เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม มัธยม จนกระทั่งมหาวิทยาลัย
ตอนนี้จะถึงเวลาที่ต้องเลิกเป็นเพื่อนกันแล้วหรือยังนะ?
รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ไทย,เรื่องสั้น,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เด็กชายชัชชนที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.1/2 ได้ยินเพื่อนๆ ซึ่งได้ยินผู้ปกครองของตัวเองพูดและผู้ปกครองก็ได้ยินมาจากพวกคุณครูอีกทีว่า มีนักเรียนของโรงเรียนถูกพ่อที่เมาเตะจนกระดูกซี่โครงหักต้องเข้าโรงพยาบาล และเพื่อนคนนั้นก็ไม่มาเรียนหลายวันแล้ว ดังนั้นโต๊ะข้างๆ ของเขาจึงว่างเปล่า
“ครูครับ เมื่อไรขิมถึงจะมาเรียนได้เหรอครับ” ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจรวบรวมความกล้า แล้วเดินไปถามครูประจำชั้นที่น่าจะรู้ข่าวคราวของเขมฉมามากที่สุด
ครูของเด็กชายทำสีหน้าลำบากใจ “อาจจะอีกเป็นเดือนเลยค่ะ”
“เขาเจ็บเยอะเหรอครับ” คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นมีเพียงการพยักหน้าเบาๆ
ดังนั้นเด็กชายชัชชนที่ปกติจะนั่งโต๊ะคู่กับเด็กหญิงเขมฉมา จึงต้องนั่งคนเดียวอยู่นานหลายอาทิตย์อย่างเหงาๆ
จนกระทั่งในเช้าวันหนึ่ง เมื่อเขาเดินมาถึงห้องเรียนก็พบว่าโต๊ะข้างๆ มีกระเป๋าวางอยู่ ยิ่งเห็นพวงกุญแจตุ๊กตาหมีสีชมพูที่ห้อยกระเป๋าอยู่ ก็ยิ่งแน่ใจว่าเพื่อนหายดีกลับมาเรียนแล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน
ชัชชนวางกระเป๋าของตัวเอง ก่อนจะออกไปเดินดูข้างตึกเรียนที่มีศาลาเล็กๆ ที่พวกเด็กนักเรียนชั้น ป.1 ชอบไปเล่นกันอยู่ตรงนั้นในช่วงเช้า
เขมฉมาอยู่ที่ศาลาแบบที่เด็กชายคิดจริงๆ และรอบตัวก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนนักเรียนคนอื่น ซึ่งไม่ได้เจอกันมานานมากกว่าหนึ่งเดือน
“ชล” เขมฉมาที่หันมาเห็นเขาโบกมือให้อย่างร่าเริง “มาเอาขนม แม่เราทำมาฝาก”
เด็กชายยื่นมือไปรับเค้กกล้วยหอมอันเล็กจิ๋วมาจากเด็กหญิง “ขอบใจนะ”
“ขิมไปอยู่โรงพยาบาลมาเหรอ” ใครสักคนเอ่ยถามและเขาก็เห็นเพื่อนพยักหน้าเศร้าๆ
“หมอบอกกระดูกหักตั้งหลายซี่”
“แล้วพ่อขิมล่ะ ตอนนี้อยู่ในคุกเหรอ”
คนถูกถามพยักหน้า “แม่บอกว่าจะไม่ให้พ่อได้เจอเราอีก เราก็ไม่อยากเจอแล้ว เรากลัว”
ชัชชนยืนฟังเพื่อนๆ ผลัดกันถามคำถามมากมายจาก
เขมฉมา ส่วนตัวเองยังไม่กล้าถามเพราะกลัวว่าจะทำให้เจ้าตัวรู้สึกเศร้า
“ข้าวที่โรงพยาบาลอร่อยไหม”
“ไม่อร่อย แม่ก็เลยซื้อขนมให้กินตั้งหลายอย่าง อร่อยหมดเลย”
“นักเรียนคะ ช่วยกันเก็บใบไม้กับขยะหน่อยค่ะลูก ตอนนี้เป็นชั่วโมงร่วมใจรักษาความสะอาดนะจ๊ะ” เมื่อได้ยินเสียงของคุณครู กลุ่มเด็กๆ จึงแตกกระจายออกและช่วยกันเก็บใบไม้และขยะตามคำขอของผู้เป็นครูประจำชั้น
