เพราะย่าของชายหนุ่มมีลูกชายแค่เพียงคนเดียว คือพ่อของเขาซึ่งเสียไปนานแล้ว ส่วนพี่ชายกับพี่สะใภ้ก็ไม่สามารถมีลูกได้ ความรับผิดชอบจึงตกมาอยู่ที่เขา ผู้ซึ่งเสียขาไปหนึ่งข้างจากอุบัติเหตุในวันวาน แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการแต่งงานกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว… . “ผมเป็นคนพิการ…” “ต่อให้แขนขาดทั้งสองข้างหรือตาบอดด้วย ฉันก็จะแต่งค่ะ”
รัก,ชาย-หญิง,ไทย,โรแมนติก,พระเอกอบอุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สามีตัวหอมเพราะย่าของชายหนุ่มมีลูกชายแค่เพียงคนเดียว คือพ่อของเขาซึ่งเสียไปนานแล้ว ส่วนพี่ชายกับพี่สะใภ้ก็ไม่สามารถมีลูกได้ ความรับผิดชอบจึงตกมาอยู่ที่เขา ผู้ซึ่งเสียขาไปหนึ่งข้างจากอุบัติเหตุในวันวาน แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการแต่งงานกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว… . “ผมเป็นคนพิการ…” “ต่อให้แขนขาดทั้งสองข้างหรือตาบอดด้วย ฉันก็จะแต่งค่ะ”
‘นิศากร’ - เพราะลูกเลี้ยงของเมียใหม่พ่อ ไม่ยอมแต่งงานกับเจ้าบ่าวคนนี้ พ่อเลยส่งเธอที่เป็นลูกของเมียเก่า มาดูตัวแทนด้วยความเต็มใจ เพราะสงสัยว่าคนที่หล่อรวยแบบนั้น ทำไมน้องสาวตัวเองถึงปฏิเสธ
‘บุลิน’ - เจ้าของโรงแรมชื่อดังที่มีสาขาอยู่เกือบทั่วประเทศ พิการทางขา (ใส่ขาเทียม) อยากมีหลานให้ย่า เลยนัดดูตัวเรื่อยๆ จนมาเจอเธอคนนี้ที่ไม่รังเกียจคนพิการแบบเขา เขาเลยพอใจเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
.
เพราะย่าของชายหนุ่มมีลูกชายแค่เพียงคนเดียว คือพ่อของเขาซึ่งเสียไปนานแล้ว ส่วนพี่ชายกับพี่สะใภ้ก็ไม่สามารถมีลูกได้ ความรับผิดชอบจึงตกมาอยู่ที่เขา ผู้ซึ่งเสียขาไปหนึ่งข้างจากอุบัติเหตุในวันวาน แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการแต่งงานกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว…
.
“ผมเป็นคนพิการ…”
“ต่อให้แขนขาดทั้งสองข้างหรือตาบอดด้วย ฉันก็จะแต่งค่ะ”
นานมากแล้วที่บุลินไม่ถูกผู้เป็นย่าอย่างแสงรุ้งเรียกมารับประทานอาหารเช้าร่วมกัน ลางสังหรณ์กำลังบอกกับเขาว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่าง อย่างแน่นอน
“ตาบุ้งอายุเท่าไหร่แล้ว ไหนแกบอกย่ามาสิ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “สามสิบเจ็ดครับ”
“อืม ใกล้สี่สิบแล้วสินะ ถ้ามากไปกว่านี้อาจจะทำให้ลูกที่ออกมาไม่แข็งแรง”
บุลินที่กำลังคนข้าวต้มในชามชะงัก “พูดแบบนี้คงไม่ใช่ว่า...”
