เปิดประสบการณ์ เปิดใจ เปิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ กับเรื่องเล่าก่อนนอน ที่ไม่สามารถหลับตาลง

เรื่องเล่าก่อนนอน - ตอนที่ 4 เรื่องเล่าบทที่ 4 โดย Violet @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เล่าประสบการณ์,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เรื่องเล่าก่อนนอน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

เล่าประสบการณ์,แฟนตาซี,ระทึกขวัญ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี

รายละเอียด

เปิดประสบการณ์ เปิดใจ เปิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ กับเรื่องเล่าก่อนนอน ที่ไม่สามารถหลับตาลง

ผู้แต่ง

Violet

เรื่องย่อ

สารบัญ

เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 1 เรื่องเล่าบทที่ 1,เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 2 เรื่องเล่าบทที่ 2,เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 3 เรื่องเล่าบทที่ 3,เรื่องเล่าก่อนนอน-ตอนที่ 4 เรื่องเล่าบทที่ 4

เนื้อหา

ตอนที่ 4 เรื่องเล่าบทที่ 4

คุณๆก็รู้จักฉันแล้วใช่ไหม? ก็แค่บางส่วนตอนฉันเป็นเด็กเท่านั้น...ที่จริงยังมีอีกตั้งมากมายที่ไม่ได้เล่าให้คุณๆฟัง คงไม่เล่าล่ะถ้าเล่านะอีกหลายเรื่องฉันเอาเฉพาะที่ตื่นเต้น และที่น่ากลัวดีกว่า (ที่จริงขี้เกียจพิมพ์เยอะ แต่บางคนบอกว่า สมัยนี้ใช้พูดก็ได้ โปรแกรมก็จะพิมพ์ตามที่เราพูด แต่ฉันรู้สึกว่าไม่คลาสสิคเท่าไหร่ พิมพ์ดีกว่า ) 

 ฉันก็เติบโตมาพร้อมกับดวงตาที่เห็นผี มาตลอดแต่ไม่เคยที่จะพูด หรือ บอกใครๆ เท่าไหร่ เพราะปู่สอนให้ ฉันไหว้พระสวดมนต์ทุกวัน ก่อนนอน นั่งสมาธิหลังสวดมนต์ทุกครั้ง (มีบ้างไม่มีบ้างก็นั่งไปงั้นๆหมายถึงสมาธินะ) ฉันคิดอยู่ตลอดว่าที่ฉันทำไปทุกวัน การมองเห็นผีของฉันจะเริ่มลดลง หรือไม่เห็นเลยก็ได้ แต่มันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด...ฉันเริ่มไม่เห็นก็จริง แต่ความรู้สึกยังมี และหูก็ยังได้ยินเสียงอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง...อะไรทั้งนั้นจนมาถึง.....

 ตอนอยู่ม.ต้น ฉันได้เข้าค่ายลูกเสือที่โรงเรียน ใช่! มันเป็นหลักสูตรของการเรียน ลูกเสือ ฉันจัดกระเป๋าเพื่อไปเข้าค่าย สิ่งที่ฉันลืมไม่ได้คือพระและตะกรุดที่ปู่ให้ห้อยคอ ตลอดเวลา ส่วนที่ฉันเอาไปเผื่อก็คือ ขมิ้น สมป่อย ไปด้วย 1 ชุด ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าเอาไปทำไมเหมือนกันแต่ความรู้สึกมันบอกว่าควรเอาไปด้วย แต่ฉันไม่ได้บอกใครที่บ้าน คงสงสัยว่าทำไมบ้านฉันถึงมีขมิ้น ส้มป่อย เป็นชุดๆ และจำนวนมาก ก็อย่างที่พวกคุณรู้ ปู่เป็นมรรคนายกวัดจะไม่มีได้ไง? ฉันเก็บใส่กระเป๋าไปด้วย พ่อมาส่งฉันที่โรงเรียน ฉันเดินเข้าไปในกลุ่มเพื่อนตอนนี้เพื่อนในกลุ่มที่สนิทกันรู้แล้วว่าฉันเห็นผี แต่ก็ถือเป็นเรื่องขำขันเสียอีก ซ้ำยังให้ฉันเล่าให้ฟังบ่อยๆพอรวมกลุ่มกันได้ ครูก็เรียกไปทำพิธีเปิดค่ายลูกเสือโดยที่กระเป๋าแต่ละคนกองรวมกันอยู่ใต้อาคารเรียน ฉันก็ทำตามพิธีการของทางโรงเรียน ปกติกลุ่มฉันจะมีกัน 11 คน อีก 1 ตน ที่ว่าอีก 1 ตน...เพื่อนที่ฉันเจอตอบเข้ามาสอบเข้า ของโรงเรียน 

 โรงเรียนม.ต้นของฉันเป็นโรงเรียนที่ต้องสอบเพราะบ้านอยู่นอกเขตจึงต้องสอบแข่งขัน ฉันเจอเพื่อนผีคนนี้ตอนนั้นแหละ...เป็นผีเด็กผู้ชายที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับฉัน ฉันทักทายโดยการยิ้มให้เขาก่อน ( นึกว่าเป็นคนที่โรงเรียน โดยม.ต้นเป็นผู้หญิงทั้งหมด ส่วนม.ปลายถึงจะมีผู้ชายบ้างแต่ก็ส่วนน้อย ) ผีเด็กผู้ชายแต่งกายด้วยชุดนักเรียน กางเกงนักเรียนสีน้ำเงิน เสื้อนักเรียนสีขาว ถุงเท้าขาว รองเท้าผ้าใบสีดำ ยิ้มสดใสร่าเริง ดูไปดูมาก็น่ารักดี นั่งที่ม้าหินอ่อนหน้าโรงเรียน ฉันเลยยิ้มให้ (ไหนว่าแยกออก เห้อ....น้อง..น้อ..น้อง ) พอฉันเข้าห้องสอบเด็กชายคนนั้น ( ขอเปลี่ยนเป็นนามสมมติได้ไหม? มันจะสับสนเอาเรียกว่า “ พี่เอ ” แล้วกันง่ายดี ) พี่เอนั้นแหละ....เข้ามายืนดูฉันทำข้อสอบซึ่งยืนอยู่ด้านข้างชะเง้อดูฉัน ฉันเงยหน้าขึ้นมาดู นั่นไง! คิดในใจว่า * ทำไมกูแยกไม่ออกอีกเนี้ย* แต่เหมือนพี่เอ จะรู้ว่าฉันคิดอะไร? พี่เอตอบสวนมาทันที “ อยากเรียนที่นี่ไหม? เดี๋ยวจะทำให้ได้เข้าเรียนแต่มีข้อแม้ว่า... ” พูดไม่พูดเปล่ามายืนอยู่หน้าโต๊ะฉัน ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบและทำหูทวนลมเหมือนไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่มีอะไร * น้องแกต้องทำข้อสอบอย่าไปสนใจ อายเขาคนก็เยอะด้วย * ฉันคิดในใจ... พี่เอหัวเราะในลำคอแล้วพูดอีกว่า “ ข้อแม้ก็คือ...เป็นเพื่อนกันแค่นี้เองไม่ได้ขออะไรมากซักหน่อย ตกลงไหม? ” แล้วพี่เอก็ก้มหน้ามาหาฉันแล้วเอามือไขว้หลังตัวเองไว้ ส่วนฉันน่ะเหรอ...ก้มหน้าต่ำลงไปอีกจนหน้าจะติดกับข้อสอบอยู่แล้ว ครูที่คุมสอบเดินมาถามฉันว่าเป็นอะไรไหม? ฉันส่ายหน้าเป็นการตอบว่าไม่เป็นไร…พี่เอยังไม่เลิกก่อกวนฉัน “ว่าไงล่ะ แลกเปลี่ยนกัน นิดๆหน่อยๆเองนะ ไม่ยากอะไรนี่ เป็นเพื่อนกันพี่เถอะ เพราะพี่เองก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ เห็นน้องยิ้มให้พี่เลยอยากเป็นเพื่อนด้วยก็แค่นั้น” *กูนะกูไม่น่าเป็นคนยิ้มง่ายเล้ย ซ้ำยังแยกไม่ออกอีกกว่าคนหรือผี ไอ่น้องนะ ไอ่น้อง * ฉันคิดในใจ พี่เอหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ เหมือนว่าได้แกล้งฉันแล้วมีความสุข แต่คนอย่างไอ่น้องหรือจะยอมแพ้ ไม่มีทาง ฉันไม่พูดตอบโต้พี่เอ แต่ยังคงนั่งทำข้อสอบต่อไป พี่เอเริ่มฉุนและหงุดหงิด เพราะเห็นว่าฉันไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังไม่สนใจด้วย อยู่ดีๆลมมาจากไหนไม่รู้ พัดแรงมากจนข้อสอบแต่ละคนในห้องปลิวกันเลยที่เดียว “พี่ถาม..ทำไมไม่ตอบ ยั่วโมโหพี่หรือไง” พี่เอตะโกนพร้อมกับสายลมที่พัดแรงขึ้น (คุณๆเคยเห็นลมพายุไหม น่ะ! แหละที่พี่เอทำ) ครูคุมสอบเดินไปปิดหน้าต่างแต่ลมแรงมาก จนเกือบจะปลิว (นี่ไม่ได้เกินจริงนะ ตอนนั้นเป็นแบบนั้นจริงๆ) ข้อสอบที่ทำภายในห้องปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว มีฝุ่นผงปลิวเข้ามาด้วย ทุกคนในห้องจึงต้องหลับตากัน บางคนก็เอามือปิดตาไว้ * ไอ่ผีขี้โมโห เลิกทำแบบนี้นะ คนอื่นเขาเดือดร้อนไม่กลัวบาปหรือไง ไอ่ผีบ้า !* ฉันคิดและด่าพี่เอในใจ แต่ลมกับพัดมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ “แล้วจะให้เรียกว่าชื่อว่าอะไร” ฉันตะโกนถามพี่เอ เสียงพี่เอตอบมา “ตั้งชื่อทีสิ พี่ไม่มีชื่อ” ตอนนั้นลมก็ยังไม่ลดความแรงลงเลย “งั้นชื่อพี่เอแล้วกัน ตกลงไหม แล้วช่วยหยุดทุกสิ่งที่พี่ทำด้วย คนอื่นเขาเดือดร้อน ” “พี่ไม่ได้อะไรนี่ น้องคิดไปเองหรือเปล่า ” ใช่ฉันคงคิดไปเอง จากเหตุการณ์ที่ครูคุมสอบมาถาม แล้วส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ตอนนี้ครูคุมสอบมาเขย่าตัวฉันและถามฉัน “แน่นะลูกว่าไม่เป็นไร ดูหน้าซีดๆ เหงื่อยออกมากเลยนะลูก จะเป็นลมหรือเปล่า” นั้นไง...สิ่งที่ฉันเห็นและฉันโดนคือไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ลมไม่ได้พัดแรง มีแต่พัดลมที่ยังคงทำหน้าที่ของมัน ทุกคนเป็นปกติ ฉันเงยหน้ามามองครูคุมสอบ อย่างงงๆ ( เป็นคุณจะงงไหมล่ะ ) ไม่มีเลยจริงๆ ไม่มีอะไรเลย ฉันมองหน้าพี่เอด้วยความโกรธ *รู้ว่าผีทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่ทำไมต้องมาเป็นวันที่ฉันสอบเข้าเรียนซึ่งมันสำคัญกับฉันมาก* ฉันนึกขึ้นในใจ “ขอโทษนะ พี่แค่อยากมีเพื่อนและเราน่ะเห็นพี่ทั้งๆ ที่พี่พยายามหาเพื่อนแบบน้องมาตลอด” ฉันไม่สนใจคำพูดของพี่เอที่ดังในหัวของฉัน ( หรือใครๆเรียกว่าคุยกันทางจิตก็ได้ แต่ฉันว่ามันอยู่ในหัวมากกว่า เพราะฉันไม่บังอาจที่จะไปเทียบกับคนที่มีการฝึกจิต ฝึกสมาธิขั้นสูงได้ ) พี่เอเดินมาด้านข้างฉันแล้วกระซิบที่ข้างหู “แล้วเราเจอกันตอนเปิดเทอมนะเพื่อน” แล้วก็หายไป ฉันถอนหายใจออกมา ครูคุมสอบมองดูฉัน ฉันยิ้มและก้มหน้าก้มตาสอบใหม่ นี่แหละค่าที่ไปที่มาของผี 1 ตน ตนนั้นก็คือพี่เอ

