เพราะความรักที่พระเอกในนิยายมอบให้นั้นช่างปลอมเปลือก ผมคนนี้จะขอเป็นคนมอบความรักที่แท้จริงให้แก่นายเอกผู้น่ารักเอง

Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา - Chapter 11 สิ่งที่ควรได้รับ โดย เจ้านายสาเกกอดองุ่น @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ย้อนยุค,ดาร์ค,ตะวันตก,แฟนตาซี,ผมตกหลุมรักนายเอกครับ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ย้อนยุค,ดาร์ค,ตะวันตก,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผมตกหลุมรักนายเอกครับ

รายละเอียด

เพราะความรักที่พระเอกในนิยายมอบให้นั้นช่างปลอมเปลือก ผมคนนี้จะขอเป็นคนมอบความรักที่แท้จริงให้แก่นายเอกผู้น่ารักเอง

ผู้แต่ง

เจ้านายสาเกกอดองุ่น

เรื่องย่อ

โปรดอ่านรายละเอียดก่อนอ่านเนื้อเรื่องหลักกันด้วยนะคะ 

 

เล่นแท็ก #ผมตกหลุมรักนายเอกครับ

 

 

 

‘แม็กซ์’ หนุ่มCEOลูกครึ่งไฟแรงผู้ประสบความสำเร็จและยืนอยู่บนจุดสูงสุดตั้งแต่อายุยังน้อย เบื้องหน้าดูเป็นคนน่าเกรงขามเป็นที่เคารพแก่คนในองค์กรและบริษัท แต่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังแม็กซ์เป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่รักการอ่านนิยายเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะวายพีเรียดตะวันตก

นิยายเรื่องพันธนาการรักของดยุกปีศาจ ได้เข้าไปต้องตาต้องใจแม็กซ์เข้าเพราะมีความนิยมมากจนว่อนไปทั่วอินเตอร์เน็ต ทว่าหลังอ่านจบถึงกับอุทานออกมาดังๆ ว่าอะไรวะ ความรักที่พระเอกในนิยายมอบให้นายเอกนั้นช่างปลอมเปลือกยิ่งเสียกว่าอะไร ตอนจบที่สมบูรณ์แบบนั้นสำหรับแม็กซ์มันเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกลวง

‘ถ้าเขาได้เข้าไปในนิยายละก็นายเอกของเรื่องจะได้เจอกับความสุขที่แท้จริง เขาจะแย่งนายเอกมาจากพระเอกของเรื่องเอง!!’ จบคำพูดนั้นแม็กซ์ก็ได้เข้าไปอยู่ในนิยายเรื่องนั้นจริงๆ

 

 

 

 

 

 

 

Warning

- นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาที่รุนแรง มีการบรรยายเกี่ยวศพ (Body) , ความตาย (Death) , การกระทำที่น่ารังเกียจและขนลุก (Creepy Behavior) , การล่วงละเมิดทางจิตใจและอารมณ์ (mental and emotional abuse) , ฆาตกรรมสังหารหมู่ (Murder) , คำหยาบคาย (Rude) , ความคิดที่บิดเบี้ยว (Cognitive Distortions) , การข่มขืน (Ravishment) , การดูถูกเหยียดหยาม (Contemptibility) , การชักจูงทางจิตวิทยาหลอกเหยื่อ (Manipulator) , การปั่นหัวให้สับสนทางความคิด (Gaslighting) , ซึมเศร้า (Depression) , ความเชื่อทางศาสนา (religion)

- ผู้ชายสามารถท้องได้ (Mpreg)

- สถานที่ ความเชื่อ เหตุการณ์ต่างๆ มาจากจินตนาการของผู้แต่งทั้งหมด

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและห้ามลอกเลียนแบบ

 

 

 

 

หมายเหตุ

- เรื่องนี้เล่าผ่านมุมมองของพระเอก การกระทำความคิดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นมองผ่านมุมมองของพระเอกทั้งหมด

- เนื้อเรื่องจะแบ่งเป็นทั้งหมด 2 arcนะคะ arcนึงเกือบร้อยตอนค่ะ(อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับเนื้อหา) แน่นอนว่าเนื้อหาของนิยายยาว กว่าเหล่าตัวเอกจะรักกันย่อมใช้เวลาโดยที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะค่อยๆ ขยับเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เพราะเริ่มแรกพระเอกจะเป็นเด็กก่อนค่ะกว่าจะเติบโตและพบเจอกันจะต้องใช้เวลา แต่เนื้อหาระหว่างทางก่อนจะไปเจอกันสนุกอย่างแน่นอนค่ะ

- ก่อนอื่นเรื่องนี้ในช่วงตอนแรกๆนั้นนายเอกจะค่อนข้างค่าตัวแพง แต่จะโผล่มาบางช่วงให้หายคิดถึงค่ะเนื่องจากช่วงแรกเป็นวัยเด็กของพระเอกจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของพี่ชายกับพระเอกก่อนเป็นอันดับแรก ค่อยตามด้วยความสัมพันธ์ของพระ-นายค่ะ