“บอกตามตรงฉันต้องการทายาทสายตรงจากหลานแท้ๆ ฉันไม่ต้องการให้สิ่งที่ฉันกับปู่ของแกสร้างมากับมือมันตกไปเป็นของญาติคนอื่นที่ไม่ใช่สายเลือดของฉัน”
คนฟังนิ่งงันก่อนจะถอนหายใจเสียงเบา เพราะพี่ชายอย่างบวรกับภรรยาไม่สามารถมีลูกได้ ดังนั้นจึงเหลือแต่เขาเท่านั้นแล้วจริงๆ ที่จะทำให้ความปรารถนาของแสงรุ้งเป็นจริง
“จะมีผู้หญิงคนไหนมารักผมล่ะครับ เอาแบบไม่ได้เห็นแก่เงินน่ะ พอเห็นว่าผมขาขาดไปข้างหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มคิดแล้วว่ามันจะคุ้มไหม” ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม และผู้หญิงหลายคนก็เห็นว่าคุ้ม
“คนไหนก็ได้ แค่ไม่เกินกว่าฉันจะรับได้ก็พอและฉันก็หาไว้แล้วด้วย รูปร่างหน้าตาใช้ได้ นิสัยที่ลองไปถามๆ ดูก็ไม่แย่ แต่แกอาจจะไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะเขาคงต้องแต่งกับแกเพราะเงิน บ้านเขาเป็นหนี้ฉันอยู่ พ่อของเขาเป็นลูกหลานของคนที่เคยมีบุญคุณกับปู่แก ฉันเลยให้ยืมเงินเอาไปจุนเจือบริษัทอยู่ไม่น้อยเลย”
“แต่งงานใช้หนี้เหรอครับ” เขาเลิกคิ้ว “สมัยนี้แล้วเนี่ยนะ” บุลินบ่นงึมงำในลำคอ
“ใช่ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าคงเป็นสะใภ้ที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่น่าจะทำให้แกมีปัญหาอะไร อีกอย่างเขาจะได้ดูแลแกด้วย”
“คุณย่านั่นภรรยาหรือพยาบาลส่วนตัวกันแน่ครับ”
“เอาเป็นว่าแกต้องแต่ง” นั่นคือคำสั่ง ไม่ใช่คำขอร้อง
บุลินโตมาด้วยการโอบอุ้มดูแลของแสงรุ้งมาตั้งแต่ห้าขวบหลังจากที่แม่แต่งงานใหม่ ส่วนพ่อนั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่เขาสามขวบ หญิงชราคนนี้จึงเป็นคนหนึ่งในชีวิตที่เขาให้ความสำคัญและรักมากกว่าใคร
อันที่จริงแสงรุ้งไม่ใช่คนเผด็จการ ย่าของชายหนุ่มจะฟังเหตุผลก่อนเสมอ แล้วค่อยตัดสินใจชี้ขาด แต่ต้องมีเหตุผลดีๆ มาโต้แย้ง ซึ่งในกรณีนี้เขาก็ไม่มี ดังนั้นตอนนี้เขาจึงทำได้แค่พยักหน้าและตกลง
จะบอกว่ามีคนรักอยู่แล้วเหรอ เขาก็ไม่มี เพราะผู้หญิงที่เขาเคยรักนั้นตัดสินใจเลือกได้ทันทีที่ว่าเธอจะตกลงปลงใจกับใครหลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนต้องตัดขาช่วงใต้เข่าทิ้งไป
“ครับคุณย่า” เอาเป็นว่าแต่งก็แต่งเถอะ แต่แต่งแล้วจะอยู่ด้วยกันได้จริงๆ อย่างที่ย่าของเขาคาดหวังไว้ไหมนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
พอตกลงกันเรียบร้อยแล้ว สองย่าหลานก็รับประทานอาหารกันต่อเงียบๆ