 วกกลับมาอีกครั้งกับเรื่องเข้าร่วมพิธีเปิดค่ายลูกเสือ ไม่รู้เหมือนกันจะให้เด็กไปตากแดดทำไมตั้งนานร้อนก็ร้อน ฉันไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้เลย ก็ยังเด็กอ่ะนะมันก็เป็นเด็กวันยังค่ำ อยู่เรียบร้อยได้ไม่นานก็มีบ้างขยุกขยิก วันนั้นอากาศมันร้อน มีเพื่อนฉันคนหนึ่งเป็นลม พวกครูๆและเพื่อนๆก็หามเพื่อนที่เป็นลมไปยังใต้อาคารเรียน ( ก็อากาศร้อนมากตอนนั้น ) เป็นเพื่อนในกลุ่มฉันเอง ชื่อ มด (มดสมชื่อเพราะตัวเล็กผอมซีด ร่างกายอ่อนแอ และป่วยบ่อยที่สุด) ฉันหันไปมองครูและเพื่อนที่พามดไปนอนใต้ถุนอาคารเรียน และช่วยกันพัด แกะกกระดุมเสื้อ และคายกระโปรงออกเพื่อให้โล่งสบายและไม่รัดจนเกินไป *ฉันอยากเป็นลมบ้างงง* ฉันคิด ก็ได้แต่คิดเท่านั้น ใครให้เกิดมาเป็นหญิงแกร่ง แกร่งไม่แกร่งยังเห็นผี คุยกับผีอีก “อยากเป็นลมเหมือนไอ่เด็กตัวเล็กนั้นเหรอ” * มาอีกล่ะ พี่เอ คนยิ่งร้อนๆอยู่ ไปไหนก็ไปเลยไป ชิวๆ* ฉันคิดเพราะได้ยินเสียงพี่เอพูด “อย่าไล่กันสิ เราเป็นเพื่อนกันนะ น้อง” *ใครเป็นเพื่อนกับพี่เอกัน ยิ่งร้อนๆอย่ามากวนใจฉันได้ไหม * พอฉันคิดเสร็จพี่เอก็ตอบทันควัน “ก็เรานั้นไง เปิดเทอมมานานแล้ว ชื่อก็ตั้งให้ ขนมก็ให้กิน เขาไม่เรียกว่าเพื่อนเหรอไง” ใช่ตั้งแต่ฉันสอบเข้าโรงเรียนได้ตามต้องการ พี่เอก็คอยมาอยู่ด้วยเสมอ บางทีก็มานั่งเรียนด้วย บางทีก็มาแกล้งฉันกับเพื่อนๆ เวลาฉันและเพื่อนๆกินอะไรมักจะขอจานเปล่าๆ 1 ใบเพื่อแต่ละคนตักอาหารของตัวเองคนละ 1 ช้อน ใส่ในจานนั้น หรือไม่ก็ซื้อของขนมมาวาง รวมถึงน้ำ จนฉันและเพื่อนๆชินไปเสียแล้ว ทำหให้พี่ๆเพื่อนๆน้องๆ ในโรงเรียน ต่างมองกลุ่มฉันเป็นพวกเล่นของ ไปเลย แต่พวกฉันไม่สนใจหรอก ทำแล้วสบายใจก็พอ ฉันนี่นอกเรื่องอีกล่ะ กลับมาที่ฉันเถียงกับพี่เอ *มันก็จริงนะ งั้นพี่ช่วยไปดูไอ่มดให้ทีสิ มันเป็นอะไรมากไหม มันขี้โรคด้วย* ฉันบอก พี่เอ แน่นอนต้องคิดในใจได้อย่างเดียวพูดออกมาเดี๋ยวจะโดนว่าบ้า พี่เอหายไปอยู่ที่มดนอนพักอยู่ แล้วหันกลับมา ฉันมองดูพี่เอ พี่เอยกนิ้วโป้งให้เหมือนแปลว่าเยี่ยมนั้นแหละ ฉันเลยสบายใจที่มดไม่เป็นอะไรมาก “ ไม่เป็นไรแล้วเพื่อนเธอน่ะ แต่เธอนี่สิ ยืนตากแดดตั้งนาน พิธงพิธีก็เยอะอะไรนักหนา เดี๋ยวพี่เอคนนี้จะบังแดดให้ ” แล้วพี่เอก็ยืนเยื้องกับฉันเพื่อบังแดดให้ เอาฉันซาบซึ้งมาก ไม่หรอก...คนอย่างฉันนะเหรอจะซาบซึ้งกับผี ชิ! ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะกลัวครูได้ยิน * ผีบังแดดให้คนเนี้ยนะพี่เอ บ้ารึเปล่า ผีนะไม่ใช่คนจะบังแดดให้กันได้ โปร่งแสงขนาดนั้น * พี่เอได้ยินฉันคิดแล้วทำหน้าไม่พอใจ ฉันกลัวพี่เอจะงอนเลยบอกไปว่า * ขอบคุณค่า...พี่ที่ช่วยบังแดดให้ ถึงจะไม่ได้ช่วยจริงๆก็เถอะ แต่อย่างน้อยพี่อยู่ใกล้ก็เย็นอยู่แล้ว* (คุณเคยรู้สึกขนลุกแบบไม่มีสาเหตุไหม นั้นนะใช่อย่างที่พวกคุณคิด ผีจะมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่าเราแต่ก็ไม่เสมอไปหรอกนะ ) ฉันหันไปยิ้มให้พี่เอ “เธอไปเป็นรองหัวหน้ากลุ่ม” เสียงครูนิคตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล (ครูนิคเป็นครูฝ่ายปกครองและสอนลูกเสือรวมถึงวิชาพลานามัยด้วย ขอบอกดุมาก ฉันจำครูนิดได้ดีเลย) ฉันมองหน้าครูนิค แล้วก็เดินไปหาด้วยอารมณ์เบื่อๆเซ็งๆ เพราะฉันเคยบอกคุณๆแล้วว่าฉันไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย “เอาล่ะทีนี้ก็ครบกลุ่มแล้วไปพักได้เดี๋ยวเรามารวมองกันใต้อาคารเรียน A” (ขอเรียกชื่ออาคารแต่ละอาคารเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษละกันเดี๋ยวคุณๆรู้หมดว่าฉันอยู่ ที่ไหน? 555) ฉันเดินหน้ามุ่ย เข้าไปหามดที่นั่งเอนอยู่กับเสาตรงใต้ตึก “พวกแกเป็นไงบ้าง?” มดถามด้วยความเป็นห่วง แต่ดูท่าทางมดจะดีขึ้นแล้ว “แม่ง! ร้อนว่ะ ไม่รู้พูดอะไรนักหนา ร้อนก็ร้อน” อัง (สาวห้าวประจำกลุ่ม อีกทั้งมีนิสัยเหมือนผู้ชายจนบางครั้งฉันยังคิดว่าเป็นทอมด้วยซ้ำ มีแต่คนชอบอัง ทั้งที่หน้าตาก็ไม่สวยอะไรและมีความน่ารักเพราะเฟรนรี่กับทุกคนเสมอ) บ่นถึงอากาศที่วันนั้น ฉันเองก็ไม่ได้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ยกน้ำขึ้น มาดื่ม พร้อมมกับบ่นให้เพื่อนๆในกลุ่มฟัง “ นั่นสิ ร้อนเกิ๊น ครูไม่ร้นไม่ร้อนกันหรือไงนะ ” เมื่อฉันพูด สายตาดันไปมองที่เสาธงที่ตั้งสง่าอยู่กลางสนามฟุตบอล เอาอีกแล้ว ฉันเห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุดทหารญี่ปุ่นขาดๆ และเกาะไปด้วยฝุ่นหนายืนหันหน้าติดกันเสาธง นั่นไง ! ฉันเอาอีกแล้ว* อย่านะ อย่าหันมา อย่าหันมาเชียวนะ * หมดความคิด ผีทหารนั้นค่อยๆ หันหน้ามาหาฉัน แล้วอยู่ดีๆ พี่เอก็มายืนบังฉัน ฉันเงยหน้ามองพี่เอ “ทำเป็นไม่เห็นบ้างก็ได้ หรือไม่ก็อย่าคิดถึงมัน เข้าใจไหม?” ไม่พูดเปล่าเอามือมาลูบหัวฉันแล้วยิ้มให้ ฉันยิ้มตอบ “ค่ะ ขอบคุณนะพี่เอจะจำไว้น้า” แล้วฉันกับพี่เอก็หัวเราะพร้อมกัน เพื่อนๆหันมามองหน้าฉัน มันเป็นเรื่องปกติที่ฉันมักจะยิ้มและหัวเราะคนเดียว แต่เพื่อนๆฉันรู้ว่ามีพี่เอคอยดูแลตลอดไม่ใช่เฉพาะฉันหรอก ทั้งกลุ่มฉันไม่ว่าจะเป็น - มด ที่มีร่างการอ่อนแอ

- อังสาวห้าวประจำกลุ่ม 

- มนเจ้าแม่แห่งการมโนและคิดไปเอง 

- เอฟหญิงแห่งบ้านทรายทองที่ทำอะไรก็ช้ากว่าเพื่อนและเวลาเล่าอะไรให้ฟังก็รู้ช้ากว่าเพื่อนตลอด 

- เอ๋แม่เสือสาวขี้สงสัย 

-กรหญิงแห่งการเงียบขรึมประดุจโลกทั้งใบจะถล่มลงมาใส่ 

-อุ้ยปากยิ่งกว่ามาค้าในตลาด อย่าด่าหรือเถียงกับคุณเธอนะไม่มีทางชนะได้อย่างแน่นอน

- นิก ( ฉันขอใช้นิกเป็นตัวกอไก่นะ เพราะเดี๋ยวจะสับสนกับครูนิค ) คนนี้บ้านฉันมีเงิน ฉันรวย ใครจะทำไม 

-โฟว์จะค่อนข้างสนิทกับฉันเพราะโฟว์มักมีความรู้สึกแปลกๆแต่ไม่ยักกะเห็นเหมือนฉัน 

-สกายห้าวหาญบ้าบิ่นเพื่อนรู้ใจของอังเขาละ แบบดูตาก็รู้ใจอย่างไงอย่างงั้น 

-น้ำหวานหญิงมารยาทงาม พูดจาไพเราะ แต่ซ่อนความร้ายไว้ภายใน เพราะเป็นเจ้าแม่แห่งการวางแผน 

       นี่แหละ... กลุ่มฉันแต่ละคนนิสัยแตกต่างกันมาก แต่ที่รวมกลุ่มและสนิทกันได้ คงเพราะตอนย้ายห้องจนจะจบม.ต้นอยู่แล้วยังไม่เคยอยู่กันคนละห้องเลย ที่ทุกปีจะมี การเลื่อนชั้นจะต้องมีทำข้อสอบเพื่อสับเปลี่ยนห้องในการเรียน ถ้าเป็นห้อง1 ก็จะเรียน แย่หน่อย แต่ถ้าเป็นห้อง 12 ก็จะเป็นห้องที่ครู ในโรงเรียนจะให้ต่อม.ปลายสายวิทย์ หรือเรียกง่ายๆว่า ** ห้องคิง หรือ เด็กเรียนเก่ง** ประมาณนั้น ส่วนพวกฉันนะเหรออยู่ห้อง 5 ค่า ไม่เก่ง ไม่เรียน เน้นกิจกรรม ถ้ากลุ่มฉันไม่มีกิจกรรมเข้าช่วยนะ โน้นคงย้ายไปอยู่ห้อง 1 แล้ว เพราะห้องฉันเป็นเด็กกิจกรรมทุกคนทั้งห้อง เลยได้อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ม.1 จนตอนนี้จะจบม.ต้นแล้ว ยังไม่เคยแยกจากกันเลยซักครั้ง เพราะแต่ละคนเกาะติดกิจกรรมกันแน่มากๆ ไม่งั้นลงไปอยู่ห้องบ๊วยแน่ เอาล่ะเล่าพอหอมปากหอมคอที่มาที่ไปของกลุ่มฉัน

 กลับมาที่ฉันเห็นพี่ทหารญี่ปุ่นคนนั้น ทำให้ฉันรู้ตัวแล้วว่าต้องเจอกับอะไรเป็นแน่ แต่ก็ไว้วางใจได้เพราะมีเพื่อนที่แสนดีอย่างพี่เอ มาอยู่ด้วยสบายใจนิดหน่อย โฟว์เห็นฉันยิ้มและหัวเราะอยู่จึงเข้ามายื่นน้ำอีกขวดให้ฉัน “ คุยกับพี่เอล่ะสิ ร่าเริงเชียวนะ ” ถามไม่ถามเปล่ายังทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ฉัน 

     “อืม...พี่เอมาคุยด้วยไม่มีอะไรหรอก” ( คำว่าไม่มีอะไรหรอกของฉัน แฝงไปด้วยคำว่า เดี๋ยวต้องมีอะไรแน่ๆ เพื่อนๆในกลุ่มรู้ดี ) *เห้ออออ* โฟว์ ถอนหายใจ 

