มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารฉันใด แวมไพร์ก็เลี้ยงมนุษย์ไว้เป็นอาหารฉันนั้น เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?

Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์ - บทที่ 1 เจอตัว โดย hischool @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,นิยายรัก,แฟนตาซี,โรแมนติก,แวมไพร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายรัก,แฟนตาซี,โรแมนติก,แวมไพร์

รายละเอียด

มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารฉันใด แวมไพร์ก็เลี้ยงมนุษย์ไว้เป็นอาหารฉันนั้น เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?

ผู้แต่ง

hischool

เรื่องย่อ


|


“หยุดให้หมดทุกคน...แม่ของนางอุตส่าห์ดูแลเก็บซ่อนนางไว้อย่างดี เราก็ควรทำเช่นเดียวกัน” อาโนฟาลิสกล่าว


“เห็นว่ามนุษย์เปิดเพลงให้วัวฟังแล้วทำให้มันอร่อยขึ้นหนิ...ดังนั้นหากเลี้ยงนางดี ๆ หน่อย เลือดของนางอาจจะอร่อยขึ้นก็ได้” อาอีดีสเสริม


“จะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้นางเพ่นพ่านเกินไปนัก...ผมไม่ชอบเห็นอาหารที่ยังไม่ตาย” และนี่คำพูดจากปากอาร์มีกริซ




“นี่คือข้อเสนอที่เราจะให้ และเธอไม่ควรปฏิเสธนะ...เบเรนส์”


|


*นิยายเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ใดที่มีอยู่จริงทั้งสิ้น เป็นเพียงจิตนาการของผู้เขียน*


**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน**


|




#ต่อชีวิตแวมไพร์




|


*** ถ้าชอบผลงานของเราคอมเมนท์บอกกันได้ตามสะดวก จะสติ๊กเกอร์ จะกดหัวใจได้หมดเลยนะคะ


หากจะกันติเตือนกันได้โปรดเป็นคำสุภาพนะคะ ถึงเราจะเป็นคนหยาบช้า แต่จิตใจลิตเติ้ลโพนี่ค่ะ ***


|




twitter : hischool.b


@bhischools

สารบัญ

Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-0 บทนำ,Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (1),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 1 เจอตัว,Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (2),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 2 หมูในอวย (1),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (3),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 3 หมูในอวย (2),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (4),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 4 เปลี่ยนกรง,Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (5),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 5 คู่ค้าสัญญาเลือด

เนื้อหา

บทที่ 1 เจอตัว


ก๊อก ๆ ๆ


เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้อง ๆ หนึ่ง บนชั้นสองของตึกแถวสูงในย่านที่พักอาศัยของผู้คน และเพียงไม่นานนักเจ้าของห้องก็มาเปิดประตู


“มาแล้วเหรอ” เธอทักเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดง ใบหน้าสวยหวานที่ถ้าใครไม่รู้จักมาเห็น ก็คงคิดว่ายังอายุผ่านช่วงแรกรุ่นมาไม่นาน แต่บัดนี้ ใบหน้างามนั้นดูซีดเซียวจนน่าใจหาย


“สวัสดีบาเมด” เขาว่า “ฉันเอาผ้าของลูกค้ามาให้ วันนี้มีลูกค้าใหม่หลายเจ้ามาให้ซักเพิ่มด้วยนะ”


“ขอบคุณจ้ะ” หญิงสาวกล่าว พลางว่า “ถ้ายังไงฉันฝากเอาผ้าที่เสร็จแล้วไปส่งให้หน่อยนะ...เข้ามารอในบ้านก่อนสิ”


เขายิ้มอย่างยินดี เมื่อเข้ามาในบ้านเพื่อนที่รู้จักกันมานาน เขามองซ้ายมองขวา ราวกำลังหาใครสักคน ก่อนเอ่ยถาม “แล้วนี่ยัยหนูยังไม่หายป่วยหรือ”


“ยะ...ยังจ้ะ ยังไม่หายเลย”


“ไม่สบายนานจริง ตั้งแต่ที่ทางการให้วัคซีน ฉันก็แทบไม่เห็นหน้ายัยหนู...” น้ำเสียงของเขาครุ่นคิด ก่อนจะทำหน้าตกใจ “หรือยัยหนูจะแพ้วัคซีน! แบบนั้นต้องรีบแจ้งทางการนะบาเมด!”


