กรรมจากอดีตเวียนมาบรรจบ ถึงคราวที่ต้องชดใช้ บางสิ่งบางอย่างกำลังตามทวงแค้น สิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้

เบญจอาฆาต - ตอนที่ 7 ดวงตาปริศนา โดย Cherplisorn @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ผี,ฟีลกู๊ด,คาถาอาคม,หมอผี,ไสยศาสตร์,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เบญจอาฆาต

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,ระทึกขวัญ,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,ฟีลกู๊ด,คาถาอาคม,หมอผี,ไสยศาสตร์,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

กรรมจากอดีตเวียนมาบรรจบ ถึงคราวที่ต้องชดใช้ บางสิ่งบางอย่างกำลังตามทวงแค้น สิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้

ผู้แต่ง

Cherplisorn

เรื่องย่อ

มาวิน ชายหนุ่มวัย 25 ปี ที่กำลังเผชิญกับอาถรรพ์เบญจเพส เวรกรรมที่เคยทำไว้ในอดีตชาติถึงคราวที่ต้องชดใช้ เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามทวงแค้น แม้ในยามนอนก็ไม่อาจข่มตาลงได้

     จนได้พบกับพ่อหมอจอม หรือจอมทัพ สัปเหร่อผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า เชี่ยวชาญทั้งไสยดำและไสยขาว


      หนึ่งคนกำลังถูกบางอย่างตามรังควาน อีกหนึ่งคนคอยปกป้องเขาจากสิ่งที่มองไม่เห็น เมื่อกรรมที่เคยกระทำเริ่มทำงาน จุดจบที่มันต้องการมีเพียง 'ความตาย'




———————————————-

     📌 สวัสดีรี้ดเดอร์ทุกท่านค่ะ ไรต์เป็นนักเขียนมือใหม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 ของไรต์ และเป็นเรื่องแรกสำหรับแนว ชช 

     หวังว่าทุกท่านจะชื่นชอบและสนุกไปกับผลงานของไรต์นะคะ


    📌 ท้ายนี้ หากรี้ดเดอร์ท่านไหนอ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไร สามารถคอมเม้นท์พูดคุยแนะนำกันได้นะคะ ไรต์จะนำไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือเพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไปค่ะ 😁


     📌 ฝากติดตามด้วยนะคะ ❤️


———————————————-


             ⚠️ คำเตือน ⚠️


☑️ มีการบรรยายฉากสะเทือนขวัญ


☑️ มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรง


☑️ มีการใช้คำหยาบคายของตัวละคร


นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งและมีการบรรยายเนื้อหารุนแรงในบางช่วงบางตอน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำ








นิยายเรื่องนี้สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ห้ามคัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลงหรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายไปเผยแพร่หรือกระทำการใด ๆ ก่อนได้รับการอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ หากฝ่าฝืนจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด





สารบัญ

เบญจอาฆาต-ตอนที่ 1 คืนผวา,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 2 สัปเหร่อจอม,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 3 เดินทาง,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 4 ค้างคืน,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 5 ไผ่,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 6 โดนของ,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 7 ดวงตาปริศนา,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 8 ห้ามทัก ห้ามขานรับในยามค่ำคืน,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 9 สวนยาง,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 10 ป่าช้า,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 11 วิ่ง!!!,เบญจอาฆาต-ตอนที่ 12 คำเตือนจากพ่อหมอ

เนื้อหา

ตอนที่ 7 ดวงตาปริศนา


รถเก๋งสีดำสัญชาติยุโรปแล่นไปตามทางด้วยความเร็ว ภายนอกรถดูอึมครึมราวกับฝนกำลังจะตก เมฆฝนสีดำก่อตัวขยายใหญ่ขึ้นจนบดบังแสงอาทิตย์ มาวินเหลือบมองก้อนเมฆสีดำบนท้องฟ้าที่ลอยเข้ามาปกคลุมอยู่เหนือศีรษะ เส้นทางเบื้องหน้าเริ่มอับแสงลงเรื่อยๆ


“ฝนจะตกเหรอวะ” บอสพูดขึ้นมาขณะมองออกไปนอกรถ


“ขับช้าๆ หน่อยก็ได้มึง กูว่าฝนท่าจะตกหนัก” นนท์บอกเต้ที่ขับด้วยความเร็วจนเขานึกว่ากำลังอยู่ในสนามแข่ง


“กูก็ขับปกติ”


“ปกติพ่อง 140”