    “คำว่าไม่มีอะไรของมึงน่ะ มีตลอดเลยนะ กูรู้สึกได้” พอโฟว์พูดจบ 

   “มันก็เป็นอย่างนั้นตลอดไม่ใช่เหรอ...ไง ไอ่น้องมันต้องมีอะไรปิดบังพวกเราแน่ๆ แต่ไม่ว่าเรื่องไหนขอให้มาเถอะ กูจะเหยียบให้จมดินเลย ผีๆก็ผีเถอะ กูไม่กลัว” อุ้ยทำท่าทางกร่างและผยองอย่างไม่เกรงกลัวอะไรจริงๆ ใช่อุ้ยไม่ใช่แค่ปากตลาดนะแต่ชอบ ลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็นด้วย แต่ดีที่พี่เอไม่ว่าอะไรเพราะคิดว่าเด็กก็คือเด็ก แต่ฉันสิ! อยากจะด่าไอ่อุ้ยซัก100 รอบ เพราะทันทีที่อุ้ยพูดจบ ผีทหารญี่ปุ่นก็เอาหน้าแทบจะชนหน้าอุ้ยเลยที่เดียวแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ฉันผู้เห็นเหตุการณ์ถึงกับอึ้ง แต่ไอ่อุ้ยน่ะเหรอก็มันไม่เห็นผีมันจะไปรู้สึก รู้สาอะไรแล้วมันจะกลัวทำไม ฉันกับโฟว์หันมามองหน้ากันและเหมือนมีไอเย็นบางอย่างมา กระทบร่างกาย * ไอ่อุ้ยปากมึงนี่เอาความเดือดร้อนมาให้กูอีกแล้ว * ก็ฉันเห็นคนเดียวนี่ อีกอย่างโฟว์ก็แค่รู้สึก ไม่ 3 D อย่างฉันซักหน่อย แล้วผีทหารญี่ปุ่นพูดออกมาว่า “&*&#@+###%$^&**” (55+ ฉันไม่ได้กดอะไรผิดหรอกก็ฉันฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง เดาๆ เอาคงประมาณว่า * แล้วเจอกัน อะไรทำนองนี้มั้ง? * เพราะจากท่าทางและหน้าตาผีทหารญี่ปุ่นมันบ่งบอกแบบนั้น ฉันก้มหน้า ก้มตาเพื่อไม่ให้ผีทหารญี่ปุ่นรู้ว่าฉันเห็น 

    “ เอ้า ! เร็ว นักเรียนให้มาเข้าแถวตามกลุ่มมี่แบ่งตอนเช้า” ฉันสะดุ้ง! และตกใจกับคำสั่ง ที่เสียงดังของครูนิค แต่ก็ดีที่เสียงของครูนิคเรียกสติฉันกลับมาได้ ฉันหยิบกระเป๋าและขวดน้ำเดินเข้ากลุ่มไปตามที่ครูนิคบอก โฟว์เดินเคียงข้างฉัน “เมื่อกี้แกรู้สึกใช่ไหม?” ฉันพยักหน้าเป็นการตอบ * ปากพาซวยจริงไอ่อุ้ย...* โฟว์บ่นพรึมพรำก่อนไปเข้ากลุ่มอีกกลุ่ม แต่อนิจังคนมันจะมีเรื่องยังไงก็ห้ามไม่อยู่ ฉันดันได้อยู่กลุ่มเดียวกับอุ้ย ส่วนมนอยู่กับนิก เอฟอยู่กับน้ำหวาน อังอยู่กับสกาย (คู่นี้โชคดี เพื่อนเลิฟอยู่ด้วยกัน ) เอ๋ยู่กับโฟว์ แล้วสุดท้าย กรอยู่กับมด แยกกลุ่มกันได้บังเอิญมาก *ทำไมกูต้องมาอยู่กับอุ้ยด้วยว่ะ เห้อออ...* ฉันคิดถึงความยุ่งยากที่จะตามมาจริงๆ เข้าค่ายลูกเสือมีกำหนด 3 วัน 2 คืน ใช่มีตั้ง 2 คืน ฉันเดินเข้าไปอยู่หลังสุดเพราะได้เป็นรองหัวหน้ากลุ่ม (นานแล้วจำชื่อกลุ่มไม่ได้ขอเป็นตัวเลขล่ะกันนะ ) มีทั้งหมด 10 กลุ่ม ฉันเองเป็นคนตัวเล็กเรียกง่ายๆ เบาๆก็เจ็บคือ * เตี้ย *นั่นเอง และพี่เอมักจะปลอบใจฉันว่า* ผู้พิทักษ์สโนไวน์* ดีจริงๆ น่าภาคภูมิใจที่สุดเลย ( ประชดค่า.... ประชด! ) ถึงไม่เป็นรองหัวหน้ากลุ่มก็ได้อยู่ด้านหลังแถวอยู่ดี ซึ่งมดก็เช่นกัน (แอบดีใจเล็กๆ ฉันสูงกว่ามดไป นิดหน่อย หุหุ ) ครูที่ดูแลกลุ่มฉันคือครูขาโหดประจำโรงเรียน “ครูนิค”นั้นเอง ส่วนครูผู้ช่วยคือ “ ครูยุพา” ( ครูยุพาเป็นคนเรียบร้อย พูดเพราะ สอนวิทยาศาสตร์ ฉันชอบครูคนนี้มาก เพราะแกใจดี ใครไม่เข้าใจอะไร แกก็จะอธิบายจนกว่าจะเข้าใจ น่ารักที่สุดในบรรดาครูที่สอนมา) อยู่กับขาโหดก็ต้องโหดสมชื่อสิค่ะ รวมแถวได้ไม่นานก็ต้องแยกมาฝึกระเบียบแถว เพื่อแสดงศักยภาพครูปกครอง ครูนิคพาไปฝึกระเบียบแถวกลางสนามฟุตบอลที่ร้อนมาก เหงื่อยไหลไคลย้อยหมด ฉันสังเกตว่าตั้งแต่ ผีทหารญี่ปุ่นมาจองหน้าอุ้ย และพี่เอหายไป ไม่เห็นเลย ฉันคิดเรียกพี่เอ แต่พี่เอก็ไม่ตอบสนองอะไร ไม่โผล่มา และไม่ส่งเสียงอะไรอีก * เอ...หรือว่าพี่เอกลัว ผีทหารญี่ปุ่น* ฉันคิดในใจ แต่ก็ไร้การตอบสนองจากพี่เอ ฉันฝึกไป ก็มองหาพี่เอด้วย แต่ก็ไร้วี่แววของพี่เอ *พี่เอไปไหนนะ* ฉันคิด พอฝึกระเบียบแถวเสร็จครูนิคให้ไปรวมตัวกันใต้ตึก A อีกครั้ง พร้อมแจ้งกำหนดการที่ต้องทำในการเข้าค่าย 3 วัน 2 คืน ฉันไม่กลัวหรอกแค่ฝึกทำโน้น! นี่! นั้น! แต่ที่กลัวคือตอนกลางคืนนี่สิ น่ากลัวที่สุด เพราะคำพูดของไอ่อุ้ยคนเดียวเลย ปกติฉันก็ไม่กลัวเท่าไหร่นะ เพราะเห็นเป็นปกติ แต่ผีทหารญี่ปุ่นครั้งนี้น่ากลัวเพราะแผ่รังสีความอำมหิตและกลิ่นความตายออกมาอย่างชัดเจน ฉันเห็นผีมาเยอะแต่ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ผีที่ทำให้โฟว์ถึงกับปวดหัวไมเกรน ทั้งที่ฝึกระเบียบแถวอยู่ที่ร่มไม่น่ามีอาการปวดหัวขนาดนั้นเลย ปกติโฟว์มักจะบอกว่ารู้สึกเย็นๆ หรือไม่ก็ ขนลุก แปลกๆ แค่นั้น แต่คราวนี้เห็นโฟว์ปวดหัวจนต้องทานยาเลย ซ้ำยังพี่เอปกติจะมา แหย่ฉันเล่นกับฉันบ่อยๆและห่วงฉันเวลามีผีตัวอื่นเข้าใกล้ พี่เอก็จะจัดการทั้งหมด ฉันยังถือว่าพี่เอเป็นบอดี้การ์ดผีของฉันเลยทีเดียว แต่ตอนนี้ฉันไม่เห็นเลย และก็อดแปลกใจไม่ได้ อยู่เรียนจนจะจบแล้วยังไม่เคยพบเจอหรือเคยเห็นผีทหารญี่ปุ่นมาก่อนเลย ฉันนึกและคิดอยู่ในใจ อยู่ดีๆอุ้ยก็มาตอบหลังฉันเบาๆ “มึงได้นอนห้องเดียวกับกู อาคารB ชั้น 3 ห้อง305 เชียวนะโว้ย ” ฉันตกใจที่อุ้ยมาตบหลังเพราะมัวสงสัยเหตุการณ์ที่เกิด 

     “ เดี๋ยวนะไอ่อุ้ยมึงบอกกูใหม่ดิ ว่าห้องไหนนะ แล้วกูนอนกับใคร” ฉันหันหลังไปมองอุ้ยเพื่อหาให้คลายสงสัย ที่จริงฉันไม่สงสัยหรอกแค่ไม่อยากเชื่อหูตัวเองมากว่านอนกับไอ่อุ้ย แค่นั้น  

      “ไอ่น้องงงงงมึงฟังดีๆ มึงได้นอนกับกูอาคาร B ชั้น 3 ห้อง 305 ”อุ้ยพูดช้าๆพร้อมเอานิ้วชี้ที่ปากเหมือนบอกให้ฉันดู  

      คำตอบของอุ้ยทำให้ฉันแทบเข่าทรุดอยากไปนั่งลงกับพื้นเลยที่เดียว เพราะอะไรน่ะเหรอ คุณๆคงสงสัย โดยประวัติแล้วห้อง 305 อาคาร B เป็นห้องดนตรีไทยเก่าแต่ได้ปรับปรุง เป็นห้องกิจกรรมไว้ซ้อมเกี่ยวกับการแสดงของโรงเรียนเพื่อไปแข่งขันงานต่างๆ เพราะในห้องมีกระจกบานใหญ่ที่ติดผนังหนังหน้าห้องและด้านข้าง แต่ยังมีหน้าต่างอยู่ตรงข้ามกับกระจกข้างห้องเวลาเปิดหรือปิดต้องเลื่อน ใช่อย่างที่คุณๆเข้าใจ ประตูเป็นประตูกระจกเลื่อนได้ ( คุณนึกถึงห้องซ้อมเต้นของเด็กๆในสมัยนี้ไง) ซึ่งห้องนี้มีไว้สำหรับซ้อมการแสดงโดยเฉพาะและเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด ใช่มันไม่ใช่ห้องเรียนที่ขนาดเล็ก อีกทั้งยังอยู่ไกลจากห้องน้ำเพราะชั้น 3 ไม่มีห้องน้ำ ที่มีห้องน้ำและสามารถอาบน้ำได้แต่ชั้น 1 กับชั้น 2 ที่มีเท่านั้นอาคารนี้อยู่ใจกลางโรงเรียน สามารถเห็นอาคารข้างๆได้ และยังเห็นสนามฟุตบอล โรงยิม โรงอาหาร และ อาคาร A และ C แล้วทำไมฉันถึงตกใจนะเหรอ 

 อย่างแรกนอนกับอุ้ยที่ชอบพูดลบหลู่ทุกสิ่งอย่างชอบเถียงเพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก กระหายความชนะ 

           อย่างที่สอง ห้องนี้มีกระจกและเป็นห้องดนตรีไทยเก่า 

          อย่างที่สาม สามารถมองเห็นได้ทุกอาคาร สุดท้ายห้องน้ำต้องลงไปเข้าชั้น 2 หรือไม่ก็ชั้น 1 เพราะอาคารมี 3 ชั้นแต่ไม่รู้ทำไมชั้น 3 ถึงไม่มีห้องน้ำ คุณๆเห็นความลำบากใจของฉันหรือยังว่าทำไมถึงแทบทรุดอยู่ตรงนั้น แล้วคุณๆคิดกลับไปตอนที่ผีทหารญี่ปุ่นจองหน้าอุ้ยเหมือนเอาเรื่องสิ แล้วคิดออกไหมว่า 2 คืนนี้ฉันจะต้องเจออะไร สำหรับคนเห็นผีอย่างฉัน อุ้ยเห็นลากกระเป๋าเหมือนจะหมดแรง อีกทั้งยังหน้าบึงตึงไม่พอใจอย่างมาก อุ้ยเดินมาข้างฉันและบอกอีกว่า “รู้ม่ะไอ่น้อง ความจริงนะเราได้นอนชั้น 2 ซึ่งมันใกล้ห้องน้ำมาก กูว่านะมันน่าลำคาน เดี๋ยวแม่งเดินไปเดินมาเข้าห้องน้ำกันอยู่นั้นแหล่ะกว่าเราจะได้นอนนะโว้ย กูมาคิดดูแล้วว่าไม่ได้นอนแน่อีกยังใกล้ห้องน้ำ กลิ่นมาแน่ๆ กูเลยขอครูนิคนอน305 กว้างก็กว้าง ไกลห้องน้ำ คนก็ไม่เยอะ อีกทั้งเราไม่ต้องไปจัดห้องอีก สบายจะตายนี่กว่ากูจะขอได้นะเถียงแทบตาย แต่มึงก็รู้ว่ากูเถียงชนะทุกคนอยู่แล้ว” ฉันหยุดเดินและวางกระเป๋าอย่างเบาที่สุด อุ้ยไม่รู้ว่าฉันหยุดเดิน ก็คงพร่ำพรรณนาต่างๆอย่างภาคภูมิใจที่ได้นอนห้องสบายๆนั้น แล้วอุ้ยก็รู้ตัวว่ากำลังพูดอยู่คนเดียว จึงหันกลับมาหาฉัน

