะอะไร”
พี่เธียรมองผมนิ่ง ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาคว้าข้อมือเพื่อดึงตัวผมออกมาจากกลุ่มเพื่อน
“พี่ถามว่าจะไปไหน?”
“ไม่ได้จะไปไหนสักหน่อย”
ผมที่ยังงงอยู่รีบตอบก่อนที่จะโดนบีบข้อมือแรงกว่านี้
“อ้าว! ไหนว่าจะไป Heat Up ด้วยกันไงเพื่อน?”
พี่เธียรได้ยินดังนั้นก็หยุดเดิน ก่อนจะหันไปบอกเพื่อนของผมว่า
“พี่ไม่ให้ไป”
จากนั้นจึงกดกุญแจรถรีโมท เปิดประตูรถแล้วดันตัวผมเข้าไปในรถ
ผมมองฝนกับไอ้เอฟยืนงงอ้าปากค้าง แล้วสลับหันมามองพี่เธียรที่กำลังสตาร์ทรถ
“พี่ทำเหมือนเป็นแฟนภูเลย รู้ตัวหรือเปล่า”
พี่เธียรสตาร์ทรถเหยียบคันเร่งหมุนพวงมาลัยขับออกไป ก่อนจะหันมาพูดกับผมที่ตามมาอย่างไม่ขัดขืนว่า
“เจอผีมา ยังจะทำเป็นเล่นได้อีกนะ”
⋆⋆⃟⊱✪⃝⃞⃝⊰⋆⃟⋆ ⋆⋆⃟⊱✪⃝⃞⃝⊰ ⋆⃟⋆⋆⋆⃟⊱✪⃝⃞⃝⊰
หูแว่วอยู่ดี ๆ พี่ก็โผล่มาเฉยเลย