เปิดประสบการณ์ เปิดใจ เปิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ กับเรื่องเล่าก่อนนอน ที่ไม่สามารถหลับตาลง

เรื่องเล่าก่อนนอน - ตอนที่ 2 เรื่องเล่าบทที่ 2 โดย Violet @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เล่าประสบการณ์,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เรื่องเล่าก่อนนอน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

เล่าประสบการณ์,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี

รายละเอียด

เปิดประสบการณ์ เปิดใจ เปิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ กับเรื่องเล่าก่อนนอน ที่ไม่สามารถหลับตาลง

ผู้แต่ง

Violet

เรื่องย่อ

สารบัญ

เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 1 เรื่องเล่าบทที่ 1,เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 2 เรื่องเล่าบทที่ 2,เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 3 เรื่องเล่าบทที่ 3,เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 4 เรื่องเล่าบทที่ 4

เนื้อหา

ตอนที่ 2 เรื่องเล่าบทที่ 2

ฉันเกริ่นเรื่องราวของฉันมาตั้งนานแล้ว นานไม่นาน ผ่านมาแล้ว 3 ตอน คุณคงอยากรู้เรื่องจริงๆของฉันแล้วสิ รีบๆเล่า ใช่ไหม? แน่นอนเรื่องของคนเห็นผีมาไม่เหมือนกันและไม่มีใครเหมือน ก็เหมือนร้อยพ่อพันแม่นั้นแหละ… เรื่องของฉันคุณคงยังจำได้ผู้ใหญ่ว่าฉันมีจิตนาการสูง และ รุ่นเดียวกันที่เล่นกับฉันว่าเป็นบ้าชอบพูดคนเดียว แต่ทุกคนจะได้รู้ถึงสิ่งที่ฉันเป็นรวมถึงตัวฉันด้วยสักที… 

ตอนฉันเป็นเด็ก วันนั้นฉันจำไม่ได้ว่าเป็นวันอะไรแต่สิ่งที่จำได้ตอนสมัยเด็กๆ จริงสิ ! ไม่น่าลืมเลย ฉันยังไม่ได้บอกล่ะสิว่าฉันอยู่กับใคร? อ้าววววเกริ่นอีกล่ะ คุณๆอย่าเพิ่งเสียอารมณ์แล้วปิดหนังสือฉันนะ ฉันขอเกริ่นนิดเดียวแค่นิดเดียวจริงๆ บ้านฉันเป็นบ้านไม้ ยกสูงตามประสาบ้านที่อยู่นอกเมืองหรือเรียกตามภาษาชาวบ้านว่า “ บ้านนอกนั้นแหละ ” มีห้อง อยู่ 3 ห้อง และที่เหลือเป็นลานว่างๆ ห้องครัวและห้องน้ำอยู่ด้านล่างของตัวบ้าน ถ้าคุณคิดไม่ออกก็ลองนึกถึงบ้านสมัยเก่าๆที่ทำด้วยไม้ (ไม่รู้ว่าไม้อะไร) เปลือกไม้เป็นสีดำ (ดำแบบดำจริงๆไม่รู้เอาอะไรทา) ที่บอกว่า 3 ห้อง มีห้องปู่และย่า , พ่อและแม่ แล้วก็ห้องฉันกับพี่สาว เอ่อ! ฉันลืมบอกไปปู่ฉันเป็นมรรคนายกประจำวัดที่มีคนนับถือมากใครๆก็ เรียกว่า“ พ่อครู ” ลืมบอกอีกอย่างบ้านฉันนอกจากมีชั้นเดียวยกพื้นสูง คุณๆลองนึกหรือมโนภาพตามก็ได้นะ หรือไม่ก็ไปดูหนังไทยสมัยออเจ้าน่ะ.... แต่เป็นรูปแบบของล้านนาแท้ๆ ขนาดเสาบ้านตั้ง 3 คนโอบ คุณคิดว่าใหญ่แค่ไหนล่ะ บริเวณบ้านมีบ้านทวด และญาติๆที่อยู่ด้วยกันอีก 2 หลัง รั้วบ้านไม่ต้องพูดถึงไม่มี ส่วนบ้านข้างๆหรือเรียกว่า“เพื่อนบ้าน” ก็ไม่มีรั้วนะ สามารถเดินหากันได้สบาย สมัยนั้นไม่มี อันตรายใดๆ เราสามารถเดินไปมาหาสู่กันได้....เอาละนี่ก็คร่าวๆของความเป็นอยู่ที่ฉันสมัยเด็ก คุณๆคงพอนึกออกนะ