“เปล่าจ้ะ เปล่า ๆ ไม่ใช่ ๆ” เธอรีบปฏิเสธ “ลูกสาวฉันป่วยบ่อยอยู่แล้วเธอก็รู้ ก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนฉันนั่นแหละ”


“งั้นรึ...” แม้ชายหนุ่มจะยังรู้สึกตงิดใจ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ


“นั่งพักให้หายเหนื่อยสักประเดี๋ยว” เธอยื่นแก้วน้ำเย็นสะอาดให้เขา “ฉันจะไปเอาของลูกค้าหลังบ้านมาให้”


หญิงสาวปลีกตัวออกมาได้สำเร็จ เธอลอบถอนหายใจแผ่วเบา ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วดูอาการแย่ลงอีกระดับ แบบที่ควรนอนพักบนเตียงมากกว่ามามองหาตะกร้าผ้าซักแล้ว และก็พบว่ามันอยู่ในมือลูกสาวของเธอที่ยืนหลบอยู่มุมห้อง


สาวน้อยเรือนผมสีน้ำตาลแดง เค้าโครงหน้าจิ้มลิ้มราวกับถอดแบบผู้เป็นแม่ออกมา เว้นก็แต่สีของดวงตา เพราะของบาเมดนั้นสีน้ำตาลเข้มคล้ายกับสีผม ส่วนของเด็กสาวเป็นสีดำสนิท ดูเงาวาวราวกับท้องยามค่ำคืนที่ปราศจากดวงดาว


เพียงแต่ตอนนี้ใบหน้าน่ารักกำลังบึ้งตึง และใช้ดวงตานั้นจ้องลึกมายังแม่ของเธอ คาดว่าคงจะได้ยินบทสนทนาก่อนหน้าทั้งหมดแล้ว และที่สำคัญ เด็กสาวก็ไม่ได้ดูป่วยกายไม่สบายตรงไหนอย่างที่แม่ของเธอพึ่งบอกกับแขกที่รออยู่ในห้องนั่งเล่น


“จะโกหกกับคนอื่นว่าหนูป่วยไปถึงเมื่อไหร่”


“เอามาให้แม่เบเรนส์ แม่ต้องเอาไปส่งลูกค้า” เธอยื่นมือไปรอรับ


“หนูไปส่งให้เอง” เด็กสาวไม่ฟัง ทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็ถูกรั้งตัวไว้


“ไม่ได้”


“จะขังหนูไว้จนถึงเมื่อไหร่”


“อย่าใช้คำว่าขัง...แม่ไม่ได้ขัง”


“โอเคก็ได้ จะให้หนูออกไปใช้ชีวิตปกติได้เมื่อไหร่”


บาเมดถอนหายใจอย่างจนปัญญา ก่อนตอบ


“เมื่อแม่หาทางออกได้”


“ทางอออกจากอะไร”


“นี่ไม่ใช่เวลาจะคุยเรื่องนี้นะเบเรนส์ อาเท็ครออยู่”


ผู้เป็นลูกนิ่งไปพักหนึ่ง เธอมองแม่ที่ดูร่างกายอ่อนเพลียเหลือเกินก็ไม่กล้าจะเถียงต่อ


“ก็ได้ แต่แม่ควรหยุดพักผ่อน เพราะแม่ต่างหากที่ไม่สบาย” เธอว่า “หนูจะเอาผ้านี่ไปให้คุณอา และบอกว่าแม่จะไม่ทำงานสักพัก” ว่าจบเบเรนส์ก็เดินออกไปทันที


“อ้าว ยัยหนูหายดีแล้วหรือ” ชายที่รออยู่เอ่ยทัก


“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ” เด็กสาวกล่าวตามน้ำไป พลางยื่นของในมือให้ “เอ่อ...อาเท็คคะ คุณแม่จะไม่รับผ้าสักพักนะคะ อย่างที่อารู้ แม่เขาไม่ค่อยสบายเหมือนกัน”


“นั่นสินะ อาก็ว่าจะพูดอยู่ ร่างกายนางไม่ค่อยจะดีอยู่ โหมงานหนักไม่ไหวหรอก” เขาว่า “หนูก็ต้องดูแลแม่ดี ๆ นะลูก”


“แน่นอนค่ะ หนูจะ...”


ยังไม่ทันที่ยัยหนูเบเรนส์จะเอ่ยจบ เสียงคล้ายอะไรที่มีน้ำหนักหล่นและเสียงของแตกก็ดังขึ้นจากหลังบ้าน


ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปหาต้นเสียงอย่างรวดเร็ว แล้วก็พบว่านอกจากข้าวของที่หล่นแตกกระจัดกระจาย ยังมีร่างเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลสยายอยู่บนพื้น...


“แม่!”


“บาเมด!”






