กรรมจากอดีตเวียนมาบรรจบ ถึงคราวที่ต้องชดใช้ บางสิ่งบางอย่างกำลังตามทวงแค้น สิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้

เบญจอาฆาต - ตอนที่ 3 เดินทาง โดย Cherplisorn @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ผี,ฟีลกู๊ด,คาถาอาคม,หมอผี,ไสยศาสตร์,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เบญจอาฆาต

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,ระทึกขวัญ,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,ฟีลกู๊ด,คาถาอาคม,หมอผี,ไสยศาสตร์,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

เบญจอาฆาต โดย Cherplisorn @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

กรรมจากอดีตเวียนมาบรรจบ ถึงคราวที่ต้องชดใช้ บางสิ่งบางอย่างกำลังตามทวงแค้น สิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้

ผู้แต่ง

Cherplisorn

เรื่องย่อ

มาวิน ชายหนุ่มวัย 25 ปี ที่กำลังเผชิญกับอาถรรพ์เบญจเพส เวรกรรมที่เคยทำไว้ในอดีตชาติถึงคราวที่ต้องชดใช้ เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามทวงแค้น แม้ในยามนอนก็ไม่อาจข่มตาลงได้

     จนได้พบกับพ่อหมอจอม หรือจอมทัพ สัปเหร่อผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า เชี่ยวชาญทั้งไสยดำและไสยขาว


      หนึ่งคนกำลังถูกบางอย่างตามรังควาน อีกหนึ่งคนคอยปกป้องเขาจากสิ่งที่มองไม่เห็น เมื่อกรรมที่เคยกระทำเริ่มทำงาน จุดจบที่มันต้องการมีเพียง 'ความตาย'




———————————————-

     📌 สวัสดีรี้ดเดอร์ทุกท่านค่ะ ไรต์เป็นนักเขียนมือใหม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 ของไรต์ และเป็นเรื่องแรกสำหรับแนว ชช 

     หวังว่าทุกท่านจะชื่นชอบและสนุกไปกับผลงานของไรต์นะคะ


    📌 ท้ายนี้ หากรี้ดเดอร์ท่านไหนอ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไร สามารถคอมเม้นท์พูดคุยแนะนำกันได้นะคะ ไรต์จะนำไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือเพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไปค่ะ 😁


     📌 ฝากติดตามด้วยนะคะ ❤️


———————————————-


             ⚠️ คำเตือน ⚠️


☑️ มีการบรรยายฉากสะเทือนขวัญ


☑️ มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรง


☑️ มีการใช้คำหยาบคายของตัวละคร


นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งและมีการบรรยายเนื้อหารุนแรงในบางช่วงบางตอน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำ








นิยายเรื่องนี้สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ห้ามคัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลงหรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายไปเผยแพร่หรือกระทำการใด ๆ ก่อนได้รับการอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ หากฝ่าฝืนจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด





สารบัญ

เบญจอาฆาต-ตอนที่ 1 คืนผวา,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 2 สัปเหร่อจอม,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 3 เดินทาง,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 4 ค้างคืน,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 5 ไผ่,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 6 โดนของ,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 7 ดวงตาปริศนา,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 8 ห้ามทัก ห้ามขานรับในยามค่ำคืน,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 9 สวนยาง,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 10 ป่าช้า,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 11 วิ่ง!!!,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 12 คำเตือนจากพ่อหมอ

เนื้อหา

ตอนที่ 3 เดินทาง


ทั้งสองคนช่วยกันขนของขึ้นรถแล้วมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางทันที ขณะขับรถสายตาของมาวินก็มองเห็นเงาดำแวบผ่านหน้ารถไปมาหลายครั้ง เขาพยายามเพ่งสายตามองอีกทีก็ไม่มีอะไร อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้นอนน้อยเลยตาฝาด จังหวะที่เหลือบมองกระจกมองหลังก็ต้องตกใจจนสติแทบหลุดเมื่อเห็นร่างดำทะมึนดวงตาสีแดงเหลือกถลนกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความอาฆาต มาวินจึงเผลอเหยียบเบรคกะทันกัน


“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ” นนท์พูดด้วยความตกใจ แล้วหันมองเพื่อนที่มีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด


มาวินไม่ตอบ เขารีบหันหลังไปมองเบาะหลังทันทีแล้วก็พบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น


เมื่อเห็นเพื่อนหันไปมองที่เบาะหลังด้วยสีหน้าตื่นตระหนก นนท์จึงหันมองตาม


“อะไรวะ”


“มะ มึงเห็นอะไรไหม” มาวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก


นนท์ขมวดคิ้วกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะตอบ


“ไม่มีนะ มึงเห็นอะไร”