     “แกเหนื่อยเหรอ ยกกระเป๋าไม่ไหวเหรอ กูช่วยมึงม่ะ” แล้วยิ้มให้ฉันและเดินมาหาฉันถือกระเป๋าฉันขึ้นชั้น 3 “ก็ไม่หนักนี่นา ครูนิคซ้อมพวกเรากลางแดดแน่เลย มึงเลยไม่มีแรงอีกทั้งยังไม่ได้กินข้าว ตัวเล็กก็อย่างนี้แหละ ” คุณๆรู้ไหมในใจฉันคิดอะไรตอนนั้น ฉันอยากถีบไอ่อุ้ยตกบันไดให้มันรู้แล้วรู้รอดเลย อุ้ยมันก็บ่นของมันไปเรื่อง ฉันก็หน้าหงิดหน้างอใส่มัน แต่มันคงนึกว่าฉันเหนื่อยเลยทำหน้าแบบนั้นที่จริงมันไม่ใช่เลย ฉันเดินไปถึงหน้าประตูอุ้ยเลื่อนประตูออก ความเย็นยะเยือกก็เข้ามาแทนที่เหงื่อยที่ไหลลงมา *พี่เออยู่ไหน เพื่อนรักคนนี้ต้องการพี่เอด่วน* แต่ก็ไม่ได้คำตอบหรือเสียงอะไรตอบกลับมา ฉันถอนหายใจและจำยอมเข้าไปในห้อง นึกเพียงแต่ว่าอยากเพิ่งสำแดงฤทธิ์เดชอะไรเลยนะ น้องกลัว อุ้ยวางกระเป๋าของฉันกับมันลง 

     “ เห็นไหมมึงห้องก็กว้าง แอร์ก็มี ถึงจะไกลห้องน้ำไปหน่อยแต่กูว่าเรา 2 คนสบายสุด” ฉันคลานไปนั่งข้างมันโดยพิงอยู่ที่ไม้ฝั่งหน้าต่าง พยายามไม่มองกระจกแต่ก็ต้องเห็นกระจกอยู่ดีเพราะประตูเห็นกระจก ฉันเห็นตัวเองและอุ้ยนั่งในกระจก ฉันคิดว่า*ดีแล้วที่ไม่เห็นอะไรในกระจก ไอ่อุ้ยนะไอ่อุ้ย ถ้ามึงไม่ใช่เพื่อนกู กูจะถี่บมึงลงไปชั้น 1 เลย * นั่งได้ซักพักก็มีเสียงนกหวีดเรียกรวมกลุ่ม ฉันรีบวิ่งโดยไม่สนใจอุ้ย ก็คนมันอยากหนี ละนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกขอบคุณครูนิค เข้าแถวเสร็จครูนิคจัดเวรตามกลุ่มเพื่อจัดโต๊ะอาหารสำหรับกินข้าว จากนั้นก็ทยอยกันทานข้าว ทานข้าวเสร็จได้พักก่อนจะรวมตัวกันอีกครั้ง ฉันมานั่งที่โต๊ะกินข้าวปล่อยให้เพื่อนๆที่เป็นเวรเก็บโต๊ะและเช็ดโต๊ะให้เรียบร้อยที่ฉันไม่ไปไหนน่ะเหรอก็เพราะไม่มีแม้แรงจะเดินในหัวมีแต่ห้อง305 และผีทหารญี่ปุ่น โฟว์เดินมาหาฉันพร้อมเอ๋และเพื่อนๆในกลุ่ม 

      “เป็นอะไรไปว่ะมึงทำหน้าอย่างกับปวดขี้”เอ๋ทักทายฉัน ฉันไม่ตอบแต่เอาหน้าฟุบลงที่โต๊ะ 

        “เป็นอะไรของมึง ไอ่น้อง” อังถาม แต่ฉันก็คงไม่ตอบตามเคย ตอนนี้ฉันไม่อยากพูดคุยอะไรเลย ชะตากรรมฉันกับห้องกระจก และผีทหารญี่ปุ่น วนเวียนในสมอง

       “เล่ามาไอ่โฟว์ มึงคล้ายๆไอ่น้องมัน มึงต้องรู้ ” ทีนี้ทุกคนในกลุ่มหันไปมองหน้าโฟว์เพื่อหาคำตอบ

        “ไม่รู้ กูจะรู้ได้ไง กูไม่ใช่ไอ่น้องนี่นา ” โฟว์ตอบเพื่อนในกลุ่มพร้อมกับเอาหน้าฟุบโต๊ะอีกคนไป แต่ละคนพยายามถามจนเสียงดัง ครูนิคเดินผ่านมาพอดี 

       “วันแรกก็เหนื่อยกันแล้วเหรอ เดี๋ยวก็ปล่อยไปนอนแล้ว” ฉันได้ยินคำนั้นอยากเอาตัวหายไปจากโลกนี้เลยทีเดียว 

       “ไม่หรอกครู น้องและโฟว์แค่กินข้าวอิ่มมันเลยง่วงแค่นั้นเอง” นิกตอบครูพร้อมกับขยิบตาให้มน 

        “ใช่ๆครูเดี๋ยวมันก็ปรับตัวได้” แล้วอยู่ดีๆอุ้ยเอ่ยขึ้นมาเหมือนนึกอะไรออก“จริงสิ ครูนิคห้องที่หนูพักมันกว้างมากเลย ครูนิคที่น่ารักให้กลุ่มหนูไปนอนได้ไหมไม่กี่คนเอง นะนะ”พร้อมส่งสายตาเว้าวอน ครูนิคหัวเราะ

       “อ้าว... แค่นี้เองนึกว่าเรื่องอะไรมีแต่คนไม่อยากนอนห้องนั้น ตอนแรกครูว่าจะไม่ให้ยุ่งห้องนั้นแล้วนะ เอ้า! ในฐานะที่ครูรู้ว่าพวกเธอขาดกันไม่ได้ ขนาดดนี้ก็ตกลงตามนั้น เดี๋ยวหลังปล่อยอาบน้ำค่อยย้ายไปห้อง 305 แล้วกันครูอนุญาต” เพื่อนในกลุ่มที่ฟังอยู่ถึงกับอุทานเป็นเสียงเดียวกันเลย “305!” ครูนิคพูดเสร็จก็หัวเราะเดินออกไปเพื่อเตรียมเรียกรวมอีกครั้งส่วนฉันน่ะเหรอ อยากเป็นธาตุอากาศปลิวไปเลย อุ้ยยิ้มกริ่มให้กับเพื่อนในกลุ่ม ทุกคนหันมาหาอุ้ยพร้อมกันยกเว้นฉันกับโฟว์ที่กำลังลุกเดินไปรวมแถวเหมือนวิญญาณออกจากร่าง และได้ยินเสียงด่ากร่นอุ้ยและเสียงอุ้ยวิ่งโดยผ่านฉันกับโฟว์ไป โดยมีอังกับสกาย ไล่เอาเท้าเตะอุ้ย 

       “แล้วห้อง305มันเป็นยังไงเหรอ ทำไมอังสกาย มน กร ต้องไปทำร้ายอุ้ยขนาดนั้นใช่ไหมน้ำหวาน” เอฟถามน้ำหวานซึ่งตอนนี้ 2 คนเดินมาทันฉันกับโฟว์ ฉันได้แต่เดินอย่างหมดเรี่ยวแรง เหมือนไม่มีวิญญาณ โฟว์ก็เช่นเดียวกัน เห้อ..ฉันถอนใจในความไร้เดียงสาของ 2 คนนี้ ที่จริงฉันก็อิจฉานะ เพราะพวกเขาไม่สามารถสัมผัส หรือ เห็นผี เหมือนฉันกับโฟว์  

        มดเอ่ยออกมาว่า “ห้อง 305 เป็นห้องดนตรีไทยเก่าไง แล้วเขาเปลี่ยนเป็นห้องกิจกรรม และที่สำคัญนะ มันเป็นห้องแอร์ ฉันกลัวไม่สบายไม่ได้เอาผ้าห่มหนาๆมาด้วย” *อ้าววมดมึงห่วงแค่มึงไม่สบาย ไม่ห่วงเพื่อนมึงว่าจะเจออะไรคืนนี้เลยหรือไง * ฉันคิด “คืนแรกอย่า เจออะไรเล้ย” ฉันกับโฟว์พูดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำเอาฉันกับโฟว์มองหน้ากันและยังมีน้ำหวาน เอฟ มด มองฉันกับโฟว์ด้วย สุดท้ายแล้ว ฉันและโฟว์ก็ถอนหายใจกันทั้งคู่ก่อนนกหวีดจะดังแล้วไปรวมกลุ่ม เมื่อครูนิคแจ้งถึงกิจกรรมวันพรุ่งนี้ว่ามีอะไรบ้าง ฉันน่ะเหรอ หูไม่ได้ยินอะไรเลย สมองมีแต่ภาพทหารญี่ปุ่นจ้องหน้าอุ้ย อยู่อย่างนั้น จนมีคนการกระซิบข้างหู “ผีมาแล้วววว”ด้วยเสียงยานคราง ฉันถึงกับขนลุกและเย็นไปทั่วร่างกาย แต่กลิ่นนี้เป็นกลิ่นน้ำอบไทยเเป็นกลิ่นติดตัวของพี่เอ ฉันหันหน้าไปมองตามเสียง น้ำตาฉันไหลออกมา พี่เอยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างฉัน ฉันร้องไห้ออกมาแล้วเอาแขนเช็ดน้ำตา พี่เอทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว 

      “อย่าร้อง ร้องทำไม ปกติเล่นแบบนี้จะด่าไม่ใช่เหรอ ร้องไห้ทำไม ไม่เอาอย่าร้อง เดี๋ยวใครมาเห็นจะหาว่าพี่รังแกเรานะ น้อง” *ใครจะมาด่า มาว่าพี่ได้ล่ะ ก็มีแต่ไอ่น้องเนี้ยที่เห็น ที่ด่าได้ พี่เอไปไหนมา รู้ไหมน้องกลัวมากเลยนะ* “ขอโทษครับอย่าร้องไห้นะ นอนห้อง305 เหรอเดี๋ยวพี่ไปอยู่เป็นเพื่อน” * พี่หายไปไหนมา เรียกก็ไม่มา * ก่อนที่จะได้คำตอบครูยุพาก็เดินมาหาฉัน 

     “ร้องไห้ทำไมเราเป็นอะไรหรือเปล่า บอกครูได้นะจ๊ะ” ฉันเอามือและแขนเช็ดน้ำตาไม่เป็นไรค่ะ แค่แมลงเข้าตาเฉยๆ 

       “อดทนหน่อยนะ เดี่ยวมันก็ผ่านไป น้องเก่งครูรู้” ครูยุพาปลอบฉัน ฉันยิ้มให้แทนคำตอบ เมื่อครูนิคแจ้งรายละเอียดวันที่2 เสร็จ จึงปล่อยให้พักผ่อน กลุ่มฉันเดินมาด้วยกัน ฉันรู้สึกดีขึ้นเมื่อเห็นพี่เอ ฉันคิดว่ามีพี่เอก็ไม่มีอะไรต้องกลัว โฟว์เห็นฉันยิ้มจึงเดินเข้ามากระซิบข้างหูฉัน สิ่งที่ฉันเห็นร่างโฟว์กับร่างพี่เอซ้อนกัน 

     “พี่เอมาแล้วใช่ไหม ยิ้มขนาดนี้” ฉันพยักหน้าและยิ้มให้โฟว์ “ไม่ต้องยิ้มให้พี่ก็ได้ พี่รู้ว่าคิดถึงหรอกน่า ไม่มีพี่อยู่กลัวอ่ะดิ” พี่เอพูดแล้วหายไปกับตา* ใครยิ้มให้พี่กัน ยิ้มให้โฟว์ต่างหาก* “เชื่อดีไหมน้า”*ยังมาคุยอีกไปรอที่ห้อง305 เลย * แล้วมีเสียงหัวเราะผ่านมา แต่ด้านหน้าฉันก็ยังทำหน้าที่ไม่เสร็จคือรุมด่าและทำร้ายร่างกายอุ้ยอย่างให้ตายไปข้างหนึ่ง 

       “กูผิดอะไรก็กูอยากให้พวกมึงมีที่นอนสบายๆ ไม่แออัดไง” อุ้ยบ่นพรึมพร่ำ ฉันหัวเราะได้กับเหตุการณ์และเรื่องราวตรงหน้าก่อนถึงห้อง 305 ที่หน้าประตูบานเลื่อนมีพี่เอยืนอยู่ พร้อมหันมายิ้มให้ ฉันยิ้มกลับให้พี่เอพร้อมยกนิ้วโป่งให้พี่เอ หวังว่าคืนแรกจะผ่านไปได้ด้วยดีนะ โฟว์บ่นด้วยเสียงที่เบาแต่ฉันก็ได้ยิน ฉันตบไหล่โฟว์เบาๆ และกระซิบ“ พี่เอมาแล้ว สบายใจได้ เชื่อสิ” โฟว์ยิ้มตอบฉัน“เดี๋ยวก่อนครูจะนอนกับพวกเธอด้วย ” ครูยุพาตะโกนขึ้นมา ฉันหันตามเสียงและไปช่วยครูถือกระเป๋า * อย่างน้อยฉันก็หลับสบายแน่คืนนี้ *