- มีการใช้ไทม์สคริปบ่อยครั้งในช่วงตอนแรกๆของเนื้อเรื่อง เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงอายุของพระเอกนั้นหลากหลายและทางเราอยากให้นักอ่านได้รับรู้ช่วงเวลาชีวิตของพระเอกไปพร้อมกันจึงมีการใส่ไทม์สคริปหลายครั้งค่ะ

- การกระทำหลายอย่างของตัวละครนั้นบิดเบี้ยว มีหลายสิ่งที่ทำแล้วไม่ถูกต้องอีกทั้งยังมีเนื้อหาบางจุดที่ละเอียดอ่อน ผู้อ่านโปรดกรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านเป็นอย่างมาก

ปล.เนื้อหาที่ลงในเว็บยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์อักษร ถูกแก้ไขผ่านการตรวจทานคร่าวๆ ของผู้แต่งเท่านั้น

 

 

 

**สุดท้ายนี้สามารถติชมเราได้เสมออีกเช่นเคยค่ะ อาจจะผิดพลาดไปบ้างแต่เราเชื่อว่านักอ่านทุกท่านจะสนุกไปกับมันค่ะ อย่าลืมกดติดตามเราไว้เพื่อที่จะได้ไม่พลาดตอนใหม่ๆ ทุกครั้งเวลาอัพ

อัพทุกวัน อังคาร พฤหัสบดี 

ช่องทางการติดตามเพิ่มเติมเพื่อติดตามข่าวสารและงานแฟนอาร์ตของนิยาย : @Sagehuggrape30

สารบัญ

Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Prologue นายเอกผู้อาภัพ,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 1 เกิดใหม่เป็นองค์ชาย,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 2 ถูกกีดกัน,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 3 อากาศหนาว,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 4 ความสัมพันธ์,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 5 คนในฝัน,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 6 พิธีประกาศนาม,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 7 ไว้เจอกัน,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 8 รับโทษ,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 9 การเจรจา,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 10 การศึกษาเล่าเรียน,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 11 สิ่งที่ควรได้รับ,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 12 ความกล้าที่ควรมี,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 13 ใช้เวลาร่วมกัน,Between you and me เปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเรา-Chapter 14 คำสัญญา

เนื้อหา

Chapter 11 สิ่งที่ควรได้รับ

สองวันผ่านไปเรื่องการที่ผมตัดสินใจที่จะไปลองเรียนที่สถาบันแอสเพนก็ดังไปถึงหูขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อ ท่านตกใจกับการตัดสินใจของผมมากอีกทั้งยังยินดีที่ผมตัดสินใจลองเรียน ด้วยเหตุนี้ผมจึงมีเหตุจำเป็นที่จะต้องไปเข้าเฝ้าพระองค์

“ขอให้พระเจ้าคุ้มครองจักรพรรดิแห่งเนธิลอร์ ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะท่านพ่อ” ผมโค้งตัวอย่างเรียบร้อยและสง่างามให้สมกับที่อาจารย์สอนมา องค์จักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังห์เห็นเช่นนั้นก็กวักมือเรียกให้ผมเข้าไปใกล้ๆแทน ไม่วายส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักใคร่มาให้ผม

“เทรย์เวอร์ลูกไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นเลย มาสิมาคุยใกล้ๆพ่อนี่” องค์จักรพรรดิกวักมือเรียกผมอีกครั้ง ทำให้ผมนั้นต้องเดินเข้าใกล้ๆผู้เป็นบิดาของตนเองก่อนที่เขานั้นจะอุ้มผมขึ้นไปนั่งบนตัก ซึ่งผมนั้นชินแล้วท่านพ่อมักทำแบบนี้กับผมเสมอตอนโตก็คงจะไม่มีอะไรแบบนี้แล้วล่ะ

“ลูกตัดสินใจที่จะไปลองเรียนที่สถาบันแล้วเช่นนั้นหรือ” ท่านถาม

“ครับ! ถ้าไปลองเรียนแล้วผมไม่ชอบผมก็จะกลับมาเรียนที่วังเหมือนเดิมครับท่านพ่อ” ผมกล่าว ระหว่างนั้นก็นึกถึงเรื่องอะไรขึ้นมาได้ “ท่านพ่อครับ ผมมีเรื่องจะขอด้วยท่านพ่อให้ผมได้รึเปล่าครับ” ผมลองเชิงผู้กุมอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิ

“ได้สิลูก อยากจะขออะไรพ่อหรือ พ่อพร้อมที่จะให้เทรย์เวอร์ลูกรักของพ่อทุกอย่างตามที่ต้องการ” พอได้ยินแบบนั้นก็แอบขมวดคิ้วเล็กๆ ผมนั้นเป็นลูกรักขออะไรก็ให้ได้ทุกอย่างแต่กระนั้นกลับไม่เคยให้อะไรลินคอล์นเลยแม้กระทั่งความรัก

“ท่านพ่อพูดแล้วนะครับ” ผมย้ำอีกครั้ง อีกฝ่ายก็พยักหน้า “ท่านพ่อช่วยเช็นอนุญาตให้ท่านพี่ลินคอล์นไปลองเรียนกับผมด้วยนะครับ ผมอยากให้ท่านพี่ลินคอล์นไปด้วยเพราะผมจะได้สบายใจ” ผมร้องขอพลางส่งสายตาออดอ้อนไปให้ผู้เป็นบิดา