 ต่อเลยนะในสมัยเด็กฉันสนิทกับปู่มาก ปู่ไปไหนก็ต้องมีฉันติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอ ถ้าไม่ไปปู่ก็จะเรียกและหลอกล่อด้วยเงิน ( 555 งกตั้งแต่เด็กๆ) ปู่รักฉันมากเลยไม่ได้คิดเอาเองนะ ญาติๆบอกอย่างนั้น ฉันก็ว่าใช่ ปู่รักฉันมากเช่นกันไม่งั้นไปไหนมาไหนไม่เรียกฉันไปด้วยหรอกจริงไหม ? หลานมีตั้งหลายคนไม่เรียกแต่เวลาไปไหนมาไหนกับเรียกฉัน ทำให้ฉันรู้สึกว่าปู่รักฉันมากที่สุดในบรรดาหลานๆของปู่ (คิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน) วันนั้นฉันจำได้ว่าฉันเดินไปหาปู่ซึ่งปู่กำลังรดน้ำต้นไม้ ฉันเข้าไปถามปู่ “ ปู่พี่จุกบอกว่าอยากกินน้ำแดงและขนม ปู่ไม่ให้นานแล้ว พี่จุกบอกว่าหิว ” ฉันพูดกับปู่แล้วก็ยิ้ม ปู่หันมามองหน้าฉันที่กำลังยิ้มแป้นแล้น ปู่เอ่ยกับฉันว่า “ ไปปิดน้ำให้ปู่หน่อยแล้วเดี๋ยวมานั่งคุยกันบนบ้าน” แล้วปู่ก็ยื่นสายฉีดน้ำให้ ฉันรับพร้อมกับวางสายฉีดน้ำแล้ววิ่งไปปิดน้ำตามที่ปู่บอก ในใจฉันคิดว่าปู่ต้องเล่าเรื่องอะไรดีๆให้ฉันฟังแน่ ๆ เพราะปู่เองชอบเล่านิทานให้ฟังอยู่เสมอ นิทานของปู่มักไม่เคยซ้ำกันเลย พอฉันไปปิดน้ำเสร็จ ฉันก็วิ่งไปหาปู่ ซึ่งปู่เองกำลังนั่งที่ลานหน้าหิ้งพระบนบ้าน ท่าทางของปู่เงียบขรึมและทำหน้าเหมือนวิตกกังวลอะไรซักอย่าง ฉันเดินเข้าไปหาปู่จากอาการดีใจร่าเริงตอนไปบอกปู่ กลับกลายเป็นอาการกลัวแทนภายในใจคิดว่าฉันทำอะไรผิดรึเปล่า? หรือพูดอะไรผิด ปู่จะตีไหม? คิดไปต่างๆนานา ปู่เห็นฉันทำหน้าอย่างหมาเหงา ปู่ยิ้มให้แล้วมาบอกว่ามานั่งใกล้ๆปู่นี่ ตรงที่ปู่นั่งเป็นลานซึ่งไม่กว้างมากนักแล้วมีหิ้งพระหันเข้ามาในบ้าน ด้านล่างหิ้งพระมีไม้แป้นเก่าสีดำต่อออกมากับผนังบ้านความยาวพอๆกับหิ้งพระและมีพานเก่าๆโบราณสีเงินที่ในพานประกอบด้วยธูป เทียน ดอกไม้ แล้วแก้วที่ใส่น้ำขมิ้นส้มป่อย    

