เปิดประสบการณ์ เปิดใจ เปิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ กับเรื่องเล่าก่อนนอน ที่ไม่สามารถหลับตาลง

เรื่องเล่าก่อนนอน - ตอนที่ 3 เรื่องเล่าบทที่ 3 โดย Violet @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เล่าประสบการณ์,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เรื่องเล่าก่อนนอน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

เล่าประสบการณ์,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี

รายละเอียด

เปิดประสบการณ์ เปิดใจ เปิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ กับเรื่องเล่าก่อนนอน ที่ไม่สามารถหลับตาลง

ผู้แต่ง

Violet

เรื่องย่อ

สารบัญ

เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 1 เรื่องเล่าบทที่ 1,เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 2 เรื่องเล่าบทที่ 2,เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 3 เรื่องเล่าบทที่ 3,เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 4 เรื่องเล่าบทที่ 4

เนื้อหา

ตอนที่ 3 เรื่องเล่าบทที่ 3

ตอนนี้ไม่มีใครว่าให้ฉันแล้วแต่…ไม่มีใครกล้าใกล้ฉันเลย นั่นเป็นตัวประหลาดไปอีก หนักกว่าเดิม แต่ฉันก็ไม่แคร์ ไม่สนเท่าไหร่อย่างน้อยก็ยังมีพี่สาว หมายถึงพี่สาวจริงๆ ไม่ใช่ผีพี่สาวที่บอกนะ เพื่อนหลายคนไม่เข้าใกล้ แต่ฉันก็มีเพื่อนที่โรงเรียนที่เป็นเพื่อนเล่นฉัน และเวลาไปไหนก็จะมีปู่คอยคุยเป็นเพื่อนคอยสอนนั่งสมาธิ สวดมนต์ ซึ่งฉันไม่อยากจะโม้นะ ว่าบทสวดที่ท่องได้ตอนเด็กโดยไม่ต้องดูหนังสือคือพระคาถา “ชินบัญชร” ที่ใครต่อใครมักบอกว่าจำยากเพราะความยาวของบทสวดแต่สำหรับเราสบายมาก เป็นบทสวดแรกที่ปู่ให้สวดก่อนออกบ้านให้ สวดมนต์คาถานี้ประจำ ฉันก็ใช้ชีวิตตามปกติเด็กบ้านนอก จนถึงป.6 ฉันจำได้ดี เป็นเรื่องตอนเด็กที่ฉันไม่มีวันลืมเลย