แน่นอนว่าคำขอนี้แม้กระทั่งเลขานุการของจักรพรรดิยังเบิกตากว้างอึ้งงันจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ใครๆต่างก็รู้ดีว่าในตอนนี้องค์จักรพรรดิถึงแม้จะยังคงตำแหน่งของพระสนมดัลซิเนียไว้ ทว่าองค์ชายลำดับที่หนึ่งผู้มีนามว่าลินคอล์นนั้นแทบจะถูกลบเลือนออกไปจากความคิดขององค์จักรพรรดิ

ชายผู้เริ่มเข้าใกล้วัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาเพราะรู้ดีว่าเขานั้นได้รับปากกับผมเป็นที่เรียบร้อยว่าจะต้องทำตามที่ผมขอทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องของลินคอล์นที่เขาไม่อยากจะแตะต้องก็ตาม กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำนี่คือสิ่งที่จักรพรรดิทุกคนมี ผมถึงได้ถามย้ำอย่างไรล่ะ

“เข้าใจแล้ว เอ็ดมอนด์นำเอกสารที่จะส่งองค์ชายหนึ่งไปลองเรียนสถาบันแอสเพนมา” เจ้าตัวเอ่ยคำสั่งให้กับเลขานุการประจำตัวทันที ฝ่ายคนรับคำสั่งรีบไปตระเตรียมเอกสารนำมาให้พ่อของผมอย่างรวดเร็ว ผมที่เห็นดังนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ

มือเล็กทั้งสองโอบกอดคุณพ่อ “ขอบคุณนะครับท่านพ่อ ผมรักท่านพ่อที่สุดเลยล่ะครับ!” ผมบอกรักพลางออดอ้อนสุดฤทธิ์ ฝ่ายจักรพรรดิที่เห็นท่าทางของผมก็อดไม่ได้ที่เอ็นดู มือหนาลูบหัวก่อนที่จะหอมฟอดเข้าที่แก้มทั้งสองข้างของผม

“ขี้อ้อนได้แม่ของลูกเชียว” เขาว่า ระหว่างนั้นเลขานุการก็มาพอดิบพอดีเอกสารถูกยื่นให้พร้อมกับตราประทับองค์จักรพรรดิ ผมจ้องมองด้วยความสนใจตรานี้ประทับนี้แทบจะเป็นตัวแทนอำนาจของจักรพรรดิที่เมื่อประทับลงไปแล้วก็ถือว่าเป็นคำสั่งเด็ดขาด

เจ้าตรานี้องค์จักรพรรดิสามารถมอบให้ใครถือครองก็ได้ตามที่เขาต้องการจะมอบให้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยให้ใครถือเท่าไหร่เว้นเสียแต่จะต้องเดินทางออกนอกจักรวรรดิเพื่อจัดการสะสางงานที่จำเป็นจริงๆ ทำเอาอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านพ่อของผมเคยให้ใครถือครองบ้างรึเปล่า

“หืม? สนใจเจ้าตราประทับนี่หรือเทรย์เวอร์” ท่านพ่อที่เห็นผมจ้องมองมันก็ถามขึ้นมา

ผมพยักหน้า “ครับ ท่านพ่อเคยให้ใครถือแทนท่านพ่อบ้างมั้ยครับ”

มันอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม อย่างน้อยก็ต้องมีสักครั้งในชีวิตบ้างแหละที่จะมีคนอื่นได้ถือครอง อย่างในเนื้อเรื่องต้นฉบับก็มีช่วงที่ลินคอล์นนั้นได้ถือครอบเจ้าตราประทับนี้อยู่โดยที่ตัวผมในเนื้อหาต้นฉบับนั้นเป็นคนมอบให้กับตัวเอง ก็รักพี่ชายอะเนาะให้ทำไง

“ที่จริงก็มีอยู่เมื่อประมาณสิบแปดปีที่แล้ว พ่อกับแม่ของลูกเพิ่งแต่งงานกันได้ประมาณ2ปี พ่อที่อยู่ในวัยยี่สิบสองนั้นก็ยังคงเป็นจักรพรรดิที่อ่อนหัดไร้ความสามารถ ทั้งๆที่ราชวงศ์เรานั้นขึ้นครองบัลลังก์กันตั้งแต่อายุยังน้อยทว่ามากไปด้วยศักยภาพ ตอนนั้นพ่อดันเป็นแกะดำของราชวงศ์เชียวล่ะจะบอกให้” เขาขำหน้าเจื่อน

หลังจากนั้นก็เล่าต่อ “แต่ต่างจากแม่ของลูกที่อายุน้อยกว่าพ่อสองปีแท้ๆ กลับมากไปด้วยความสามารถในการปกครองอย่างเฉลียวฉลาดอีกทั้งเปี่ยมไปด้วยไหวพริบ ดังนั้นตราประทับนี้พ่อจึงให้แม่ของลูกเป็นคนถือครองจนกว่าพ่อจะปรับตัวและเรียนรู้ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้”

