ซื้อบ้านผีสิงมารีโนเวท เจอผีสาวตนหนึ่งไล่เปิงเท่าไหร่ก็ไม่ไปฉันเลยจับเธอทำเมีย "อย่ามาทำสะดีดสะดิ้งจะเอาไหมผัว หรือจะไปอยู่ในท่อระบายน้ำ"

Ghost House ซื้อบ้านแถมเมีย - ตอนที่ 3 1313 เลขคงจะมงคล 2 โดย พีโอนี @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หญิง-หญิง,ตลก,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ไทย,ผี,ตลก,สยองขวัญ,นิยายยูริ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Ghost House ซื้อบ้านแถมเมีย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

หญิง-หญิง,ตลก,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,ตลก,สยองขวัญ,นิยายยูริ

รายละเอียด

ซื้อบ้านผีสิงมารีโนเวท เจอผีสาวตนหนึ่งไล่เปิงเท่าไหร่ก็ไม่ไปฉันเลยจับเธอทำเมีย "อย่ามาทำสะดีดสะดิ้งจะเอาไหมผัว หรือจะไปอยู่ในท่อระบายน้ำ"

ผู้แต่ง

พีโอนี

เรื่องย่อ

‘อภิญญา’ หรือ ‘มิวเซียม’

หญิงสาววัย 25 ปี ผู้เกิดในเทวีฤกษ์ เธอเปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์แห่งทุกข์ทั้งหลายของเหล่าภูตผีที่บรรจุความทรงจำน่ากลัวเหล่านั้นไว้ตั้งแต่จำความได้ ทำให้ตอนนี้การเห็นหรือสัมผัสได้ถึงวิญญาณกลายเป็นเรื่องปกติราวกับเจอสุนัขที่มีไปทั่วทุกมุมถนน

แต่ไม่รู้เพราะโชคชะตาหรืออะไรที่ทำให้หญิงสาวหัวสมัยใหม่อย่างเธอซื้อบ้านผีสิงมารีโนเวท บ้านหลังนั้นมีผีสาวหนึ่งตนที่ไล่เปิงเท่าไหร่ก็ไม่ไป เธอเลยหาวิธีอยู่ร่วมกันเพื่อสงบศึก แต่นั่นกลับเป็นการฝ่าฝืนคำเตือนของแม่หมอที่บอกว่าเธอจะ ‘ฉิบหาย’ เพราะสิ่งลี้ลับ

สารบัญ

Ghost House ซื้อบ้านแถมเมีย-0 บทนำ,Ghost House ซื้อบ้านแถมเมีย-ตอนที่ 1 ฉิบหาย,Ghost House ซื้อบ้านแถมเมีย-ตอนที่ 2 1313 เลขคงจะมงคล 1,Ghost House ซื้อบ้านแถมเมีย-ตอนที่ 3 1313 เลขคงจะมงคล 2,Ghost House ซื้อบ้านแถมเมีย-ตอนที่ 4 ผีสาวในบ้านร้าง,Ghost House ซื้อบ้านแถมเมีย-ตอนที่ 5 สาวนักไล่ผี,Ghost House ซื้อบ้านแถมเมีย-ตอนที่ 6 แพ้สกิลอ้อน

เนื้อหา

ตอนที่ 3 1313 เลขคงจะมงคล 2

ถึงเวลาร่างสมส่วนก็หิ้วกระเป๋าเดินตามแม่บ้านขึ้นไปยังชั้นบน ตึกนี้มี 5 ชั้น ซึ่งที่มาของเบอร์ห้อง 1313 นั่นก็คือ ตึกที่ 1 ชั้นที่ 3 และห้องที่ 13 แต่ดูเหมือนทั้งชั้นจะมีคนอยู่ครบแล้วเพราะมีรองเท้าวางเรียงรายอยู่หน้าห้องเต็มไปหมด หากแต่บรรยากาศนั้นเงียบสงบเสียจนน่าพิศวง

มีเพียงเสียงพวงกุญแจของแม่บ้านกระทบกันเท่านั้นที่ดังกระทบโสตประสาท ไฟตามทางเดินก็ติดๆ ดับๆ อย่างกับหอบุปผาราตรีไม่มีผิดเพี้ยน แต่ก็ช่างเถอะเพราะมิวเซียมไม่คิดจะอยู่ในที่โกโรโกโสแบบนี้นานนักหรอก