และเมื่อถึงชั่วโมงเรียน ชัชชนก็มีเพื่อนนั่งคู่กันอีกครั้ง อีกทั้งเด็กชายก็ต้องคอยช่วยสอนเขมฉมาที่ยังลบเลขไม่เป็นและตามไม่ค่อยทันในเนื้อหาบางอย่าง
“ยากนะเนี่ย” เด็กหญิงบ่น
“ไม่ยาก เดี๋ยวเราสอน”
เขมฉมาหันมายิ้มกว้าง “ชลใจดีจัง ขอบคุณนะ”
“ตอนแรกมีคนบอกว่าเธอจะย้ายโรงเรียนด้วย”
“แม่ก็อยากให้ย้าย แต่เราไม่อยากย้ายโรงเรียน ถ้าย้ายไปชลคงจะเหงา” เขมฉมาหัวเราะอย่างร่าเริง
“เราก็ไม่อยากให้ขิมย้าย แต่ถ้าขิมจะย้าย เดี๋ยวเราย้ายตามไป”
เด็กทั้งสองคุยกันจนมือเริ่มไม่ทำการบ้าน ครูจึงเดินมาทำหน้าดุใส่ไปคนละที ทั้งคู่จึงรีบหันไปทำงานต่อและเบาเสียงคุยลง
*****
ชัชพลผู้ซึ่งเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวมาตั้งแต่ลูกชายอายุสิบขวบ จากการหย่าร้างกับภรรยาและไม่ได้แต่งงานใหม่ ทว่าก็มีการคบหากับผู้หญิงอยู่บ้าง เพียงแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลงเอยกับใครอีกครั้ง
“โรงเรียนนี้ไม่ไกลไปเหรอลูกชาย ต้องตื่นแต่เช้ามาก จะตื่นไหวเหรอ แถมเป็นคนละทางกับที่ทำงานของพ่อ ลูกต้องขึ้นรถเมล์ไปเองนะ”
ลูกชายของเขาอย่างชัชชนกำลังจะเลื่อนชั้นจากประถมเป็นมัธยมแล้ว เนื่องจากโรงเรียนเดิมมีชั้นสูงสุดแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ดังนั้นจึงต้องเลือกโรงเรียนใหม่ เพื่อจะเข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษา
“ตื่นไหวครับ แล้วผมก็ขึ้นรถเมล์ไปเองได้ครับ”
เมื่อลูกชายยืนยันความต้องการของตัวเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขนาดนี้ ชัชพลจึงตามใจลูกชาย เพราะคิดว่าถ้าทนตื่นแต่เช้าทุกวันไม่ไหว มาขอย้ายเรียนโรงเรียนก็ค่อยย้ายไปโรงเรียนเอกชนที่อยู่ทางเดียวกับที่ทำงานของเขาก็ได้
“ก็ได้ครับลูกชาย” ชัชพลยิ้ม “เรียนที่ไหนพ่อก็ไม่ว่า แต่ต้องขยันเรียนเหมือนเดิมนะครับ พ่อขอแค่นี้แหละ”
“ผมจะสอบให้ได้ที่หนึ่งเลยครับ”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกลูก ขอแค่ไม่ต้องพาพ่อไปขอทำงานส่งอาจารย์ แก้เกรดศูนย์ก็พอแล้วครับ”
“ครับ”
ดังนั้นเมื่อโรงเรียนที่ลูกชายอยากเข้าเรียนต่อเปิดรับสมัคร ชัชพลก็พาชัชชนไปสมัครเรียนตามความต้องการของเจ้าตัว และเมื่อได้ที่เรียนที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ในวันรายงานตัวนักเรียนใหม่ สองพ่อลูกก็พากันมาถึงโรงเรียนแต่เช้า
โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนรัฐบาลที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควร เด็กๆ จึงมีห้องเรียนในแต่ละชั้นถึงสิบห้อง ดังนั้นจึงต้องมาเช็กว่าอยู่ห้องไหนและไปรายงานตัวกับครูประจำชั้น
