"กูจะสูบพระคาถาขึ้นไว้ในลำคอ กูจะยอพระคาถาทั้งปวงขึ้นใว้ในเหนืออก กูจะยกพระคาถาทั้งปวงขึ้นไว้ในเหนือเกษ พระครูกูเธอจึงให้กูเป็นเอกกว่าคนทั้งหลาย"

ถอนของ ๒ #พจีปีขาล - ตอนที่ ๑ (๒/๒) สี่ปีต่อมา โดย 1Thunwa @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระทึกขวัญ,หญิง-หญิง,ไทย,แฟนตาซี,ลึกลับ,ไสยศาสตร์,GL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ถอนของ ๒ #พจีปีขาล

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ระทึกขวัญ,หญิง-หญิง,ไทย,แฟนตาซี,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ไสยศาสตร์,GL

รายละเอียด

"กูจะสูบพระคาถาขึ้นไว้ในลำคอ กูจะยอพระคาถาทั้งปวงขึ้นใว้ในเหนืออก กูจะยกพระคาถาทั้งปวงขึ้นไว้ในเหนือเกษ พระครูกูเธอจึงให้กูเป็นเอกกว่าคนทั้งหลาย"

ผู้แต่ง

1Thunwa

เรื่องย่อ

สี่ปีหลังเกิดเรื่องคราวก่อน พิมพ์พจีต้องกลับมาเผชิญกับคุณไสยมนต์ดำอีกครั้งจากผู้ไม่หวังดี


มันหมายให้หล่อนถึงตาย อาคมของมันแก่กล้านักด้วยว่าเป็นวิชาเขมรที่ปีขาลไม่อาจยับยั้งด้วยกำลังตนเอง


การเดินทางขึ้นเหนือจึงเป็นที่พึ่งสุดท้ายของผู้เป็นร่างทรง เพื่อให้คนรักรอดพ้นหล่อนจึงยอมทำทุกวิถีทาง


ศิโรราบให้แก่แม่ครูสมิงเจ้าของสัมปทานปางไม้ที่ใหญ่ที่สุดอย่างจำใจ โดยหวังให้พิมพ์พจีหายจากของที่ไม่อาจแก้ได้


แต่ความลับอีกอย่างที่ปีขาลเก็บงำเอาไว้ไม่ให้ใครรู้นั่นคือ…ของที่มีอยู่เริ่มเสื่อมถอยเข้าไปทุกที

สารบัญ

ถอนของ ๒ #พจีปีขาล-ตอนที่ ๑ (๑/๒) สี่ปีต่อมา,ถอนของ ๒ #พจีปีขาล-ตอนที่ ๑ (๒/๒) สี่ปีต่อมา,ถอนของ ๒ #พจีปีขาล-บทที่ ๒ (๑/๒) ปางไม้ในป่า

เนื้อหา

ตอนที่ ๑ (๒/๒) สี่ปีต่อมา

“ไอ้บุญ! ลากมันลงเรือนกู ไป!”


“พ่อปู่ พ่อปู่จ๊ะ ลูกชายฉันมันยังเด็กนัก ฉันปรามแล้ว เทื่อสุดท้ายนะจ๊ะ คราวนี้ฉันจะไม่ให้มันแอบไปกินอะไรผิดแผกอีกแล้ว” คนเป็นแม่ร้องห่มร้องไห้พนมมือเหนือหัวกราบแล้วกราบอีกเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของลูกชาย ผิดกับเจ้าตัว แม้จะถูกตำหนิทั้งด้วยสายตากระทั่งน้ำเสียง เขายังคงมีทีท่าผยองอยู่ในทีผ่านดวงตา


“ไร้สาระน่ะแม่ ผมก็แค่ป่วย ไปหาหมอกินยาก็หาย งมงายอะไรไม่เข้าเรื่อง” เขาว่า คนเป็นแม่ได้ยินอย่างนั้นรีบปรามเขาด้วยการทุบตีเพื่อให้หยุดปาก มันไม่ใช่เวลามาอวดเก่งต่อหน้าพ่อปู่สมิงพราย


“หุบปาก! ขอสมาพ่อปู่เดี๋ยวนี้ไอ้ปอ มึงนี่นะ!”


