ซื้อบ้านผีสิงมารีโนเวท เจอผีสาวตนหนึ่งไล่เปิงเท่าไหร่ก็ไม่ไปฉันเลยจับเธอทำเมีย "อย่ามาทำสะดีดสะดิ้งจะเอาไหมผัว หรือจะไปอยู่ในท่อระบายน้ำ"
หญิง-หญิง,ตลก,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ไทย,ผี,ตลก,สยองขวัญ,นิยายยูริ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Ghost House ซื้อบ้านแถมเมียซื้อบ้านผีสิงมารีโนเวท เจอผีสาวตนหนึ่งไล่เปิงเท่าไหร่ก็ไม่ไปฉันเลยจับเธอทำเมีย "อย่ามาทำสะดีดสะดิ้งจะเอาไหมผัว หรือจะไปอยู่ในท่อระบายน้ำ"
‘อภิญญา’ หรือ ‘มิวเซียม’
หญิงสาววัย 25 ปี ผู้เกิดในเทวีฤกษ์ เธอเปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์แห่งทุกข์ทั้งหลายของเหล่าภูตผีที่บรรจุความทรงจำน่ากลัวเหล่านั้นไว้ตั้งแต่จำความได้ ทำให้ตอนนี้การเห็นหรือสัมผัสได้ถึงวิญญาณกลายเป็นเรื่องปกติราวกับเจอสุนัขที่มีไปทั่วทุกมุมถนน
แต่ไม่รู้เพราะโชคชะตาหรืออะไรที่ทำให้หญิงสาวหัวสมัยใหม่อย่างเธอซื้อบ้านผีสิงมารีโนเวท บ้านหลังนั้นมีผีสาวหนึ่งตนที่ไล่เปิงเท่าไหร่ก็ไม่ไป เธอเลยหาวิธีอยู่ร่วมกันเพื่อสงบศึก แต่นั่นกลับเป็นการฝ่าฝืนคำเตือนของแม่หมอที่บอกว่าเธอจะ ‘ฉิบหาย’ เพราะสิ่งลี้ลับ
ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องดวงเรื่องความเชื่อนั้น...
มันคือสิ่งที่จับต้องไม่ได้ มันเป็นความเชื่อที่ถูกยกขึ้นวางไว้บนพานสีทอง The Sixth Sense ก็เหมือนกัน สัมผัสที่หก สัมผัสที่สามารถรู้สึกเข้าถึงได้มากกว่าคนทั่วไปก็เป็นสิ่งต้องห้ามดูถูกเหยียดหยามหรือลบหลู่ทั้งนั้น และหนึ่งคนที่มีมันนั่นก็คือ ‘อภิญญา’ หรือ ‘มิวเซียม’ พิพิธภัณฑ์แห่งทุกข์ทั้งหลายของเหล่าภูตผีที่บรรจุความทรงจำน่ากลัวพวกนั้นไว้ตั้งแต่จำความได้
หญิงสาววัย 25 ปี พอดิบพอดีก็มีความเชื่อเกี่ยวกับการดูดวงฤกษ์ยามเช่นกัน และปลายทางแรกหลังจากเข้าสู่เบญจเพสก็คือการเข้าหาหมอดูที่ว่าแม่นนักหนาเพื่อทำนายดวงชะตาของตัวเองในช่วงนี้ ก่อนที่จะได้ฤกษ์เข้าไปหางานทำในเมืองหลวงหนีญาติประสาทเสียพวกนั้น ไม่เอาแล้วเธอจะไปตายเอาดาบหน้า ไม่ขออยู่รับใช้คนที่ไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ ของตัวเองแน่ ถึงจะมีบ้านฟรีให้พักอาศัยก็ไม่เอา