“เจอเด็กชายชัชชนแล้วครับ อยู่ห้อง ม.1/4 ครับ” ชัชพลหันมาบอกกับลูกชาย แต่เมื่อเห็นแววกังวลบนสีหน้าของอีกฝ่ายก็แอบแปลกใจ
“พ่อดูให้หน่อยได้ไหมครับว่ามีชื่อเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกับผมไหม” เนื่องจากห้องหนึ่งถึงห้านั้นอยู่สูงเกินความสูงของเด็กชาย เขาจึงต้องขอร้องผู้เป็นพ่อ แม้มีความหวังเพียงเล็กน้อยก็ตามที เพราะมีถึงสิบห้อง
“เพื่อนชื่อจริงว่าอะไรครับ”
“เขมฉมาครับ”
“เด็กชายเขมฉมาใช่ไหมครับ เพื่อนลูกชื่อฟังแล้วเหมือนผู้หญิงนะ”
“กะ...ก็ผู้หญิงครับ”
คนเป็นพ่อที่กำลังไล่ดูชื่อเพื่อนของลูกชายเผลอยิ้มออกมา “ไม่มีครับ”
“เหรอครับ” พอเห็นลูกชายทำหน้าผิดหวังก็ยิ่งเอ็นดู
“งั้นให้พ่อดูให้ไหมว่าเพื่อนอยู่ห้องไหน”
“ครับ”
หลังจากลูกชายพยักหน้า ชัชพลก็พยายามไล่หาชื่อเขมฉมาจากรายชื่อเด็กนักเรียนแต่ละห้องที่จะเรียงลำดับเลขที่ตามตัวอักษร
“อยู่ห้อง 1/3 ครับ ถึงจะคนละห้อง แต่ห้องเรียนน่าจะอยู่ติดกันนะ” เขาหันมาเห็นลูกชายมีสีหน้ายิ้มแย้มกว่าเดิม จึงยิ่งมั่นใจว่าลูกชายของเขาน่าจะมีปั๊ปปี้เลิฟเข้าให้เสียแล้ว
และในช่วงที่กำลังต่อแถวรอรายงานตัวกับครูประจำชั้น เสียงร่าเริงของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น “ชลอยู่ห้อง 1/4 เหรอ เราอยู่ 1/3 นะ”
ชัชพลหันไปมองเด็กหญิงกับผู้หญิงที่น่าจะเป็นแม่ของเจ้าตัว เพราะโครงหน้าคล้ายกันราวกับพิมพ์เลยทีเดียว
“สวัสดีค่ะ” เด็กหญิงยกมือไหว้เขา เขาจึงรีบยกมือขึ้นรับไหว้ เช่นเดียวกับลูกชายของเขาก็ยกมือไหว้แม่ของอีกฝ่ายเช่นกัน
สายตาของชัชพลเห็นชื่อที่ถูกปักไว้อย่างเรียบร้อยบนอกเสื้อว่าเขมฉมา รอยยิ้มเล็กๆ ก็ผุดขึ้นที่มุมปากของเขา เพื่อสาวถึงกับยอมตื่นเช้ามาเรียนโรงเรียนเดียวกันแบบนี้ ถ้าไม่อกหักก็คงจะไม่อยากย้ายโรงเรียนแน่ๆ ผู้เป็นพ่อคาดเดาอยู่ในใจ
*****
เขมฉมานั้นเป็นพี่สาวคนโตของน้องสาวอีกสองคนอย่างเข็มชมพูและขจรอุษา มีอายุอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันคือ สิบหก สิบสี่และสิบสาม บางครั้งจึงถูกเรียกรวมกันว่าสามใบเถา
และเมื่อถึงวันเกิดอายุครบสิบหกปี คนเป็นแม่อย่างจำปาก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะซื้อโทรศัพท์มือถือส่วนตัวให้ใช้ วันนี้จึงยกขบวนกันมาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อโทรศัพท์ให้เขมฉมาและแวะฉลองวันเกิดที่ร้านอาหารทะเล ซึ่งเจ้าของวันเกิดชอบ
ครอบครัวของเขมฉมาในตอนนี้นอกจากแม่กับน้องสาว ก็ยังมีป้าๆ อีกสามคนและลูกพี่ลูกที่โตกว่ากันหลายปี ร้านจึงยกโต๊ะสองตัวมาชิดกันเพื่อให้นั่งกันอย่างเพียงพอ