“ผมไม่เชื่อ แล้วก็ไม่ขอโทษด้วย”


เขายังยืนกรานด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ดวงตาแดงก่ำหัวคิ้วขมวดมองร่างของหญิงสาวที่ดูแล้วอายุก็ไล่เลี่ยกัน ทำไมถึงต้องไหว้มัน เขาคิดสบถกับตัวเองในใจ ไม่ได้จะแก่กว่าด้วยอายุ ไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาหรือสูงใหญ่มาจากไหน เหตุอะไรที่ต้องยกมือขึ้นพนมแล้วก้มหัวลงให้มัน


“ทำไมถึงต้องไหว้กูอย่างนั้น?” ร่างทรงสมิงกล่าวอย่างที่อีกฝ่ายคิดอยู่ในใจ เล่นเอาชายหนุ่มสะดุ้งโหยงให้คำที่ไม่คิดว่าจะมีใครได้ยินจากตน


ร่างของชายลูกไข้ค่อย ๆ หันหน้าไปหาหญิงนุ่งขาวห่มขาวและพาดผ้าที่บนบ่าจนสบตากัน นัยน์ตาของหล่อนนั้นเป็นสีแปลก มันไม่เข้มออกไปทางจาง เรือนผมยาวจนถึงกลางหลัง มุมปากคว่ำดูเสมือนไม่พึงใจเอาเสียเลย


เขาไม่ได้อยากรู้อะไรเทือกนั้นทว่ากลับไม่อาจขืนตัว มือสองข้างถูกจับยกขึ้นมาด้วยแรงของอะไรบางอย่างไม่ใช่แรงเขาแน่นอน ก่อนหน้ามันวางนิ่งเฉยอยู่บนตักแท้ ๆ แต่ตอนนี้ฝ่ามือประกบหากันในท่าพนม เขารู้สึกว่าตัวเองกลัวสุดขีดยามส่วนหัวค่อย ๆ ก้มลง


“พ่อปู่! พ่อปู่พอเถอะจ้ะ สงสารมัน” คนแม่รู้ได้ทันทีว่าลูกนั้นไม่ได้กระทำด้วยความคิดของตัวเอง ลูกชายดีดดิ้นคล้ายอยากหลุดออกจากการถูกบังคับ เขาส่งเสียงหายใจรุนแรงจนลูกไข้คนอื่น ๆ ขยับแตกฮือเป็นวงด้วยความกลัว


อะไรที่ว่าในสายตาของปีขาลยืนคร่อมหลังนายปอ ร่างนั้นยกเท้าข้างหนึ่งกดหัวเด็กหนุ่มเอาไว้ในเชิงเหยียบแล้วก้มตัวลงไป พร้อมกับจับมือของเขาขึ้นพนมไหว้เป็นการขอขมา


“แครก!”


“ไอ้ปอ! ไอ้ปอลูก!”


“นายบุญ เอาพานดอกไม้ธูปเทียนไปให้คุณคนนั้นไป บอกให้แม่เขาพากันขอขมา” พิมพ์พจีกระซิบข้างใบหูหลังเห็นท่าแล้วว่าคงจะไม่ดี การที่คนรักของเธอทำอย่างนี้จะกลายเป็นข่มขวัญลูกไข้คนอื่นในทางอ้อม การตลาดถ้าบอกปากต่อปากในเรื่องที่ดีก็ถือว่าดีไป แต่ถ้านายคนนั้นหรือใครในที่นี้เอาไปเล่าว่าแม่ครูปีขาลโมโหบังคับให้กราบมันจะไปกันใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นในหมู่คนที่ทำธุรกิจเดียวกันเขาจะเล่นงานได้ทันที