“ปกติของกู”


“ไอ้ห่า ช้าๆ ลงหน่อย”


เต้ลดความเร็วลงตามที่เพื่อนบอก ทุกคนที่นั่งตัวเกร็งพากันถอนหายใจออกมาพร้อมกันอย่างโล่งอก


“ไอ้ไผ่มันเป็นไงบ้างวะ” มาวินถามพร้อมกับหันไปมองเพื่อนที่นั่งเหม่อตาลอยอยู่เบาะหลังกับเพื่อนอีกสองคน


“ยังดีอยู่” บอสเอ่ยตอบ


มาวินพยักหน้า เขามองเพื่อนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมา


หมอกจางๆ ลอยอยู่ในอากาศเบื้องหน้าทางที่พวกเขากำลังจะขับผ่าน ไม่นานก็เริ่มก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ จนบดบังวิสัยทัศน์ เมฆสีดำที่อยู่เหนือศีรษะเริ่มลอยต่ำลงมาเรื่อยๆ ฝนที่คิดว่ากำลังจะตกกลับไม่มีทีท่าว่าจะตกเลยสักนิด


“อีกไกลไหมวะ” เขาเอ่ยขึ้นมา สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกไม่ดีต่อบรรยากาศโดยรอบ


“2 ชั่วโมง” คนขับเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


ทุกคนนั่งเงียบกันอยู่ภายในรถที่กำลังวิ่งไปตามความเร็ว บนเส้นทางที่พวกเขาขับผ่านไม่มีรถสักคันมีเพียงรถของพวกเขาที่กำลังวิ่งอยู่บนท้องถนนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางบรรยากาศอันน่าพิศวง


ไฟตัดหมอกถูกเปิดขึ้นมา แสงสว่างสาดส่องไปยังเบื้องหน้าพอให้มองเห็นได้ในระยะที่ไม่ไกลมากนัก เต้ชะลอความเร็วลงแล้วขับฝ่ากลุ่มหมอกควันสีขาวเข้าไป


มาวินพยายามมองฝ่าไอหมอกที่ปกคลุมอยู่รอบตัว หัวคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน ไอหมอกหนาที่ขึ้นปกคลุมท้องถนนผสมกับเมฆสีดำที่ลอยอยู่ด้านบนพาให้บรรยากาศดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก


จู่ๆ สายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับบางสิ่งที่ลอยอยู่ในอากาศลักษณะไกลออกไป เขาเพ่งสายตามองไปยังจุดสีแดงที่เห็นนั้นจนกระทั่งมันเริ่มขยายใหญ่ขึ้นและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ


ดวงตาของเขาเบิกโพลงเมื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเขาตอนนี้คล้ายดวงตาของคนที่กำลังจ้องมองมา มาวินตกใจจนแทบสติหลุดผงะถอยไปด้านหลังจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับเบาะ ลมหายใจสะดุดนั่งตัวเกร็ง หูได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำราวกับกลองเพลดังอยู่ในอก มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ


“เป็นอะไรวะ” เต้ที่กำลังขับรถอยู่เห็นเพื่อนนั่งตัวเกร็งปากอ้าตาค้างก็เอ่ยถามขึ้น


มาวินตัวสั่น ปากที่กำลังอ้าค้างค่อยๆ หุบลงแล้วกล่าวออกมาเบาๆ อย่างตะกุกตะกัก


“มะ มึง มึงไม่เห็นเหรอ” เขากล่าวโดยที่สายตายังไม่ละไปจากสิ่งนั้น


เต้พยายามจ้องมองไปยังเบื้องหน้าตามสายตาของเพื่อนแต่ก็ไม่เห็นอะไร


“อะไรวะ” เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วหันไปมองคนพูด


“ตะ..ตาคน..สีแดง” พูดจบเขาก็หลับตาแน่นเมื่อดวงตาสีแดงคู่นั้นคล้ายขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะยื่นมือไปด้านหลังเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้


“ตะกรุด! เอาตะกรุดมา!” เขายื่นมือไปขอตะกรุดที่อยู่บนคอไผ่ นนท์จึงรีบถอดตะกรุดเส้นนั้นออกจากคอเพื่อนด้วยมือที่สั่นเทาแล้วรีบยัดใส่มือมาวินทันที


ไม่ใช่แค่มาวินที่เห็นทุกคนที่อยู่ในรถก็เห็นเช่นกันยกเว้นเต้ที่เป็นคนจิตแข็งกว่าใครเพื่อน


เมื่อได้ตะกรุดมาไว้ในมือ มาวินก็หลับตาปี๋แล้วชูขึ้นไปที่หน้ารถ


“ไปเลย! ไอ้เต้ กูพร้อม มึงรีบขับไปเลย!” 