 ( ภาคเหนือเรียกแบบนี้นะ แต่ภาคอื่นฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเรียกว่าอะไร) ฉันรู้สึกขนลุกและกลัวอย่างบอกไม่ถูกทั้ง ๆที่ปู่ก็นั่งอยู่ตรงนั้น หิ้งพระก็มี แล้วนี่ก็บนบ้านตัวเองแท้ๆ ลานที่มีหิ้งพระฉันแทบไม่เคยเดินมาด้วยซ้ำ คงเพราะห้องฉันกับพี่อยู่ใกล้กับประตูบ้านเลยไม่ค่อยได้เข้าไปข้างในเท่าไหร่ (ขนาดบ้านตัวเองแท้ๆยังเดินไม่ทั่ว) แต่มาคิดตอนนี้ก็แปลกแล้วห้องปู่อยู่นั้นทำไมฉันไม่เคยไปบริเวณนั้นเลยนะ เอาล่ะวกกลับมาหาปู่เรียกฉันก่อน (เดี๋ยวจะกลายเป็นอารัมภบทอีก) ฉันเดินไปนั่งใกล้ปู่ด้วยความกลัวจึงทำตัวนั่งพับเพียบเรียบร้อย ปู่ลูบหัวฉันแล้วบอกว่า“ไม่ต้องกลัว จะกลัวอะไร พระก็มีนี่ ปู่ก็อยู่นี่ จะกลัวอะไร ” ฉันยิ้มให้กับปู่แต่ใจก็กลัวอยู่ดี ไม่รู้เพราะอะไรความรู้สึกเย็นยะเยือกมาปะทะในร่างกายของฉัน ปู่ถามฉัน “เคยเจอพี่จุกกี่ครั้งแล้ว ” ฉันตอบปู่ “ก็เล่นด้วยกันตั้งแต่เด็กแล้ว ”(แล้วตอนนั้นไม่เด็กหรือไง ตอบไปได้ เฮ้อ…) “เล่นด้วยตลอด พี่จุกใจดี บอกว่าอยากได้อะไรก็จะให้ถ้าเป็นเด็กดี และช่วยดูแลปู่” ปู่ถามฉันอีกว่า“แล้วพี่จุกใส่ชุดยังไง ” ฉันก็ตอบไปว่า “ กางเกงสีแดง (ตอนนั้นไม่รู้จักโจงกระเบนนิ) ไม่ใส่เสื้อ มีสายอะไรไม่รู้เป็นสายสีทองๆ 2 สายไขว้กันไว้ ตัวพี่จุกออกดำๆนิดหน่อย แต่ก็หล่ออยู่นะ แล้วมัดผมจุกที่ผมมีอะไรไม่รู้ครอบไว้สีทองๆ แล้วมีไม้เสียบสีทองๆที่ผมด้วย”(ตอนนั้นไม่รู้จักปิ่นทอง) ที่ฉันต้องพูดว่าหล่อเพราะฉันเห็นพี่จุกยืนอยู่ข้างๆปู่แต่เหมือนอยู่ตรงหน้าฉัน ตอนนั้นคิดในใจว่าพี่จุกตัวดำม๊ากมาก พี่จุกยกนิ้วชี้มาที่ฉัน ด้วยความกลัวเลยบอกปู่ไปว่าพี่จุกหล่อ (เป็นไงล่ะสกิลเอาตัวลอดมาตั้งแต่เด็ก) ปู่พยักหน้าแล้วถามฉันอีก “ตอนนี้พี่จุกอยู่ไหน”ฉันเห็นพี่จุกแลบลิ้นใส่ ฉันจึงชี้ไปที่ข้างๆปู่ แล้วบอกว่า “ยืนตรงนั้นไงข้างๆปู่ ตอนนี้พี่จุกนิสัยไม่ดี แลบลิ้นใส่ด้วย” แล้วฉันก็แลบลิ้นตอบโดยลืมนึกไปว่าปู่ก็อยู่ที่นั้น ฉันนึกขึ้นได้จึงขอโทษปู่และบอกกว่า“น้องไม่ได้แลบลิ่นใส่ปู่นะ พี่จุกทำใส่ก่อน” ปู่หัวเราะแล้วยังถามฉันอีกว่า“นอกจากพี่จุกแล้วเห็นอะไรอีกไหม” ฉันทำท่าจะคิดว่าเห็นอะไร เสียงพี่จุกก็บอกมาว่า “บอกไปให้หมดนะ เขาจะได้คิดว่าไม่เป็นบ้า” แล้วพี่จุกก็หัวเราะ ตอนนั้นฉันโมโหพี่จุกมากที่มาว่าฉันเป็นบ้า ฉันบอกปู่ในสิ่งที่เห็นทั้งหมด “ น้องเล่นกับพี่จุกแล้วพี่อะไรอีกไม่รู้แต่งตัวเสื้อผ้าขาดๆ พี่จุกก็ไล่เค้าไป ว่าอย่ามายุ่ง น้องก็เห็นตา ยาย