“จ้ะนาย” นายบุญตอบเสียงกระซิบกลับไป ก่อนจะคลานเข่าเอี้ยวตัวหยิบพานใส่กรวยดอกไม้ธูปเทียนแล้วนำส่งให้แม่ของนายปอ “ป้าจ้ะ รีบขอขมาพ่อปู่แกเร็ว ประเดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่โต”


“ไอ้ปอมึงถือไว้”


คนเป็นแม่รีบยัดกรวยดอกไม้ใส่มือของลูกชายด้วยความหวาดกลัว เธอกุมทับหลังมือของเขาอีกทบ ออกแรงบังคับให้ลูกยื่นมือวางกรวยดอกไม้ที่หลังเท้าของร่างทรง เนื้อตัวทั้งคู่สั่นสะท้านโดยเห็นกันทุกสายตาเพราะไม่อาจต้านความหวาดกลัวต่อปีขาลได้เลย


“กูจะช่วยคราวนี้เป็นเทื่อสุดท้าย จากนั้นตามเวรตามกรรมของลูกมึง” ไม่ว่าเปล่า มือใหญ่เนื้อขาวซีดเอื้อมลงมารับกรวยดอกไม้เป็นการรับคำขอขมา แลกกับตัวยาที่บดจากใบรางจืดมีสรรพคุณช่วยถอนพิษจากสิ่งที่กินเข้าไป “ผสมน้ำซาวข้าวแค่หยิบมือเดียว กินวันละครั้งอย่าให้เกินจากนี้ เดี๋ยวท้องจะบวม”


หญิงชรายกมือไหว้ท่วมหัวอยู่หลายครั้งแล้วรีบรับห่อยานั้นไป ไม่วายกราบไหว้ร่างทรงปู่สมิงพรายบนหลังเท้า หล่อนยกมือลูบหัวตัวเองกับลูกคล้ายกับว่าเนื้อหนังที่เพิ่งแตะไปนั้นเป็นความสิริมงคล และปีขาลไม่ได้กล่าวว่าหรือทัดทานอะไร


นายคนที่ชื่อปอยังคงตัวสั่นเพราะอาการหวาดกลัว สิ่งที่เขาเห็นในร่างของหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันนั้น มันไม่เหมือนร่างที่หล่อนให้ใคร ๆ เห็นอย่างก่อนหน้า ความสะอ้านบนผิวไม่เหลืออีกแล้วกระทั่งที่หลังมือ มันทับถมเบียดเสียดไปด้วยเลขยันต์ ดวงตาสีซีดคู่นั้นกดมองกันด้วยความไม่ชอบใจ เขาจึงรีบก้มกราบตามแม่แล้วรีบถอยออกไป


“คนต่อไปจ้ะ” นายบุญเรียกคิว


พิมพ์พจีส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับคนรักของตัวเอง บอกหล่อนหลายครั้งแล้วว่าให้หัดใจเย็นกับลูกไข้ประเภทอย่างนี้บ้าง กลัวแต่คนเขาจะนินทาว่าร้ายจนเสียความศรัทธาไป แล้วโยกย้ายไปที่ตำหนักอื่นที่ผุดงอกอย่างกับดอกเห็ดก็ไม่ปาน


คนตัวเล็กเดินกลับเข้าไปในห้องนอนพร้อมนำเสื้อผ้าหลายตัวออกมาเรียงวางไว้บนเตียง ตัวที่คนรักของเธอใส่เป็นประจำส่วนใหญ่เป็นชุดนุ่งขาวห่มขาว กันชุดนอนที่ไม่ได้หนามากด้วยอากาศช่วงกลางคืนเย็นสบาย พิมพ์พจีคิดเล่น ๆ ในหัวว่าคนตัวสูงเคยไปออกงานอะไรกับเขาบ้างไหม หรืออยู่แค่งานกับกิจการในเรือน