“จักรพรรดินีนั้นทรงเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย ทันเล่ห์เหลี่ยมทุกเหตุการณ์สามารถโต้กลับได้ มีวาจาเป็นเลิศติดต่อการค้าขายกับจักรวรรดิอื่นได้อย่างดีเยี่ยม มีฝีมือการสู้รบด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ” เลขานุการอดไม่ได้ที่จะชื่นชมแม่ของผมออกมาจากปากของตนเอง ฝ่ายจักรพรรดิก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นการเห็นด้วย

พอได้ยินเช่นนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อ “แล้วท่านพ่อเจอท่านแม่ที่ไหนหรือครับ ท่านแม่เป็นคนจากตระกูลไหนถึงได้เก่งถึงเพียงนี้” ความสามารถที่โดดเด่นขนาดนี้คงจะอยู่ในแวดวงสังคมมาไม่น้อยไหนจะการต่อสู้อีก ประสบการณ์คงจะโชกโชนอยู่พอสมควร

“แม่ของลูกน่ะไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางคนไหนหรอก เจ้าตัวเป็นเด็กกำพร้าน่ะอพยพมาจากที่อื่นผ่านตรงขอบชายแดนเหนือของจักรวรรดิ พ่อเจอแม่ตอนที่ออกไปราชการภายในเมืองกับคุณปู่ของลูก เธอกำลังวิ่งไล่จับโจรที่ขโมยเงินไปอยู่น่ะแต่สุดท้ายก็ชวดไปเพราะรถม้าของพ่อดันไปขวางทาง เธอโกรธมากจึงด่าทอพ่อยกใหญ่เลยโดยที่ไม่รู้ว่าพ่อเป็นองค์รัชทายาท” ท่านพ่อขำขันขณะเล่า

ส่วนผมนั้นถึงกับตะลึงที่แท้สกิลความเก่งเหล่านั้นมาจากการที่ตกระกำลำบากมานี่เอง ต้องเอาชีวิตรอดอยู่ตลอดเวลาดิ้นรนขวยขวายเพื่อหาของกินต่อชีวิตตัวเอง คุณแม่ของผมนั้นช่างเป็นคนที่น่านับถือโดยเฉพาะการด่าองค์รัชทายาทอย่างไม่เกรงกลัว ตลกชะมัด

“พ่อไม่ได้ล้อเล่นนะตอนนั้นเธอโกรธพ่อจริงๆ ตอนนั้นพ่อรู้สึกผิดมากและยอมรับเลยว่าค่อนข้างกลัวแม่ของลูกเลยชดเชยเงินให้ แต่ถึงจะกลัวลึกๆในใจพ่อก็แอบสนใจแม่ของลูกอยู่มากไม่ใช่น้อยเลย เธอเป็นคนที่มีนัยน์ตาสีเขียวดุจมรกตและเป็นเจ้าของเรือนผมสั้นสีเหลืองสลวยสะท้อนแสงตะวันขัดกับเสื้อผ้าที่สวมใส่” น้ำเสียงที่บรรยายรูปลักษณะช่างเปี่ยมไปด้วยความลุ่มหลงและรักใคร่

ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่ผมเกิดและท่านแม่เสด็จสวรรคตลง ชายหนุ่มเข้าใกล้วัยกลางคนผู้นี้ถึงได้เสียใจเอาเกือบปี คนที่รักยิ่งเสียกว่าชีวิตตนเองนั้นได้เดินทางออกไปโดยที่ไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกต่อไปแล้ว คุณพ่อของผมผู้นี้คงจะคิดถึงอยากเห็นหน้าแก้วตาดวงใจอันเป็นที่รักอีกครั้งอย่างแน่นอน

ขนาดตัวผมก็ยังอยากจะเจอมารดาผู้ให้กำเนิดเลยคงจะเป็นคนใจดีและอ่อนโยนมากแน่ๆทุกคนถึงได้พากันพูดถึงไม่หยุดปาก ยกตัวอย่างเช่นมาดามที่มักจะเล่าเรื่องราวหรือสิ่งที่ท่านแม่ของผมนั้นชอบให้ฟังอยู่ในหลายๆครั้งหากมีโอกาส

“ถ้ามีโอกาสผมเองก็อยากจะเจอท่านแม่จังเลยครับ” ผมบอกสิ่งที่คิดอยู่ในหัวของตนเองออกไป ไม่ว่าจะในเนื้อหาต้นฉบับนิยายหรือปัจจุบันที่กำลังดำเนินต่อไปอยู่ชีวิตของคนที่มีชื่อว่าเทรย์เวอร์ผู้นี้นั้นก็ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนเรื่องราวให้มันไปในทางที่ดีขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

“เป็นความผิดพ่อเอง ทั้งๆที่รู้ว่าแม่ของลูกนั้นไร้ซึ่งพลังเวทย์อีกทั้งเป็นชายจึงคลอดบุตรได้ยาก พ่อควรจะเตรียมอะไรที่พร้อมให้มากกว่านี้เลยทำให้ต้องสูญเสียเธอไป” มือหนาและหยาบกร้านยกขึ้นมากุมขมับของตนเองพลางกล่าวโทษตัวเองอย่างที่เคยทำมาโดยตลอด

“อย่าโทษตัวเองอีกต่อไปเลยครับท่านพ่อ ผมคิดว่าหากท่านแม่กำลังมองลงมาจากบนฟ้าท่านแม่คงไม่อยากให้ท่านพ่อต้องกล่าวโทษตนเองเช่นนี้” ผมสวมกอดคุณพ่ออีกครั้ง ใบหน้ากลมเล็กซุกเข้าไปในเนื้อหาที่ถูกตัดอย่างประณีตและราคาแพง

อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปก่อนเสียงหัวเราะจะดังขึ้น “อายุเพียงห้าขวบแท้ๆ แต่ลูกนี่ช่างกล่าววาจาฉะฉานมีแต่เหตุและผล พ่อคงต้องเชื่ออาจารย์ของลูกแล้วที่เขาชื่นชมว่าเทรย์เวอร์ของพ่อนั้นฉลาดกว่าเด็กทั่วไป” ยามได้ยินคำชมผมถึงกับขยับหน้าออกมองไปทางอื่น

แหงสิ จิตใจผมมันใช่เด็กที่ไหนกันเล่า

วันต่อมาหลังจากที่องค์จักรพรรดิได้เซ็นรับรองให้ลินคอล์น ผมกับพี่ชายสุดหล่อเหลาคนนี้จึงได้เดินทางไปเรียนที่สถาบันแอสเพนด้วยกัน ตัวผมนั้นสวมชุดธรรมดาพกของจิปาถะไปเล็กน้อยในส่วนของเรื่องเครื่องแต่งกายประจำสถาบันนั้นจะได้ก็ต่อเมื่อเลือกที่จะเรียนที่สถาบันต่อ

“สีหน้าระรื่นเชียวนะเทรย์ ตื่นเต้นใช่หรือไม่” เด็กหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมภายในรถม้านั้นได้ถามขณะที่ผมนั้นทอดมองวิวทิวทัศน์ที่หน้าต่าง ผมพยักหน้าเป็นการให้คำตอบเพราะตอนนี้กำลังสนใจสภาพบ้านเมืองและประชาชนที่ใช้ชีวิต

“ครับ แถมน่าสนุกด้วยผมหวังว่าท่านพี่จะรู้สึกสนุกกับมันนะครับ” ผมละสายตาจากสถาปัตยกรรมเก่าที่แสนสวยงามกลับมานั่งให้สงเสงี่ยมเรียบร้อยสมกับเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์

ลินคอล์นกระแอมไอหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตาผมพลางกล่าว “ขอบคุณนะเทรย์ที่ช่วยคุยกับฝ่าบาทให้แทนพี่ ถ้าไม่ได้เทรย์พี่คงไม่มีโอกาสที่จะได้มาเรียนที่สถาบันแห่งนี้อีกทั้งคงจะหาโอกาสเปิดหูเปิดตาได้ยากลำบาก” โทนเสียงปีติยินดีปนเศร้าเปล่งออกมา

“ไม่เป็นไรเลยครับท่านพี่ นี่คือสิ่งที่ท่านพี่ควรได้รับเสียซะด้วยซ้ำ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าท่านพ่อจะพยายามลบท่านพี่ให้หายไปจากสารบบความคิดของตัวท่านทำไม ทั้งๆที่ผมคอยมาท่านพ่อตลอดว่าท่านพี่ไม่ได้ผิดอะไรเลย” ผมยู่ปากพร้อมแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความไม่เข้าใจ

“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นความผิดพี่เองที่เกิดมาถ้าไม่มีพี่ทุกอย่างอาจจะดีกว่านี้ก็ได้-” ไม่ทันที่ลินคอล์นพูดจบผมก็แทรกขึ้นมา

“ท่านพี่อย่าพูดแบบนั้น! การมีอยู่ของท่านคือของขวัญจากพระเจ้า ผมดีใจและปราบปลื้มเสมอที่ได้เจอหน้าท่านพี่ในทุกๆวันอีกทั้งยังรู้สึกขอบคุณที่ท่านพี่เกิดมาเป็นพี่ชายของผม” ผมกอดอกแน่นจนเสื้อผ้าเริ่มยับยู่ยี่ ชอบตัดพ้อจริงๆเลยพระสนมกับท่านพ่อจะทำให้พี่ชายสุดที่รักของผมมีปมกับชีวิตไปถึงไหนกันนะ

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่รักพี่ขนาดนี้นะเทรย์” ริมฝีปากเรียวหยักโค้งขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ แสงแดดอ่อนยามเช้าสายผ่านหน้าต่างเข้ามาตกกระทบบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม นัยน์ตาสีเหลืองอำพันเรืองรองเป็นประกายแพรวพราวประสานกับเรือนผมสีชมพูดุจดอกคามิเลียแย้มบานในวสันต์ฤดู

ผมที่เห็นก็อึ้งจนบอกไม่ถูก รอยยิ้มของพี่ชายผมนั้นเข้ากับแสงอาทิตย์เสมอยิ่งบวกกับใบหน้าที่ถูกปั้นมาอย่างดีราวกับเป็นลูกรักของพระเจ้าเข้าไปด้วยแล้วนั้น ยิ่งทำให้ผมอดไม่ได้ที่เอ่ยปากชม ลินคอล์นเขาเป็นคนที่เหมาะสมกับรอยยิ้มเช่นนี้จริงๆ