เธอเดินทางมายังสำนักแม่หมอแห่งนี้ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในป่าท้ายหมู่บ้านกลางชนบท ละแวกนี้มีแต่ป่าต้นยูคาลิปตัสและทุ่งนาชาวบ้าน บรรยากาศระหว่างทางเข้าถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกจางๆ จากสภาพอากาศในช่วงต้นฤดูหนาว บวกกับว่าก่อนหน้านี้ฝนเพิ่งโปรยปรายลงมาให้ชุ่มฉ่ำไปทั่วเป็นการส่งท้ายฤดู
‘ซ้าย’
วันนี้ต้องเริ่มด้วยซ้ายไม่ว่าจะเริ่มต้นออกจากบ้าน ขึ้นรถ หรือลงเรือ หญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวกับกางเกงยีนธรรมดาๆ ยืนบิดขี้เกียจอยู่สองสามทีหลังจากที่ก้าว ‘เท้าซ้าย’ ลงจากรถเหยียบบนลานหินผสมคอนกรีตในพื้นที่ของสำนัก ‘แม่หมอฮาย’
ไม่ใช่ฮายที่เป็นนักร้องเชพบ๊ะ หากแต่เป็นแม่หมอดูคนเก่งที่ลุงเขยของเธอแนะนำมาว่าแม่นนักหนาทำนายได้ถูกเผงจนเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว ป้าๆ อาเจ๊ทั้งหลายก็ต่างพากันยกโขยงมาที่นี่เพื่อดูดวงบ้างล่ะ เปิดไพ่จับผิดสามีบ้างล่ะ
แต่เธอนั้นแค่อยากมาลองดูหรอกนะ เพราะเห็นว่ามันใกล้บ้านพอดีและไม่เสียหายหากจะลองให้แม่หมอทำนายดูบ้าง ว่าถ้าหากเธอเข้าเมืองหลวงอาชีพการงานของเธอนั้นจะรุ่งหรือร่วง
“เชิญด้านในเลยครับคุณผู้หญิง”
เสียงร้องทักจากทางด้านหลังทำให้ร่างสูง 173 หันไปมองแล้วยิ้มรับอย่างสุภาพ เป็นเด็กหนุ่มที่อายุน่าจะใกล้เลข 2 แต่พอสายตาปราดมองสำนักขนาดใหญ่นั้นแล้วดวงตาคมก็ต้องเบิกกว้างกว่าเดิม เพราะไม่ใช่เฉพาะคนเท่านั้นที่เยอะแยะยุบยับเต็มไปหมด แต่เหล่าสัมภเวสีไร้ญาติก็อยู่ล้อมรอบสำนักทรงไทยนั้นเหมือนกันเพื่อเกาะกินส่วนบุญที่มีรัศมีสว่างปกคลุมไปทั่ว
ตั้งแต่เต็กกงอาอึ้มอาซิ่มที่ตบตีแย่งต้นไม้สิงสถิตเหมือนรำไทเก๊กสวนลุม ไปจนถึงผีเปรตหน้าตาเหมือนกอลลัมกำลังนั่งปรับทุกข์กับผีสาวบนหลังคาสำนัก ซึ่งแม่นางผีสาวตนนั้นก็คงยังไม่รู้ตัวเลยว่านั่งแบบนั้นกางเกงในมันโผล่ แต่ก็ช่างเถอะว่าแต่กิจการเขาดีจังนะเซ็งลี้ฮ้อไม่ไหวขนาดกลางวันแสกๆ ยังมีลูกค้ามากมายขนาดนี้ ช่างเป็นภาพที่น่าพิศวงชวนขนลุกจริงๆ
อภิญญามองภาพนั้นแล้วส่ายหน้าน้อยๆ เลิกสนใจเดินฝ่าแก๊งผีเข้าไปด้านในทำเหมือนว่าตัวเองมองไม่เห็น และดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่เดินทางมาที่นี่ เพราะรถราที่จอดเรียงหน้ากันนับรวมได้แล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบคันนั้นแน่นเอี้ยดจนลูกศิษย์สำนักต้องมาคอยจัดแจงสถานที่เข้าออกให้ คงเป็นอย่างที่ลุงเขยบอกจริงๆ ว่าแม่หมอคนนี้เด็ดดวงจนต้องบอกต่อ
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง...