 “ พ่อครูช่วยหน่อยแม่ทิพย์เป็นอะไรไม่รู้” (แม่ทิพย์นามสมมติ ) แม่ทิพย์เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันเดินไปสักหน่อยไม่ถึง 1 กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านแม่ทิพย์ ฉันชอบเดินไปหาแก เพราะบ้านแกปลูกต้นหม่อนเยอะมาก ชอบไปเด็ดกิน (ตอนเด็กเรียกว่าองุ่นน้อย) ฉันได้ยินเสียง จึงเดินไปดูตามเสียงเพราะกำลังเล่นอยู่หลังบ้าน “พ่อครูรีบเถอะ” น้าคนที่พูดสวมชุดชาวบ้านธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษนัก แต่หน้าตาแกแตกตื่นมากพร้อมกับเสียงหายใจที่ดังมากแสดงว่าแกคงวิ่งมาอย่างเร็ว ฉันเห็นปู่เดินขึ้นบนบ้านแต่น้าก็เรียกปู่ตลอด “ พ่อครูเร็วๆเถอะ ฉันกลัวแม่ทิพย์จะเป็นอะไรไปก่อนแล้วหมู่บ้านเราจะเป็นอันตราย เร็วๆหน่อยเถอะพ่อครู” ปู่ใส่เสื้อหม้อห่อมสีขาว กางเกงสะดอสีขาวและ สะพายย่ามสีน้ำเงินที่ปู่ชอบเอาไปไหนมาไหนด้วยเสมอ เรียกว่าของติดตัวเลยที่เดียว และใส่รองเท้าแตะธรรมดาเดินไปกับน้าคนนั้น ฉันกำลังเดินไปด้วย คุณๆจำได้ไหมเวลาไปไหนมาไหนปู่มักจะให้ฉันไปด้วยเสมอ แต่คราวนี้ไม่ใช่ ! ปู่หันกลับมามองฉันแล้วบอกว่า “ไม่ต้องตามมา ปู่ไปธุระเดี๋ยวก็กลับแล้ว” จากการที่เดินไปกับปู่ฉันถึงกับหยุดเดินและทำสายตาเว้าวอน ( คือแบบให้หนูไปเถอะนะปู่ ตาใสปิ้งๆเลยที่เดียว) ปู่บอกฉันว่า “คราวนี้ไปไม่ได้ไม่ใช่เรื่องของเด็กห้ามไปเด็ดขาด” แล้วปู่ก็เดินกึ่งวิ่งไปทางบ้านน้าทิพย์ ฉันถูกย่าดึงตัวไว้และพาเข้าบ้าน แต่ฉันอยากรู้และฉันเองไม่ค่อยลงลอยกับย่าสักเท่าไหร่ ( ขอไม่บอกนะว่าเพราะอะไรมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าไหร่ ข้ามๆไปเลย) ย่าพาฉันเข้าหน้าบ้านแต่ฉันเดินไม่สิต้องใช้คำว่าย่องออกจากหลังบ้านมากกว่า เมื่อออกจากบ้านได้ฉันวิ่งสุดชีวิตเพื่อไปยังบ้านน้าทิพย์เพราะความอยากรู้ และทำไมปู่ไม่พาไปด้วย พอมาถึงบ้านน้าทิพย์ ฉันเห็นคนเต็มบ้านน้าทิพย์บางคนจับกลุ่มคุยกัน บางคนก็อยู่หน้าบันไดทางขึ้นบ้านแต่ไม่ขึ้นไปได้แต่จดๆจ้องๆ ข้างบนบ้าน ฉันมองดูชาวบ้านพวกนั้นพร้อมกับค่อยๆเดินแทรกกลุ่มคนที่อยู่หน้าบันไดบ้านไป เพื่อเดินขึ้นบ้านน้าทิพย์ อยู่ดีๆมีคนพูดขึ้นมา “ห้ามขึ้นไปน้อง” พร้อมกับดึงแขนฉันออกมา ฉันมองดูกับพบว่าเป็นน้าทิพย์เอง ฉันงงมาก ก็ไหนว่าขอมาช่วยน้าทิพย์ แล้วน้าทิพย์อยู่นี่ แล้วข้างบนบ้านเป็นใคร ฉันยิ้มให้กับน้าทิพย์แล้วหันหลังเดินฝ่ากลุ่มคนที่ยืนขวางทางบันไดบ้านจนมาถึงบนบ้านน้าทิพย์ ที่ฉันเห็นมีผู้ชายรูปร่างกำยำแข็งแรงและยังหนุ่มยังแน่นจับตัวน้าทิพย์โดยกดไว้ทั้ง 4 ด้าน แต่เหมือน น้าทิพย์จะดิ้นรนขัดขืนอย่างมาก ฉันยืนดูกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้าทิพย์ที่ดึงฉันไว้ กับน้าทิพย์ที่นอนอยู่ เป็นคนเดียวกัน ฉันมองน้าทิพย์ที่อยู่หน้าบันได และหันไปมองน้าทิพย์ที่ดิ้นรนขัดขืนเพื่อจะหลุดจากการจับกดแขนและขาพร้อมกับการดิ้นรนต่อสู้ และสิ่งที่ฉันเห็นอีกอย่างคือ มียายแก่ลักษณะซูบผอมที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก ผมเผ้ารุงรัง มือเหี่ยวย้นแต่มีเล็บที่ยาวมากเหมือนไม่ได้ตัดมาเป็นปีๆ ดวงตาสีแดงกล่ำ ไม่มีตาขาว ปากคล้ำเหมือนช้ำเลือด ช้ำหนอง แล้วมีอะไรไม่รู้สีแดงๆไหลออกจากปาก (ตอนนั้นเด็กเลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร อย่านะ อย่ามาว่าฉัน) ซึ่งซ้อนอยู่กับน้าทิพย์ ใช่อย่างที่พวกคุณคิด น้าทิพย์ถูกผีเข้า 

