"กูจะสูบพระคาถาขึ้นไว้ในลำคอ กูจะยอพระคาถาทั้งปวงขึ้นใว้ในเหนืออก กูจะยกพระคาถาทั้งปวงขึ้นไว้ในเหนือเกษ พระครูกูเธอจึงให้กูเป็นเอกกว่าคนทั้งหลาย"

ถอนของ ๒ #พจีปีขาล - ตอนที่ ๑ (๑/๒) สี่ปีต่อมา โดย 1Thunwa @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระทึกขวัญ,หญิง-หญิง,ไทย,แฟนตาซี,ลึกลับ,ไสยศาสตร์,GL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ถอนของ ๒ #พจีปีขาล

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ระทึกขวัญ,หญิง-หญิง,ไทย,แฟนตาซี,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ไสยศาสตร์,GL

รายละเอียด

"กูจะสูบพระคาถาขึ้นไว้ในลำคอ กูจะยอพระคาถาทั้งปวงขึ้นใว้ในเหนืออก กูจะยกพระคาถาทั้งปวงขึ้นไว้ในเหนือเกษ พระครูกูเธอจึงให้กูเป็นเอกกว่าคนทั้งหลาย"

ผู้แต่ง

1Thunwa

เรื่องย่อ

สี่ปีหลังเกิดเรื่องคราวก่อน พิมพ์พจีต้องกลับมาเผชิญกับคุณไสยมนต์ดำอีกครั้งจากผู้ไม่หวังดี


มันหมายให้หล่อนถึงตาย อาคมของมันแก่กล้านักด้วยว่าเป็นวิชาเขมรที่ปีขาลไม่อาจยับยั้งด้วยกำลังตนเอง


การเดินทางขึ้นเหนือจึงเป็นที่พึ่งสุดท้ายของผู้เป็นร่างทรง เพื่อให้คนรักรอดพ้นหล่อนจึงยอมทำทุกวิถีทาง


ศิโรราบให้แก่แม่ครูสมิงเจ้าของสัมปทานปางไม้ที่ใหญ่ที่สุดอย่างจำใจ โดยหวังให้พิมพ์พจีหายจากของที่ไม่อาจแก้ได้


แต่ความลับอีกอย่างที่ปีขาลเก็บงำเอาไว้ไม่ให้ใครรู้นั่นคือ…ของที่มีอยู่เริ่มเสื่อมถอยเข้าไปทุกที

สารบัญ

ถอนของ ๒ #พจีปีขาล-ตอนที่ ๑ (๑/๒) สี่ปีต่อมา,ถอนของ ๒ #พจีปีขาล-ตอนที่ ๑ (๒/๒) สี่ปีต่อมา,ถอนของ ๒ #พจีปีขาล-บทที่ ๒ (๑/๒) ปางไม้ในป่า

เนื้อหา

ตอนที่ ๑ (๑/๒) สี่ปีต่อมา


“งานของใครเหรอคะน้าตาล ที่ว่าจะขึ้นเหนือกันวันพรุ่งนี้”


พิมพ์พจีเอ่ยถาม ขณะที่ก้ม ๆ เงย ๆ สาละวนกับการจัดของเตรียมใส่ตะกร้าหวายใบเขื่อง ส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบที่หาได้ตามพื้นที่ แยกของสดกับของแห้งแบ่งตะกร้ากัน ที่ต้องมาทำเช่นนี้เพราะภายใต้คำนิยามที่ว่า ‘มีน้ำใจ’


คนรักของเธอหมายจะพาน้าตาลกับคนอื่น ๆ ไปช่วยเรื่องอาหารการกิน เห็นว่าทางนั้นไร้คนครัวสำหรับงานใหญ่ ได้ข่าวว่าพื้นที่จัดงานเองอยู่ไกลปืนเที่ยงมีแต่ป่าดอย คุณคนหน้าบึ้งข้างบนเรือนจึงยืดอกอาสาช่วยทำ


“งานของแม่ครูทางเชียงใหม่เขา น้าก็ไม่เคยไปสักทีจ้ะนาย”


“ตื่นเต้นจังเลยค่ะ จีไม่เคยไปเที่ยวเชียงใหม่สักที”