ได้คำตอบแล้วจากชุดว่าอาจจะไม่เคยสักครั้งเดียว พยายามหาชุดที่พอไปวัดไปวาได้บ้างพับใส่กระเป๋าให้หล่อนไป เสื้อผ้าที่เคยซื้อให้ดูจะถูกเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี เลยตัดสินใจหยิบไปด้วยสำรอง


เวลาล่วงเลยจนพิมพ์พจีเคลิ้มหลับ ตั้งแต่เข้าหน้าหนาวมาคล้ายจะง่วงเร็วขึ้นเป็นพิเศษเพราะอากาศดี บวกกับความเงียบสงบที่ไม่รวมเสียงคนเดินย่ำที่ชานบ้าน นั่นพอจะทำให้คนตัวเล็กผล็อยหลับได้อย่างง่ายดาย


พิมพ์พจีกำลังเดินเข้าสู้ห้วงนิทรา ในนั้นเธอฝันเห็นคอนโดเก่าใจกลางเมืองกรุง หญิงสาวตัดสินใจขายที่นั่นไปตั้งแต่จบเรื่องราววุ่นวายเมื่อสี่ปีก่อน มันเต็มไปด้วยความทรงจำที่จำได้บ้างไม่ได้บ้างปะปราย


ในฝันเสมือนว่าใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติสมัยที่ทำงานบริษัทพี่นาย พิมพ์พจีเดินออกมาที่ลานจอดรถตามจิตใต้สำนึกเดิม มือยื่นออกไปเปิดประตูฝั่งข้างที่นั่งคนขับแล้วหย่อนก้นลงนั่งอย่างสบายใจ ในนั้นแอร์เย็นกำลังดี ไม่ได้เป่ามาที่หน้าคล้ายว่าคนขับจะรู้องศาที่เธอต้องการ


“วันนี้จีอยากกินอะไรคะ”


น้ำเสียงที่ไม่ใช่ของปีขาลทำเอาผู้โดยสารสะดุ้งตัว มันคุ้นเคยและรู้ดีว่าเป็นของสารถีคนไหน นั่นคือเสียงของพี่ขวัญดาว คนรักเก่าของเธอ


“หรืออยากกินร้านที่จีชอบดีคะ”


เสียงนั่นยังไม่หยุดถามถึงร้านอาหารรอบมื้อเย็น ความกลัวในฝันมันมีมากกว่า ด้วยไม่อาจเห็นใบหน้าของคนขับหรือเห็นแต่จำไม่ได้พิมพ์พจีไม่แน่ใจ สุดท้ายร่างเล็กพยายามจะเปิดประตูแล้วลงจากรถทันที


“จีจะไปไหนคะ ไหนว่าวันนี้จะกินข้างด้วยกันไง”


อีกฝ่ายยังคงฉุดรั้งเธอเอาไว้และออกแรงดึงให้กลับลงมานั่งกับที่ของตัวเอง น้ำเสียงสุดท้ายฟังดูผู้พูดจะโกรธมากทีเดียว แต่พจีไม่รู้ว่าพี่ขวัญโกรธเนื่องด้วยเหตุใด


“ปล่อยนะคะ” เธอว่า แต่อีกฝ่ายยิ่งบีบกำข้อมือของเธอแน่นกว่าเดิม


“ใช้ชีวิตสุขสบายเชียวนะจี”


น้ำเสียงนั่นก้องกังวานจนพิมพ์พจีสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนของคนรักโดยที่หล่อนกอดประคองเอาไว้แนบกาย มือข้างหนึ่งของคนตัวใหญ่กว่าวางทาบบนอกเธอ สีหน้าของพี่ปีขาลท่าทางเป็นกังวล


“หนูเป็นอะไรคะ พี่เรียกตั้งนาน”


คนถูกถามกะพริบตาตั้งสติของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนหยัดตัวลุกนั่งหันหน้าหาอีกคน ไม่รู้ว่าควรเล่าดีหรือไม่ควรเล่าดี กลัวว่าพี่เขาจะโกรธเอาถ้าพูดถึงเรื่องของขวัญดาว