หญิงสาวนั่งพิงผนังหลับแล้วหลับอีก จนกระทั่งมีเด็กหนุ่มมาสะกิดปลุกเพราะถึงคิวแล้ว กว่าจะถึงคิวที่จองไว้ก็เกือบบ่ายโมง แต่ถึงอย่างนั้นอภิญญาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะเธอว่างไม่ได้มีการมีงานให้ยุ่งยากลำบากแต่อย่างใด
“เพิ่งถึงวันเกิดไปเมื่อวานเหรอ” แม่หมอร่างท้วมดูมีอันจะกินใบหน้าอิ่มไปด้วยเครื่องประทินผิวมองกระดาษจดข้อมูลส่วนตัวที่เตรียมไว้ให้แล้วเงยหน้าถาม เสียงกระดิ่งประดับกายดังกรุ๊งกริ๊งเข้าหูจนวิ้งไปหมดไม่รู้ทนใส่ไปได้ยังไง
“ค่ะ ว่าไงดวงฉันเป็นยังไงบ้าง” เธอที่นั่งหน้าสุดรีบยื่นหน้าเข้าไปสบตาแล้วรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ด้านหลังก็มีอาเจ๊ใส่สร้อยทองทั้งตัวอีกหลายคนต่อคิวอยู่ และเหมือนจะเป็นห่วงดวงของเธอเหมือนกันถึงได้ขยับเข้ามาเงี่ยหูฟังกันใหญ่เลย
คนมีหน้าที่ดูดวงจากวันเกิดชื่อสกุลและเวลาตกฟากยกกระดานอะไรสักอย่างหน้าตาแปลกๆ ขึ้นมาขีดเขียน สลับกับดูไพ่ที่เธอเลือกไปด้วย เป็นการผสมผสานที่แปลกแต่ลงตัว ตั้งแต่ชุดไทยห่มสไบแต่เครื่องตกแต่งเป็นเหมือนสาวยิปซีนั่นแล้ว
อภิญญาเองก็ยิ่งใจจดใจจ่อ ภายในสำนักทรงไทยที่ประดับไปด้วยฉากกั้นไม้ฉลุลายไทยกว้างขวางนี้เงียบกริบลงทันใด แต่ทว่าใบหูของเธอยังคงได้ยินเสียงเปรตตนเมื่อครู่กำลังบ่นอยู่หรอก ว่าช่วงนี้แม่หมอมีลูกค้าเยอะขึ้นเลยไม่ค่อยมีเวลาทำบุญสำนักสักเท่าไหร่
“ฉิบหายแล้ว!”
“กรี๊ดดด!”
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นประสานเสียงไปทั่วสำนัก พร้อมกับร่างของหญิงมีอายุที่นั่งด้านหลังเธอถึงขั้นหงายหลังขาชี้ฟ้า หลังจากแม่หมอโพล่งออกมาเสียงดังพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่ตัวสั่นไหวสะบัดตามแรงในความเงียบจนเป็นที่น่าตกใจ
“โอ๊ยแม่หมอ ตกใจหมดเลย” มิวเซียมตบๆ หน้าอกตัวเองที่เต้นตุบตับเพราะเสียงดังโพล่งนั้นเหมือนกัน เธอนั่งอยู่หน้าสุดแท้ๆ ถ้าเปลี่ยนที่ตรงนี้เป็นยัยป้าด้านหลังสงสัยจะต้องเรียกรถพยาบาลแทน
“แม่แค่จะบอกว่าจากดวงของหนูและไพ่ที่หนูเลือก...หนูน่ะจะฉิบหายกับทางที่หนูเลือกโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง”
‘จะฉิบหายกับทางที่หนูเลือกโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง’
อภิญญาทำหน้าโรยรากลอกตามองบนอย่างละเหี่ยใจเพราะดูท่าแล้วเธอจะมาที่นี่โดยเปล่าประโยชน์เสียแล้ว ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่คิดหน้าคิดหลังใครทำแบบนั้นก็ฉิบหายกันหมดนั่นแหละ จะหลอกเม้มเงินฟรีล่ะไม่ว่า