“คุณเฟร็ด”


“คุณพระช่วย!” ชายวัยสี่สิบปลาย ๆ อุทานอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังที่ตนคิดว่าไม่มีใครอยู่ “โถ่ คุณพ่อบ้านฟลู ทำไมชอบมาไม่ให้สุมให้เสียงนัก”


ผู้ที่ถูกตำหนิไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกผิดแต่อย่างใด ใบหน้านั้นเรียบนิ่ง ก่อนจะกล่าวถึงเหตุผลที่เขามาหาอีกฝ่ายในวันนี้


“คุณอาโนฟาลิสเชิญคุณไปพบ”


“อ่า...คุณชายใหญ่ ผู้ที่บัดนี้เป็นหัวหน้าตระกูลดิฟเทอร์แรน หนึ่งในตระกูลแวมไพร์เก่าแก่ที่ยังคงเหลืออยู่อยากพบกระผมรึนี่ เป็นเกียรติยิ่ง” ผู้เป็นหมอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เล่นที่จริง ขณะที่มือของเขายังคงหยิบนู่นเก็บนี่ใส่กระเป๋า


พ่อบ้านยังคงนิ่ง แต่ก็แอบเห็นหัวคิ้วของเขาขยับเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า


“นี่คงเป็นวิธีฝึกความจำของมนุษย์ที่เสื่อมถอยไปตามอายุสินะ”


หมอเฟร็ดหลุดหัวเราะร่า หยุดมือแล้วหันมามองคนพูด “คุณหาว่าผมแก่รึ” เขายังคงหัวเราะ ก่อนว่า “เขาจะให้ผมไปพบเมื่อไหร่ล่ะ”


“ตอนนี้”


เฟร็ดเลิกคิ้ว “ตอนนี้ไม่ได้หรอก ผมมีธุระแล้ว...งานศพน่ะ” คุณหมอกล่าวต่อ “นางเป็นคนไข้ของผม เป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว เพราะอะไรรู้ไหม...” เขารอให้อีกฝ่ายเดาคำตอบ


“...” พ่อบ้านที่ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะอยู่ฟังต่อ จึงทำท่าจะเดินจากไป


“เดี๋ยวก่อนสิ ผมยังพูดไม่จบเลยนะ” สุดท้ายเฟร็ดก็เฉลยเอง “นางเป็นลูกครึ่งแวมไพร์”


ดูเหมือนคำเฉลยนี้จะพอรั้งอีกฝ่ายให้อยู่ต่อได้


“จากการศึกษาของผม เด็กที่เกิดจากแวมไพร์และมนุษย์ ร้อยทั้งร้อยมักจะเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์ น้อยนักที่จะออกมาเป็นมนุษย์ ซึ่งหากออกมาเป็นมนุษย์ก็จะเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอกว่าปกติ มักจะอยู่ไม่รอดเกินสองปี...” เฟร็ดเหลือบมองและเห็นอีกฝ่ายยังยืนฟังอยู่ เขาจึงเล่าต่อ “แต่คนนี้แปลกมาก แม้ร่างกายนางจะอ่อนแอแต่ก็อยู่มาถึงอายุห้าสิบสองปี ถือว่ามากจนเหลือเชื่อ และที่ประหลาดใจกว่านั้นคือ นางสามารถมีลูกได้อีกด้วย”


“...”


“ไม่อยากเชื่อว่าร่างกายอย่างนางจะสามารถมีลูกได้...เป็นกรณีศึกษาที่ดีทีเดียว คุณว่าไหม” เขาพูดต่อ


“แต่ก็นั่นแหละ นางพึ่งจากไป คนรอบข้างคงคิดว่ากะทันหันน่าดู แต่สำหรับคนเป็นหมออย่างผม การที่นางอยู่มาได้นานถึงห้าสิบกว่าปีนั้นยิ่งกว่าปาฏิหาริย์” คุณหมอยังคงพูดไม่หยุด “เสียดายก็แต่หลายวันก่อนนางขอให้ผมไปหาที่บ้าน แต่ผมยุ่ง ๆ เลยยังไม่ได้ไป...นางก็จากไปเสียก่อน”


หมอเฟร็ดหยิบสูทสีดำเป็นทางการขึ้นมาสวม พลางว่า


“ผมว่าคุณควรไปด้วยกันนะคุณพ่อบ้าน ไม่มีอะไรต้องเตรียมตัวมาก ก็คุณดูเหมือนพร้อมไปงานประเภทนี้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วด้วย”


ฟลูไม่สนใจคำหยอกเย้า เขากลับตัวจะเดินจากไป


“อย่างน้อยงานนี้คงมีคนมารวมตัวกันเยอะพอดู น่าจะเป็นโอกาสดีนะ คุณอาจเจอคนที่กำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้ ใครจะรู้”






งานศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายท่ามกลางความโศกเศร้าของผู้คนนับสิบที่เคยได้สัมผัสผูกมิตรกับบาเมดผู้ล่วงลับ หญิงสาวที่สวยงามและจิตใจดี ที่บัดนี้กำลังหลับอย่างสงบในโรงไม้ใต้พื้นดิน


ผู้คนต่างยืนไว้อาลัยให้กับการสูญเสียครั้งนี้อย่างไม่ทันได้เตรียมใจ หลายคนก้มหน้านิ่ง หลายคนร้องไห้อย่างไม่สามารถกลั้นเสียงได้ และในหมู่คนมามายนั้นรวมถึงคุณหมอเฟร็ด และคุณพ่อบ้านฟลูอยู่ด้วย


ท่ามกลางลานโล่งนี้ ลมกำลังพัดผ่านช่วยให้เย็นสบาย คล้ายกำลังช่วยปลอบประโลมจิตใจ กลิ่นดิน กลิ่นหญ้าชื้น ๆ และกลิ่นเลือดเหม็นสาบของมนุษย์ในที่นี้ ราวกับถุงเลือดเสียกองใหญ่ ลอยตลบอบอวลไปทั่ว ทำให้ประสาทสัมผัสที่ดีเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ของฟลูปั่นป่วน


“...” คิ้วเขากระตุกเล็กน้อย พลางคิดในใจว่าคนที่ชวนเขามาคงกำลังหัวเราะเขาอยู่เป็นแน่


ยังไม่ทันสิ้นความคิด สายลมก็พัดมาอีกครา ฟลูนึกอยากยกมือขึ้นปิดจมูก


“...!” คุณพ่อบ้านตาเบิกกว้าง หันไปทางที่ลมพัดมาอย่างรวดเร็ว


“เป็นอะไรไปคุณฟลู” เฟร็ดที่เห็นท่าทางผิดปกติกระซิบถาม


“เราเจอแล้ว...” ฟลูสูดลมหายใจเข้าไป แม้ความจริงร่างกายเขาไม่จำเป็นต้องใช้อากาศแล้วก็ตาม


“เจอ?”


“กลิ่นแบบนี้ไม่ผิดแน่ มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกลิ่นเหม็นสาบมากมายนี้...”


“แล้วอย่างไรอีก” คุณหมอถามราวกับกำลังซักอาการคนไข้


“เหมือนกลิ่นเลือดมนุษย์ปกติ แต่ความหอมหวานรุนแรงกว่าจริง” ฟลูว่า ขณะสายยังยังพยายามมองหาเจ้าของกลิ่นนั้น


“งั้นสมมุติฐานของฉันก็เป็นจริง...ที่ว่าคนที่ได้รับวัคซีนแล้ว หากวัคซีนไม่ออกฤทธิ์ ผลข้างเคียงจะกลับตาลปัตร” หมอกระซิบอย่างภาคภูมิใจ


“ต้องระบุตัวให้ได้แน่ชัด”


“ไม่ยากหรอก”


แล้วช่วงเวลาไหว้อาลัยก็ผ่านไป ทุกคนต่างเข้ามาแสดงความเสียใจเป็นครั้งสุดท้ายกับญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ก่อนจะแยกย้ายกลับ


“เสียใจด้วยนะเบเรนส์”


“ขอบคุณค่ะคุณหมอเฟร็ด”


ทั้งสองกอดกัน


“ขอบคุณนะคะ ที่ที่ผ่านมาช่วยดูแลคุณแม่เป็นอย่างดีมาโดยตลอด”


“มันเป็นหน้าที่ฉันอยู่แล้ว” เขาตบหลังเธอเบา ๆ “เธอเองถ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาฉันได้เสมอนะ”


“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”


ทั้งสองคุยกันต่ออีกสองสามประโยค ก่อนที่เบเรนส์จะขอตัวไปดูแลแขกคนอื่น


“เป็นอย่างไร” หมอเฟร็ดถามคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล


“ใช่”


“ใช่นางรึ”


“ใช่นาง” ฟลูย้ำ ก่อนจะปลายตามองอีกฝ่าย “คุณไม่เป็นไรเหรอ”


“หมายความว่ายังไง”


“ก็คุณดูสนิทสนมกับนางพอสมควร และสนิทกับแม่ของนางด้วย” เขาว่า “คุณรู้ดีนี่ ว่าถ้าเราเจอมนุษย์แบบนี้เราจะทำอย่างไรกับคนผู้นั้น”


คุณหมอยิ้ม


“ผมคงก็ต้องตั้งสมมุติฐานใหม่เกี่ยวกับฤทธิ์ของวัคซีนที่มีต่อลูกเสี้ยวแวมไพร์”