“มะ ไม่มีอะไร กูคงตาฝาด” เขาพูดด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ เขาหลับตาลงพยายามตั้งสติสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอาการตื่นตระหนก ก่อนจะใช้ปลายเท้าที่กำลังสั่นเทาค่อยๆ เหยียบคันเร่งขับรถออกไปอย่างช้าๆ ด้วยหัวใจที่ยังคงเต้นกระหน่ำกับสิ่งที่พบเจอ ผ่านไปราวๆ 2 ชั่วโมงนนท์จึงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนอาการไม่สู้ดี


“กูว่าเราจอดพักกันสักหน่อยเถอะ”


“อืม” มาวินตอบรับในลำคอ เขาเองก็อยากจะพักเหมือนกัน


“ข้างหน้าเหมือนจะมีจุดพักรถอยู่ เราจอดพักตรงนั้นก่อน” นนท์พูดพลางชี้มือไปยังป้ายที่บอกระยะทางก่อนจะถึงจุดพักรถ




มาวินเลี้ยวเข้าไปจอดทันทีก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล พอปิดประตูห้องน้ำได้ก็ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่


‘ก็อกๆๆ’


เสียงเคาะผนังดังมาจากห้องข้างๆ เป็นจังหวะช้าๆ สงสัยเขาจะเผลอปล่อยเต็มที่เกินไปจึงกล่าวขอโทษขอโพยออกไป


“ขอโทษทีครับ ผมอั้นมานานน่ะ แหะๆ” ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ห้องข้างๆ มาวินจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ


‘ก็อกๆๆ’


ไม่นานเสียงเคาะก็ดังขึ้นอีกครั้งและเร่งจังหวะเคาะเร็วขึ้นเรื่อยๆ มาวินขมวดคิ้วแน่นก้มลงไปมองผ่านช่องว่างด้านล่าง แต่มันกลับว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงาคน ในหัวพลันนึกถึงเรื่องที่พบเจอในช่วงนี้ เขาตัวชาวาบขนบนหัวพลันลุกตั้งขึ้นมาทันทีโดยไม่ได้นัดหมาย


‘ปึงๆๆ’ จากเสียงเคาะเริ่มกลายเป็นเสียงทุบผนังอย่างแรง มันดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ มาวินสะดุ้งจนสุดตัวเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าไหลลงมาจนเปียกเสื้อราคาแพงที่เขาเพิ่งถอยมาได้ไม่นาน ไฟบนเพดานเริ่มกระพริบติดๆ ดับๆ จนสุดท้ายมันก็ดับลง เกิดความมืดเข้าปกคลุมจนมาวินหวาดผวาหันมองซ้ายขวาด้วยท่าทีลนลาน เสียงฝีเท้ากำลังย่ำเดินเข้ามาที่ละก้าวอย่างช้าๆ เสียงมันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตรงมายังห้องที่เขาอยู่ มาวินสีหน้าตื่นตระหนกระคนหวาดกลัวจนแทบจะร้องไห้ เขารีบยกขาขึ้นมานั่งยองๆ บนชักโครก


‘ปังๆๆ’


เสียงเคาะดังมาจากหน้าประตูห้องที่เขาอยู่


“อ๊ากกก” มาวินแหกปากร้องลั่นตามมาด้วยเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นจากช่วงล่างของเขา


‘ปู๊ดดด แพร่ดดดๆๆ ฟี้ดดดดด’


“ไอ้วิน เสร็จยังวะ แล้วนี่มึงขี้หรือกำลังระเบิดส้วมเขาเนี่ย” เสียงเพื่อนของเขาดังมาจากหน้าประตู


“ไอ้สัส!” มาวินสบถใส่เพื่อนเสียงดังลั่นก่อนจะรีบล้างก้นแล้วเปิดประตูออกอย่างแรง ทั้งกลัวทั้งโมโหเพื่อน เขาเหลือบตามองเพื่อนตัวดีด้วยความโมโห


“อื้อหืออ เหม็นขนาดนี้มึงสะสมมากี่วันแล้ววะ” นนท์พูดพร้อมกับเอานิ้วบีบจมูก ก่อนจะรีบวิ่งออกไปแล้วยกมืออีกข้างขึ้นมาทำท่าโบกมือไล่กลิ่นไม่พึงประสงค์ที่โชยออกมา


“ไปๆ รีบไปเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน” เขามองเพื่อนด้วยหางตาแล้วกล่าวออกมาพร้อมกับทำสีหน้าขึงขัง รีบสาวเท้าออกจากห้องน้ำทันที พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ‘อย่าให้ใครรู้เด็ดขาด ว่าเขากลัวจนขี้แตก!’






