เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นในหอพักที่ฉันเช่าอยู่ค่ะ
ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เลือดสาด,ไทย,blood,gore,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ห้อง(ไม่)ว่างให้เช่า [มี E-book]เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นในหอพักที่ฉันเช่าอยู่ค่ะ
**คำเตือน**
นิยายเรื่องนี้อาจมีเนื้อหาบางส่วนที่ค่อนข้างรุนแรง
เช่น การบรรยายถึงเลือด น้ำหนอง อวัยวะของมนุษย์
รวมไปถึงพฤติกรรม การกระทำหรือคำพูดที่ไม่เหมาะสม
นักเขียนไม่มีเจตนาส่งเสริมการกระทำใดก็ตามที่เกิดขึ้นในเรื่อง
ฉะนั้นโปรดใช้วิจารญาณในการอ่านนะคะ
หากท่านใดไม่สะดวกใจที่จะอ่านเนื้อหาดังกล่าว
รออ่านนิยายเรื่องอื่นของภุมโมได้นะคะ💕
ปล.นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของภุมโมเท่านั้น
ขอให้ทุกท่านสนุกกับการอ่านค่ะ🍀
ตั้งแต่วันนี้ฉันจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สินะ ฉันออกไปเดินสำรวจรอบนอกอาคารอีกครั้ง ด้านหน้าอาคารมีโต๊ะหินอ่อน สนามหญ้าสีเขียวภายในรั้วไม้สีขาวไม่มีอะไรแตกต่างไปจากครั้งแรก เห็นแบบนั้นก็เลยเดินไปด้านข้างของตัวอาคารแทน
สิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าคือต้นไทรสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขามอบความร่มเย็นไปทั่วบริเวณ ครั้งก่อนฉันไม่ได้เข้ามาใกล้แบบนี้ ไม่คิดเลยว่าต้นไทรต้นนี้จะมีลำต้นที่สูงใหญ่มากแถมยังดูน่ากลัวกว่าครั้งแรกที่เห็นเสียอีก ยิ่งมองยิ่งขนลุก ฉันเลยเดินเลียบขนาบไปกับตัวอาคารและเห็นต้นลีลาวดีสามต้น ผลิดอกบานสะพรั่งแกนดอกสีเหลืองนวล กลีบสีขาวผ่องดูสวยงามและน่ากลัวไปในเวลาเดียว
ยืนดูดอกลีลาวดีจนรู้สึกผ่อนคลายสบายใจแล้วก็เริ่มหิว เลยกลับไปกินข้าวที่ห้อง ฉันหยิบแกงจืดเต้าหู้ไข่ใส่หมูสับที่อยู่ในตู้เย็นมาอุ่นในไมโครเวฟกินพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ อย่างเอร็ดอร่อย พลางคิดขึ้นได้ว่าตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวแล้ว ช่วงนี้คงต้องหาเวลาไปฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนบ้านสักหน่อย กินเสร็จก็รีบเก็บจานชามไปล้างทำความสะอาดและออกจากห้องพร้อมหยิบขนมที่เตรียมไว้สำหรับเป็นของฝากติดไม้ติดมือไปด้วย
ห้องแรกที่ฉันอยากทักทายคือห้องตรงข้าม ฉันออกแรงเคาะประตูที่มีตัวอักษรสลักไว้เด่นชัด ห้องหมายเลข ๘
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
รออยู่สักพักก็ไม่มีเสียงใครขานตอบกลับมา ฉันจึงเคาะประตูอีกครั้งและครั้งนี้ฉันใส่แรงเพิ่มขึ้นนิดหน่อยเพราะต้องการให้เสียงเคาะประตูดังขึ้นเผื่อคนในห้องไม่ได้ยิน
ก๊อก!!! ก๊อก!!! ก๊อก!!!