“แบบนั้นใครก็พูดได้ปะ เอาที่เข้าประเด็นมากกว่านี้ที่คนปกติดูดวงไม่เป็นเขาพูดไม่ได้อะ ให้มันแม่นๆ สมราคาหน่อย” ใบหน้าสวยเฉี่ยวมีแววดื้อรั้นท้าทายขึ้นมาทันใดเมื่อคิดว่าเงินที่จ่ายไปจะสูญเปล่า
‘หน็อยแม่เด็กคนนี้นี่’
แม่หมอฮายเข่นเขี้ยวขบฟันผ่อนลมหายใจอย่างไม่ค่อยพอใจที่เจ้าหล่อนมาปรามาสในความสามารถของตนเอง แต่เพราะหล่อนเป็นลูกค้า เห็นว่าเพิ่งจะได้โตเป็นผู้ใหญ่กับเขาไม่นานเลยคงยังเก็บหมาในปากไม่เป็นหรอกนะถึงได้ไม่เอาความอะไร
“เรื่องลี้ลับ...หนูเป็นคนมีเซ้นส์กับเรื่องลี้ลับใช่ไหมล่ะจ๊ะ” กล่าวไปพร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตามองจับสังเกตอาการ ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงเลือดนกจะเหยียดยิ้มด้วยความกระหยิ่มใจเมื่อเจ้าของดวงนั้นอึ้งไปดูท่าทางจะถูกเผง
“นั่นแหละ สิ่งลี้ลับจะทำให้หนูฉิบหายในวันข้างหน้า หลีกเลี่ยงสิ่งลี้ลับซะ อย่าไปอยู่ใกล้มันมากไม่งั้นมันจะสูบบุญหนูจนหมด แม่เตือนได้แค่นี้” แม่หมอเน้นที่คำว่าฉิบหายให้ได้ยินชัดๆ อภิญญาที่ไม่เชื่อก่อนหน้าก็เริ่มมีใจฝักใฝ่ตาม นี่แม่นกันขนาดนี้เองสินะถึงได้เป็นที่ร่ำลือหนาหูไปทั่วประเทศจองคิวเป็นเดือนๆ
“จริงเหรอ” เธอยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกนิดถามย้ำ
“จริงสิ” คราวนี้เป็นแม่หมอที่นั่งอยู่ต่างระดับชั้นกันไปสูงเท่าบันไดหนึ่งขั้นโน้มหน้าเข้าหากันบ้าง
เธอจึงยื่นหน้าเข้าไปอีกจนคอยาวเป็นเต่าเพราะต้องการความสัตย์จริงไม่ใช่ว่าแอบไปหาข้อมูลลูกค้ามาก่อน คนที่รู้ว่าเธอมีเซ้นส์ก็พวกครอบครัวของเธอ แล้วถ้าลุงเขยเธอเป็นหน้าม้าล่ะก็...เธอจะกลับไปจัดการเขาแน่นอน
“แน่นะ”
“แน่สิ”
“ไม่ยั่วนะ”
“ไม่ยั่วสิ”
“นี่ถ้าต่อเพลงกันอีกสักท่อนระวังจะแขนหักกันคนละสองท่อนนะ จะจบได้หรือยังมีคนต่อคิวเยอะแยะเห็นหรือเปล่า” ยังไม่ทันได้ต่อจนจบเสียงอาเจ๊หนักทองด้านหลังก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน แหมมันน่านัก อีกนิดเดียวก็จะจบเพลงอยู่แล้ว
“แหะๆ ขอโทษค่ะเจ๊แหมเสร็จแล้วล่ะ”
อภิญญาหัวเราะแหะๆ เหลียวไปมองด้วยสายตาขอโทษขอโพยแล้วรีบจบพิธีกรรมดูดวงที่ได้ผลว่า ‘ชิบอิสกอน’ ของเธอลง นี่ขนาดยังไม่ได้เข้าเมืองหลวงเลยยังได้รับพรมงคลขนาดนี้ แต่ใครจะเชื่อล่ะ เธอก็อยู่กับของแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
โอ๊ย!...ไหงขาซ้ายของเธอถึงยังทำให้วันนี้ได้คำว่าฉิบหายมาล่ะเนี่ย สงสัยต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดูตำรับตำราใหม่เสียแล้วสิ