“ท่านพี่ก็อย่าพูดเช่นนี้อีกนะ ท่านพี่ต้องยิ้มๆเยอะๆมีความสุขในทุกๆวันหากผมได้ยินท่านพี่พูดอีกผมจะงอนท่านพี่แล้ว!” ว่าจบก็ผินหน้าไปมองที่หน้าต่างทันที ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมกับรูปประโยคที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

“พี่ขอโทษนะ พี่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกและพี่จะไม่ลืมว่าพี่ยังมีน้องชายที่คิดว่าตัวเองเก่งนักคอยอยู่เคียงข้างพี่” ฟังแล้วเหมือนจะดูดีทว่ามันกลับตะหงิดใจ นี่พี่ชายผมหลอกด่าผมอีกแล้วเหรอ คนอะไรมันน่าตีจริงๆไว้รอผมโตขึ้นกว่านี้ก่อนเถอะนะ

“นี่ท่านพี่หลอกด่าผมอีกแล้ว!” ผมแว้ดเสียงพลางโวยวายใส่

หลังจากนั้นไม่นานก็เดินทางมาถึงสถาบันชั้นนำระดับโลกของจักรวรรดิ รถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปภายในสถาบันอย่างเชื่องช้าระหว่างลอดซุ้มประตูทางเข้าก็มีป้ายขนาดใหญ่ติดพร้อมกับชื่อว่า ‘สถาบันการศึกษาหาความรู้และชี้นำแนวทางแก่เยาวชนชั้นนำแอสเพน’

เด็กๆมากหน้าหลายตากำลังทยอยเดินเข้าในภายในสถาบัน บ้างก็มีรถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปเช่นเดียวกับผมหากให้คาดเดาก็คงจะเป็นลูกขุนนางระดับสูง ทุกคนดูเหมือนว่าจะสวมชุดของสถาบันกันหมดซึ่งผมในตอนนี้ยังไม่ได้ใส่ไว้หลังจากที่ตัดสินใจแล้วก็คงจะมีชุดเรียน

แต่ละชุดเรียนก็จะแตกต่างกันไปอีกขึ้นอยู่กับสายการเรียนที่เด็กๆเลือกที่จะเรียน เด็กคนไหนเลือกเรียนเวทย์ก็จะได้ใส่อีกชุดหนึ่ง เด็กคนไหนเลือกเรียนดาบหรือการต่อสู้ก็จะสวมชุดที่ดูออกได้ง่ายว่าเรียนสายนี้อย่างแน่นอน หรือเด็กที่เรียนการเมือง ปรัชญาหรือเศรษฐกิจก็จะใส่อีกชุด

เท่าที่ผมรู้มาเพิ่มเติมคือเด็กๆคนไหนที่มีความอยากที่จะเรียนมากกว่าหนึ่งอย่างไม่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะได้มาสองชุดเพื่อผลัดเปลี่ยนสวมใส่ แต่กรณีนี้จะไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่นักเพราะเด็กๆส่วนใหญ่จะเรียนเฉพาะทางที่ตนเองเลือกไปเลยจนจบ คนที่เลือกเรียนสองอย่างขึ้นไปนั้นก็มีแต่คนมากความสามารถและราชวงศ์เท่านั้น

“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” เสียงคนคอยคุ้มกันด้านนอกที่เดินทางมาด้วยดังขึ้นพร้อมกับเปิดประตูให้ผมกับพี่ชายลง “ค่อยๆเดินระวังนะพ่ะย่ะค่ะ พอดีว่าตรงนี้เป็นพื้นที่ต่างระดับต้องระมัดระวังในการลงจากรถม้า” เขาอธิบายขณะที่ผมนั้นพยักหน้าเข้าใจ

ตุ้บ!

“เทรย์!” ลินคอล์นส่งเสียงดังลั่นจนเริ่มมีคนหันมามองด้วยความสนใจ พูดไม่ทันขาดคำผมก็สะดุดตรงพื้นล้มลงไปเรียบร้อย เรียกได้ว่าอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนียิ่งตอนนี้คนกำลังพากันเดินเข้าสถาบันไปยิ่งแล้วใหญ่ ผมอยากจะบ้า

“ผมไม่เป็นอะไรครับท่านพี่ ผมแค่ไม่ระมัดระวังเอง” ผมยันตัวลุกขึ้นทว่าไม่ทันที่จะได้ยืนผมก็ถูกพี่ชายผมอุ้มขึ้นจนตัวลอย กว่ารู้ตัวอีกทีพี่ชายผมก็เอาผมไปอยู่ในอ้อมกอดแล้ว สีหน้าของลินคอล์นไม่สู้ดีเท่าไหร่นักยังพะว้าพะวงเป็นห่วงผมอยู่

“พี่น่าจะเป็นฝ่ายพาเทรย์ลงจากรถม้าด้วยตนเอง ขอโทษทีนะคงเจ็บสิท่าหัวเข่าแดงเชียวน้องชายของพี่” พี่ชายของผมเอ่ยเสียงแผ่ว มือหนาขยับไปจับตรงหัวเข่าของผมช้าๆเพื่อตรวจสอบว่าไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ท่ามกลางสายตาของเด็กๆมากมายที่พากันมองมา