ใส่ชุดขาวชอบมาเดินทั่วบ้าน แล้วก็เห็นบ้านอีกหลังอยู่ทับกับบ้านเราอยู่ในนั้นก็มี 1 ครอบครัว แต่รู้สึกว่ามีแค่พ่อ แม่ แล้วก็ลูกสาว…แต่เวลาพี่สาวมาเล่นด้วยไม่เห็นพี่จุกจะไล่เลย ” (555ถือโอกาสฟ้องปู่) “พี่สาวสวยน่ารัก”พอฉันพูดแบบนี้พี่จุกยิ้มให้ ฉันถือโอกาสแกล้งพี่จุก “ปู่หรือว่าพี่จุกชอบสาวๆ” พี่จุกได้ยินฉันพูดก็ถลึงตาใส่ ฉันหัวเราะเอาอีกแล้ว ลืมว่าปู่อยู่ด้วย ฉันจึงขอโทษปู่อีกครั้ง ปู่ก็บอกให้ฉันเล่าต่อ “ก่อนและหลังวันพระมักได้ยินเสียงควายร้องด้วย และเห็นอะไรไม่รู้สีดำๆเหมือนควันลอยอยู่แถวๆหลังคาบ้าน ” ปู่ถามฉัน“แล้วน้องไม่กลัวเหรอ” ฉันยิ้มให้ปู่และบอกว่า “ไม่กลัวเพราะ พี่จุกบอกว่าไม่มีอะไรทำร้ายเราได้ ถ้าเราเป็นเด็กดีและบทสวดมนต์ที่ปู่สอนจะช่วยคุ้มครอง น้องได้ก็เลยไม่กลัว” ฉันตอบและยิ้มให้ปู่ แต่ปู่กับถอนหายใจทำให้ฉันงงกับท่าทางของปู่ ฉันเลยถามว่า“ปู่เป็นอะไร น้องทำให้ปู่ลำบากใจเหรอ หรือน้องทำอะไรผิด” ฉันพูดพร้อมเขย่าแขนปู่ ส่วนพี่จุกหายไปไหนไม่รู้แล้ว (หนีกันเฉยเลยนะพี่จุก ฉันคิดในใจแต่ก็ยังไม่เอะใจว่าอยู่ดีๆพี่จุกจะหายไปได้อย่างไร ยังไม่รู้ตัว555 ) ปู่พูดขึ้นมาว่า “พี่จุกยังอยู่ไหม” ฉันตอบปู่ว่า “ ไปแล้ว ไปไหนไม่รู้หายไปเลย ”(นั้นแน่…ยังไม่รู้ตัวอีกตอนนั้น ถ้าเป็นตอนนี้ วิ่งแล้วจ้า ) ปู่ลูบหัวเบาๆอย่างเอ็นดู แล้วพูดกับฉัน “น้องรู้ไหมคนอย่างน้องมีน้อยคนนะที่จะเป็น ว่ามันเป็นกรรมก็ได้ หรือเป็นการสร้างความดีก็ได้มันอยู่ที่น้องเลือก ถ้าคิดดี ทำดีก็ไม่ต้องกลัวอะไร ต่อไปนี้นะถ้าไปไหนกับปู่หรือไปกับใคร แล้วเห็นอะไรหรือได้ยินอะไรก็ตาม น้องค่อยมาบอกปู่ที่บ้านเรานะ อย่าพูดไปเรื่องเปื่อยและให้ใครได้ยิน เพราะคนที่เขาเชื่อเขาก็ไม่ว่าเรา แต่คนที่ไม่เชื่อเขาก็จะหามาเราแต่งเรื่องขึ้น เรียกร้องความสนใจ หรือว่าเราบ้าได้นะ รู้ไหมน้อง ” ฉันพยักหน้าแบบงง (งงจริงตอนนั้น) แล้วปู่ก็บอกอีกว่า “ บอกพี่จุกด้วยปู่จะเอาของอร่อยๆมาให้กิน นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ให้” ฉันพยักหน้าและคิดว่าภารกิจนี้จบลงด้วยดี (ก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม) ปู่ให้ฉันกราบพระและให้ไปเล่น ส่วนปู่จะไปรดน้ำต้นไม้ต่อ จากที่แยกกับปู่ ฉันเห็นพี่จุกยืนอยู่หน้าหิ้งพระพร้อมกับยิ้มให้ฉัน ฉันยิ้มกลับและลงไปเล่นตามประสาเด็ก….น่ะเป็นเด็กที่ความรู้สึกช้ามากถ้าคิด ณ ตอนนี้นะ พี่จุกหายก็น่าจะรู้ รึเปล่าว่าเป็นผี แต่ไอ่น้องหรือฉันคนนี้ดันไม่สงสัยอะไรเลยจริงๆ 