“เห็นว่าเป็นป่าเป็นเขาเลยแหละจ้ะ ติดกับชนเผ่าพื้นเมืองไม่ได้สะดวกอย่างเรา พวกน้าถึงได้ยุ่งยากเตรียมของไปทำเลี้ยงแขกในงานกันจ้าละหวั่น นี่ยังเหลืออีกแยะทีเดียว”


“เท่านี้กินกันทั้งเรือนเรายังไม่หมดเลยนะคะ”


พิมพ์พจีปรายตามองและคำนวณในหัวคร่าว ๆ ถึงปริมาณของพวกมัน ในเรือนมีสมาชิกราวยี่สิบถึงสามสิบคนเห็นจะได้ แต่ละมื้อว่าทำอาหารกันหม้อใหญ่ยังดูน้อยกว่าของที่เตรียมไปจัดงาน หญิงสาวนึกเอาเองว่าเจ้าของงานอาจจะเป็นพวกคนใหญ่คนโต มีแขกเยอะอย่างนั้นกระมัง


“แม่ครูยังเกรงว่าจะไม่พอเลยจ้ะ”


ตาลถึงกับปาดเหงื่อข้างขมับหลังนับตะกร้าแล้วเกินสิบไปเสียไกล งานแต่งงานใหญ่ เลี้ยงมื้อกลางวันของแขกทั้งช่วงกลางวันและช่วงกลางคืน ต้องมีอาหารคาวหวาน ต้ม ผัด แกง ทอด นี่แค่คิดยังเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวล่วงหน้า พรุ่งนี้ทั้งหัวหงอกหัวดำคงได้ตายเอาหน้างาน


“นายขึ้นเรือนเถอะจ้ะ แม่ครูมาเห็นประเดี๋ยวแกจะเอ็ดเอา”


แต๋นพยายามดันหลังของนายคนสวยให้เดินออกพ้นเขตของห้องครัว เด็กสาวหวั่นใจเหลือร้าย ครั้งก่อนแม่ครูปีขาลมาพบเข้าว่าหล่อนป้วนเปี้ยนอย่างนี้ กลายเป็นว่าชักสีหน้าราวหมีกินรังแตนใส่ลูกเรือนทุกคน พาลขนลุกกันทั้งยวง


ฉะนั้นแล้ว “นายไปเตรียมข้าวของให้แม่ครูเถอะนะจ๊ะ ฉันกับอีกระเต็นแล้วก็น้าตาลจะจัดการเรื่องของสดของแห้งพวกนี้เอง แกน่าจะพึงใจกว่าถ้าเป็นนายจัดเตรียม”


ถูกอย่างที่แต๋นว่า แต่ก่อนที่จะขึ้นเรือนพ่อปู่สมิงพราย พิมพ์พจีขอแวะไปด้านหลังบ้านคุยกับเจ้าสามสีอย่างที่ทำประจำในทุกวัน ตั้งแต่สามปีก่อนนู้นที่เธอมีจิตเมตตาเก็บมันมาเลี้ยงตั้งแต่ยังไม่ลืมตาหย่านม เจ้าสามสีเป็นแมวอ้วนเพศเมียที่ลักษณะหางกุดงอคล้ายตะเขนง่อนแง่นดูมีเป็นเอกลักษณ์ มันมักจะเดินไปทั่ว ทำการทักทายพวกเด็กเพื่อนเล่นตามวัยของมัน กระนั้นเจ้าสามสีก็ไม่ได้พึงใจในตัวเด็กน้อยบางคราว


“สามสี มากินข้าวเร็ว”


มันกระโดดลงมาจากแคร่ข้างหลังก่อนเหยียดขาไปด้านหน้า แล้วแอ่นตัวเกือบติดพื้นพร้อมอ้าปากหาวหวอด ๆ ใบหน้าน่ารักที่มีสีขาวเสียส่วนใหญ่ผสมกับสีส้มและสีดำเงยขึ้นมองหน้าพิมพ์พจี


แงว~


“ดีมาก” มนุษย์ตัวใหญ่นั่งยองไปกับพื้นแล้วยกมือลูบหัวมันนึกเอ็นดู ปลาต้มคลุกกับข้าวเย็นกลิ่นหอมคาวสำหรับแมวเหมียวถูกเสิร์ฟให้ลูกค้าตัวอ้วนพี มันทำท่าดมนิด ๆ อย่างทุกครั้ง แล้วก้มเลือกส่วนที่อร่อยที่สุดอย่างชิ้นเนื้อปลาเข้าปากไป “ถ้าฉันไม่อยู่ก็อย่าดื้อขึ้นไปข้างบนเรือน เข้าใจมั้ยสามสี”