“มีอะไรก็ลงไปติดต่อเจ๊ยาหยีนะจ๊ะ ป้าไปก่อนล่ะ”

กุญแจหนึ่งดอกเก่าๆ ถูกแม่บ้านส่งให้แล้วเดินจากไปอย่างรีบร้อน โดยที่อภิญญายังไม่ทันได้ไถ่ถามอะไรทั้งนั้น แม่บ้านอายุเยอะคนนั้นดูเหมือนจะกลัวอะไรบางอย่างจนรู้สึกได้ ถึงได้ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดประตูพาชมห้องอีกครั้ง

อภิญญาส่ายหัวเลิกสนใจแล้วไขมันเข้าไป ก่อนจะถึงกับต้องร้องอุทานคำว่า ‘อื้อฮือ’ ออกมา เพราะทั้งห้องมีกลิ่นเหม็นสาบวิญญาณอาฆาตเป็นสิบๆ ดวง กลิ่นคล้ายสนิมนั้นแสดงออกถึงอารมณ์อ้างว้างเศร้าโศก คร่ำครวญหวนไห้อยู่ในโลกสีเทาของตัวเอง

ส่วนกลิ่นเน่าราวกับซากศพหนูตายเป็นตันนั้นบ่งบอกได้ว่าวิญญาณตนนั้นมีความพยาบาทอาฆาตแค้นในระดับที่รุนแรงแค่ไหน และมันรุนแรงจนเธอต้องรีบปิดประตูล็อกเรียบร้อยแล้วค้นเอาน้ำมนต์หลวงพ่อสองที่พกมาไว้เป็นเครื่องรางป้องกันตัวออกมาพรมตามประตู ผนัง ผ่านตู้เสื้อผ้าเก่าๆ ไปจนถึงเตียงไม้สักที่หน้าตาเหมือนจะเป็นไม้จากฝาโลงเสียมากกว่า ก่อนที่คนมีสัมผัสพิเศษจะเจอเข้ากับตัวต้นเหตุพอดี

เป็นกลุ่มควันสีดำๆ ก้อนใหญ่กองอยู่บนที่นอนขนาดเท่าลูกบาสเกตบอลหนึ่งลูก เธอจึงรีบเอาน้ำมนต์ที่เหลือสาดเข้าใส่จนหมดขวด ก่อนที่ควันก้อนนั้นจะแตกกระจายไปกลายเป็นวิญญาณดวงน้อยๆ นับด้วยตาเปล่าก็ประมาณ 8-9 ดวง มีอาการราวกับคนที่เพิ่งได้ออกมาสูดอากาศหลังจากที่โดนขังให้อยู่ในตู้เสื้อผ้ามาทั้งวัน

ถึงว่าล่ะตอนป้าแม่บ้านออกไปตัวสั่นงันงกห้อยพระเต็มคอซะราวกับเป็นตู้พระเคลื่อนที่ แถมที่วิญญาณพวกนี้ต้องมาอยู่กองกันบนเตียงคงเป็นเพราะยันต์กันผีที่ก่อนหน้านี้มันน่าจะติดทั่วห้องบนผนังทุกมุม คงจะโดนต้อนให้ต้องมาจับกลุ่มรวมกันแบบนี้มานานแล้วสินะ

ถามว่ารู้ได้อย่างไรงั้นหรือ ก็เพราะรอยกาวสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่าฝ่ามือบนผนังนั่นยังไงล่ะ คงไม่มีใครเอารูปอะไรเล็กๆ ธรรมดามาแปะไว้ทั่วห้องที่มีผีขนาดนี้หรอกนะ มันไม่ปกติ...หญิงสาวมองแล้วส่ายหัวใส่พวกวิญญาณทั้งหลายในห้องนี้ที่เยอะจนเหมือนโดนพามาฆาตกรรมหมู่ที่นี่ เดาพลาดเสียที่ไหน ถึงว่าอีป้าเจ้าของหอมันเก็บค่าห้องถูกเหมือนเศษเงินปากผี แหมนี่ถ้าเธอไม่ใช่มิวเซียมคนโหดคงโดนผีหลอกตายไปแล้ว