“เฮ้ย!”


มาวินตะโกนเสียงดังลั่นเมื่อมีวัตถุบางอย่างพุ่งเข้ามาชนกับกระจกหน้ารถด้วยความเร็ว เขาเหยียบเบรคกะทันหันจนรถสะบัดไถลลงข้างทางแล้วหยุดลงตรงหน้าต้นไม้ใหญ่พอดี เขารีบลงจากรถแล้ววิ่งไปดูด้านหน้ารถแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น ก่อนจะหันกลับไปมองกระจกหน้ารถที่ตอนนี้มีเพียงร่องรอยที่เป็นหลักฐานยืนยันว่าเมื่อสักครู่มีบางอย่างพุ่งเข้ามาชนจริงๆ


“เฮ้ย! ชนอะไรวะ” นนท์ที่เดินตามลงมาเอ่ยถามด้วยความตกใจ เขากวาดสายตามองดูจนทั่วก็ไม่เจออะไรเช่นกัน


มาวินมองหน้าเพื่อนแล้วส่ายหน้าไปมา


“แม่งเอ้ย! ผีห่าซานตานตัวไหนวะ แน่จริงมึงออกมาต่อยกับกูเลย เป็นผีดีๆ ไม่ชอบเสือกอยากตายอีกรอบสินะ ฤทธิ์เยอะขนาดนี้มึงไม่ไปเกิดวะ คนเก่งจริงเค้าไม่ตายกันหรอกโว้ย!” เขาตะโกนด่ากราดกับดินฟ้าอากาศอย่างเหลืออด


“เฮ้ย ใจเย็น”


“เย็นเหี้ยอะไรล่ะ กูเกือบตายไม่รู้กี่รอบไม่รู้ว่าเป็นห่าอะไร เทียวมาทำตัวผลุบๆ โผล่ๆ มาหลอกมาหลอนกูไม่ได้หลับไม่ได้นอนมากี่วันแล้ว มันเป็นบ้าอะไร กูไปฆ่าแม่มันเหรอ! ถ้าวันนี้เกิดอะไรขึ้นอีกกูจะสาปแช่งให้ไม่ได้ผุดได้เกิด อยู่เป็นสัมภเวสีไปแบบนี้แหละ!” ถึงจะกลัวผีขึ้นสมอง แต่ถ้าเจอแบบนี้ทุกวันสักวันเขาคงจะกลายเป็นบ้าจริงๆ


มาวินหลับตาลงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ พออารมณ์เริ่มเย็นลงก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ที่มีแต่ป่ารกร้างสองข้างทางไม่มีรถผ่านมาสักคัน ดูวังเวงชอบกล เขากระพริบตาถี่ๆ นึกกลัวขึ้นมาตงิดๆ


“เอ่อ ไปกันเถอะ” พูดจบก็ทำหน้าแหยๆ


“อ้อ อืม ไปๆ กูขับเอง” นนท์จับจูงแขนมาวินให้เดินไปนั่งอีกฝั่ง แล้วมานั่งฝั่งคนขับ เข้าเกียร์แล้วมุ่งหน้าต่อไปทันที






6 ชั่วโมงต่อมาก็มาถึงอำเภอปราสาท ทั้งสองคนแวะพักหาอะไรกินแล้วขับรถต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงหมู่บ้านตามที่จีพีเอสพามา


มาวินมองถนนที่ยังคงเป็นดินแดง สองข้างทางมีบ้านเรือนของชาวบ้านห่างๆ กันสลับกับสวนยางและไร่มันสำปะหลัง ลึกเข้าไปอีกก็มีเพียงสวนยางตลอดทางที่ขับผ่าน ต้นยางสูงที่แผ่กิ่งก้านออกมาจนบดบังแสงอาทิตย์ เขามองไปรอบๆ แล้วหันไปถามเพื่อน


“มึงแน่ใจนะว่ามาถูกที่”


“ต้องถูกสิ กูขับตามจีพีเอสบอกเป๊ะๆ เลยนะ”


“มันดูวังเวงจังวะ จะโดนฆ่าหมกป่าไหมเนี่ย” เขาลังเลคิดว่าจะให้เพื่อนย้อนกลับไปดีไหม ทางเข้าดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก สักพักก็มองเห็นบ้านไม้หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางสวนยางล้อมรอบ


“มึงเช็คอีกทีดิ มันใช่ตรงนี้แน่เหรอวะ”


“ถูกแล้วมึง กูว่าบ้านหลังนี้แหละ”


“แน่ใจนะว่ามึงไม่ได้หลอกพากูมาฆ่า”