พอถึงเวลานอน ฉันก็นอนหลับตา พร้อมผ้าห่มที่เตรียมมา พวกเรานอนเรียงกันโดยแบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มฉันก็มีตัวแสบทั้งหลาย อีกกลุ่มก็จะมีพวกเรียบร้อย ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ใจฉันคิดว่าขออย่าเกิดเหตุการณ์อะไรเล้ย สาธุ แต่มันไม่ใช่ไง? ก็ไอ่อุ้ยคนเดียวเลย คนเดียวจริง ๆ




คุณๆก็รู้จักฉันแล้วใช่ไหม? ก็แค่บางส่วนตอนฉันเป็นเด็กเท่านั้น...ที่จริงยังมีอีกตั้งมากมายที่ไม่ได้เล่าให้คุณๆฟัง คงไม่เล่าล่ะถ้าเล่านะอีกหลายเรื่องฉันเอาเฉพาะที่ตื่นเต้น และที่น่ากลัวดีกว่า (ที่จริงขี้เกียจพิมพ์เยอะ แต่บางคนบอกว่า สมัยนี้ใช้พูดก็ได้ โปรแกรมก็จะพิมพ์ตามที่เราพูด แต่ฉันรู้สึกว่าไม่คลาสสิคเท่าไหร่ พิมพ์ดีกว่า ) 

 ฉันก็เติบโตมาพร้อมกับดวงตาที่เห็นผี มาตลอดแต่ไม่เคยที่จะพูด หรือ บอกใครๆ เท่าไหร่ เพราะปู่สอนให้ ฉันไหว้พระสวดมนต์ทุกวัน ก่อนนอน นั่งสมาธิหลังสวดมนต์ทุกครั้ง (มีบ้างไม่มีบ้างก็นั่งไปงั้นๆหมายถึงสมาธินะ) ฉันคิดอยู่ตลอดว่าที่ฉันทำไปทุกวัน การมองเห็นผีของฉันจะเริ่มลดลง หรือไม่เห็นเลยก็ได้ แต่มันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด...ฉันเริ่มไม่เห็นก็จริง แต่ความรู้สึกยังมี และหูก็ยังได้ยินเสียงอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง...อะไรทั้งนั้นจนมาถึง.....

 ตอนอยู่ม.ต้น ฉันได้เข้าค่ายลูกเสือที่โรงเรียน ใช่! มันเป็นหลักสูตรของการเรียน ลูกเสือ ฉันจัดกระเป๋าเพื่อไปเข้าค่าย สิ่งที่ฉันลืมไม่ได้คือพระและตะกรุดที่ปู่ให้ห้อยคอ ตลอดเวลา ส่วนที่ฉันเอาไปเผื่อก็คือ ขมิ้น สมป่อย ไปด้วย 1 ชุด ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าเอาไปทำไมเหมือนกันแต่ความรู้สึกมันบอกว่าควรเอาไปด้วย แต่ฉันไม่ได้บอกใครที่บ้าน คงสงสัยว่าทำไมบ้านฉันถึงมีขมิ้น ส้มป่อย เป็นชุดๆ และจำนวนมาก ก็อย่างที่พวกคุณรู้ ปู่เป็นมรรคนายกวัดจะไม่มีได้ไง? ฉันเก็บใส่กระเป๋าไปด้วย พ่อมาส่งฉันที่โรงเรียน ฉันเดินเข้าไปในกลุ่มเพื่อนตอนนี้เพื่อนในกลุ่มที่สนิทกันรู้แล้วว่าฉันเห็นผี แต่ก็ถือเป็นเรื่องขำขันเสียอีก ซ้ำยังให้ฉันเล่าให้ฟังบ่อยๆพอรวมกลุ่มกันได้ ครูก็เรียกไปทำพิธีเปิดค่ายลูกเสือโดยที่กระเป๋าแต่ละคนกองรวมกันอยู่ใต้อาคารเรียน ฉันก็ทำตามพิธีการของทางโรงเรียน ปกติกลุ่มฉันจะมีกัน 11 คน อีก 1 ตน ที่ว่าอีก 1 ตน...เพื่อนที่ฉันเจอตอบเข้ามาสอบเข้า ของโรงเรียน 

 โรงเรียนม.ต้นของฉันเป็นโรงเรียนที่ต้องสอบเพราะบ้านอยู่นอกเขตจึงต้องสอบแข่งขัน ฉันเจอเพื่อนผีคนนี้ตอนนั้นแหละ...เป็นผีเด็กผู้ชายที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับฉัน ฉันทักทายโดยการยิ้มให้เขาก่อน ( นึกว่าเป็นคนที่โรงเรียน โดยม.ต้นเป็นผู้หญิงทั้งหมด ส่วนม.ปลายถึงจะมีผู้ชายบ้างแต่ก็ส่วนน้อย ) ผีเด็กผู้ชายแต่งกายด้วยชุดนักเรียน กางเกงนักเรียนสีน้ำเงิน เสื้อนักเรียนสีขาว ถุงเท้าขาว รองเท้าผ้าใบสีดำ ยิ้มสดใสร่าเริง ดูไปดูมาก็น่ารักดี นั่งที่ม้าหินอ่อนหน้าโรงเรียน ฉันเลยยิ้มให้ (ไหนว่าแยกออก เห้อ....น้อง..น้อ..น้อง ) พอฉันเข้าห้องสอบเด็กชายคนนั้น ( ขอเปลี่ยนเป็นนามสมมติได้ไหม? มันจะสับสนเอาเรียกว่า “ พี่เอ ” แล้วกันง่ายดี ) พี่เอนั้นแหละ....เข้ามายืนดูฉันทำข้อสอบซึ่งยืนอยู่ด้านข้างชะเง้อดูฉัน ฉันเงยหน้าขึ้นมาดู นั่นไง! คิดในใจว่า * ทำไมกูแยกไม่ออกอีกเนี้ย* แต่เหมือนพี่เอ จะรู้ว่าฉันคิดอะไร? พี่เอตอบสวนมาทันที “ อยากเรียนที่นี่ไหม? เดี๋ยวจะทำให้ได้เข้าเรียนแต่มีข้อแม้ว่า... ” พูดไม่พูดเปล่ามายืนอยู่หน้าโต๊ะฉัน ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบและทำหูทวนลมเหมือนไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่มีอะไร * น้องแกต้องทำข้อสอบอย่าไปสนใจ อายเขาคนก็เยอะด้วย * ฉันคิดในใจ... พี่เอหัวเราะในลำคอแล้วพูดอีกว่า “ ข้อแม้ก็คือ...เป็นเพื่อนกันแค่นี้เองไม่ได้ขออะไรมากซักหน่อย ตกลงไหม? ” แล้วพี่เอก็ก้มหน้ามาหาฉันแล้วเอามือไขว้หลังตัวเองไว้ ส่วนฉันน่ะเหรอ...ก้มหน้าต่ำลงไปอีกจนหน้าจะติดกับข้อสอบอยู่แล้ว ครูที่คุมสอบเดินมาถามฉันว่าเป็นอะไรไหม? ฉันส่ายหน้าเป็นการตอบว่าไม่เป็นไร…พี่เอยังไม่เลิกก่อกวนฉัน “ว่าไงล่ะ แลกเปลี่ยนกัน นิดๆหน่อยๆเองนะ ไม่ยากอะไรนี่ เป็นเพื่อนกันพี่เถอะ เพราะพี่เองก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ เห็นน้องยิ้มให้พี่เลยอยากเป็นเพื่อนด้วยก็แค่นั้น” *กูนะกูไม่น่าเป็นคนยิ้มง่ายเล้ย ซ้ำยังแยกไม่ออกอีกกว่าคนหรือผี ไอ่น้องนะ ไอ่น้อง * ฉันคิดในใจ พี่เอหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ เหมือนว่าได้แกล้งฉันแล้วมีความสุข แต่คนอย่างไอ่น้องหรือจะยอมแพ้ ไม่มีทาง ฉันไม่พูดตอบโต้พี่เอ แต่ยังคงนั่งทำข้อสอบต่อไป พี่เอเริ่มฉุนและหงุดหงิด เพราะเห็นว่าฉันไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังไม่สนใจด้วย อยู่ดีๆลมมาจากไหนไม่รู้ พัดแรงมากจนข้อสอบแต่ละคนในห้องปลิวกันเลยที่เดียว “พี่ถาม..ทำไมไม่ตอบ ยั่วโมโหพี่หรือไง” พี่เอตะโกนพร้อมกับสายลมที่พัดแรงขึ้น (คุณๆเคยเห็นลมพายุไหม น่ะ! แหละที่พี่เอทำ) ครูคุมสอบเดินไปปิดหน้าต่างแต่ลมแรงมาก จนเกือบจะปลิว (นี่ไม่ได้เกินจริงนะ ตอนนั้นเป็นแบบนั้นจริงๆ) ข้อสอบที่ทำภายในห้องปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว มีฝุ่นผงปลิวเข้ามาด้วย ทุกคนในห้องจึงต้องหลับตากัน บางคนก็เอามือปิดตาไว้ * ไอ่ผีขี้โมโห เลิกทำแบบนี้นะ คนอื่นเขาเดือดร้อนไม่กลัวบาปหรือไง ไอ่ผีบ้า !* ฉันคิดและด่าพี่เอในใจ แต่ลมกับพัดมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ “แล้วจะให้เรียกว่าชื่อว่าอะไร” ฉันตะโกนถามพี่เอ เสียงพี่เอตอบมา “ตั้งชื่อทีสิ พี่ไม่มีชื่อ” ตอนนั้นลมก็ยังไม่ลดความแรงลงเลย “งั้นชื่อพี่เอแล้วกัน ตกลงไหม แล้วช่วยหยุดทุกสิ่งที่พี่ทำด้วย คนอื่นเขาเดือดร้อน ” “พี่ไม่ได้อะไรนี่ น้องคิดไปเองหรือเปล่า ” ใช่ฉันคงคิดไปเอง จากเหตุการณ์ที่ครูคุมสอบมาถาม แล้วส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ตอนนี้ครูคุมสอบมาเขย่าตัวฉันและถามฉัน “แน่นะลูกว่าไม่เป็นไร ดูหน้าซีดๆ เหงื่อยออกมากเลยนะลูก จะเป็นลมหรือเปล่า” นั้นไง...สิ่งที่ฉันเห็นและฉันโดนคือไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ลมไม่ได้พัดแรง มีแต่พัดลมที่ยังคงทำหน้าที่ของมัน ทุกคนเป็นปกติ ฉันเงยหน้ามามองครูคุมสอบ อย่างงงๆ ( เป็นคุณจะงงไหมล่ะ ) ไม่มีเลยจริงๆ ไม่มีอะไรเลย ฉันมองหน้าพี่เอด้วยความโกรธ *รู้ว่าผีทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่ทำไมต้องมาเป็นวันที่ฉันสอบเข้าเรียนซึ่งมันสำคัญกับฉันมาก* ฉันนึกขึ้นในใจ “ขอโทษนะ พี่แค่อยากมีเพื่อนและเราน่ะเห็นพี่ทั้งๆ ที่พี่พยายามหาเพื่อนแบบน้องมาตลอด” ฉันไม่สนใจคำพูดของพี่เอที่ดังในหัวของฉัน ( หรือใครๆเรียกว่าคุยกันทางจิตก็ได้ แต่ฉันว่ามันอยู่ในหัวมากกว่า เพราะฉันไม่บังอาจที่จะไปเทียบกับคนที่มีการฝึกจิต ฝึกสมาธิขั้นสูงได้ ) พี่เอเดินมาด้านข้างฉันแล้วกระซิบที่ข้างหู “แล้วเราเจอกันตอนเปิดเทอมนะเพื่อน” แล้วก็หายไป ฉันถอนหายใจออกมา ครูคุมสอบมองดูฉัน ฉันยิ้มและก้มหน้าก้มตาสอบใหม่ นี่แหละค่าที่ไปที่มาของผี 1 ตน ตนนั้นก็คือพี่เอ