แงว~ มันตอบรับในทันที


เพราะฉลาดอย่างนี้พิมพ์พจีถึงนึกเอ็นดูมัน ปกติแล้วเจ้าสามสีจะถูกเลี้ยงอยู่ข้างหลังบ้าน เพราะตอนกลางวันบนเรือนตำหนักทรงมีลูกไข้เวียนมาใช้บริการมากหน้าหลายตา ร้อยพ่อพันแม่อย่างนั้น ไม่รู้เขาไม่รู้เรา กลัวมันจะไปเกะกะขัดขวางนอนกลางบันไดอย่างเคย ๆ โดนพี่ปีขาลเอ็ดให้จนหนีหัวซุกหัวซุน


มือเล็กลูบหัวเจ้าสามสีอยู่ปรอย ๆ จนนั่งมองมันกินเสร็จ เธอหยิบถ้วยมันไปล้างแล้วคว่ำไว้ที่เดิม ก่อนวกกลับมานั่งบนแคร่ไม้ไผ่อย่างอดใจไม่ได้เพราะอยากเล่นกับมันอีกหน่อยแล้วค่อยขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าบนเรือน


“ฉันต้องคิดถึงแกแน่เลยสามสี”


แงว~ มันใช้หัวดันฝ่ามือของมนุษย์ตัวอุ่นหมายจะให้หล่อนลูบมันไปทั่วทั้งตัว ที่ชอบที่สุดคงหนีไม่พ้นใต้คางกับข้างแก้ม ทว่ามนุษย์คนสวยกลับชอบลูบพุงของมันเหลือเกิน จุดที่ทำเอามันจั๊กจี้จนเผลองับหล่อนไปหลายที


“พุงอ้วน ๆ” พิมพ์พจีขบฟันแน่นเพราะมันเขี้ยวเจ้าสามสีเหลือเกิน


แงว! เจ้าสามสีเด้งตัวกระโดดไปอีกฝั่งแถมทำหลังโก่งขนตั้งฟู เล่นเอาพิมพ์พจีตกใจตาม จู่ ๆ อะไรของมันเล่านั่น ทำอย่างกับเห็นเจ้าตูบวิ่งตรงเข้ามา แมวอ้วนมักแสดงออกอย่างนี้ยามที่เจ้าตูบแกล้งกระโดดเข้ามาจะหยอกเอินมัน


“ไม่เห็นมีอะไรเลยสามสี พาฉันตกใจไปด้วยเนี่ยเห็นมั้ย”


เสียงขู่ฝ่อ ๆ กับอาการแยกเขี้ยวขนตั้งยังไม่ลดลง ใบหน้าสวยหันมองไปรอบ ๆ เพื่อหาต้นตอก็แล้ว มองไปจนทั่วยังไม่เห็นว่ามีการเคลื่อนไหวของอะไรสักอย่าง มีเพียงกอไผ่หนามใหญ่ ใบชะอมที่คนพื้นที่เรียกผักหละปลูกเรียงราย นอกนั้นเห็นจะมีแต่ต้นพุทรา เต็มไปด้วยไม้หนามเห็นว่าปลูกไว้กันสิ่งไม่ดี


เจ้าสามสีดวงตาเบิกโพลงกับสิ่งที่เห็น มันหวาดกลัวและขู่ไม่หยุด มีบางอย่างที่สัมผัสได้ด้วยลางสังหรณ์ไม่ใช่ได้ด้วยตา บางอย่างที่ชั่วร้ายและมีความอาฆาตแค้นแผ่รอบตัว


พิมพ์พจีส่ายหน้า เอือมระอาให้กับเจ้าแมวตาขาว เธอลูบหัวมันอยู่หลายครั้ง แล้วเดินจากมันขึ้นเรือนตำหนักทรงไป ไม่ลืมล้างเท้ากับมือให้สะอาดและพรมน้ำมนต์ที่คนรักทำให้ใส่ตุ่มไว้ไม่ห่าง ตั้งแต่สี่ปีก่อนนั้น คล้ายว่าพี่ปีขาลจะพยายามป้องกันอันตรายให้กับทุกคนในเรือน


“นาย”


พิมพ์พจีหันตามเสียงเรียกระหว่างก้าวขาขึ้นเรือน ข้างหลังจากต้นเสียงมีผู้คนเดินไปมามากหน้าหลายตา เธอมุ่งเป้าไปที่แต๋นก่อนเป็นอันดับแรก แล้วเอื้อนถามหล่อนไป “ว่ายังไงแต๋น”


“จ๊ะ? นายอยากได้อะไรหรือจ๊ะ?”