หลังจากแสงรุ้งติดต่อเจรจาเรื่องแต่งงาน ทางลูกหนี้อย่างชัยกรกลับเสนอลูกเลี้ยงของตัวเองขึ้นมาแทนลูกสาวแท้ๆ แสงรุ้งเห็นว่าไม่เสียหายอะไรเพราะหากเป็นคนที่เต็มใจ แม้จะเป็นลูกเลี้ยงอาจจะดีกว่าคนที่ไม่เต็มใจก็ได้
ดังนั้นจึงให้ลองมาเจอกันก่อน แต่ปรากฏว่าพอทราบถึงสภาพของชายหนุ่มก็กลับคำขอส่งตัวลูกสาวคนโตมาแทน โดยอ้างเหตุผลเรื่องอายุขึ้นมาว่ามาริษาเพิ่งเรียนจบ แต่บุตรสาวคนโตนั้นอยู่ในวัยที่เหมาะสมกับบุลินมากกว่าเนื่องจากอายุยี่สิบห้าปีแล้ว ทำให้แสงรุ้งได้แต่ดูแคลนครอบครัวนี้อยู่ในใจ เกือบจะเลิกสนใจแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่ไหนๆ เธอเลือกคนโตไว้ตั้งแต่แรก ก็ให้หลานชายไปดูตัวเสียหน่อย ดังนั้นจึงตกลงให้ทั้งคู่ได้มาพบกันเป็นการส่วนตัว
บุลินมองดูหญิงสาวตักอาหารรับประทานท่าทางเอร็ดอร่อย นิศากรมีความสุขกับการกินเป็นอย่างมาก
“ร้านนี้อร่อยมากจริงๆ ด้วยค่ะ เหมือนที่น้องสาวของไนท์บอกไว้เลย”
“คุณมิ้นน่ะเหรอครับ” ชายหนุ่มนึกถึงมาริษาขึ้นมาก็แอบโล่งใจนิดๆ ที่ไม่ต้องแต่งงานกับอีกฝ่าย เพราะดูแล้วน่าจะเป็นผู้หญิงที่เอาแต่ใจมากคนหนึ่ง
“เปล่าค่ะ น้องสาวแท้ๆ ของไนท์เองค่ะ เป็นน้องสาวฝาแฝดชื่อทิพากร ชื่อเล่นว่าเดย์ค่ะ พ่อกับแม่เลิกกันก็เลยแยกกันไปคนละทิศละทาง แต่พวกเราก็ยังติดต่อกันตลอดเลยค่ะหลังจากกลับมาเจอกันตอนโต” รอยยิ้มตอนพูดถึงน้องสาวนั้นกว้างขึ้น ดูเหมือนจะมีความสุขที่ได้เอ่ยถึง
หลังรับประทานอาหารจนหมดแล้ว บุลินก็พบว่าเจ้าตัวกินเก่งไม่เบาเลย ของหวานที่สั่งมาตอนหลังก็ยังกินได้เรื่อยๆ ด้วยท่าทางสบายๆ
“อยากไปไหนต่อหรือเปล่าครับหรืออยากกลับบ้านแล้ว”
บุลินเอ่ยถามไปโดยไม่คาดหวังอะไร แต่อีกฝ่ายกลับมองเขาตาแป๋ว ท่าทางดีใจ
“พี่บุ้งจะพาไปจริงๆ เหรอคะ”
เขาพยักหน้า “ถ้าคุณอยากไป แต่คงไปที่ที่ต้องเดินเยอะๆ ไม่ได้หรอกครับ ผมปวดขาข้างที่ใส่ขาเทียมน่ะ” จงใจย้ำให้เธอได้รู้อีกรอบว่าเขามีสภาพร่างกายแบบไหน
“ถ้าอย่างนั้นไปดูหนังกันดีไหมคะ”
นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้ไปโรงภาพยนตร์ อาจจะตั้งแต่เรียนจบละมั้ง มันนานจนลืมบรรยากาศการดูหนังจอใหญ่ร่วมกับคนอื่นไปหมด ซึ่งความจริงเขาก็ไม่ชอบสักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อออกปากไปแล้ว
“ก็ได้ครับ”
ดังนั้นเขาจึงให้คนขับรถพาเขาและนิศากรไปยังห้างสรรพสินค้าที่มีโรงภาพยนตร์ บุลินเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างรถด้วยความเบื่อหน่าย เขาไม่ชอบออกจากบ้านมาตั้งแต่สิบปีก่อนหลังจากที่ต้องตัดขาข้างซ้ายทิ้งไป