“จีแค่...ฝันร้ายค่ะ”


ปีขาลถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ก่อนยกมือลูบหัวของน้องปลอบประโลมเรื่องที่หล่อนรู้สึกไม่ดีจากฝันร้าย เรือนผมนุ่มลื่นถูกเกลี่ยขึ้นทัดหลังใบหู ก่อนร่างสูงจะโน้มลงมาจูบที่หน้าผากชื้นเหงื่อของพิมพ์พจี ดูซี...อากาศเย็นอย่างนี้เหงื่อไม่น่าออกได้เลยด้วยซ้ำแต่กลับพร่างพราวเต็มกรอบหน้าไปหมด นั่นหมายว่าน้องคงหวาดกลัวกับฝันร้ายของตัวเองมากจริง


“มาซีคะคนเก่งขยับเข้ามา พี่จะเป่าฝันร้ายของหนูให้เป็นดี”


พจีว่าง่ายกว่าทุกครั้งคงเพราะความกลัว ตอนนี้หัวใจของเด็กสาวยังเต้นแรงไม่หยุดด้วยซ้ำ ยามนึกถึงคำพูดและสายตาของขวัญดาวในฝันที่ส่งให้กัน หล่อนดูโกรธแค้นจนนัยน์ตาแดงก่ำ น้ำเสียงหรือดูจะกัดฟันพูดประโยคสุดท้ายนั้นออกมา


“จีกลัวจังเลยค่ะ” พจีพูดด้วยความสัตย์จริง


ใบหน้าของน้องถูกมือใหญ่ของพี่ประคองขึ้นจนมันเชิดหา มือเล็กทั้งสองข้างจับชายเสื้อของปีขาลเอาไว้หลวม ๆ เพราะไม่รู้จะวางเอาไว้ที่ไหนดี เหตุเพราะสายตาของคนพี่กำลังทำให้น้องเคลิ้มตาม


ปีขาลขึ้นบทอาราธนาพระรัตนะตรัยตามปกติสามจบก่อนว่า “ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโธ ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ” ร่ายเสร็จแล้วเป่าลมอุ่นรดหน้าผากมนออกไปไล่สิ่งที่มารังควาน เป็นคาถาที่ใช้ปัดเป่าฝันร้ายได้ผลดีนักแล


ริมฝีปากสีชาดเหยียดยิ้มที่มุมข้างหนึ่งเล็กน้อย บวกกับลอบหัวเราะในลำคอยามเห็นพิมพ์พจียื่นริมฝีปากออกมา หล่อนทำตาแป๋วเหมือนเจ้าสามสีไม่ผิด แถมดื้อคล้ายกันอย่างกับอะไรดี พูดอะไรไม่เคยเชื่อ บอกอะไรไม่เคยฟัง แต่พอมองดี ๆ ก็ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเกินจะตำหนิลง


“เร็วสิคะ” พจีเร่งเร้าคนหน้ามึนที่เอาแต่ขำกับปากของตัวเองที่ยื่นรอออกไป คนอะไร ความมึนเสมอต้นเสมอปลายมาตลอดสี่ปีนี้ ดูเอาเถอะดูเอา ทำขนาดนี้แล้วยังไม่รีบโน้มจูบลงมาแนบกัน “อื้อ~ ที่รักเร็วสิคะ จุ๊บ ๆ สิ”


สุดท้ายเจ้าของเรือนยอมใจอ่อนโน้มลงไปหา ปากเย็นชื้นแนบกับแก้มของน้องเป็นการหยอกล้อให้หล่อนรู้สึกขัดใจก่อนอันดับแรก แล้วค่อยขยับจูบแก้มอีกข้างเพราะกลัวมันน้อยอกน้อยใจ ปลายจมูกโด่งคลอเคลียในตำแหน่งเดียวกัน สุดท้ายใบหน้าขาวซีดนั้นเอียงประทับจูบตามที่น้องต้องการ


“ขวัญเอยขวัญมานะคะเด็กดี”