“เลอะเทอะ” เอ้า ไอ้นี่


มาวินมองเข้าไปในตัวบ้านที่อยู่ท่ามกลางสวนยางรอบๆ ไร้แสงอาทิตย์ส่องถึง ดูมืดมน อึมครึม สภาพบ้านกลางเก่ากลางใหม่แถมยังดูวังเวงชอบกล เขาเม้มปากมองอย่างลังเล จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเขาตกใจจนสะดุ้งโหยง


“เหี้ย!” มาวินอุทานออกมาเสียงดัง


“ตกใจอะไรขนาดนั้น ขวัญอ่อนจริงๆ”


มาวินมองเพื่อนตาขวาง นนท์ไม่สนใจเขาเลี้ยวเข้าไปจอดในบ้านหลังนั้นทันที เจ้าของบ้านเปิดรั้วเอาไว้ราวกับล่วงรู้ว่าพวกเขาจะมา


‘นี่สำนักหมอผีหรือบ้านร้าง เอาดีๆ’


“บ้านคนแน่นะ ไม่เห็นมีใครเลย บ้านร้างรึเปล่าวะ” มาวินพูดขณะสายตายังคงสอดส่องมองหาเจ้าของบ้าน


“ลงไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง” นนท์พูดจบก็เปิดประตูรถก้าวขาลงไปทันที ไม่สนใจมาวินที่กำลังจะอ้าปากพูด


เขานั่งทำใจอยู่พักหนึ่งจึงเปิดประตูก้าวเท้าลงไปจากรถเก๋งญี่ปุ่นสีดำของตัวเอง มองเข้าไปเห็นหมาสีดำตัวใหญ่สองตัวกำลังยืนจังก้าจ้องตากับเขาอยู่






“เชิญครับ”


มาวินสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ดังมาออกจากภายในบ้าน เขาหันไปมองตามเสียงเห็นผู้ชายอายุราว 20 ปี กำลังมองมาที่พวกเขา หันไปมองเพื่อนก็เห็นมันเดินเข้าไปในบ้านแล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะเดินตามเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง


เมื่อเข้ามาด้านในก็เจอผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ คงจะเป็นพ่อหมอจอมที่ไอ้นนท์มันบอกล่ะมั้ง สายตาเขากวาดมองสำรวจภายในห้องที่ชั้นบนสุดของแท่นบูชามีขันครูวางอยู่ ตามด้วยเศียรครูมากมายและพานบายสีขนาดต่างๆ 3-4 อัน เทียนสองเล่มที่จุดไฟไว้กำลังพริ้วไหวเบาๆ ไปตามแรงลม


พลันสายตาเหลือบไปเห็นเศียรครูแบบหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน คล้ายเศียรครูทั่วไปแต่มีขนคิ้วยาว หนวดยาวจนเกือบถึงพื้น เขี้ยวงอกยาวจนพึงพื้นเช่นกัน ดวงตาสีแดงคู่นั้นราวกับว่ากำลังจ้องมองเขาอยู่ ขนทั้งร่างของเขาลุกชัน ในใจเกิดความหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก




“มาทำอะไร” มาวินสะดุ้ง หัวใจเต้นกระหน่ำเมื่อน้ำเสียงดุเอ่ยขึ้นมากะทันหัน เขาเผลอมองสบตากับดวงตาคมคู่นั้นแล้วรีบหลบสายตาลงอย่างรวดเร็ว


‘สายตาน่ากลัวกว่าผีที่มาหลอกกูอีก’


เขาคิดในใจก่อนจะเหลือบสายตาไปมองยังคนที่ว่า แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อดวงตาคมคู่นั้นกำลังจ้องเขาอยู่ราวกับล่วงรู้ความคิดในหัวของเขา มาวินเม้มปากมองไปอีกทางพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อสายตาเจ้ากรรมดันเผลอมองไปยังชายหนุ่มที่เชิญพวกเขาเข้ามาในตอนแรก มาวินรีบก้มหน้าลงทันที ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเพื่อนเอ่ยออกมา


“ผมอยากสักยันต์แคล้วคลาดครับ” นนท์บอกกับพ่อหมอหน้าดุ


มาวินหันขวับไปมองเพื่อนจนคอแทบเคล็ด


‘ตกลงมึงมาสักยันต์หรอกเหรอ’


จากนั้นก็หันไปมองพ่อหมอจอมที่กำลังจ้องเขาอยู่เช่นกัน สายตาดุดันที่จ้องมองมาราวกับจะกินเขาเข้าไปทำให้ปากที่กำลังจะอ้าถึงกับหุบลงทันที