แม่ของเขมฉมานั้นเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งสี่คน ป้าทั้งสองที่เป็นโสดมาจนถึงตอนนี้ชื่อบานชื่นกับบานเช้า ส่วนจำปีที่อายุมากกว่าแม่ของเธอเพียงสองปี เป็นแม่ของโปรดปรานและปรายฟ้า
ทั้งจำปีและจำปานั้นต่างก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเหมือนกันทั้งคู่ ดังนั้นเมื่อเลิกกับสามี จึงย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันกับพวกพี่สาว กลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่แสนวุ่นวายแต่อบอุ่น
“พี่โปรด นอกจากบันทึกเบอร์โทรแล้ว อย่าลืมบันทึกเลขบัญชีธนาคารของขิมด้วยนะคะ”
โปรดปราน ชายหนุ่มคนเดียวของบ้านนั้นเป็นพี่ชายที่แสนใจดี อายุยี่สิบสี่ปีแล้ว กำลังอยู่ในช่วงวัยเริ่มต้นทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง (และน้องๆ)
“เพิ่งบันทึกเบอร์ อีกสักพักพี่บล็อกเลยดีกว่า กลัวโดนโทรมาไถตังค์” โปรดปรานหัวเราะ ส่วนคนเป็นน้องที่มีอาชีพหลักเป็นนักเรียน ม.ปลาย อาชีพรองเป็นนักไถ แกล้งค้อนอีกฝ่ายเบาๆ
ถึงแม้ว่าโทรศัพท์จะไม่ใช่รุ่นราคาแพงมากมายนัก แต่
เขมฉมาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อกลับถึงบ้านเธอจึงนำสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ซึ่งใช้จดเบอร์ของเพื่อนๆ ที่มีโทรศัพท์ใช้กันมานานแล้ว บันทึกลงในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
เพื่อนๆ ที่สนิทกันส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงแทบทั้งหมด มีเพื่อนผู้ชายอยู่ไม่กี่คน แต่ก็ไม่ได้สนิทมากเท่ากับที่สนิทกับชัชชนซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่ประถม
เขมฉมาอยากจะลองโทรหาใครสักคน ดังนั้นจึงเลือกลองโทรหาชัชชนแค่เพียงคนเดียว เพราะถ้าโทรหาเพื่อนผู้หญิงคงต้องเสียค่าโทรหาถึงทั้งกลุ่ม ด้วยกลัวว่าอาจจะมีบางคนน้อยใจที่เธอไม่ได้โทรหา
“สวัสดีครับ”
“ฮัลโหล จำได้ไหมว่าเสียงใคร” เด็กสาวหัวเราะคิกคัก
“จำไม่ได้” อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงนิ่งๆ แต่เธอรู้ว่าเขาแค่ล้อเล่น
“นี่เบอร์เราเองนะชล แม่เพิ่งซื้อให้วันนี้ เป็นของขวัญวันเกิดอายุครบสิบหก”
“สุขสันต์วันเกิดนะ
“เรียกพี่ขิมสิ เราสิบหกแล้วนะ แก่กว่าชลอีก”
“แหมแก่กว่าแค่เดือนเดียว อยากให้เราเรียกพี่ก็ได้เหรอ” ชัชชนหัวเราะ
“ไม่เรียกก็ไม่เป็นไร แค่นี้แหละ เปลืองค่าโทร”
“ฝันดี”
“ฝันดีจ้ะ”
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ทั้งสองคนก็จะบอกฝันดีกันทุกวัน แม้ว่าบางวันจะไม่ได้คุยกัน ก็จะบอกฝันดีก่อนนอน ตามประสาเพื่อนสนิทกัน...