   ฉันตกใจกับเสียงกริ๊ด! ที่ดังมากของผีจนต้องปิดหูเลยทีเดียวและฉันเห็นปู่สวดอะไร ซักอย่างฉันเองฟังไม่รู้เรื่องคงเพราะอยู่ไกล แล้วฉันต้องหลบเพราะมีผู้ชายวัยกลางคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นมาบนบ้านน้าทิพย์เกือบชนฉัน ชายกลางคนบอกว่า “นี่พ่อครูที่พ่อครูอยากได้” ฉันเห็นชายกลางคนยื่น ขันสีเงิน ( ที่ย่าชอบเอาไปวัดด้วยย่ามักจะบอกว่าทำมาจากเงินแท้ ) มีน้ำเต็มขันตอนยื่นให้แทบกระฉอกออกมาเลยทีเดียว ปู่สวดมนต์อะไรไม่รู้ลงในน้ำอีก แล้วหยิบที่พรมน้ำมนต์ (อันนี้สังเกตมาจากไปวัด พระใช้บ่อยยังจำได้แต่แค่ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร) ออกมาจากนั้นก็จุมลงที่ขันสีเงินนั้นแล้วพรมไปทั่วร่างน้าทิพย์ เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกจนฉันต้องเอามือปิดหูอีกครั้งเพราะเสียงดังและแหลมมาก ถึงมือฉันปิดหูแต่สายตาก็ยังมองไปที่ปู่พรมน้ำมนต์ใส่ร่างน้าทิพย์ ตอนนี้น้าทิพย์คนที่ดึงฉันตรงบันไดมายืนอยู่ข้างหลังฉัน และใช้มือโอบกอดฉันจากด้านหลัง น้าทิพย์ที่มียายแก่ซ้อนร่างอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะเหมือนเยาะเย้ยปู่ “ กูจะเอามันไปอยู่ด้วยอีนี่ไม่มีประโยชน์กับกูแล้ว” เสียงของยายแก่กระโชกโฮกฮากแล้วชี้มาหาฉัน ฉันยืนตัวแข็งขยับเขยื้อนไม่ได้ ไม่รู้เพราะอะไร อาจจะกลัว หรืองง หรือเพราะอะไรฉันก็ไม่รู้ ปู่หันตามยายแก่ชี้ ใช่เลย...อย่างที่คุณๆเดา จ๊ะเอ๋...กับฉัน ที่ยืนตรงทางหน้าบันไดบนบ้านที่ประตู ปู่ถึงกับตกใจทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว ยายแก่ก็พูดแต่จะเอาฉันไปอยู่ด้วย แล้วก็หัวเราะเสียงดัง “อยากให้กูออกมากใช่ไหมกูออกให้เพราะยังไงอีนี่ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับกูแล้ว มันไม่มีอะไรให้กูได้กินแล้ว” พูดจบก็หัวเราะเสียงดังจนฉันต้องเอามือปิดหูอีก จากนั้นมีเงาสีดำพุ่งมาหาที่ตัวฉัน ปู่รีบดึงฉันหลบควันนั้น ฉันหลับตาในอ้อมกอดปู่ ฉันรู้สึกว่าใจของปู่เต้นเร็วกว่าปกติ แล้วกอดฉันแน่นตัวปู่สั่นจนฉันรู้สึกได้ “เป็นอะไรมากไหม