กรรมจากอดีตเวียนมาบรรจบ ถึงคราวที่ต้องชดใช้ บางสิ่งบางอย่างกำลังตามทวงแค้น สิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ผี,ฟีลกู๊ด,คาถาอาคม,หมอผี,ไสยศาสตร์,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เบญจอาฆาตกรรมจากอดีตเวียนมาบรรจบ ถึงคราวที่ต้องชดใช้ บางสิ่งบางอย่างกำลังตามทวงแค้น สิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้
มาวิน ชายหนุ่มวัย 25 ปี ที่กำลังเผชิญกับอาถรรพ์เบญจเพส เวรกรรมที่เคยทำไว้ในอดีตชาติถึงคราวที่ต้องชดใช้ เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามทวงแค้น แม้ในยามนอนก็ไม่อาจข่มตาลงได้
จนได้พบกับพ่อหมอจอม หรือจอมทัพ สัปเหร่อผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า เชี่ยวชาญทั้งไสยดำและไสยขาว
หนึ่งคนกำลังถูกบางอย่างตามรังควาน อีกหนึ่งคนคอยปกป้องเขาจากสิ่งที่มองไม่เห็น เมื่อกรรมที่เคยกระทำเริ่มทำงาน จุดจบที่มันต้องการมีเพียง 'ความตาย'
———————————————-
📌 สวัสดีรี้ดเดอร์ทุกท่านค่ะ ไรต์เป็นนักเขียนมือใหม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 ของไรต์ และเป็นเรื่องแรกสำหรับแนว ชช
หวังว่าทุกท่านจะชื่นชอบและสนุกไปกับผลงานของไรต์นะคะ
📌 ท้ายนี้ หากรี้ดเดอร์ท่านไหนอ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไร สามารถคอมเม้นท์พูดคุยแนะนำกันได้นะคะ ไรต์จะนำไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือเพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไปค่ะ 😁
📌 ฝากติดตามด้วยนะคะ ❤️
———————————————-
⚠️ คำเตือน ⚠️
☑️ มีการบรรยายฉากสะเทือนขวัญ
☑️ มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรง
☑️ มีการใช้คำหยาบคายของตัวละคร
นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งและมีการบรรยายเนื้อหารุนแรงในบางช่วงบางตอน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำ
นิยายเรื่องนี้สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ห้ามคัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลงหรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายไปเผยแพร่หรือกระทำการใด ๆ ก่อนได้รับการอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ หากฝ่าฝืนจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด
บทสวดอันเข้มขลังดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากริมฝีปากหยักลึก แววตาของเขาจดจ้องไปยังเบื้องหน้าด้วยความดุดัน ยิ่งนานสายลมยิ่งพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ประตูหน้าต่างตีกระทบกันดังสนั่น เปลวเทียนสั่นไหวอย่างรุนแรง
“สัพเพทวาปีสาเจวะ อาฬะวะกาทะโยปิยะ ขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ สักกัสสะ วะชิราวุธัง เวสสุวัณณัสสะ คะธาวุธัง อะฬะวะกัสสะ ทุสาวุธัง ยะมะนัสสะ นะยะนาวุธัง อิเมทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ”
“วี้ดดดดดด”
เสียงหวีดร้องอย่างโหยหวนดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณท่ามกลางสายลมที่พัดกระหน่ำ ก่อนจะค่อยๆ สงบลงพร้อมกับเสียงร้องอันโหยหวนที่ค่อยๆ จางหายไปในความมืด
มาวินตื่นขึ้นมา 9 โมง เขาหลับสนิทตั้งแต่ 2 ทุ่มยัน 9 โมงเช้า รู้สึกสดชื่นหลังจากที่อดนอนมาหลายวันร่างกายเหมือนได้พักผ่อนจริงๆ เขาหันไปสะกิดนนท์ที่ยังคงหลับอยู่
“ตื่นๆ 9 โมงแล้ว”
นนท์ลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงียก่อนจะเอ่ยขึ้น
“อืออ 9 โมงแล้วเหรอวะ เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“กูก็หลับเป็นตายพอๆ กับมึงนั่นแหละ” พูดจบมาวินก็ลุกขึ้นมานั่งพลางใช้มือตบที่ต้นคอเบาๆ สะบัดหัวไปมา ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไป
ออกจากห้องน้ำก็เห็นเพื่อนยังนอนหลับตาอยู่ท่าเดิม แถมยังมีเสียงกรนเบาๆ ออกมาอีกต่างหาก
“ไอ้นนท์ ลุกไปอาบน้ำเลย กูหิวข้าว” เขาใช้เท้าเขี่ยปลุกเพื่อนให้ลุกไปอาบน้ำ
“อืออ รอแปป” พูดจบก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียอ้าปากหาวไปทีหนึ่งแล้วหยิบผ้าขนหนูไปอาบน้ำ
สักพักใหญ่ทั้งสองคนก็ถือกระเป๋าเดินออกมาจากห้อง
“อรุณสวัสดิ์กล้า” นนท์เอ่ยทักทายลูกศิษย์พ่อหมอที่นั่งทำอะไรบางอย่างอยู่
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่มาวิน พี่นนท์ พวกพี่หิวกันรึยัง รอแปปเดี๋ยวผมไปเอาข้าวมาให้”
“ไม่เป็นไร พี่เกรงใจ พวกพี่ว่าจะแวะร้านอาหารข้างหน้าน่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับพี่ กินได้ตามสบาย อีกอย่างที่นี่ไม่มีร้านอาหารหรอก พี่ต้องขับไปอีกเกือบชั่วโมงนู่นถึงจะมีร้านอาหาร” กล้าพูดจบก็เดินลงบันไดไปโดยไม่สนใจคนที่กำลังจะร้องห้าม
มาวินจึงตะโกนเรียก
“กล้า รอด้วย เดี๋ยวพี่ลงไปช่วย” กำลังจะก้าวลงบันไดก็ได้ยินเสียงประตูเปิด
มาวินจึงหันไปมอง เห็นร่างสูงใหญ่ของพ่อหมอจอมนุ่งผ้าขาวม้าตัวเดียวยืนโชว์รอยสักต่างๆ บนร่างกายที่แทบจะไม่เหลือช่องว่างใดๆ บนผิวหนัง กล้ามหน้าท้องเด่นชัดเป็นลอนสวยงามกับผิวสีแทนของเจ้าตัวทำให้เขาดูราวกับนายแบบชื่อดัง
มาวินเผลอมองอย่างชื่นชมตามประสาคนชอบออกกำลังกายและแอบอิจฉาเล็กๆ ด้วย
“อรุณสวัสดิ์ครับพ่อหมอ” ทั้งสองคนทักทายเจ้าของบ้าน
“อืม”
“ขอบคุณพ่อหมอมากครับที่ให้เราพักค้างคืนที่นี่” มาวินกล่าว จอมทัพพยักหน้า
“กินข้าวกันก่อนแล้วค่อยไป” เขากล่าว
“ขอบคุณครับพ่อหมอ” ทั้งสองคนยกมือไหว้พ่อหมอจอม ก่อนจะเห็นกล้ากำลังหอบหิ้วถาดอาหารเข้ามาจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วย ทั้งสามคนนั่งลงล้อมวงกินอาหารด้วยกัน ส่วนจอมทัพแยกไปกินคนเดียวเช่นเคย
มาวินหันมองพ่อหมอจอมที่แยกสำรับไปกินคนเดียว
“มองอะไร กูก็คนต้องกินข้าวเหมือนกัน ไม่ได้กินอาหารทิพย์”
‘โอ้โห เพิ่งรู้ว่าหมอผีปากแซ่บขนาดนี้’ มาวินคิดในใจ
“เอ่อ ครับ” คนแอบมองถึงกับสะดุ้งโหยง รีบหันกลับมามองไปยังอาหารที่อยู่ตรงหน้า น้ำพริกปลาทู ไข่เจียว ปลาย่างที่มีไข่เต็มท้องทุกตัว ผักต้มกับน้ำพริกที่ดูแล้วเขากินไม่ได้แน่ แกงปลาช่อนใส่ใบอะไรสักอย่าง อีกจานเหมือนจะเป็นยำหอย เขาลองตักน้ำแกงในถ้วยขึ้นมาชิมคำแรกก็ตาโตขึ้นมา
‘อร่อย!’