“เปล่านี่ เห็นแต๋นเรียกนึกว่ามีอะไร”


แต๋นชะงักมือกับงานครู่หนึ่ง เด็กสาวพยายามทำสีหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่ตัวเธอจะทำได้ ต้องไม่ตื่นตูมกับคำพูดทักของนายคนสวยทั้งที่ตัวเธอไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว ทำได้เพียงส่ายหน้าบอกเป็นสัญลักษณ์ว่าไม่มีอะไรในขณะที่มีลมหอบใหญ่พัดเข้ามาปะทะร่างให้หนาวสั่น เล่นเอาขนลุกตั้งไปทั้งตัว


“งั้นฉันขึ้นข้างบนก่อน”


“จ้ะนาย ถ้าเสร็จแล้วพวกฉันจะขึ้นไปบอกแม่ครูอีกทีจ้ะ”


พิมพ์พจีรีบขึ้นข้างบนเพราะชักเริ่มจะหนาวขึ้นมาอีกครั้งจากลมเมื่อครู่ มันเย็นยะเยือก บ่งบอกว่าเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วจริง ๆ ในความคิดตอนนี้คือต้องหอบเสื้อผ้าหนาชิ้นหน่อยเตรียมสำหรับใส่นอนตอนกลางคืน ได้ข่าวว่างานจัดขึ้นที่กลางป่ากลางเขา แถบ ๆ นั้นคงหนาวกว่าที่เรือนน่าดู


ข้างบนเรือนผู้คนเริ่มบางตา อาจเพราะว่าอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้วตามฤดูกาล คนต่างจังหวัดเข้านอนไวคือสิ่งที่พจีเรียนรู้และเคยชินไปกับมันตลอดสี่ปี แถมต่อให้เป็นฤดูไหน ๆ อากาศช่วงกลางคืนก็ช่างหนาวเหลือเกิน แต่คนรักของเธอบอกอีกอย่าง ว่าที่หนาวนั้นเพราะธาตุในร่างกายไม่สมดุลกัน


‘ด้วยธาตุของหนูมันหย่อน ท้องอืดหรือไม่คะ มีลมในท้องอยู่แยะ’


เรื่องน่าอายพรรค์นั้นใครจะยอมรับโดยตรง สุดท้ายหล่อนคะยั้นคะยอให้ทานอาหารตามที่จัดเตรียมให้ และน่าแปลกที่มันดีขึ้นอย่างถนัดตา ไม่มีลมในท้องให้รู้สึกจุกเสียด ไม่มีเสียงที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะร้องขึ้นเมื่อใดกลางลำตัว โครกครากทุกคืนตอนนอน


“เอาอีนี่! กูว่าให้คราวก่อนไม่จำอย่างนั้นซี ไปกินของแสลงของที่มันกินไม่ได้ พออาการกำเริบแล้วคิดเอาว่ามาหากูก็หายอย่างเดิม อย่างนั้น?”


เสียงตะพดกระแทกลงกับพื้นดังลั่นเรือนไม้สัก มันเป็นตัวบอกว่าร่างทรงของพ่อปู่สมิงพรายกำลังรู้สึกไม่พึงใจให้กับลูกไข้รายนี้เอาเสียเลย บอกอะไรก็รั้นไปทุกอย่าง บอกวิธีแก้แต่ก็กลับไปทำที่มันตรงข้าม แล้วนี่ไม่ใช่เทื่อ [1] แรกที่มันมา


“ไอ้บุญ! ลากมันลงเรือนกู ไป!”




[1] เทื่อ ความหมาย ครั้ง, คราว, หน เช่น เทื่อสุดท้าย (ครั้งสุดท้าย) เป็นต้น