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีใครอยู่ห้องมั้ยคะ” รออีกพักใหญ่ก็ยังไม่มีเสียงใครตอบรับกลับมาและไม่มีวี่แววว่าจะมีใครออกมาเปิดประตู สงสัยเจ้าตัวคงไม่อยู่ห้อง ฉันก็เลยเดินตรงไปยังห้องถัดไปหวังจะเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็ต้องหยุดมือเพราะเสียงคุณอรัญ
“คุณบัวทำอะไรอยู่ตรงทางเดินครับเนี่ย ผมได้ยินเสียงเคาะประตูดังไปถึงด้านหน้าเลย” เขาถามฉันอย่างสุภาพแต่สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเจือปนความขุ่นเคืองจนฉันรู้สึกผิด สงสัยการกระทำเมื่อครู่คงส่งเสียงดังรบกวนผู้เช่าคนอื่น คิดได้ดังนั้นฉันก็กล่าวขอโทษแต่โดยดี
“ขอโทษด้วยนะคะที่ฉันเคาะประตูเสียงดังไปหน่อย พอดีฉันเอาของฝากมาทักทายเพื่อนร่วมหอ แต่ดูเหมือนว่าห้องแปดจะไม่มีใครอยู่ ฉันเลยจะไปทักทายผู้เช่าห้องอื่นแทนค่ะ” ฉันอธิบายด้วยระดับเสียงที่เบากว่าปกติและยื่นของฝากให้ชายตรงหน้าหนึ่งชิ้นพร้อมยกยิ้มเล็กน้อย
“อันนี้ของคุณอรัญนะคะ” เขายื่นมือมารับของฝากชิ้นเล็กจากฉันทว่าสีหน้าของเขายังเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“ขอบคุณมากครับ เพราะครั้งนี้คุณบัวเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ผมจะไม่ดุอะไร แต่ครั้งหน้าหวังว่าคุณบัวจะไม่เคาะประตูเสียงดังแบบนี้อีกนะครับ”
“ค่ะ” เขานิ่งไปเล็กน้อยหลังได้ยินฉันขานรับ
“จริงสิ ผมยังไม่ได้เล่าประวัติของหอพักให้คุณรู้เลย วันนี้คุณมีธุระที่ไหนหรือมีแผนจะออกไปข้างนอกรึเปล่าครับ”
“วันนี้ฉันว่างค่ะ แต่แค่เล่าประวัติเกี่ยวกับที่นี่ต้องใช้เวลาทั้งวันเลยเหรอคะ” ฉันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามข้อสงสัยนี้
“หอพักนี้เก่าแล้ว ย่อมมีเรื่องราวเยอะแยะไปตามกาลเวลาเป็นธรรมดาครับ ความจริงแล้วหอพักนี้เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างสงบร่มเย็นและมีความสันโดษมากพอสมควร คุณอาจจะไม่ได้สังเกตแต่ไม่ค่อยมีใครสร้างปัญหาให้ที่นี่ครับและถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากให้คุณบัวอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขครับ” คุณอรัญตอบกึ่งตักเตือน ฉันทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เพิ่งทำลงไปและจะพยายามไม่สร้างปัญหาให้ผู้เช่าคนอื่นอีก
“ค่ะ”
“ประวัติหอพักที่ผมจะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้เช่าที่เคยพักในหอนี้ครับ ผมก็แค่อยากเล่าให้ฟังแต่ไม่แน่ใจว่าคุณบัวสนใจรึเปล่า” คุณอรัญเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาพร้อมหันมายกยิ้มเล็กน้อย ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขากลับมายิ้มแย้มอีกครั้งโดนปราศจากท่าทีขุ่นเคือง
“คุณกำลังชวนฉันคุยเรื่องคนอื่นสินะคะทำแบบนี้จะดูเป็นคนไม่ดีรึเปล่าคะเนี่ย” ฉันไม่สนใจเรื่องที่ถูกตำหนิก่อนหน้านี้อีกแล้วเพราะคิดว่าเรื่องที่คุณอรัญกำลังจะเล่าให้ฟังน่าสนใจกว่าเยอะ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เรื่องที่ผมจะเล่าให้คุณฟังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นครับแต่ผมบังเอิญได้รับรู้มา เพราะงั้นคุณบัวสบายใจได้ ถือซะว่าผมแค่เล่าสู่กันฟัง ไม่แน่คุณบัวอาจจะได้อะไรบางอย่างไปเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายก็ได้ครับ”
เขาหยิบยกเหตุผลขึ้นมาอธิบายด้วยท่าทีอารมณ์ดี แถมยังมีการเสนอเงื่อนไขที่น่าสนใจอีกด้วย แค่ฉันรับฟังเขาก็สามารถใช้เรื่องเล่าพวกนั้นเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนได้ งานนี้ไม่มีทางไหนเลยที่ฉันจะเสียผลประโยชน์ ฉันจึงพยักหน้าตอบตกลง