“อร่อยมากครับ” นนท์กล่าวขณะกำลังเคี้ยวอาหารไม่หยุด
“กล้าทำอาหารอร่อยนะเนี่ย กับข้าวเมื่อคืนก็อร่อยมาก” มาวินเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“แค่อาหารพื้นบ้านธรรมดาครับ อาจจะเพราะพวกพี่ไม่เคยกิน อีกอย่างอาหารพวกนี้ได้มาสดๆ เวลาเอามาทำอาหารจะอร่อยมากครับ แล้วปกติพี่กินอาหารอีสานหรือเปล่าครับ”
“กินเป็นบางอย่างน่ะ อาหารอีสานที่เคยกินก็มีแค่ลาบหมู ต้มแซ่บทำนองนี้ ส้มตำก็เป็นส้มตำไทย นอกนั้นก็ไม่เคยกิน” มาวินตอบ กล้าจึงเอ่ยแนะนำเมนูอาหารวันนี้ให้ทั้งสองคนฟัง มาวินและเต้พยักหน้าหงึกๆ ฟังไปด้วยกินไปด้วย ไม่นานอาหารทุกอย่างก็ไม่เหลือแม้แต่น้ำ
หลังจากกินข้าวกันเสร็จแล้ว สองหนุ่มก็แบกข้าวของไปไว้ในรถแล้วเดินไปร่ำลาพ่อหมอจอม
“พวกผมลานะครับ ขอบคุณสำหรับที่พักและอาหารครับ”
“อืม ห้ามถอดตะกรุดเด็ดขาดจำไว้”
“ครับพ่อหมอ”
“ไปนะกล้า มีโอกาสจะมาเที่ยวหานะ” มาวินกับนนท์เอ่ยลาพ่อหมอจอมกับกล้าแล้วขึ้นรถขับออกไปทันที
ทั้งสองคนกลับมาถึงกรุงเทพตอนเย็นช่วงรถติดพอดี มาวินแวะไปส่งเพื่อนกว่าจะกลับถึงคอนโดก็เกือบ 2 ทุ่ม กินข้าวอาบน้ำ กำลังล้มตัวลงนอนก็มีสายเข้าจากพี่ต่ายรุ่นพี่ที่เคยจ้างเขาไปเป็นแบบ
“น้องมาวิน พรุ่งนี้ว่างไหมจ๊ะ”
“ครับพี่ พี่ต่ายมีอะไรรึเปล่าครับ”
“พี่จะให้น้องวินมาช่วยถ่ายแบบชุดใหม่ให้พี่หน่อย ถ่าย 5 ชุด น่าจะใช้เวลาเกือบทั้งวัน”
“ได้ครับพี่ ให้ผมไปกี่โมงครับ”
“เวลาเดิม 9 โมงจ้ะ มาแต่งหน้าเซ็ตผมก่อน เริ่มถ่ายกัน 10 โมง”
“ได้ครับ”
“จ้า เจอกันพรุ่งนี้นะจ้ะ”
“ครับพี่ สวัสดีครับ” พูดจบก็วางสายไป
เช้าวันต่อมา เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นจนมาวินสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขารีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วโบกวินมอเตอร์ไซออกไปทันที ดีที่ร้านของพี่ต่ายอยู่ไม่ไกลจึงไม่ต้องรีบตื่นเพื่อหนีการจราจรบนท้องถนน
“สวัสดีครับพี่ต่าย”
“อ้าว น้องวิน ทานอะไรมาหรือยังจ้ะ”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“โอเค งั้นไปแต่งตัวก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่เข้าไปเรียก ตากล้องกำลังมาน้องวินแต่งตัวเสร็จก็น่าจะมาถึงพอดี”
“ครับ” พูดจบเขาก็เดินเข้าไปในห้องแต่งตัวที่มีช่างแต่งหน้าทำผมรออยู่ก่อนแล้ว เขายกมือไหว้พี่ๆ ช่างทั้งสองคนก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อย่างรู้งาน
มาวินนั่งพักดื่มน้ำหลังจากทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จ ใช้เวลาเกือบทั้งวันจริงๆ พักใหญ่ก็เข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัว เมื่อเดินออกมาพี่ต่ายก็ยื่นซองให้เขาเช่นทุกครั้งและเหมือนวันนี้หนากว่ารอบที่แล้วขึ้นมาหน่อย มาวินยิ้มแฉ่งเมื่อเห็นแบงค์สีเทาหลายใบอยู่ในนั้น
“งั้นผมกลับเลยนะครับพี่ ขอบคุณมากครับ”
“จ้า กลับดีๆ นะจ้ะ”
“ครับ”