 วกกลับมาอีกครั้งกับเรื่องเข้าร่วมพิธีเปิดค่ายลูกเสือ ไม่รู้เหมือนกันจะให้เด็กไปตากแดดทำไมตั้งนานร้อนก็ร้อน ฉันไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้เลย ก็ยังเด็กอ่ะนะมันก็เป็นเด็กวันยังค่ำ อยู่เรียบร้อยได้ไม่นานก็มีบ้างขยุกขยิก วันนั้นอากาศมันร้อน มีเพื่อนฉันคนหนึ่งเป็นลม พวกครูๆและเพื่อนๆก็หามเพื่อนที่เป็นลมไปยังใต้อาคารเรียน ( ก็อากาศร้อนมากตอนนั้น ) เป็นเพื่อนในกลุ่มฉันเอง ชื่อ มด (มดสมชื่อเพราะตัวเล็กผอมซีด ร่างกายอ่อนแอ และป่วยบ่อยที่สุด) ฉันหันไปมองครูและเพื่อนที่พามดไปนอนใต้ถุนอาคารเรียน และช่วยกันพัด แกะกกระดุมเสื้อ และคายกระโปรงออกเพื่อให้โล่งสบายและไม่รัดจนเกินไป *ฉันอยากเป็นลมบ้างงง* ฉันคิด ก็ได้แต่คิดเท่านั้น ใครให้เกิดมาเป็นหญิงแกร่ง แกร่งไม่แกร่งยังเห็นผี คุยกับผีอีก “อยากเป็นลมเหมือนไอ่เด็กตัวเล็กนั้นเหรอ” * มาอีกล่ะ พี่เอ คนยิ่งร้อนๆอยู่ ไปไหนก็ไปเลยไป ชิวๆ* ฉันคิดเพราะได้ยินเสียงพี่เอพูด “อย่าไล่กันสิ เราเป็นเพื่อนกันนะ น้อง” *ใครเป็นเพื่อนกับพี่เอกัน ยิ่งร้อนๆอย่ามากวนใจฉันได้ไหม * พอฉันคิดเสร็จพี่เอก็ตอบทันควัน “ก็เรานั้นไง เปิดเทอมมานานแล้ว ชื่อก็ตั้งให้ ขนมก็ให้กิน เขาไม่เรียกว่าเพื่อนเหรอไง” ใช่ตั้งแต่ฉันสอบเข้าโรงเรียนได้ตามต้องการ พี่เอก็คอยมาอยู่ด้วยเสมอ บางทีก็มานั่งเรียนด้วย บางทีก็มาแกล้งฉันกับเพื่อนๆ เวลาฉันและเพื่อนๆกินอะไรมักจะขอจานเปล่าๆ 1 ใบเพื่อแต่ละคนตักอาหารของตัวเองคนละ 1 ช้อน ใส่ในจานนั้น หรือไม่ก็ซื้อของขนมมาวาง รวมถึงน้ำ จนฉันและเพื่อนๆชินไปเสียแล้ว ทำหให้พี่ๆเพื่อนๆน้องๆ ในโรงเรียน ต่างมองกลุ่มฉันเป็นพวกเล่นของ ไปเลย แต่พวกฉันไม่สนใจหรอก ทำแล้วสบายใจก็พอ ฉันนี่นอกเรื่องอีกล่ะ กลับมาที่ฉันเถียงกับพี่เอ *มันก็จริงนะ งั้นพี่ช่วยไปดูไอ่มดให้ทีสิ มันเป็นอะไรมากไหม มันขี้โรคด้วย* ฉันบอก พี่เอ แน่นอนต้องคิดในใจได้อย่างเดียวพูดออกมาเดี๋ยวจะโดนว่าบ้า พี่เอหายไปอยู่ที่มดนอนพักอยู่ แล้วหันกลับมา ฉันมองดูพี่เอ พี่เอยกนิ้วโป้งให้เหมือนแปลว่าเยี่ยมนั้นแหละ ฉันเลยสบายใจที่มดไม่เป็นอะไรมาก “ ไม่เป็นไรแล้วเพื่อนเธอน่ะ แต่เธอนี่สิ ยืนตากแดดตั้งนาน พิธงพิธีก็เยอะอะไรนักหนา เดี๋ยวพี่เอคนนี้จะบังแดดให้ ” แล้วพี่เอก็ยืนเยื้องกับฉันเพื่อบังแดดให้ เอาฉันซาบซึ้งมาก ไม่หรอก...คนอย่างฉันนะเหรอจะซาบซึ้งกับผี ชิ! ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะกลัวครูได้ยิน * ผีบังแดดให้คนเนี้ยนะพี่เอ บ้ารึเปล่า ผีนะไม่ใช่คนจะบังแดดให้กันได้ โปร่งแสงขนาดนั้น * พี่เอได้ยินฉันคิดแล้วทำหน้าไม่พอใจ ฉันกลัวพี่เอจะงอนเลยบอกไปว่า * ขอบคุณค่า...พี่ที่ช่วยบังแดดให้ ถึงจะไม่ได้ช่วยจริงๆก็เถอะ แต่อย่างน้อยพี่อยู่ใกล้ก็เย็นอยู่แล้ว* (คุณเคยรู้สึกขนลุกแบบไม่มีสาเหตุไหม นั้นนะใช่อย่างที่พวกคุณคิด ผีจะมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่าเราแต่ก็ไม่เสมอไปหรอกนะ ) ฉันหันไปยิ้มให้พี่เอ “เธอไปเป็นรองหัวหน้ากลุ่ม” เสียงครูนิคตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล (ครูนิคเป็นครูฝ่ายปกครองและสอนลูกเสือรวมถึงวิชาพลานามัยด้วย ขอบอกดุมาก ฉันจำครูนิดได้ดีเลย) ฉันมองหน้าครูนิค แล้วก็เดินไปหาด้วยอารมณ์เบื่อๆเซ็งๆ เพราะฉันเคยบอกคุณๆแล้วว่าฉันไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย “เอาล่ะทีนี้ก็ครบกลุ่มแล้วไปพักได้เดี๋ยวเรามารวมองกันใต้อาคารเรียน A” (ขอเรียกชื่ออาคารแต่ละอาคารเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษละกันเดี๋ยวคุณๆรู้หมดว่าฉันอยู่ ที่ไหน? 555) ฉันเดินหน้ามุ่ย เข้าไปหามดที่นั่งเอนอยู่กับเสาตรงใต้ตึก “พวกแกเป็นไงบ้าง?” มดถามด้วยความเป็นห่วง แต่ดูท่าทางมดจะดีขึ้นแล้ว “แม่ง! ร้อนว่ะ ไม่รู้พูดอะไรนักหนา ร้อนก็ร้อน” อัง (สาวห้าวประจำกลุ่ม อีกทั้งมีนิสัยเหมือนผู้ชายจนบางครั้งฉันยังคิดว่าเป็นทอมด้วยซ้ำ มีแต่คนชอบอัง ทั้งที่หน้าตาก็ไม่สวยอะไรและมีความน่ารักเพราะเฟรนรี่กับทุกคนเสมอ) บ่นถึงอากาศที่วันนั้น ฉันเองก็ไม่ได้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ยกน้ำขึ้น มาดื่ม พร้อมมกับบ่นให้เพื่อนๆในกลุ่มฟัง “ นั่นสิ ร้อนเกิ๊น ครูไม่ร้นไม่ร้อนกันหรือไงนะ ” เมื่อฉันพูด สายตาดันไปมองที่เสาธงที่ตั้งสง่าอยู่กลางสนามฟุตบอล เอาอีกแล้ว ฉันเห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุดทหารญี่ปุ่นขาดๆ และเกาะไปด้วยฝุ่นหนายืนหันหน้าติดกันเสาธง นั่นไง ! ฉันเอาอีกแล้ว* อย่านะ อย่าหันมา อย่าหันมาเชียวนะ * หมดความคิด ผีทหารนั้นค่อยๆ หันหน้ามาหาฉัน แล้วอยู่ดีๆ พี่เอก็มายืนบังฉัน ฉันเงยหน้ามองพี่เอ “ทำเป็นไม่เห็นบ้างก็ได้ หรือไม่ก็อย่าคิดถึงมัน เข้าใจไหม?” ไม่พูดเปล่าเอามือมาลูบหัวฉันแล้วยิ้มให้ ฉันยิ้มตอบ “ค่ะ ขอบคุณนะพี่เอจะจำไว้น้า” แล้วฉันกับพี่เอก็หัวเราะพร้อมกัน เพื่อนๆหันมามองหน้าฉัน มันเป็นเรื่องปกติที่ฉันมักจะยิ้มและหัวเราะคนเดียว แต่เพื่อนๆฉันรู้ว่ามีพี่เอคอยดูแลตลอดไม่ใช่เฉพาะฉันหรอก ทั้งกลุ่มฉันไม่ว่าจะเป็น - มด ที่มีร่างการอ่อนแอ

- อังสาวห้าวประจำกลุ่ม 

- มนเจ้าแม่แห่งการมโนและคิดไปเอง 

- เอฟหญิงแห่งบ้านทรายทองที่ทำอะไรก็ช้ากว่าเพื่อนและเวลาเล่าอะไรให้ฟังก็รู้ช้ากว่าเพื่อนตลอด 

- เอ๋แม่เสือสาวขี้สงสัย 

-กรหญิงแห่งการเงียบขรึมประดุจโลกทั้งใบจะถล่มลงมาใส่ 

-อุ้ยปากยิ่งกว่ามาค้าในตลาด อย่าด่าหรือเถียงกับคุณเธอนะไม่มีทางชนะได้อย่างแน่นอน

- นิก ( ฉันขอใช้นิกเป็นตัวกอไก่นะ เพราะเดี๋ยวจะสับสนกับครูนิค ) คนนี้บ้านฉันมีเงิน ฉันรวย ใครจะทำไม 

-โฟว์จะค่อนข้างสนิทกับฉันเพราะโฟว์มักมีความรู้สึกแปลกๆแต่ไม่ยักกะเห็นเหมือนฉัน 

-สกายห้าวหาญบ้าบิ่นเพื่อนรู้ใจของอังเขาละ แบบดูตาก็รู้ใจอย่างไงอย่างงั้น 

-น้ำหวานหญิงมารยาทงาม พูดจาไพเราะ แต่ซ่อนความร้ายไว้ภายใน เพราะเป็นเจ้าแม่แห่งการวางแผน 

       นี่แหละ... กลุ่มฉันแต่ละคนนิสัยแตกต่างกันมาก แต่ที่รวมกลุ่มและสนิทกันได้ คงเพราะตอนย้ายห้องจนจะจบม.ต้นอยู่แล้วยังไม่เคยอยู่กันคนละห้องเลย ที่ทุกปีจะมี การเลื่อนชั้นจะต้องมีทำข้อสอบเพื่อสับเปลี่ยนห้องในการเรียน ถ้าเป็นห้อง1 ก็จะเรียน แย่หน่อย แต่ถ้าเป็นห้อง 12 ก็จะเป็นห้องที่ครู ในโรงเรียนจะให้ต่อม.ปลายสายวิทย์ หรือเรียกง่ายๆว่า ** ห้องคิง หรือ เด็กเรียนเก่ง** ประมาณนั้น ส่วนพวกฉันนะเหรออยู่ห้อง 5 ค่า ไม่เก่ง ไม่เรียน เน้นกิจกรรม ถ้ากลุ่มฉันไม่มีกิจกรรมเข้าช่วยนะ โน้นคงย้ายไปอยู่ห้อง 1 แล้ว เพราะห้องฉันเป็นเด็กกิจกรรมทุกคนทั้งห้อง เลยได้อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ม.1 จนตอนนี้จะจบม.ต้นแล้ว ยังไม่เคยแยกจากกันเลยซักครั้ง เพราะแต่ละคนเกาะติดกิจกรรมกันแน่มากๆ ไม่งั้นลงไปอยู่ห้องบ๊วยแน่ เอาล่ะเล่าพอหอมปากหอมคอที่มาที่ไปของกลุ่มฉัน

 กลับมาที่ฉันเห็นพี่ทหารญี่ปุ่นคนนั้น ทำให้ฉันรู้ตัวแล้วว่าต้องเจอกับอะไรเป็นแน่ แต่ก็ไว้วางใจได้เพราะมีเพื่อนที่แสนดีอย่างพี่เอ มาอยู่ด้วยสบายใจนิดหน่อย โฟว์เห็นฉันยิ้มและหัวเราะอยู่จึงเข้ามายื่นน้ำอีกขวดให้ฉัน “ คุยกับพี่เอล่ะสิ ร่าเริงเชียวนะ ” ถามไม่ถามเปล่ายังทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ฉัน 

     “อืม...พี่เอมาคุยด้วยไม่มีอะไรหรอก” ( คำว่าไม่มีอะไรหรอกของฉัน แฝงไปด้วยคำว่า เดี๋ยวต้องมีอะไรแน่ๆ เพื่อนๆในกลุ่มรู้ดี ) *เห้ออออ* โฟว์ ถอนหายใจ 

    “คำว่าไม่มีอะไรของมึงน่ะ มีตลอดเลยนะ กูรู้สึกได้” พอโฟว์พูดจบ 

   “มันก็เป็นอย่างนั้นตลอดไม่ใช่เหรอ...ไง ไอ่น้องมันต้องมีอะไรปิดบังพวกเราแน่ๆ แต่ไม่ว่าเรื่องไหนขอให้มาเถอะ กูจะเหยียบให้จมดินเลย ผีๆก็ผีเถอะ กูไม่กลัว” อุ้ยทำท่าทางกร่างและผยองอย่างไม่เกรงกลัวอะไรจริงๆ ใช่อุ้ยไม่ใช่แค่ปากตลาดนะแต่ชอบ ลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็นด้วย แต่ดีที่พี่เอไม่ว่าอะไรเพราะคิดว่าเด็กก็คือเด็ก แต่ฉันสิ! อยากจะด่าไอ่อุ้ยซัก100 รอบ เพราะทันทีที่อุ้ยพูดจบ ผีทหารญี่ปุ่นก็เอาหน้าแทบจะชนหน้าอุ้ยเลยที่เดียวแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ฉันผู้เห็นเหตุการณ์ถึงกับอึ้ง แต่ไอ่อุ้ยน่ะเหรอก็มันไม่เห็นผีมันจะไปรู้สึก รู้สาอะไรแล้วมันจะกลัวทำไม ฉันกับโฟว์หันมามองหน้ากันและเหมือนมีไอเย็นบางอย่างมา กระทบร่างกาย * ไอ่อุ้ยปากมึงนี่เอาความเดือดร้อนมาให้กูอีกแล้ว * ก็ฉันเห็นคนเดียวนี่ อีกอย่างโฟว์ก็แค่รู้สึก ไม่ 3 D อย่างฉันซักหน่อย แล้วผีทหารญี่ปุ่นพูดออกมาว่า “&*&#@+###%$^&**” (55+ ฉันไม่ได้กดอะไรผิดหรอกก็ฉันฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง เดาๆ เอาคงประมาณว่า * แล้วเจอกัน อะไรทำนองนี้มั้ง? * เพราะจากท่าทางและหน้าตาผีทหารญี่ปุ่นมันบ่งบอกแบบนั้น ฉันก้มหน้า ก้มตาเพื่อไม่ให้ผีทหารญี่ปุ่นรู้ว่าฉันเห็น 