เขายังจำความรู้สึกตอนนั้นได้อยู่เลย ตอนที่ตื่นมาแล้วพบว่าขาบริเวณใต้เข่าหายไป อาชีพนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์ก็ต้องจบลงในวันนั้น ทุกอย่างพังทลายลงตรงหน้า หัวใจแตกสลายและพังยับเยิน กว่าเดิมเมื่อผู้หญิงที่ตัวเองหลงรักเลิกลังเลและเลือกใครอีกคน เขาก็เหมือนถูกช่วงชิงความสุขทั้งหมดไปจากชีวิต
แม้จะชินกับขาเทียมแล้ว แต่บุลินก็ยังรู้สึกว่ามันหนักอึ้งในความรู้สึกและคอยแต่จะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าหลายๆ คนจะต้องมองมาที่ขาของเขา แล้วก็คิดว่าเสียดายที่หน้าตาดี แต่ไม่น่าพิการเลย เขาเกลียดความเห็นใจแบบนั้นมากที่สุด
“พี่บุ้งคะ ไม่ลงเหรอคะ” นิศากรที่ลงไปยืนอยู่นอกรถยื่นหน้าเข้ามาถาม ชายหนุ่มถึงได้รู้สึกตัวว่ารถจอดนานแล้ว
“โทษที” บุลินลงจากรถก่อนเดินอ้อมรถอย่างช้าๆ ไปหาหญิงสาวที่ยืนรออยู่
“พี่บุ้งชอบดูแนวไหนเหรอคะ”
“ไม่มีความชอบเป็นพิเศษหรอกครับ” บุลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไร้อารมณ์ “เลือกเลย”
“งั้นไนท์เลือกเนอะ” นิศากรยิ้มกว้าง
หลังจากฟื้นขึ้นมาและเสียขาไป เขาก็ทำกายภาพบำบัดและฝึกการใส่ขาเทียมจนคล่อง ความพยายามของชายหนุ่มทำให้การเดินเหินดูแทบจะปกติดี แต่ยังไงมันก็ไม่เหมือนเดิม หากสังเกตดีๆ ก็จะรู้ว่าเขาเดินได้ไม่เป็นธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์
บุลินก้าวตามหญิงสาวขึ้นไปยังบันไดเลื่อนอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง เขาเลือกที่จะไม่มองไปยังคนรอบตัว แต่จับจ้องไปยังนิศากรที่ดูมีความสุขราวกับลูกหมาที่ถูกปล่อยออกมาวิ่งเล่นนอกบ้าน
“พี่บุ้งนั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวไนท์ไปซื้อตั๋วหนังเองค่ะ”
ชายหนุ่มส่งเงินให้กับหญิงสาว “ผมเลี้ยง”
“ขอบคุณค่ะ” นิศากรรับเงินไป ก่อนจะหายไปพักใหญ่กว่าจะกลับมาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
“ขอโทษที่ให้รอนานนะคะพี่บุ้ง มันต้องซื้อตั๋วหนังกับที่ขายตั๋วออนไลน์ค่ะ ไนท์ก็ไม่ได้มาดูนานมากแล้ว ก็เลยไปยืนงงอยู่พักใหญ่” เธอส่งการ์ดใบหนึ่งให้เขา “ไนท์เปิดบัตรให้ค่ะ แล้วก็ใช้เงินที่พี่บุ้งให้เติมเงินในบัตร”
“คุณเก็บไว้สิ”
“ให้ไนท์เก็บไว้เหรอคะ” เมื่อเขาพยักหน้า เธอจึงเก็บบัตรลงกระเป๋าเงินของตัวเอง “เอาไว้คราวหน้าเดี๋ยวมาดูด้วยกันอีกนะคะ”
บุลินเออออไปเรื่อยเปื่อย แต่ภายในใจกลับคิดว่าหลังแต่ง เขาคงไม่ออกไปไหนมาไหนอีกแล้วหากไม่จำเป็นแบบนี้
นิศากรเลิกคิ้วเมื่อชายหนุ่มยื่นธนบัตรใบละหนึ่งพันมาให้อีกใบ “เอาไปซื้อของกินระหว่างดูหนังสิ”
“ค่ะ” เธอยื่นมือไปรับ “พี่บุ้งอยากดื่มน้ำอะไรคะ แล้วก็ชอบป๊อปคอร์นรสไหน”