“มาทำอะไรที่นี่เนี่ย ทำไมไม่ไปเกิด” เธอวางกระเป๋าไว้แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงที่ดูสะอาดสะอ้านอยู่พอตัว เอนหลังสบายอย่างไม่แยแสเหล่าวิญญาณภูตผีที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศ คิดซะว่ากำลังนอนดูหิ่งห้อยสีดำ แต่ก็เพลินใจได้ไม่กี่วินาทีหิ่งห้อยพวกนั้นก็เริ่มสำแดงฤทธิ์กลายร่างเป็นอสุรกายตัวสีดำทมิฬชะโงกหน้ามองเธอ

กลิ่นโคลนสาบควายตีเข้าจมูกจนขมคอ น้ำเลือดน้ำหนองที่เปรอะไปทั่วร่างนั้นชวนอาเจียนอยู่ไม่น้อย หากไม่ใช่ว่าเธอชินชาเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่เด็กคงได้ตายเพราะหัวใจวายเป็นแน่

“มึงเป็นใคร” เสียงทุ้มหนาจนเกือบจะฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นตรงหน้าพร้อมกับใบหน้าเละที่ห่างจากปลายจมูกของเธอไปแค่คืบ ให้เดาไอ้อสุรกายดำเมี่ยมตัวนี้คงจะเป็นหัวหอกของที่นี่สินะ ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีพวกลูกกระจ๊อกอีกหลายตัวตั้งวงมุงดูเธออยู่เหมือนกัน

‘ทารก’ ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นทารกในเปลที่กำลังถูกญาติๆ นับสิบมองอยู่พร้อมจับจองว่าใครจะได้เป็นคนอุ้มไปเชยชมก่อนคนแรก แต่มันต่างกันตรงที่ว่าวิญญาณสัมภเวสีพวกนี้คงอยากจะสูบพลังชีวิตเธอเสียมากกว่า

“กูถามว่ามึงเป็นใคร”

“เฮ้อ จะพูดจะจากับคนไม่สนิทช่วยพูดจาดีๆ หน่อยได้ไหม ไม่มีมารยาท ไม่เคยมีใครสั่งสอนเหรอว่าควรพูดจายังไง”

“ตอบ!”

อภิญญาถอนหายใจออกมาด้วยรู้สึกว่าไอ้ผีพวกนี้ดูท่าทางจะรับมือยากเสียแล้ว เธอจำใจตอบมันไปเพราะอยากให้มันเอาหน้าตาที่เละเป็นเศษหมูเหลือจากกระทะปิ้งย่างออกไปไกลๆ สักที

“ฉันชื่อมิวเซียม เป็นคนมาเช่าห้องนี้จบไหม ทำไมมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ” เธอขยับถอยออกมานั่งเอาหลังพิงหัวเตียงบิดขี้เกียจ เพราะก่อนหน้านี้นั้นต้องนั่งเกร็งมาตลอดเพื่อหลบสายตาหวานเยิ้มของเจ๊ยาหยี ไอ้ผีพวกนี้ก็ยังจะพากันขยับเข้ามาหาจนรู้สึกว่ารอบตัวเริ่มมีความอึดอัดมากขึ้น

“มึงจะมาเป็นตัวตายตัวแทนให้พวกกูใช่ไหม”

“หึ คิดอะไรตื้นๆ ใครพาพวกแกมาก็ไปเอาที่คนนั้นสิ ประสาทเหรอจะมาเอาคนอื่นมาอยู่แทนตัวเอง เป็นผียังตรรกะป่วยขนาดนี้ เป็นคนจะขนาดไหน ไปๆ ไสหัวไปไหนก็ไปฉันรำคาญ แม่งปากเหม็นฉิบหายเลย”

มือบางยกขึ้นมาโบกๆ ไล่กลิ่นพร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกว่ารังเกียจและขยะแขยงอย่างไม่ปิดบัง และเพราะคำพูดยั่วโมโหของอภิญญาทำให้วิญญาณหิวบุญทั้งหลายต่างไม่พอใจ โดยเฉพาะอสุรกายที่เป็นหัวหน้าคุมภูตผี ร่างสีดำทะมึนค่อยๆ ขยายขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่วิญญาณดวงน้อยๆ จะเคลื่อนเข้าไปล่องลอยวนเวียนอยู่รอบตัว แล้วร่างนั้นก็จ้องมายังหญิงสาวตาเขม็งแดงก่ำพร้อมกับพุ่งเข้าหาหวังเอาวิญญาณดวงนี้มาจองจำไว้ที่นี่แทนตน


“ใครลบหลู่กู...มันต้องตาย!”