เจ็บอะไรหรือเปล่า” ฉันเงยหน้าดูสีหน้าปู่ดูกังวลมาก แต่ฉันคิดว่าปู่ต้องดุฉันแน่นอนเพราะฉันไม่เชื่อฟังปู่ “ไม่เป็นไรใช่ไหม เจ็บตรงไหน หรือมีอาการอะไรแปลกๆบ้างหรือเปล่าน่ะเรา” ปู่ถามฉันแต่หน้าปู่ยังคงเครียดและดูกังวลอยู่ดี ฉันบอกปู่ไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม (น่ะยังไม่สำนึกจริงๆเล้ยฉันตอนเด็กๆเนี้ย) “น้องไม่เป็นอะไรเลยปู่ ไม่เจ็บตรงไหน ไม่รู้สึกแปลกๆอะไรเลย ” ปู่ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดีแล้วที่ไม่เป็นไร ปู่บอกว่าอย่ามา.. ดื้อจริงนะไอ่น้อง..” ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับปู่ “พ่อครูแล้วน้ำมนต์นี้ทำไงดี ” ชายวัยกลางคนถามพร้อมกับถือขันสีเงินเดินมาหาปู่ “เอาให้ดื่มและแบ่งอาบน้ำเอานี้ไปด้วยเวลาอาบน้ำ” ปู่หยิบขมิ้น สมป่อย ที่มัดรวมกันไว้ เหมือนเตรียมมาอย่างดี ยื่นให้กับชายวัยกลางคน ส่วนหนุ่มๆที่ช่วยกันจับน้าทิพย์แต่แรกก็ค่อยๆทยอยกันนั่งลงกับพื้นเหมือนคนหมดแรงแต่ละคนเหนื่อยหอบ บางคนปาดเหงื่อ “ พ่อครูมันไปแล้วใช่ไหม ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม พ่อครู” ชายวัยกลางคนถามปู่ ปู่พยักหน้าเป็นการตอบว่าไม่มีอะไรแล้ว ปู่จับมือฉันเพื่อลงบันไดกลับบ้าน ชาวบ้านที่มุ้งอยู่ทางขึ้นบันไดก็หลีกทางเพื่อให้ปู่กับฉันลง ในใจฉันคิดเป็นร้อยเรื่องที่จะถามปู่ว่ามันคืออะไรและที่ฉันเห็นมันเป็นอะไร แต่ฉันต้องเก็บเอาความคิดนี้ไว้ก่อนเพราะทันทีที่ชาวบ้านหลีกทางให้ฉันกับปู่ ลงนั้น ฉันเห็นยายแก่คนนั้นยืนจังงังอยู่ตรงหน้าบันไดชั้นล่างสุดพร้อมแสยะยิ้มที่เป็นยิ้มชวนสยดสยองอย่างยิ่ง ฉันดึงมือปู่ไม่ให้ลงพร้อมกับกระซิบบอกปู่ “ ยายไม่ไปยายยังอยู่” ฉันกำลังกระซิบอยู่นั้นยายแก่ก็ชี้มาที่ฉัน ปู่กระซิบถามฉัน“อยู่ตรงไหน” ฉันตอบทันที “ข้างล่างตรงบันได” ฉันกระซิบบอกปู่แต่ตายังคงจ้องยายแก่ ยายแก่เองก็จ้องมาที่ฉัน ตอนนี้ฉันเห็นยายแก่ใส่เสื้อเหมือนเสื้อไทยองสีดำ ผ้าซิ่นสีดำชายผ้าซิ่นมีสีทองอยู่ด้านล่างประมาณ 2- 3 เส้น ( ตอนนั้นไม่ได้นับ ใครจะไปกล้านับล่ะ เป็นคุณ คุณกล้านับไหม) ตาแดงกล้ำ เล็บมือยาว ยายแก่ยังจ้องมาที่ฉัน และ ฉันเองก็จ้องไปที่ยายแก่เช่นกัน (กลัวที่ไหน ที่จริงกลัวแต่ขยับไม่ได้ ) ฉันเห็นมีน้ำสีแดงๆไหลออกจากปากของยายแก่ ฉันเขย่าแขนปู่เบาๆ “ปู่ทำไงดี น้องกลัว” ฉันบอกปู่แต่ตาก็จ้องไปที่ยายแก่คนนั้น ตอนนี้ยายแก่เริ่มเดินขึ้นบันไดมาทีละ ขั้นอย่างช้าๆพร้อมจ้องมองฉันอย่างไม่ละสายตา ใจฉันเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมาเลยที่เดียว “ปู่ยายขึ้นมาแล้ว”เสียงฉันสั่นเครือ ทั้งกลัว ไม่รู้ทำ อย่างไรดี และอยากจะร้องไห้ (ร้องไห้ไม่หรอกคุณๆเดาผิด) อีกทั้งยายแก่ก็เดินช้าๆขึ้นมาหาฉัน “พ่อครู กับ น้องลงมาสิมัวทำอะไรกันอยู่” มีคนเรียกให้ฉันกับปู่ลงไป ช่วงวินาทีที่ใครๆว่าเร็ว แต่สำหรับฉันมันเหมือนเป็นชั่วโมง ฉันมองยายแก่เดินขึ้นทีละขั้นจนมาหยุดที่ขั้นสุดท้าย จึงได้ประชันหน้ากับฉันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ตอนนั้นจะกริ๊ดก็กริ๊ดไม่ได้ จะวิ่งปู่ก็จบมืออยู่ ทำได้อย่างเดียว คือ ฉันจ้องหน้ายายแก่พร้อมกับสะบัดมือปู่ออก แล้วหลับตา “มึงจะทำอะไรกู ไอ่เด็กน้อย มึงคิดจะสู้กับกูเหรอ” ฉันได้ยินเสียงยายแก่พูดกับฉัน ฉันไม่สนใจ ฉันพนมมือขึ้นพร้อมกับสวดมนต์“ คาถาชินบัญชร” แต่สายตายังคงจ้องที่ยายแก่ จะไม่ให้จ้องได้ไงกลัวเข้าสิงเหมือนน้าทิพย์แล้ว ทำไง….. กลัวโดนเหมือนน้าทิพย์ฉันสวดชินบัญชรไป จ้องตายายแก่ไป ยายแก่หัวเราะในลำคอ ฉันก็สวด ไปเรื่อย ๆไม่รู้กี่จบแต่สิ่งที่่มันเวียนเข้าหัวฉันคือ ฉันเห็นน้าทิพย์รับพานไม้สีแดงจากใครไม่รู้ แล้ว น้าทิพย์ก็นำกลับบ้านวางบนหิ้งที่ห้องนอน และไม่ได้ทำอะไรเลยวางอย่างนั้น น้าทิพย์ไม่ได้สนใจพานสีแดง จนพานแดงมีหยักไหย่ขึ้น ใช่ภาพมันขึ้นมาในหัวเอง ฉันก็ตกใจทั้งที่ตัวฉันมีสติครบถ้วน ทุกอย่าง และรู้ตัวด้วยว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่เห็นเรื่องราวของน้าทิพย์ได้ยังไงไม่รู้ ปากก็สวดคาถาชินบัญชร ตาก็จ้องยายแก่ สมองก็มีเรื่องน้าทิพย์ แล้วอยู่ดีๆ ฉันก็เย็นวาบทั้งตัว ปู่เอาน้ำมนต์ราดหัวจรดเท้าของฉัน แล้วภาพก็ตัดไป 