“คุณชอบแบบไหนก็ซื้อมาเถอะ” ว่าที่เจ้าสาวของเขารับคำ แล้วก็เดินจากไป
ในระหว่างที่นิศากรทิ้งชายหนุ่มไว้เพียงลำพังก็มีสายตาสองสามคู่มองมา บุลินปรายตามองกลุ่มนักศึกษาที่กำลังกระซิบกระซาบกันเสียงดัง ไม่มีความเกรงใจคนรอบข้าง
“ลองไปขอเบอร์เขาดูมะ เผื่อเขาอยากเลี้ยงนักศึกษา” พอคำพูดนั้นหลุดออกมา เพื่อนที่ยืนข้างกันก็หัวเราะ วี้ดว้ายเสียงดัง
น่ารำคาญ
นิศากรเดินกลับมาเร็วมาก เธอยื่นน้ำให้เขาแก้วหนึ่งและทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน พวกนักศึกษาจึงนิ่งไปนิด ก่อนจะส่งเสียงส่งท้าย
“โอ๊ย มีเด็กเลี้ยงแล้วว่ะ”
บุลินหันไปมองทั้งสามคนด้วยสายตาคู่คม ทำให้นักศึกษาเหล่านั้นสะดุ้ง อาจเพราะไม่คิดว่าเขาจะได้ยินหรือรู้ตัวละมั้ง
ชายหนุ่มตวัดสายตากลับมามองหญิงสาวข้างกาย นิศากรอายุตั้งยี่สิบห้าแล้ว แต่ด้วยรูปร่างที่เล็ก ให้เดาน่าจะสูงแค่ร้อยห้าสิบบวกนิดๆ กับใบหน้าที่ดูอ่อนวัย ก็คงมีหลายคนหรอกที่เดาอายุของเจ้าตัวผิด อาจคิดว่ายังเป็นนักศึกษา ส่วนเขาเล่าดูแก่จนเป็นเสี่ยชอบเลี้ยงเด็กสาวได้แล้วหรือไง ก็แค่สามสิบเจ็ดเองนี่
“พี่บุ้งหงุดหงิดเรื่องอะไรคะ” นิศากรเป็นคนที่ไวต่ออารมณ์ของคนอื่น ดังนั้นไม่ยากเลยที่เธอจะสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดของ
บุลิน
“เปล่า”
“ค่ะ” เธอรู้ว่าเขาหงุดหงิด แต่ถ้าเขาไม่เอาความหงุดหงิดนั้นมาลงกับเธอ เธอก็จะไม่คาดคั้นหรือพยายามให้เขาบอกมันออกมาหรอก
ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆ เมื่อถึงรอบของเรื่องที่ทั้งคู่รอจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปยังโรงภาพยนตร์และใช้เวลากว่าสามชั่วโมง เพื่อนั่งดูหนังรักโรแมนติกที่ตอนจบพระเอกตายเพราะสละชีวิตช่วยนางเอก มันก็น่าจะซาบซึ้งดีอยู่หรอก แต่ดันให้ตอนหลังนางเอกใจอ่อนยอมใช้ชีวิตอยู่กับพระรองนี่สิ สำหรับชายหนุ่มถือว่าจบได้บัดซบสิ้นดี
เสียงหาวเบาๆ ของคนข้างกายทำให้บุลินขมวดคิ้ว เขาหันไปมองเธอ แสงสลัวจากจอที่ภาพยนตร์เพิ่งจบลงทำให้เขาเห็นว่านิศากรนั้นหน้าตาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน และยิ่งแน่ใจเมื่อไฟสว่างขึ้นทั้งโรง
“คุณหลับ”
“ก็...แอร์เย็นนี่คะ”
บุลินส่งเสียงหึเบาๆ ในลำคอ คนที่ตั้งใจมาดูดันหลับ ส่วนเขาดันนั่งดูจนจบเรื่อง
“ว่าแต่หนังจบยังไงเหรอคะ” นิศากรเอ่ยถามเมื่อทั้งคู่เดินออกมาจากโรงภาพยนตร์เรียบร้อยแล้ว
“พระเอกตายเพราะช่วยนางเอก”
“อ้าว” หญิงสาวร้องเสียงหลง
“นางเอกเศร้าอยู่ห้าหกปี พระรองก็มาหาไม่ขาดสุดท้ายก็เลยได้กัน”