*****
บรรยากาศวันปัจฉิมนิเทศนั้นเต็มไปด้วยความยินดีและคิดถึง เพราะหลังจากนี้เด็กๆ ม.6 จะแยกย้ายกันไปเติบโต ในแต่ละสถานที่
เผลอเพียงแป๊บเดียวลูกชายก็สูงเท่าเขาและกำลังจะกลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อีกทั้งคราวนี้ชัชชนยังต้องห่างจากอกคนเป็นพ่ออย่างชัชพลเป็นครั้งแรก เพราะมหาวิทยาลัยที่ลูกของเขาเลือกนั้นอยู่ค่อนข้างไกลบ้าน จึงจำเป็นจะต้องพักอยู่หอพักนักศึกษา
ชัชพลเห็นลูกชายที่ถูกน้องๆ ผู้หญิงรุมขอถ่ายรูปก็นึกขบขัน เพราะเจ้าตัวดูเหมือนจะอยากหนีไปถ่ายรูปกับใครบางคนเสียมากกว่า
พ่อที่รู้เห็นเรื่องความรักของลูกชาย แต่ไม่เคยเอ่ยปากแซว ได้แต่ลุ้นอยู่ห่างๆ อยากถามใจแทบขาดอยู่เหมือนกันว่าลูกชายติดอยู่ในเฟรนด์โซนแล้วใช่ไหม
ทว่าเมื่อเด็กๆ ได้รูปกับรุ่นพี่ที่ตัวเองชื่นชมแล้วก็หลีกทางให้ชัชชนเดินไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆ คนอื่น ชัชพลเดินตามลูกชายไป เพื่อช่วยถ่ายรูปเป็นที่ระลึกให้
และเมื่อชัชชนได้เจอเขมฉมา เขากับแม่ของเด็กสาวก็ทักทายกันตามประสาคนรู้จักที่มีลูกๆ เป็นเพื่อนกัน อีกทั้งยังแอบยิ้มให้กันอย่างรู้ทันเด็กๆ ทั้งสองคน
“ยืนชิดกันอีกนิดก็ได้ลูก แม่ไม่ว่า” จำปานั้นต่างจากชัชพล เพราะถ้ามีโอกาสเมื่อไร ก็แซวตลอด แม้ว่าตัวเองจะเข็ดขยาดผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้กีดกันลูกสาว หากจะมีความสัมพันธ์แสนหวานกับคนที่ชอบ
เพียงแต่คนเป็นผู้ใหญ่อย่างเธอก็ดูออกว่า เด็กทั้งสองอาจจะยังไม่รู้ใจของตัวเองอย่างแท้จริง คงต้องรอวันเวลาสักวันที่เหมาะสม สำหรับเผยความในใจต่อกันออกมา
และแน่นอนว่าเพื่อนสนิททั้งสองก็เลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เพียงแต่เลือกคณะตามความชอบและความถนัดของแต่ละคน
สี่ปีนับจากนี้ อาจจะเป็นสี่ปีสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน หรือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ได้อยู่ด้วยกันไปตลอดกาล ก็ต้องมาคอยลุ้นกันอีกที...