เต้หลับตาครู่หนึ่งแล้วลืมตาขึ้นมาด้วยแววตามั่นคงเด็ดเดี่ยวปากพึมพำสวดคาถาพยายมตามที่พ่อสอนไว้ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น


เสียงรถยนต์สัญชาติยุโรปดังกระหึ่มกำลังวิ่งฝ่าพายุหมอกไปด้วยความเร็วสูง สายลมกระโชกแรงพัดเข้าใส่รถที่พวกเขานั่งจนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากภายในตัวรถ ทุกคนนั่งตัวเกร็งหลับตาปี๋กอดแขนเพื่อนไว้แน่น ในใจท่องบทสวดที่มีแค่หางอึ่งวนอยู่ซ้ำๆ




จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ความเร็วของรถที่นั่งอยู่ก็ค่อยๆ ลดลง มาวินลืมตาขึ้นมาช้าๆ เหลือบสายตาขึ้นไปมองยังเบื้องหน้าด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ พบว่าเมฆหมอกที่ปกคลุมก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว เขารีบกวาดสายตามองไปรอบๆ ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


ทุกคนหันมองหน้ากันด้วยความโล่งใจแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา รถยนต์สีดำเคลื่อนตัวไปตามความเร็วมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางทันที


“ไอ้บอส มึงจับหัวใจกูดิมันยังเต้นอยู่รึเปล่าวะ” นนท์ที่เริ่มหายจากอาการตกใจหันไปพูดกับเพื่อน


บอสทำท่าเอามือแตะๆ ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาเสียงดัง


“ไอ้นนท์ หัวใจมึงไม่เต้นว่ะ!”


“ไอ้สัด! นั่นมันข้างขวา” จบคำ ทุกคนพากันหัวเราะกับมุขตลก 5 บาท 10 บาทของเพื่อน บรรยากาศในรถจึงเริ่มผ่อนคลายลง


เสียงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกจากคนที่ทำหน้าเป็นสารถี เขาเกร็งจนขาแทบจะเป็นตะคริวไอ้พวกนี้ชิงหลับตาหนีกันหมด มีเพียงเขาคนเดียวที่ต้องเบิกตาขับรถฝ่าสภาพอากาศวิปโยคเมื่อครู่นี้ อยากจะหลับตาหนีบ้างก็กลัวจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาอีก


“กูนึกว่าจะไม่รอด ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจอนี่แหละ กูยังนึกว่าตาฝาดถ้ามึงไม่พูดขึ้นมา” นนท์ผู้ชื่นชอบเรื่องลี้ลับถึงกับยกมือขึ้นมาลูบหน้าลูบตาตัวเอง


“ที่กูเจอมายิ่งกว่านี้อีก”


“แม่ง กูเกือบหัวใจวายตาย” บอสพูดจบก็เอามือลูบหน้าอกตัวเอง ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก


“อีกไกลไหมเนี่ย”


“ไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว”


“รีบถึงสักทีเถอะ กูกลัวว่าจะมีอะไรโผล่มาอีก”




ไม่นานรถก็มาถึงทางเข้าบ้านพ่อหมอ ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกอีกครั้ง เต้รีบเลี้ยวเข้าไปจอดในลานหน้าบ้านทันที


จังหวะนั้นไผ่ก็ร้องโวยวายขึ้นมา ทั้งสองคนที่นั่งขนาบข้างจึงช่วยกันจับไว้


“จะพากูไปไหน กูไม่ไป! กูจะไปหาเนย พวกมึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้!”


“พ่อหมอ! ช่วยด้วยครับ” นนท์ตะโกนเรียกพ่อหมอจอมเสียงดังขณะที่กำลังลากเพื่อนลงจากรถ