 พอตกเย็นครอบครัวฉันมักจะกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาเสมอก็มีปู่ ย่า พ่อ แม่ พี่สาว และฉัน นั่งกินข้าวกันบนบ้าน อยู่ดีๆ ปู่ก็พูดขึ้นมาว่า “น้องมันเห็นผี” ทุกคนเงียบและมองมาหาฉันเป็นตาเดียว ฉันมองหน้าทุกคนแล้วก็ยิ้ม (ก็ตอนนั้นยังไม่รู้นี่ว่าเห็นผีคืออะไร ก็ฉันยังเด็กอ่ะนะ) ปู่ยังพูดต่ออีกว่า “ต้องระวังเวลาพาไหนต่อไหน แล้วต้องฝึกนั่งสมาธิ สวดมนต์สม่ำเสมอด้วย แล้วห้ามเอาพระและตะกรุดที่ห้อยคอออก” แม่ตอบรับปู่ แต่ดูย่ากับพ่อยังงงกับเรื่องนี้ โดยปกติพ่อเองไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้อยู่แล้วแต่เมื่อปู่บอกพ่อก็พยักหน้าตกลงตามแม่ ส่วนย่าฉันไม่ได้สังเกต ( มัวแต่กินข้าวโดยไม่รู้ชะตากรรมตัวเองเลย) ปู่ยังบอกอีกว่า“ไม่เคยบอกใครว่าเลี้ยงกุมารทองไว้และบ้านที่สร้างฝั่งควายถนูไว้ 4 ทิศ เพราะที่ดินเป็นที่น้ำผ่านเลยแก้เคล็ดแบบนั้น น้องมันได้ยินเสียงและมันเห็น ไอ่จุกที่หลวงพ่อเอาให้ น้องมันไม่บ้าแต่มันแยกไม่ออกว่าอะไรคือผีอะไรคือคน ยังไง ดูน้องมันดีเน้อ ” แม่มองหน้าฉัน ฉันยิ้มให้แม่ ตอนนั้นความรู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะพิเศษนะถ้าเป็นตอนนี้ ฉันไม่อยากเป็น “แอดเวนเจอร์” เล้ยจริงๆนะ