       พอรู้ตัวอีกทีก็นอนอยู่บนเสื่อบ้านน้าทิพย์แล้ว ฉันลืมตามาคนแรกที่ฉันเห็นคือปู่ ฉันโผเข้าไปกอดปู่และร้องไห้ ปู่กอดฉันและรูปหัวฉันแล้วบอกว่าไม่เป็นไรแล้วนะ หมดเคราะห์ หมดโศก หมดโรคภัย ต่อไปจะเจอแต่สิ่งดีๆแล้ว (ปู่สิ่งดีๆที่ปู่ว่าน่ะเกือบตายก็มีนะ แล้วฉันจะเล่าให้ฟังคราวหน้า ค่อยไปที่ละขั้นเนาะ ใจร่มๆนะคะคุณๆทั้งหลาย) พอฉันปาดคราบน้ำตาเสร็จ ฉันก็เดินเข้าไปในห้องนอนน้าทิพย์ บนหัวนอนมีหิ้งวางพานสีแดงอยู่อย่างที่ฉันเห็นจริงๆ ฉันเหยียบบนที่นอนเพื่อนำพานลงมา และเดินออกจากห้องนอนน้าทิพย์ พร้อมกับเรียกหาน้าทิพย์ แต่ปู่บอกว่าน้าทิพย์นอนอยู่ ฉันถามปู่ว่าน้าทิพย์นอนไหนในห้องนอนก็ไม่มี ปู่ก็พาไปอีกห้องหนึ่งเป็นห้องนอนเล็กๆ ซึ่งเล็กกว่าที่ฉัน เข้าไป ฉันเดินเข้าไปพร้อมถือพานสีแดงไปด้วย ฉันเห็นน้าทิพย์นอนอยู่บนฟูกเล็กๆบางๆและเก่ามาก น้าทิพย์แต่งกายด้วยชุดไทยองที่ถูกต้องตามระเบียบของไทยอง ด้วยสีน้ำเงินปลายซิ่นมีเส้นสีทอง 4 เส้น (อันนี้ทันนับอยู่ 55) น้าทิพย์นอนนิ่งไม่ไหวติ่งคนในห้องร้องไห้กันระงม มีคนบอกปู่ว่า “ทิพย์ไปดีแล้ว ขอบคุณพ่อครูนะที่ช่วยเหลือเต็มที่ ฉันเข้าใจพ่อครูนะ และเดี๋ยวญาติๆก็จะมากันแล้ว คงต้องรบกวนพ่อครูเรื่องงานศพ” ฉันได้ยินอย่างนั้นตกใจมาก น้าทิพย์ตายแล้วแล้วคนที่ดึงฉันและกอดฉันคือวิญญาณน้าทิพย์เหรอ แล้วยายแก่คือ ผีที่สิงในตัวน้าทิพย์ งั้นน้าทิพย์ก็ตายนานแล้วสิ ฉันคิดพร้อมกับจากการถือพานสีแดงเปลี่ยนมาเป็นอุ้มแทน ฉันมองหน้าปู่ ปู่บอกว่า “กลับกันเถอะเดี๋ยวปู่ต้องไปเตรียมของเตรียมงานที่วัดอีก น้องป่ะกลับบ้าน” ฉันสะบัดมือปู่ออก แล้วเดินไปที่ศพน้าทิพย์ นั่งลงแล้วเหงยหน้ามองน้าทิพย์ที่ยืนอยู่ข้างๆศพของตัวเอง พร้อมยิ้มให้ฉัน “ขอบใจนะที่มาช่วย ถึงเวลาน้าต้องไปแล้วเสียดายไม่ได้ร่ำลาใครเลย น้องเห็นน้าช่วยบอก…” น้าทิพย์กำลังพูดต่อแต่ฉันกลับตะโกนขึ้น “จะเอากันแบบนี้เหรอ จะไม่ช่วยกันเลยเหรอ น้าหมดอายุไขจริงเหรอ ยาย !” ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองฉันเป็นตาเดียว ฉันรู้สึกว่ายายแก่ยืนอยู่หลังฉัน เหมือนน้าทิพย์จะเผชิญหน้ากับยายแก่จังๆเหมือนที่ฉันเคยโดน แต่ความรู้สึกนี้ ฉันรู้สึกว่ายายแก่อ่อนข้อลง ไม่ก้าวร้าวเหมือนครั้งแรก “แล้วมึงจะให้กูทำยังไง ไอ่เด็กน้อย มึงก็แค่เด็กที่ยังบ่สิ้น กลิ่นน้ำนมเลย มึงจะทำอะไรได้” ฉันได้ยินเสียงยายแก่พูด ฉันเงียบโดยไม่ได้สนใจรอบข้างว่าใครจะทำอะไรที่ไหนอย่างไร ตอนนี้มีเพียงฉัน น้าทิพย์ และ ยายแก่ เท่านั้นในตอนนี้ “โอกาส” ฉันพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา และได้ยินเสียงน้าทิพย์ร้องไห้ “รับมาแล้วคนอย่างมัน ไม่รักษาสัจจะไม่รักษาคำพูดเหมือนที่เอากูมา ตอนเอากูมาพูดไว้ดิบดีว่าจะดูแลกูอย่างดี แต่พอมาถึงบ้านเอากูขึ้นหิ้ง ไม่ทำเหี้ยอะไรสักอย่าง ปล่อยกูทิ้งๆขว้างๆ ถ้ากูไม่ทำแบบนี้มันจะ รู้เลอะว่ามีกูอยู่ ” ยายแก่บอกฉัน ฉันมองหน้าน้าทิพย์ ที่ยืนร้องไห้อยู่ ฉันได้แต่นิ่งเงียบเพราะไม่รู้ว่าน้าทิพย์จะทำอย่างไร ฉันเองเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ ฉันมองน้าทิพย์ร้องไห้เหมือนใจจะขาด ตอนนั้นฉันรู้สึกรำคาญมาก หงุดหงิด เพราะอะไรฉันต้องเข้าไปยุ่งด้วย ปู่ตบไหล่ฉันเบาๆเหมือนรู้ฉันกำลังทำอะไร ฉันถอนหายใจก่อนจะพูดออกไปว่า “คนเราควรรักษาคำพูดไม่ควรผิดคำพูดก็จริง แต่เล่นกันถึงตายไม่สงสารครอบครัวน้าทิพย์เหรอ ลูกน้าทิพย์ก็ยังต้องกินนมแม่อยู่นะ ถือว่าทำบุญนะยาย ไม่เห็นแก่แม่ก็น่าจะเห็นแก่เด็กน้อยนะยาย” จบคำพูดฉันแล้วน้าทิพย์ลืมตาขึ้น ญาติของน้าทิพย์มาห้อมล้อมน้าทิพย์และพยุงให้นั่ง ฉันยื่นพานสีแดงให้น้าทิพย์ “ดูแลยายด้วยนะ และคราวหน้าน้าต้องรักษาคำพูดของตัวเองด้วยนะ กับคนไม่เท่าไหร่ แต่กับผีเขาถือเรื่องสัจจะ ” น้าทิพย์ยิ้มให้และเอาพานวางเหนือหัว ฉันจึงเดินออกมาจากกลุ่มญาติๆของน้าทิพย์ แล้วยิ้มให้ปู่ ฉันจับมือปู่กลับบ้าน ช่วงเดินกลับ บ้าน ปู่ถามว่า“ไปเรียนรู้เรื่องนี้มาจากไหน แล้วทำไมถึงรู้เรื่องว่าทิพย์เป็นคนไทยอง ไม่ใช่คนบ้านเรา ” ฉันยิ้มให้ปู่ “ ไม่บอกหรอก ” ที่จริงฉันก็ไม่รู้ว่าฉันรู้ได้ยังไง และทำอะไรลงไปบ้าง ฉันรู้แค่น้าทิพย์ไม่ตาย ยายแก่ยกโทษให้และครอบครัวของน้าทิพย์ไม่เป็นไรก็พอแล้ว แล้วนี่คือจุดเริ่มต้นที่ฉันรู้ถึงความสามารถพิเศษของตัวเอง และที่ดีใจที่สุดคือ “ฉันแยกออกแล้วระหว่างคนกับผี”