“งั้นจะทำยังไงกับของฝากพวกนี้ดีล่ะคะ ฉันอุตส่าห์ตั้งใจเอามาฝากทุกคน” ฉันถามความเห็นจากเขาและชูของฝากในมือ จะให้เอาของที่ตั้งใจเอามาฝากคนอื่นกลับไปที่ห้องของตัวเองก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่ จะทำยังไงดีล่ะ
“เอาฝากไว้ที่ผมก็ได้ครับ ถ้าได้เจอผู้เช่าคนอื่นผมจะบอกว่าคุณบัวฝากทักทายมานะครับ” ฉันเห็นด้วยกับความคิดนี้เลยยื่นของฝากทั้งหมดให้เขา จะว่าไปตั้งแต่ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ยังไม่เจอใครนอกจากคุณอรัญเลย อดคิดไม่ได้ว่ามีห้องเช่าว่างอยู่แค่ห้องเดียวอย่างที่เขาบอกจริง ๆ รึเปล่า
“งั้นคุณบัวไปนั่งรอตรงโต๊ะหินอ่อนก่อนเลยครับ ผมขอเอาของฝากไปเก็บก่อนและจะเตรียมเครื่องดื่มไปให้ วันนี้เอาเป็นโกโก้ร้อนแล้วกันนะครับ” พูดจบเขาก็เดินหันหลังกลับไป ทิ้งให้ฉันยืนอยู่หน้าประตูคนเดียว
ฉันตัดสินใจกลับไปห้องพักเพื่อหยิบอุปกรณ์เครื่องเขียน ไหน ๆ คุณอรัญก็อนุญาตให้ฉันใช้เรื่องราวที่เขาจะเล่าเป็นส่วนหนึ่งในการเขียนนิยายแล้ว ฉันก็ขอพาสมุดบันทึกเล่มโปรดไปจดรายละเอียดสักหน่อยแล้วกัน เผื่อจะได้อะไรบางอย่างที่น่าสนใจ
ขณะที่กำลังคิดอะไรอย่างเพลิดเพลินและเดินผ่านโถงยาวก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องไม่ส่งเสียงดัง ฉันเลยพยายามเดินย่องอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดของแผ่นไม้ดังมากจนเกินไป คุณอรัญบอกว่าคนที่นี่รักความสงบสุขและมักสันโดษ แต่ใครจะไปรู้บางทีผีบ้านผีเรือนที่นี่อาจจะชอบความรุนแรงก็เป็นได้
ฉันเดินออกมาถึงหน้าอาคารได้อย่างปลอดภัย ก่อนจะหยุดตรงโต๊ะหินอ่อนตัวเดิม วางสมุดจดบันทึกเล่มโปรดลงบนโต๊ะและนั่งรอคุณอรัญ เพียงชั่วครู่คุณอรัญก็เดินออกมาจากตัวอาคาร ภายในมือทั้งสองข้างถือแก้วเซรามิคลายเดียวกับคราวก่อน แตกต่างตรงที่ครั้งนี้มีกลิ่นหอมของโกโก้แสนเข้มข้นลอยโชยมาตามสายลมแทน
ความจริงแล้วฉันรู้สึกดีที่อย่างน้อยหอพักนี้มีคุณอรัญเป็นผู้ดูแล ไม่งั้นฉันคงต้องทนอยู่ที่นี่ไปพร้อมกับความเงียบเหงาแน่นอนเพราะท่าทางผู้เช่าคนอื่นคงไม่อยากออกมาสุงสิงกับใคร คุณอรัญนั่งลงตรงข้ามฉันเหมือนเช่นเคยพร้อมยื่นแก้วหนึ่งในนั้นมาให้ ฉันหยิบแก้วโกโก้ร้อนขึ้นสูดดมกลิ่นหอมของมัน เป่าลมเบา ๆ ใส่ควันที่ลอยออกมาเพื่อระบายความร้อนและยกขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนจะถามถึงเรื่องที่คุณอรัญอยากเล่าก่อนหน้านี้
“เรื่องที่คุณอรัญจะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องแบบไหนเหรอคะ ตอนแรกฉันเข้าใจว่าอาจจะเป็นประวัติของการสร้างที่นี่ แต่คุณบอกว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนอื่น ฉันเลยอยากรู้ว่าเรื่องที่คุณอยากเล่าให้ฉันฟังเป็นเรื่องแบบไหน”
“เรื่องเล่าผีล่ะมั้งครับ” เขาตอบน้ำเสียงติดตลกอีกเช่นเคยและมองตรงเข้ามาในดวงตาฉัน
เราสองคนสบตากันเพียงครู่หนึ่ง นัยน์ตาของเขายังคงเป็นสีดำสนิทเช่นเดิม แต่ครั้งนี้กลับมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปและนั่นทำให้ฉันรู้สึกว่านัยน์ตาของเขาดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก ไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรตอบไป เขาก็เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ทราบว่าคุณบัวกลัวเรื่องสยองขวัญหรือเรื่องผีสางนางไม้รึเปล่าครับ” ขอบอกตามตรงว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่ตอบค่อนข้างยากสำหรับฉัน