หลังจากนั้นก็เริ่มซุบซิบกันผมได้ยินเข้าหูมาบ้างว่ากล่าวถึงพวกเราในด้านใน ฝั่งผมจะค่อนข้างเป็นเชิงบวกเพราะเด็กๆส่วนใหญ่อยากจะเจอผมตัวจริงกันทั้งนั้นว่าเป็นอย่างไร ในส่วนของลินคอล์นผู้เป็นพี่ชายของผมนั้นกลับมีแต่ด้านลบเต็มไปหมดพลางส่งแววตาเหยียดหยามไม่พอใจมาทางพวกผมเป็นพักๆ

ผมที่ได้ยินทำได้เพียงแค่ยกมือเล็กทั้งสองข้างขึ้นปิดหูของเด็กหนุ่มผมสีชมพูที่ตอนนี้สนใจแต่หัวเข่าของผมจนไม่สนใจสภาพแวดล้อมรอบด้านว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ยิ่งประโยคที่บอกว่าลินคอล์นทำตัวเกาะผมเป็นปลิงเพื่อหวังอำนาจนี่ยิ่งไม่อยากได้ยิน

พวกเขาจะรู้มั้ยนะว่าพี่ชายผมคนนี้โดนผมเป็นฝ่ายตามตื๊อมากกว่า ผมนี่แหละที่เกาะพี่ชายยิ่งกว่าปลิง

“หืม? ทำอะไรน่ะเทรย์ เอาเช่นนี้นะเดี๋ยวพี่อุ้มเราเองจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรเช่นนี้อีก ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาจารย์แนะแนวที่อาสาจะมาเป็นผู้นำทางมาแล้วนะ” เขาหลุบตามองผมด้วยแววตาบ่งบอกถึงความเป็นห่วง ผมที่ไม่อยากขัดก็กอดคอพี่ชายของผมแน่น ระหว่างที่รออาจารย์แนะแนวมาก็สอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณรอบๆคล้ายกับสำรวจ

“ขอให้พระเจ้าคุ้มครองดวงตะวันแห่งจักรวรรดิ ถวายบังคมเพคะองค์ชายสอง เอ่อ...แล้วก็องค์ชายหนึ่ง” หญิงสาวที่ดูอ่อนเยาว์และครอบครองผมสีฟ้าสว่างสวมกระโปรงที่สีเรียบง่ายสะอาดสะอ้านโค้งอย่างนอบน้อมต่อหน้าผม ในทางกลับกันสายตาของเธอคล้ายจะดูไม่พึงพอใจที่ลินคอล์นนั้นมาด้วย

“ไม่ต้องมากพิธีหรอกครับ ที่นี่เท่าเทียมกันทุกคนนี่นา” ผมกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ อีกอย่างที่ผมพูดแบบนั้นออกไปเพราะไม่อยากให้มาให้ความสนใจกับผมและพี่ชายมาก เพราะแค่ผมล้มลงผู้คนก็พากันจ้องเป็นตาเดียวแล้วเหมือนกลัวว่าจะสูญเสียว่าที่จักรพรรดิคนใหม่ไปอย่างไรอย่างนั้น แค่ล้มมั้ยล่ะ!

“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอเปลี่ยนวิธีการพูด อะแฮ่ม ก่อนอื่นดิฉันขอแนะนำตัวโรเซตต้า ออนดีนค่ะเป็นอาจารย์แนะแนวการศึกษาให้แก่นักเรียนในสถาบันแห่งนี้อีกทั้งวันนี้รับหน้าที่มาเป็นผู้นำทางและอธิบายเกี่ยวกับสถาบันแอสเพนให้ฟังคร่าวๆค่ะ ตามดิฉันมาได้เลยค่ะ” เธอกล่าวอย่างเป็นมิตร

ลิยคอล์นพยักหน้าและจัดการอุ้มผมเดินตามเธอเข้าไปภายในสถาบันทันที ขณะที่กำลังเดินเข้าไปภายในสถาบันนั้นคุณโรเซตตาก็แนะนำเกี่ยวกับคติพจน์ คำขวัญหรือที่มาของสถาบันให้ฟังคร่าวๆซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่เธอพูดมานั้นส่วนใหญ่องค์จักรพรรดิจะเป็นคนกำหนดมันขึ้นมา

“สถาปัตยกรรมของสถาบันจะให้ความหรูหราและสร้างความสะดวกสบายให้เหล่านักเรียนค่ะ หากองค์ชายเทรย์เวอร์สังเกตนะคะบรรยากาศที่นี่จะให้ความรู้สึกเหมือนราชวังเลยล่ะค่ะ” เธอเอ่ยพลางกวาดมือไปตามบริเวณต่างๆของโถงทางเดินสถาบัน จนผมเองก็เพิ่งสังเกตว่าจริงดั่งที่เธอว่า

“ทำไมถึงให้เป็นแบบนี้หรือครับคุณโรเซตต้า” แน่นอนว่ามันอดไม่ได้ที่ถามออกไป

“เป็นคำถามที่ดีค่ะองค์ชาย” หญิงสาวหยุดเดินและหันมาส่งยิ้มให้ “สถาบันต้องการให้นักเรียนคุ้นชินกับสภาพภายในราชวังค่ะเพราะนักเรียนส่วนใหญ่นั้นเรียนจบไปก็มักจะไปรับราชการทำงานในวังค่ะ จะได้ไม่กดดันตนเองจนเกินไปและสามารถพบปะสื่อสารกับองค์จักรพรรดิได้”