เปรี้ยง!

เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างอสุรกายพวกนั้นกระเด็นออกจากร่างของเธอพร้อมๆ กัน อภิญญามองภาพอัปรีย์จัญไรพวกนั้นแล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจพร้อมกับล้วงเอาสร้อยเบี้ยแก้และช้องหมูป่าที่เธอสวมมาตั้งแต่เด็กออกมาไหว้ แม้แต่วิญญาณอาฆาตพยาบาทพวกนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรเธอได้ทั้งนั้น

ต้องขอบคุณทวดของเธอเหมือนกัน ถ้าไม่ได้ท่านเป็นคนหามาให้เธอก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ อาจจะตายเพราะปากตัวเองก่อนเลยอันดับแรก เพราะบุญที่ตัวเองหอบมาด้วยตั้งแต่อดีตชาตินั้นสูงเสียดฟ้าอีกหนึ่ง แม้มันจะไม่ได้ช่วยให้เธอเป็นคนที่ดวงดีขนาดนั้น แต่มันก็ช่วยให้เธอรอดพ้นจากอะไรพวกนี้อยู่ดี

“จะเอายังไง ยังไงพวกแกก็ทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนะ ฉันเช่าห้องนี้แล้วตั้งห้าร้อยเลย เพราะฉะนั้นพวกแกต้องออกไป ไปเลยชิ้วๆ” มือบางสะบัดไล่พวกผีราวกับไล่นกที่ระเบียง แต่ผีดื้อรั้นก็ยังเป็นผีที่ดื้อรั้นเสมอต้นเสมอปลายอยู่ดี

“กูไปไม่ได้ถ้าไม่มีใครมาอยู่แทน มึงต้องมาอยู่ที่นี่แทนกู”

“เฮ้อ งั้นรอแป๊บเดียว” เพราะรำคาญใจในความดื้อรั้นเหมือนตั้งโปรแกรมไว้ อภิญญาจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

เรียวนิ้วจับซิบกระเป๋ารูดเปิดอย่างถนอมแล้วหยิบบางอย่างออกมา ตอนนี้กระดาษปากกามีพร้อม เธอต้องหาวิธีอยู่อย่างสันติเพราะตัวเองต้องกินต้องนอนที่นี่อีกกี่วันก็ไม่รู้จนกว่าจะหาห้องที่ราคาถูกได้พร้อมกับงานใหม่ ถึงจะชินชาแล้วกับสัมผัสอันน่าพิศวงของเธอ แต่ถ้าจะให้มานั่งกินข้าวไปมอง ‘อสุภะ’ ไปแบบนี้มันไม่ได้หรอกนะ มันไม่เจริญอาหารและทานข้าวไม่ลง

“อะ สะกดชื่อพวกมึงมาแล้วไสหัวไปไกลๆ คืนนี้กูจะนอนดีๆ”

เธอจรดปลายปากกาบนหน้ากระดาษหวังสงบศึกด้วยส่วนบุญ แต่สิ่งที่ได้กลับมานั่นก็คือก้อนอสุภะที่เคลื่อนตัวเข้าประชิดใบหน้าอย่างรวดเร็ว จนกลิ่นเน่าสาปสางตีขึ้นจมูกขมคอแทบอาเจียนออกมา ใบหน้าเละฉีกยิ้มจนผิวหนังเน่าเฟะบนหน้าเริ่มขาดออกจากกัน รอยยิ้มแสยงชวนสยองนั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ เนื้อเน่ายุ่ยขาดเป็นริ้วฉีกไปถึงใบหูเห็นขากรรไกรที่ห้อยลงมาราวกับหลอดไฟหน้ารถหลังขับชนเสาไฟฟ้า