“จบโหดร้ายเกินไปแล้ว น่าสงสารพระเอกกว่าเดิมอีกค่ะ” ดวงหน้าเหมือนลูกหมาถูกดุทำให้อารมณ์มัวๆ หลังดูภาพยนตร์ที่ตอนจบไม่ถูกใจตัวเองของบุลินจางลง
“จริงๆ ก็ไม่ผิดอะไรนะ พระเอกก็ตายไปแล้ว นางเอกก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” นิศากรเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาใสๆ ไร้การเสแสร้งหรือมารยาใด ดูยังไงก็ลูกหมา “แต่ถ้าถามผม นางเอกโลเลแบบนั้น พระเอกถือว่าหมดเคราะห์หมดโศกแล้ว ขืนมีชีวิตอยู่ต่อก็คงต้องทุกข์ คอยระแวงว่าเมียตัวเองจะมีชู้หรือเปล่าเพราะพระรองมันขี้ตื๊อ”
นิศากรกะพริบตาปริบๆ สองสามที ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ แล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับบุลิน ตอนที่เธอเลือกเรื่องนี้ บนโปสเตอร์หรือตัวอย่างไม่ได้บอกเอาไว้ว่าจะเป็นรักสามเส้าเราสามคนอะไรแบบนั้น
บุลินพานิศากรมาส่งถึงบ้าน ก่อนที่นิศากรจะเปิดประตูลงจากรถ เธอก็หันมาถาม “เราจะเจอกันอีกเมื่อไหร่ดีคะพี่บุ้ง”
ฤกษ์แต่งงานนั้นเป็นอีกสามเดือนข้างหน้า ดังนั้นระหว่างนี้ย่าของเขาจึงให้มาทำความคุ้นเคยกับอีกฝ่ายก่อน เพราะในวันเข้าหอจะได้ราบรื่น ซึ่งสำหรับเขาแล้วคิดว่าผู้เป็นย่าคิดมากเกินไป วันไนต์สแตนด์ยังมีได้ นับประสาอะไรกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่เพิ่งเจอกัน มันก็ไม่ต่างกันหรอก
“อันที่จริงผมไม่ค่อยชอบออกจากบ้าน” เขาบอกออกไปตามตรง ทำให้สีหน้าของนิศากรที่เคยสดใสจืดเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด บุลินจึงสงสัยว่าเธอกำลังหลงเสน่ห์เขาเหรอ แต่พอสบตาแล้วก็พบว่ามันไม่ใช่ เขาดูออก เธอไม่ได้พิศวาสอะไรเขาในทางชู้สาว
“งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ”
“แต่ถ้าไปที่บ้านของผมก็ได้ครับ”
“บ้านพี่บุ้งเหรอคะ”
“อือ ยังไงก็ต้องไปอยู่อยู่แล้ว ลองไปเที่ยวเล่นดูก่อนก็น่าจะดี”
นิศากรยิ้ม ใบหน้ากลับมาสดใสร่าเริง “แล้วเมื่อไหร่ดีคะ”
“อาทิตย์หน้าผมจะส่งคนขับรถมารับครับ สักประมาณสิบโมง”
“ดีค่ะ เราจะได้กินมื้อเที่ยงด้วยกัน งั้นอนุญาตให้ไนท์ทำอาหารเที่ยงให้พี่บุ้งนะคะ”
บุลินมองนิศากรที่ดูจะดีใจจนออกนอกหน้า “ได้”
นิศากรมองเขาด้วยสายตาเหมือนซาบซึ้งน้ำใจ ก่อนยกมือขึ้นไหว้เขาราวกับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ตัวเองต้องเคารพ
“สวัสดีค่ะพี่บุ้ง เจอกันอาทิตย์หน้านะคะ”
ชายหนุ่มมองตามร่างเล็กที่เดินหายเข้าไปในตัวบ้านหลังโตด้วยความรู้สึกแปลกใจอยู่นิดหน่อย ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องดีใจขนาดนั้นด้วย แปลกคน