“แต่ก็ไม่ได้มีแค่นั้นหรอกนะเพราะฝั่งของเหล่านักเรียนที่จะโตไปเป็นอัศวินคอยช่วยเหลือผู้คนและปกป้องราชวงศ์แล้วนั้นจะมีอีกตึกที่ไม่ได้เป็นเช่นนี้ค่ะ เพราะเหล่าอัศวินตัวน้อยที่กล้าหาญส่วนใหญ่จะเน้นฝึกฝนไม่ค่อยเข้าไปในวังทางสถาบันจึงได้สร้างตึกที่เหมาะสมแก่พวกเขาให้ค่ะ” ยามอธิบายจนจบประโยคผมก็ร้องอ๋อขึ้นมา

“คือผมมีคำถาม...” ลินคอล์นที่ดูเหมือนจะมีคำถามก็พยายามที่จะเอ่ยปากทว่าเธอกลับแทรกประโยคขึ้นมาก่อน

เธอหันกลับไปและเริ่มเดินนำทางอีกครั้ง “เอาล่ะต่อไปดิฉันเข้าเรื่องหลักสูตรของทางสถาบันนะคะ อย่างที่องค์ชายทราบสถาบันมีสามหลักสูตรใหญ่ๆด้วยกันค่ะ ซึ่งก็คือหลักสูตรการใช้อาวุธต่อสู้ หลักสูตรการใช้เวทมนตร์และหลักสูตรการเมืองการปกครองค่ะ”

 เธอได้เล่าหลักสูตรย่อยของหลักสูตรให้ฟังทีละอันและสรุปอย่างเข้าใจเพื่อไม่ให้ผมกับพี่ชายเบื่อมากจนเกินไป ผมยอมรับว่าเธอนั้นทำหน้าที่ของเธอได้ดีแต่กระนั้นเธอกำลังทำตัวไร้มารยาทใส่พี่ชายผมอยู่ เรียกได้ว่าไม่ให้เกียรติเลยมากกว่า

ตั้งแต่หน้ารถม้าจนเข้ามาถึงภายในอาคารของสถาบันเธอมักจะกล่าวถึงแค่ผมเพียงคนเดียว หากผมมีคำถามเธอก็จะพร้อมตอบผมอย่างเต็มที่ ต่างจากพี่ชายผมที่เธอพยายามที่จะเมินเฉยไม่สนใจต่อให้มีคำถามก็แสดงท่าทีว่าคร้านจะตอบ

ความอดทนผมมีจำกัดอยู่นะ ถ้ายังไม่หยุดอย่าหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน

“คือคุณโรเซตต้าครับ ผมมีคำถามอยู่น่ะครับ” ลินคอล์นเอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ทว่าเธอยังคงแสดงท่าทีเช่นเดิมก่อนที่จะลอบถอนหายใจออกมาหันกลับมามองที่พี่ชายของผมพร้อมแววตาที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจ

“จะถามอะไรหรือคะ” เธอเอียงคอสงสัยพ่วงด้วยน้ำเสียงที่ติดรำคาญ

“หลักสูตรของที่นี่ไม่ต่างจากที่เรียนภายในราชวังมากใช่หรือไม่ครับ ผมหมายถึงเนื้อหาความที่มีตื้นลึกหนาบางแค่ไหน เอ่อ...ประมาณว่าต่อให้ผมอ่านหนังสือในวังมาหมดแล้วที่นี่ก็สามารถต่อยอดความรู้ของผมต่อไปได้” เขาพยายามเรียบเรียงคำพูดเพื่อที่จะคลายข้อสงสัย

“จะบอกว่าฉลาดเกินจนไม่จำเป็นต้องง้อสถาบันก็ได้สินะคะ แน่นอนว่าทางสถาบันย่อมยกระดับเนื้ออยู่แล้วค่ะ โดยส่วนใหญ่เด็กๆจะจบการศึกษาตอนอายุสิบแปดปีแล้วเตรียมตัวที่จะเริ่มทำงาน สำหรับใครที่ยังคิดว่าศึกษาได้ยังไม่มากพอก็มีหลักสูตรเพิ่มพูนโดยจบการศึกษาตอนอายุยี่สิบสองปีค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่เชิงแดกดันเล็กน้อย

และว่าต่อ “หากองค์ชายสนใจจะเรียนก็ได้นะคะ หรือบางทีไม่จำเป็นต้องเรียนที่นี่เลยก็ได้หากคิดว่าศึกษามาหมดแล้ว”

ผมที่ได้ยินถึงกับเลิกคิ้วขอให้พี่ชายวางตัวผมลงเพื่อที่จะยืนทันทีพลางยืนกอดอกแสดงสีหน้าที่ไม่พึงพอใจกับคำพูดของเธอ “ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นอาจารย์ของสถาบันหน่อยครับ และช่วยทำตัวให้มีมารยาทด้วยนี่พี่ชายผมนะจะมาพูดแบบนี้ได้ยังไงกันครับ?”

ตัวเล็กแล้วไงอะ ผมใจใหญ่ก็แล้วกัน

 

 

_____