ร่ำลากันเสร็จมาวินก็ออกมายืนโบกวินมอเตอร์ไซ แวะซื้อข้าวร้านป้าติ๋มหน้าปากซอยก่อนจะกลับเข้าคอนโดไป
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกให้คนที่กำลังนอนหลับสนิทลืมตาขึ้นมา เขาควานหาต้นเตียงอยู่ครู่หนึ่ง หรี่ตามองเบอร์ที่โทรเข้ามาขัดจังหวะการนอนของเขา
“อือ” มาวินกรอกเสียงลงไปด้วยอาการงัวเงีย
“ไปเที่ยวสุรินทร์เป็นไงบ้างวะ” ปลายสายคือ ‘เต้’ เพื่อนสนิทในอีกคนแก๊งค์ของเขา
“กูปกติ มึงต้องไปถามไอ้นนท์” พูดจบเขาก็หัวเราะ
“ทำไมวะ ไม่สนุกเหรอ”
“ไม่ได้เที่ยวน่ะสิ แล้วนี่มึงโทรมามีอะไรรึเปล่า”
“กูว่าจะถามว่ามึงเจอไอ้ไผ่บ้างรึเปล่าวะ ช่วงนี้มันเงียบหายไปเลย” เต้เอ่ยขึ้น
“ไม่ว่ะ” มาวินขมวดคิ้ว จะว่าไปเพื่อนคนนี้ก็หายไปเลยช่วงนี้ แชทในกลุ่มก็ไม่อ่านไม่ตอบ
“มันเป็นอะไรรึเปล่าวะ กูว่าพวกเราไปดูมันหน่อยดีกว่า วันก่อนแม่มันก็โทรมาหากูบอกว่าติดต่อมันไม่ได้”
“หือ?” มาวินขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมเมื่อฟังที่เต้พูดก่อนจะถาม
“มึงถามไอ้พวกนั้นหรือยัง”
“พวกมันก็พูดเหมือนมึงอ่ะ”
“ได้ กูว่างอยู่แล้ว มึงนัดกับไอ้พวกนั้นมาเลย”
“ได้ ยังไงเดี๋ยสกูโทรบอกมึงอีกที”
“โอเค”
หลังจากวางสายมาวินก็พยายามติดต่อไผ่ แต่เจ้าตัวก็ไม่รับสายและไม่ตอบแชทจนมาวินเริ่มสงสัยขึ้นมาจริงๆ เพราะปกติเพื่อนในแก๊งค์ไม่เคยขาดการติดต่อไปแบบนี้
3 วันต่อมา เต้ นนท์และบอส เพื่อนทั้งสามคนในแก๊งค์ของเขาก็มาหาที่คอนโด จากนั้นทั้ง 4 คนจึงขับรถออกไปหาไผ่ตามที่ได้คุยกันไว้
“บ้านมันเงียบๆ นะ” บอสพูดขึ้นมาเมื่อรถกำลังชะลอบริเวณหน้าบ้านของไผ่
“ประตูไม่ได้ล็อก เราเข้าไปกันเลยไหม” เต้เอ่ยขึ้น
ทุกคนหันมองหน้ากันไปมาแล้วพยักหน้า เต้จึงดับรถแล้วเปิดประตูลงไปเป็นคนแรก เขาชะเง้อคอมองเข้าไปในตัวบ้านก็ไม่เห็นใครจึงพูดขึ้นมา
“หรือมันจะไม่อยู่จริงๆ วะ”
“แต่บ้านมันไม่ได้ล็อก ถ้ามันออกไปข้างนอกจริงมันจะรีบจนลืมล็อกประตูบ้านเลยเหรอวะ” นนท์เอ่ยขึ้น
“เราเข้าไปดูกันเถอะ” มาวินพูดจบก็เดินนำเพื่อนเข้าไปทันที
บอสค่อยๆ ดันประตูรั้วเดินเข้าไปในบ้านที่เงียบสนิท ประตูบ้านไม่ได้ล็อกเอาไว้มาวินจึงใช้มือผลักเข้าไปเบาๆ ภายในบ้านทุกอย่างยังดูปกติเหมือนทุกครั้งที่พวกเขามา
“รองเท้ามันก็ยังอยู่” บอสพูด แต่ละคนเริ่มคิดไปต่างๆ นาๆ ก่อนที่นนท์จะเดินนำเพื่อนขึ้นไปบนชั้นสองแล้วตรงไปยังห้องนอนของไผ่ทันที
เสียงพูดคุยเบาๆ ดังออกมาจากภายในห้อง ทุกคนหยุดชะงักหันมองหน้ากันไปมา เต้ตัดสินใจตะโกนเข้าไป
“ไอ้ไผ่” ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงเสียงหัวเราะร่วนของทั้งคู่ที่ยังคงดังออกมาให้ได้ยินเบาๆ นนท์จึงเคาะประตูแล้วตะโกนเรียกอีกครั้ง
‘ก๊อกๆๆ’
“ไผ่ มึงอยู่ข้างในรึเปล่า”
สิ้นเสียงของนนท์ เสียงพูดคุยที่ได้ยินกันก่อนหน้านี้ก็เงียบลง ไม่ประตูก็เปิดออก สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ผู้หญิงที่เป็นคนมาเปิดประตูให้พวกเขาด้วยความงุนงง