“ไม่เชิงกลัวหรอกค่ะ ต้องบอกว่าตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาฉันยังไม่เคยเจอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งลี้ลับพวกนั้นเลย ส่วนใหญ่ฉันได้รับประสบการณ์สยองขวัญจากการอ่านหนังสือนวนิยายหรือไม่ก็ดูหนังแนวผีทั่วไปเลยค่ะ ความรู้สึกส่วนตัวไม่ได้กลัวอะไรขนาดนั้น แต่ฉันไม่เคยหลบหลู่ดูแคลนความเชื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่เลยนะคะ”
“ถือว่าเป็นคนที่โชคดีนะครับ ดีแล้วที่ชีวิตไม่เคยต้องพบเจอเรื่องน่ากลัวเลย พอดีก่อนหน้านี้ผมค่อนข้างกังวลว่าถ้าเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟังแล้วคุณบัวจะคิดมากรึเปล่าเพราะต่อจากนี้ไปคุณบัวต้องอาศัยอยู่ที่หอพักนี้นี่ครับ”
“น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอคะ ฉันเริ่มจะหวั่นใจแล้วสิ” ครั้งนี้เป็นฉันเองที่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงติดตลก ระหว่างนั้นฉันเปิดสมุดบันทึกเตรียมพร้อมจดสำหรับแนวคิดที่อาจจะได้จากเรื่องเล่าของคุณอรัญ
“อ้อ! ผมเกือบลืมบอกไปเลย เมื่อกี้คุณบัวเคาะประตูห้องแปดใช่มั้ยครับ ห้องนั้นไม่มีใครอยู่ครับห้องนั้นเป็นห้องเก็บของ” ทันทีที่เขาบอกเรื่องนี้ก็ไขข้อข้องใจให้ฉันไปได้หนึ่งเรื่อง
“เป็นห้องเก็บของนี่เอง ถึงว่าฉันเคาะประตูเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงใครตอบกลับมาเลย นี่ถ้ามีเสียงคนขานตอบฉันต้องขนหัวลุกแน่เลยค่ะ งั้นก็แสดงว่าที่นี่มีห้องพักแค่เจ็ดห้องสินะ” ฉันกล่าวเชิงสรุปให้ตัวเอง ก่อนจะถามเรื่องหอพักขึ้นอีกครั้งเพราะเห็นคุณอรัญเงียบไป
“หอพักนี้สร้างมานานแล้วเหรอคะ สภาพรั้วไม้และอาคารดูเหมือนจะเก่ามากแล้วนะคะ” ฉันถามพลางหันมองรั้วไม้สีขาวซีดที่อยู่ด้านนอก
“ใช่ครับ หอพักนี้สร้างมานานแล้ว ผมได้มาเป็นผู้ดูแลที่นี่เมื่อไม่นานมานี้เองครับ จำได้ว่าตอนนั้นค่อนข้างวุ่นวายเลยทีเดียว แต่หอพักเก่าแบบนี้อยู่แล้วครับ ผมก็คอยปรับปรุงดูแลรักษามาเรื่อย ๆ” น้ำเสียงที่เขาตอบกลับมาครั้งนี้ไม่ได้เจือปนความขี้เล่นเหมือนทุกที เขาคงมีความทรงจำร่วมกับที่นี่มากมายเลยสินะถึงได้เป็นผู้ดูแลหอมาจนทุกวันนี้
“คุณอรัญบอกว่าเพิ่งเป็นผู้ดูแลได้ไม่นานแต่คุณดูผูกพันธ์กับที่นี่มากเลยนะคะ”
“อาจจะเพราะช่วงแรกเจอเรื่องวุ่นวายเยอะมั้งครับ ถ้าคิดตามระยะเวลาก็ไม่นานเท่าไหร่แต่สำหรับผมมันช่างนานเหลือเกิน…ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้ดูแลหอพักที่แสนเงียบเหงาแห่งนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่ตอนนี้มีคุณบัวเข้ามาอยู่แล้ว” เขาตอบพลางยกยิ้ม ครั้งนี้น้ำเสียงของเขากลับมาสดใสอีกครั้ง
“ถึงคุณอรัญจะบอกว่าผู้เช่าคนอื่นรักสันโดษแต่ฉันเชื่อว่ายังไงก็ต้องมีโอกาสได้เจอหน้ากันบ้าง ฉันจะสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนที่นี่ให้เองค่ะและถ้าถึงตอนนั้นแล้วยังไม่มีใครสนใจก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ตอนนี้มีฉันมาอยู่ด้วยแล้วหลังจากนี้คุณอรัญไม่เหงาแน่นอนค่ะ” ฉันกล่าวตอบไปอย่างจริงใจ คงไม่ใช่ฉันคนเดียวสินะที่กลัวว่าจะต้องอยู่ที่นี่อย่างเงียบเหงา
“ขอบคุณมากครับที่คุณบัวเลือกที่นี่” เขาขอบคุณพร้อมส่งยิ้มให้ฉันอีกครั้งและเพื่อเป็นการตอบแทนที่เขาเป็นคนใจดีขนาดนี้ฉันจึงจดบันทึกทุกเรื่องราวที่เขาเล่าไว้ในสมุดเล่มโปรดของฉัน
“ครับ...งั้นผมเริ่มเล่าเลยนะครับ”
.
.
.
ฝากให้กำลังใจนักเขียนมือใหม่คนนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