กล้าวิ่งออกมาดูแล้วรีบพาตัวคนเข้าไปในบ้าน


“พ่อหมอ ช่วยเพื่อนผมด้วยครับ” มาวินมองคนที่นั่งอยู่หน้าห้องบูชาแล้วเอ่ยขอร้อง


จอมทัพมองคนที่กำลังร้องโวยวายตั้งแต่ลงจากรถนิ่งๆ


“เอามันเข้ามาข้างใน” พูดจบก็ลุกเดินเข้าไปในห้อง


เพื่อนทั้ง 4 คนจึงช่วยกันพยุงเพื่อนเข้าไปด้านในแล้วนั่งลงตรงหน้าพ่อหมอจอม


“จับมันไว้” น้ำเสียงดุดันกล่าวออกมาก่อนจะหันไปหยิบมีดหมออาคมที่วางอยู่ออกมา ยกขึ้นบริกรรมคาถาแตะลงไปที่กลางกระหม่อมของไผ่


“อ๊ากกกก” เสียงกรีดร้องราวกับเจ็บปวดดังออกมาจากปากของคนที่ไร้สติ


ครู่ใหญ่จอมทัพจึงใช้ปลายมีดหมอเล่มนั้นจุ่มลงไปในขันน้ำมนต์แล้วเริ่มสวดบริกรรมคาถาอีกครั้ง นำน้ำมนต์ขันนั้นให้ไผ่ดื่ม เจ้าตัวพยายามดิ้นรนขัดขืนจนเพื่อนๆ ต้องช่วยกันง้างปาก จอมทัพกรอกน้ำมนต์ลงไปและบังคับให้ดื่ม ไม่นานไผ่ก็อาเจียนออกมาในขันใบใหญ่ที่กล้าเตรียมไว้ให้


น้ำสีดำส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งจนทุกคนต้องเบือนหน้าหนี


จอมทัพกรอกน้ำมนต์ลงไปซ้ำๆ จนในที่สุดไผ่ก็อาเจียนออกมาเป็นน้ำสีใสจึงหยุดการกระทำ ไผ่อาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุงแล้วสลบไปด้วยความเหนื่อยและอ่อนแรง จอมทัพนำสายสิญจน์ไปผูกไว้ที่ข้อมือของไผ่เสร็จแล้วจึงหันไปพูดกับลูกศิษย์คนเดียวของตัวเอง


“ไอ้กล้า จัดห้องพักห้องเดิม”


“ครับ” กล้ารับคำแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไป


มาวินมองดูน้ำสีดำในขันที่ไผ่อาเจียนออกมา ในนั้นเต็มไปด้วยเส้นผมและเล็บ บางส่วนคล้ายจะเป็นน้ำมันที่ลอยปะปนอยู่ในน้ำ กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจนต้องย่นจมูกพลางทำสีหน้าสยดสยองต่อสิ่งที่ได้เห็น ก่อนจะได้ยินเสียงพ่อหมอจอมเอ่ยขึ้นมา


“ให้มันอยู่ที่นี่จนกว่าจะพ้น 7 วัน” จอมทัพพูดจบก็เดินออกจากห้องไป


“ขอบคุณพ่อหมอมากครับ” มาวินกล่าวตามหลังไป ไม่นานกล้าก็วิ่งกลับมาเรียกทั้ง 4 คนให้พาเพื่อนไปนอนพักในห้องที่จัดไว้


“พวกพี่พักที่ห้องนี้กันก่อน ขาดเหลืออะไรก็บอกผมได้ เดี๋ยวผมจะไปเอาอาหารมาให้” พูดจบก็หันหลังเดินออกไป นนท์และบอสจึงตามไปช่วยด้วยความเกรงใจ




“สรุปมันโดนทำเสน่ห์อย่างที่มึงคิดจริงๆ ว่ะ” บอสหันไปพูดกับนนท์ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งล้อมวงกินข้าว


“ตอนแรกกูก็ยังไม่มั่นใจเพราะไม่เคยเห็น แค่เคยดูเคยอ่านที่เขาเล่าๆ กันมา ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างที่กูพูดจริงๆ”


“พวกมึงเห็นของในอยู่ขันนั้นไหม มันเป็นไปได้ยังไงวะที่เส้นผมคนจะเข้าไปอยู่ในนั้นได้” มาวินกล่าว


“กูก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ มันเป็นไปแล้ว”


“แล้วนี่มันหายแล้วใช่ไหมวะ” เต้พูดขึ้นมา พลางมองไปที่เพื่อนที่ตอนนี้หลับเป็นตายไปแล้ว


“ก็น่าจะแหละมั้ง ยังไม่ได้คุยอะไรกับพ่อหมอเลย แต่กูคิดว่าพ่อหมอคงถอนของออกหมดแล้วแหละ เต็มขันซะขนาดนั้น” นนท์กล่าว ก่อนที่ทุกคนจะยุติการสนทนาแล้วกินข้าวกันต่อ