แต่ถามว่ากลัวไหม...ไม่เลยอภิญญายกมือนวดขมับตัวเอง หากกลับกันเธอคงไม่โง่เสียพลังเพื่อหลอกหลอนคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวเลยสักนิดแบบนี้แน่

“กูไม่สะกด กูจะเอามึงมาแทนกู” ไอ้ผีหัวหน้าแก๊งมันทำเสียงเย็นๆ พร้อมกับลูกสมุนของมันที่หัวเราะคิกคักใส่เธอราวกับจะเย้ยหยัน พวกมันพากันขยับเข้ามาหวังจะเอาชีวิตกันอีกแล้ว แต่ไม่ทันได้เข้าใกล้น้อยกว่าฟุตก็ต้องกระเด็นออกไปอีกครั้งเพราะอานุภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ห้อยคอไว้มันสำแดงฤทธิ์ จนร่างเกรียมสีดำลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายบนพื้นท่ามกลางความแตกตื่นของเหล่าภูตผีลูกสมุนของมันอีกหลายตน

อภิญญาเริ่มทนไม่ไหวแล้วกับความดื้อรั้นแกว่งเท้าหาขวานนี้ นี่ถ้ามีขวานเธอจะสับให้เละเอาให้ยมบาลจดชื่อไม่ถูกกันเลยทีเดียว เราอยู่กันคนละโลก และโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณต่างคนต่างอยู่ไปก็ย่อมได้อยู่แล้ว แต่นี่ผีพวกนี้คิดจะเล่นงานเธอไม่พักเลย เห็นทีเราคงจะอยู่กันอย่างสงบไม่ได้แน่

“โอ๊ยรำคาญจังโว้ย! ตกลงจะเอาส่วนบุญไหม หรือมึงอยากลงหม้อหาอีผีเปรต แล้วดูสภาพบาปตีพ่อตีแม่ใช่ไหมมึงอะถึงได้ทุเรศแบบนี้ อุบาทว์ชาติเปรตจริงๆ ถ้ามึงไม่ยอมสงบศึกกับกูวันนี้ก็ได้เลย เดี๋ยวจะได้รู้ว่ามิวเซียมคนนี้โหดแค่ไหน”

อภิญญาค้นของศักดิ์สิทธิ์ในกระเป๋าออกมาวางเรียงบนเตียงแล้วเริ่มแกะมันออกมา ทั้งน้ำมนต์ ทรายเสก ผ้ายันต์ ว่านกำจัดผี และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนที่ไม่คิดว่าชาตินี่จะได้ใช้มัน

ทันทีที่พวกมันเห็นของที่เธอเทกระจาดลงบนเตียง เหล่าวิญญาณร้ายก็พากันไปกระจุกตัวอยู่เป็นก้อนที่มุมห้องอีกฝั่ง และพอเธอสาดทุกอย่างเข้าใส่เสียงกรีดร้องโหยหวนน่าขนลุกก็ดังระงมไปทั่วห้อง พร้อมกับเหล่าวิญญาณที่ปั้นตัวกันเป็นก้อนอีกครั้ง แต่ถึงพวกมันจะขดอยู่ด้วยกันเป็นก้อนไม่มีท่าทีสู้ต่อแล้วแต่ เสียงน่ารังเกียจนั่นก็ยังดังก้องอยู่ดี และหากว่าคนปกติรับรู้ได้ป่านนี้คงวิ่งหนีกันระนาวแล้ว

“แม่งเอ๊ย! น่ารำคาญฉิบหาย”

เสร็จแล้วก็ต้องมานั่งเหลือกตามองบนอย่างเอือมระอา นี่แหละชีวิตของเธอ เห็นทีคืนนี้เธอคงไม่ได้นอนอย่างสงบแน่เพราะหนวกหูเสียงกรีดร้องพวกนี้ ก็ภาวนาให้สัมภาษณ์งานผ่าน เพราะถ้าพรุ่งนี้ผ่านเธอจะย้ายออกทันที มีงานแล้วก็กล้าใช้เงิน แต่ที่ไม่กล้าใช้เงินก็เพราะยังไม่มีงานนี่แหละ