    “ เอ้า ! เร็ว นักเรียนให้มาเข้าแถวตามกลุ่มมี่แบ่งตอนเช้า” ฉันสะดุ้ง! และตกใจกับคำสั่ง ที่เสียงดังของครูนิค แต่ก็ดีที่เสียงของครูนิคเรียกสติฉันกลับมาได้ ฉันหยิบกระเป๋าและขวดน้ำเดินเข้ากลุ่มไปตามที่ครูนิคบอก โฟว์เดินเคียงข้างฉัน “เมื่อกี้แกรู้สึกใช่ไหม?” ฉันพยักหน้าเป็นการตอบ * ปากพาซวยจริงไอ่อุ้ย...* โฟว์บ่นพรึมพรำก่อนไปเข้ากลุ่มอีกกลุ่ม แต่อนิจังคนมันจะมีเรื่องยังไงก็ห้ามไม่อยู่ ฉันดันได้อยู่กลุ่มเดียวกับอุ้ย ส่วนมนอยู่กับนิก เอฟอยู่กับน้ำหวาน อังอยู่กับสกาย (คู่นี้โชคดี เพื่อนเลิฟอยู่ด้วยกัน ) เอ๋ยู่กับโฟว์ แล้วสุดท้าย กรอยู่กับมด แยกกลุ่มกันได้บังเอิญมาก *ทำไมกูต้องมาอยู่กับอุ้ยด้วยว่ะ เห้อออ...* ฉันคิดถึงความยุ่งยากที่จะตามมาจริงๆ เข้าค่ายลูกเสือมีกำหนด 3 วัน 2 คืน ใช่มีตั้ง 2 คืน ฉันเดินเข้าไปอยู่หลังสุดเพราะได้เป็นรองหัวหน้ากลุ่ม (นานแล้วจำชื่อกลุ่มไม่ได้ขอเป็นตัวเลขล่ะกันนะ ) มีทั้งหมด 10 กลุ่ม ฉันเองเป็นคนตัวเล็กเรียกง่ายๆ เบาๆก็เจ็บคือ * เตี้ย *นั่นเอง และพี่เอมักจะปลอบใจฉันว่า* ผู้พิทักษ์สโนไวน์* ดีจริงๆ น่าภาคภูมิใจที่สุดเลย ( ประชดค่า.... ประชด! ) ถึงไม่เป็นรองหัวหน้ากลุ่มก็ได้อยู่ด้านหลังแถวอยู่ดี ซึ่งมดก็เช่นกัน (แอบดีใจเล็กๆ ฉันสูงกว่ามดไป นิดหน่อย หุหุ ) ครูที่ดูแลกลุ่มฉันคือครูขาโหดประจำโรงเรียน “ครูนิค”นั้นเอง ส่วนครูผู้ช่วยคือ “ ครูยุพา” ( ครูยุพาเป็นคนเรียบร้อย พูดเพราะ สอนวิทยาศาสตร์ ฉันชอบครูคนนี้มาก เพราะแกใจดี ใครไม่เข้าใจอะไร แกก็จะอธิบายจนกว่าจะเข้าใจ น่ารักที่สุดในบรรดาครูที่สอนมา) อยู่กับขาโหดก็ต้องโหดสมชื่อสิค่ะ รวมแถวได้ไม่นานก็ต้องแยกมาฝึกระเบียบแถว เพื่อแสดงศักยภาพครูปกครอง ครูนิคพาไปฝึกระเบียบแถวกลางสนามฟุตบอลที่ร้อนมาก เหงื่อยไหลไคลย้อยหมด ฉันสังเกตว่าตั้งแต่ ผีทหารญี่ปุ่นมาจองหน้าอุ้ย และพี่เอหายไป ไม่เห็นเลย ฉันคิดเรียกพี่เอ แต่พี่เอก็ไม่ตอบสนองอะไร ไม่โผล่มา และไม่ส่งเสียงอะไรอีก * เอ...หรือว่าพี่เอกลัว ผีทหารญี่ปุ่น* ฉันคิดในใจ แต่ก็ไร้การตอบสนองจากพี่เอ ฉันฝึกไป ก็มองหาพี่เอด้วย แต่ก็ไร้วี่แววของพี่เอ *พี่เอไปไหนนะ* ฉันคิด พอฝึกระเบียบแถวเสร็จครูนิคให้ไปรวมตัวกันใต้ตึก A อีกครั้ง พร้อมแจ้งกำหนดการที่ต้องทำในการเข้าค่าย 3 วัน 2 คืน ฉันไม่กลัวหรอกแค่ฝึกทำโน้น! นี่! นั้น! แต่ที่กลัวคือตอนกลางคืนนี่สิ น่ากลัวที่สุด เพราะคำพูดของไอ่อุ้ยคนเดียวเลย ปกติฉันก็ไม่กลัวเท่าไหร่นะ เพราะเห็นเป็นปกติ แต่ผีทหารญี่ปุ่นครั้งนี้น่ากลัวเพราะแผ่รังสีความอำมหิตและกลิ่นความตายออกมาอย่างชัดเจน ฉันเห็นผีมาเยอะแต่ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ผีที่ทำให้โฟว์ถึงกับปวดหัวไมเกรน ทั้งที่ฝึกระเบียบแถวอยู่ที่ร่มไม่น่ามีอาการปวดหัวขนาดนั้นเลย ปกติโฟว์มักจะบอกว่ารู้สึกเย็นๆ หรือไม่ก็ ขนลุก แปลกๆ แค่นั้น แต่คราวนี้เห็นโฟว์ปวดหัวจนต้องทานยาเลย ซ้ำยังพี่เอปกติจะมา แหย่ฉันเล่นกับฉันบ่อยๆและห่วงฉันเวลามีผีตัวอื่นเข้าใกล้ พี่เอก็จะจัดการทั้งหมด ฉันยังถือว่าพี่เอเป็นบอดี้การ์ดผีของฉันเลยทีเดียว แต่ตอนนี้ฉันไม่เห็นเลย และก็อดแปลกใจไม่ได้ อยู่เรียนจนจะจบแล้วยังไม่เคยพบเจอหรือเคยเห็นผีทหารญี่ปุ่นมาก่อนเลย ฉันนึกและคิดอยู่ในใจ อยู่ดีๆอุ้ยก็มาตอบหลังฉันเบาๆ “มึงได้นอนห้องเดียวกับกู อาคารB ชั้น 3 ห้อง305 เชียวนะโว้ย ” ฉันตกใจที่อุ้ยมาตบหลังเพราะมัวสงสัยเหตุการณ์ที่เกิด 

     “ เดี๋ยวนะไอ่อุ้ยมึงบอกกูใหม่ดิ ว่าห้องไหนนะ แล้วกูนอนกับใคร” ฉันหันหลังไปมองอุ้ยเพื่อหาให้คลายสงสัย ที่จริงฉันไม่สงสัยหรอกแค่ไม่อยากเชื่อหูตัวเองมากว่านอนกับไอ่อุ้ย แค่นั้น  

      “ไอ่น้องงงงงมึงฟังดีๆ มึงได้นอนกับกูอาคาร B ชั้น 3 ห้อง 305 ”อุ้ยพูดช้าๆพร้อมเอานิ้วชี้ที่ปากเหมือนบอกให้ฉันดู  

      คำตอบของอุ้ยทำให้ฉันแทบเข่าทรุดอยากไปนั่งลงกับพื้นเลยที่เดียว เพราะอะไรน่ะเหรอ คุณๆคงสงสัย โดยประวัติแล้วห้อง 305 อาคาร B เป็นห้องดนตรีไทยเก่าแต่ได้ปรับปรุง เป็นห้องกิจกรรมไว้ซ้อมเกี่ยวกับการแสดงของโรงเรียนเพื่อไปแข่งขันงานต่างๆ เพราะในห้องมีกระจกบานใหญ่ที่ติดผนังหนังหน้าห้องและด้านข้าง แต่ยังมีหน้าต่างอยู่ตรงข้ามกับกระจกข้างห้องเวลาเปิดหรือปิดต้องเลื่อน ใช่อย่างที่คุณๆเข้าใจ ประตูเป็นประตูกระจกเลื่อนได้ ( คุณนึกถึงห้องซ้อมเต้นของเด็กๆในสมัยนี้ไง) ซึ่งห้องนี้มีไว้สำหรับซ้อมการแสดงโดยเฉพาะและเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด ใช่มันไม่ใช่ห้องเรียนที่ขนาดเล็ก อีกทั้งยังอยู่ไกลจากห้องน้ำเพราะชั้น 3 ไม่มีห้องน้ำ ที่มีห้องน้ำและสามารถอาบน้ำได้แต่ชั้น 1 กับชั้น 2 ที่มีเท่านั้นอาคารนี้อยู่ใจกลางโรงเรียน สามารถเห็นอาคารข้างๆได้ และยังเห็นสนามฟุตบอล โรงยิม โรงอาหาร และ อาคาร A และ C แล้วทำไมฉันถึงตกใจนะเหรอ 

 อย่างแรกนอนกับอุ้ยที่ชอบพูดลบหลู่ทุกสิ่งอย่างชอบเถียงเพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก กระหายความชนะ 

           อย่างที่สอง ห้องนี้มีกระจกและเป็นห้องดนตรีไทยเก่า 

          อย่างที่สาม สามารถมองเห็นได้ทุกอาคาร สุดท้ายห้องน้ำต้องลงไปเข้าชั้น 2 หรือไม่ก็ชั้น 1 เพราะอาคารมี 3 ชั้นแต่ไม่รู้ทำไมชั้น 3 ถึงไม่มีห้องน้ำ คุณๆเห็นความลำบากใจของฉันหรือยังว่าทำไมถึงแทบทรุดอยู่ตรงนั้น แล้วคุณๆคิดกลับไปตอนที่ผีทหารญี่ปุ่นจองหน้าอุ้ยเหมือนเอาเรื่องสิ แล้วคิดออกไหมว่า 2 คืนนี้ฉันจะต้องเจออะไร สำหรับคนเห็นผีอย่างฉัน อุ้ยเห็นลากกระเป๋าเหมือนจะหมดแรง อีกทั้งยังหน้าบึงตึงไม่พอใจอย่างมาก อุ้ยเดินมาข้างฉันและบอกอีกว่า “รู้ม่ะไอ่น้อง ความจริงนะเราได้นอนชั้น 2 ซึ่งมันใกล้ห้องน้ำมาก กูว่านะมันน่าลำคาน เดี๋ยวแม่งเดินไปเดินมาเข้าห้องน้ำกันอยู่นั้นแหล่ะกว่าเราจะได้นอนนะโว้ย กูมาคิดดูแล้วว่าไม่ได้นอนแน่อีกยังใกล้ห้องน้ำ กลิ่นมาแน่ๆ กูเลยขอครูนิคนอน305 กว้างก็กว้าง ไกลห้องน้ำ คนก็ไม่เยอะ อีกทั้งเราไม่ต้องไปจัดห้องอีก สบายจะตายนี่กว่ากูจะขอได้นะเถียงแทบตาย แต่มึงก็รู้ว่ากูเถียงชนะทุกคนอยู่แล้ว” ฉันหยุดเดินและวางกระเป๋าอย่างเบาที่สุด อุ้ยไม่รู้ว่าฉันหยุดเดิน ก็คงพร่ำพรรณนาต่างๆอย่างภาคภูมิใจที่ได้นอนห้องสบายๆนั้น แล้วอุ้ยก็รู้ตัวว่ากำลังพูดอยู่คนเดียว จึงหันกลับมาหาฉัน

     “แกเหนื่อยเหรอ ยกกระเป๋าไม่ไหวเหรอ กูช่วยมึงม่ะ” แล้วยิ้มให้ฉันและเดินมาหาฉันถือกระเป๋าฉันขึ้นชั้น 3 “ก็ไม่หนักนี่นา ครูนิคซ้อมพวกเรากลางแดดแน่เลย มึงเลยไม่มีแรงอีกทั้งยังไม่ได้กินข้าว ตัวเล็กก็อย่างนี้แหละ ” คุณๆรู้ไหมในใจฉันคิดอะไรตอนนั้น ฉันอยากถีบไอ่อุ้ยตกบันไดให้มันรู้แล้วรู้รอดเลย อุ้ยมันก็บ่นของมันไปเรื่อง ฉันก็หน้าหงิดหน้างอใส่มัน แต่มันคงนึกว่าฉันเหนื่อยเลยทำหน้าแบบนั้นที่จริงมันไม่ใช่เลย ฉันเดินไปถึงหน้าประตูอุ้ยเลื่อนประตูออก ความเย็นยะเยือกก็เข้ามาแทนที่เหงื่อยที่ไหลลงมา *พี่เออยู่ไหน เพื่อนรักคนนี้ต้องการพี่เอด่วน* แต่ก็ไม่ได้คำตอบหรือเสียงอะไรตอบกลับมา ฉันถอนหายใจและจำยอมเข้าไปในห้อง นึกเพียงแต่ว่าอยากเพิ่งสำแดงฤทธิ์เดชอะไรเลยนะ น้องกลัว อุ้ยวางกระเป๋าของฉันกับมันลง 

     “ เห็นไหมมึงห้องก็กว้าง แอร์ก็มี ถึงจะไกลห้องน้ำไปหน่อยแต่กูว่าเรา 2 คนสบายสุด” ฉันคลานไปนั่งข้างมันโดยพิงอยู่ที่ไม้ฝั่งหน้าต่าง พยายามไม่มองกระจกแต่ก็ต้องเห็นกระจกอยู่ดีเพราะประตูเห็นกระจก ฉันเห็นตัวเองและอุ้ยนั่งในกระจก ฉันคิดว่า*ดีแล้วที่ไม่เห็นอะไรในกระจก ไอ่อุ้ยนะไอ่อุ้ย ถ้ามึงไม่ใช่เพื่อนกู กูจะถี่บมึงลงไปชั้น 1 เลย * นั่งได้ซักพักก็มีเสียงนกหวีดเรียกรวมกลุ่ม ฉันรีบวิ่งโดยไม่สนใจอุ้ย ก็คนมันอยากหนี ละนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกขอบคุณครูนิค เข้าแถวเสร็จครูนิคจัดเวรตามกลุ่มเพื่อจัดโต๊ะอาหารสำหรับกินข้าว จากนั้นก็ทยอยกันทานข้าว ทานข้าวเสร็จได้พักก่อนจะรวมตัวกันอีกครั้ง ฉันมานั่งที่โต๊ะกินข้าวปล่อยให้เพื่อนๆที่เป็นเวรเก็บโต๊ะและเช็ดโต๊ะให้เรียบร้อยที่ฉันไม่ไปไหนน่ะเหรอก็เพราะไม่มีแม้แรงจะเดินในหัวมีแต่ห้อง305 และผีทหารญี่ปุ่น โฟว์เดินมาหาฉันพร้อมเอ๋และเพื่อนๆในกลุ่ม 

      “เป็นอะไรไปว่ะมึงทำหน้าอย่างกับปวดขี้”เอ๋ทักทายฉัน ฉันไม่ตอบแต่เอาหน้าฟุบลงที่โต๊ะ 

        “เป็นอะไรของมึง ไอ่น้อง” อังถาม แต่ฉันก็คงไม่ตอบตามเคย ตอนนี้ฉันไม่อยากพูดคุยอะไรเลย ชะตากรรมฉันกับห้องกระจก และผีทหารญี่ปุ่น วนเวียนในสมอง

       “เล่ามาไอ่โฟว์ มึงคล้ายๆไอ่น้องมัน มึงต้องรู้ ” ทีนี้ทุกคนในกลุ่มหันไปมองหน้าโฟว์เพื่อหาคำตอบ

        “ไม่รู้ กูจะรู้ได้ไง กูไม่ใช่ไอ่น้องนี่นา ” โฟว์ตอบเพื่อนในกลุ่มพร้อมกับเอาหน้าฟุบโต๊ะอีกคนไป แต่ละคนพยายามถามจนเสียงดัง ครูนิคเดินผ่านมาพอดี 

       “วันแรกก็เหนื่อยกันแล้วเหรอ เดี๋ยวก็ปล่อยไปนอนแล้ว” ฉันได้ยินคำนั้นอยากเอาตัวหายไปจากโลกนี้เลยทีเดียว 

       “ไม่หรอกครู น้องและโฟว์แค่กินข้าวอิ่มมันเลยง่วงแค่นั้นเอง” นิกตอบครูพร้อมกับขยิบตาให้มน 

        “ใช่ๆครูเดี๋ยวมันก็ปรับตัวได้” แล้วอยู่ดีๆอุ้ยเอ่ยขึ้นมาเหมือนนึกอะไรออก“จริงสิ ครูนิคห้องที่หนูพักมันกว้างมากเลย ครูนิคที่น่ารักให้กลุ่มหนูไปนอนได้ไหมไม่กี่คนเอง นะนะ”พร้อมส่งสายตาเว้าวอน ครูนิคหัวเราะ

       “อ้าว... แค่นี้เองนึกว่าเรื่องอะไรมีแต่คนไม่อยากนอนห้องนั้น ตอนแรกครูว่าจะไม่ให้ยุ่งห้องนั้นแล้วนะ เอ้า! ในฐานะที่ครูรู้ว่าพวกเธอขาดกันไม่ได้ ขนาดดนี้ก็ตกลงตามนั้น เดี๋ยวหลังปล่อยอาบน้ำค่อยย้ายไปห้อง 305 แล้วกันครูอนุญาต” เพื่อนในกลุ่มที่ฟังอยู่ถึงกับอุทานเป็นเสียงเดียวกันเลย “305!” ครูนิคพูดเสร็จก็หัวเราะเดินออกไปเพื่อเตรียมเรียกรวมอีกครั้งส่วนฉันน่ะเหรอ อยากเป็นธาตุอากาศปลิวไปเลย อุ้ยยิ้มกริ่มให้กับเพื่อนในกลุ่ม ทุกคนหันมาหาอุ้ยพร้อมกันยกเว้นฉันกับโฟว์ที่กำลังลุกเดินไปรวมแถวเหมือนวิญญาณออกจากร่าง และได้ยินเสียงด่ากร่นอุ้ยและเสียงอุ้ยวิ่งโดยผ่านฉันกับโฟว์ไป โดยมีอังกับสกาย ไล่เอาเท้าเตะอุ้ย 

       “แล้วห้อง305มันเป็นยังไงเหรอ ทำไมอังสกาย มน กร ต้องไปทำร้ายอุ้ยขนาดนั้นใช่ไหมน้ำหวาน” เอฟถามน้ำหวานซึ่งตอนนี้ 2 คนเดินมาทันฉันกับโฟว์ ฉันได้แต่เดินอย่างหมดเรี่ยวแรง เหมือนไม่มีวิญญาณ โฟว์ก็เช่นเดียวกัน เห้อ..ฉันถอนใจในความไร้เดียงสาของ 2 คนนี้ ที่จริงฉันก็อิจฉานะ เพราะพวกเขาไม่สามารถสัมผัส หรือ เห็นผี เหมือนฉันกับโฟว์  

        มดเอ่ยออกมาว่า “ห้อง 305 เป็นห้องดนตรีไทยเก่าไง แล้วเขาเปลี่ยนเป็นห้องกิจกรรม และที่สำคัญนะ มันเป็นห้องแอร์ ฉันกลัวไม่สบายไม่ได้เอาผ้าห่มหนาๆมาด้วย” *อ้าววมดมึงห่วงแค่มึงไม่สบาย ไม่ห่วงเพื่อนมึงว่าจะเจออะไรคืนนี้เลยหรือไง * ฉันคิด “คืนแรกอย่า เจออะไรเล้ย” ฉันกับโฟว์พูดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำเอาฉันกับโฟว์มองหน้ากันและยังมีน้ำหวาน เอฟ มด มองฉันกับโฟว์ด้วย สุดท้ายแล้ว ฉันและโฟว์ก็ถอนหายใจกันทั้งคู่ก่อนนกหวีดจะดังแล้วไปรวมกลุ่ม เมื่อครูนิคแจ้งถึงกิจกรรมวันพรุ่งนี้ว่ามีอะไรบ้าง ฉันน่ะเหรอ หูไม่ได้ยินอะไรเลย สมองมีแต่ภาพทหารญี่ปุ่นจ้องหน้าอุ้ย อยู่อย่างนั้น จนมีคนการกระซิบข้างหู “ผีมาแล้วววว”ด้วยเสียงยานคราง ฉันถึงกับขนลุกและเย็นไปทั่วร่างกาย แต่กลิ่นนี้เป็นกลิ่นน้ำอบไทยเเป็นกลิ่นติดตัวของพี่เอ ฉันหันหน้าไปมองตามเสียง น้ำตาฉันไหลออกมา พี่เอยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างฉัน ฉันร้องไห้ออกมาแล้วเอาแขนเช็ดน้ำตา พี่เอทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว 

      “อย่าร้อง ร้องทำไม ปกติเล่นแบบนี้จะด่าไม่ใช่เหรอ ร้องไห้ทำไม ไม่เอาอย่าร้อง เดี๋ยวใครมาเห็นจะหาว่าพี่รังแกเรานะ น้อง” *ใครจะมาด่า มาว่าพี่ได้ล่ะ ก็มีแต่ไอ่น้องเนี้ยที่เห็น ที่ด่าได้ พี่เอไปไหนมา รู้ไหมน้องกลัวมากเลยนะ* “ขอโทษครับอย่าร้องไห้นะ นอนห้อง305 เหรอเดี๋ยวพี่ไปอยู่เป็นเพื่อน” * พี่หายไปไหนมา เรียกก็ไม่มา * ก่อนที่จะได้คำตอบครูยุพาก็เดินมาหาฉัน 

     “ร้องไห้ทำไมเราเป็นอะไรหรือเปล่า บอกครูได้นะจ๊ะ” ฉันเอามือและแขนเช็ดน้ำตาไม่เป็นไรค่ะ แค่แมลงเข้าตาเฉยๆ 

       “อดทนหน่อยนะ เดี่ยวมันก็ผ่านไป น้องเก่งครูรู้” ครูยุพาปลอบฉัน ฉันยิ้มให้แทนคำตอบ เมื่อครูนิคแจ้งรายละเอียดวันที่2 เสร็จ จึงปล่อยให้พักผ่อน กลุ่มฉันเดินมาด้วยกัน ฉันรู้สึกดีขึ้นเมื่อเห็นพี่เอ ฉันคิดว่ามีพี่เอก็ไม่มีอะไรต้องกลัว โฟว์เห็นฉันยิ้มจึงเดินเข้ามากระซิบข้างหูฉัน สิ่งที่ฉันเห็นร่างโฟว์กับร่างพี่เอซ้อนกัน 

     “พี่เอมาแล้วใช่ไหม ยิ้มขนาดนี้” ฉันพยักหน้าและยิ้มให้โฟว์ “ไม่ต้องยิ้มให้พี่ก็ได้ พี่รู้ว่าคิดถึงหรอกน่า ไม่มีพี่อยู่กลัวอ่ะดิ” พี่เอพูดแล้วหายไปกับตา* ใครยิ้มให้พี่กัน ยิ้มให้โฟว์ต่างหาก* “เชื่อดีไหมน้า”*ยังมาคุยอีกไปรอที่ห้อง305 เลย * แล้วมีเสียงหัวเราะผ่านมา แต่ด้านหน้าฉันก็ยังทำหน้าที่ไม่เสร็จคือรุมด่าและทำร้ายร่างกายอุ้ยอย่างให้ตายไปข้างหนึ่ง 

       “กูผิดอะไรก็กูอยากให้พวกมึงมีที่นอนสบายๆ ไม่แออัดไง” อุ้ยบ่นพรึมพร่ำ ฉันหัวเราะได้กับเหตุการณ์และเรื่องราวตรงหน้าก่อนถึงห้อง 305 ที่หน้าประตูบานเลื่อนมีพี่เอยืนอยู่ พร้อมหันมายิ้มให้ ฉันยิ้มกลับให้พี่เอพร้อมยกนิ้วโป่งให้พี่เอ หวังว่าคืนแรกจะผ่านไปได้ด้วยดีนะ โฟว์บ่นด้วยเสียงที่เบาแต่ฉันก็ได้ยิน ฉันตบไหล่โฟว์เบาๆ และกระซิบ“ พี่เอมาแล้ว สบายใจได้ เชื่อสิ” โฟว์ยิ้มตอบฉัน“เดี๋ยวก่อนครูจะนอนกับพวกเธอด้วย ” ครูยุพาตะโกนขึ้นมา ฉันหันตามเสียงและไปช่วยครูถือกระเป๋า * อย่างน้อยฉันก็หลับสบายแน่คืนนี้ *


พอถึงเวลานอน ฉันก็นอนหลับตา พร้อมผ้าห่มที่เตรียมมา พวกเรานอนเรียงกันโดยแบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มฉันก็มีตัวแสบทั้งหลาย อีกกลุ่มก็จะมีพวกเรียบร้อย ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ใจฉันคิดว่าขออย่าเกิดเหตุการณ์อะไรเล้ย สาธุ แต่มันไม่ใช่ไง? ก็ไอ่อุ้ยคนเดียวเลย คนเดียวจริง ๆ