มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารฉันใด แวมไพร์ก็เลี้ยงมนุษย์ไว้เป็นอาหารฉันนั้น เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?
รัก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,นิยายรัก,แฟนตาซี,โรแมนติก,แวมไพร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารฉันใด แวมไพร์ก็เลี้ยงมนุษย์ไว้เป็นอาหารฉันนั้น เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?
|
“หยุดให้หมดทุกคน...แม่ของนางอุตส่าห์ดูแลเก็บซ่อนนางไว้อย่างดี เราก็ควรทำเช่นเดียวกัน” อาโนฟาลิสกล่าว
“เห็นว่ามนุษย์เปิดเพลงให้วัวฟังแล้วทำให้มันอร่อยขึ้นหนิ...ดังนั้นหากเลี้ยงนางดี ๆ หน่อย เลือดของนางอาจจะอร่อยขึ้นก็ได้” อาอีดีสเสริม
“จะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้นางเพ่นพ่านเกินไปนัก...ผมไม่ชอบเห็นอาหารที่ยังไม่ตาย” และนี่คำพูดจากปากอาร์มีกริซ
“นี่คือข้อเสนอที่เราจะให้ และเธอไม่ควรปฏิเสธนะ...เบเรนส์”
|
*นิยายเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ใดที่มีอยู่จริงทั้งสิ้น เป็นเพียงจิตนาการของผู้เขียน*
**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน**
|
#ต่อชีวิตแวมไพร์
|
*** ถ้าชอบผลงานของเราคอมเมนท์บอกกันได้ตามสะดวก จะสติ๊กเกอร์ จะกดหัวใจได้หมดเลยนะคะ
หากจะกันติเตือนกันได้โปรดเป็นคำสุภาพนะคะ ถึงเราจะเป็นคนหยาบช้า แต่จิตใจลิตเติ้ลโพนี่ค่ะ ***
|
twitter : hischool.b
@bhischools
หลังจากวันอันแสนยาวนานของหญิงสาววัยยี่สิบสองปีที่พึ่งสูญเสียแม่ผู้เป็นที่รักยิ่งไป หลังจากนี้เธอคงต้องใช้ชีวิตอย่างตัวคนเดียวในห้องเช่าบนตึกแถว ที่ที่เคยเป็นบ้านอันแสนอบอุ่นของครอบครัวเล็ก ๆ สามคน พ่อ แม่ และลูก
เธอเคยเสียพ่อไปแล้ว บัดนี้ก็มาเสียแม่ไปอีก
เบเรนส์ทิ้งตัวลงบนโซฟากลางห้อง ลืมตามองเพดานอย่างว่างเปล่า ไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไป ได้แต่ปล่อยให้หยดน้ำไหลออกจากตาหยดแล้วหยดเล่า
ภายในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของเธอเบา ๆ แต่เธอกลับมีความรู้สึกแปลก ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ
เหมือนว่าเธอไม่ได้อยู่บ้านนี้คนเดียว
เบเรนส์ดึงตัวลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ ห้อง แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ไม่พบสิ่งใดผิดแปลก เธอจึงคิดไปว่าเธอแค่คงยังไม่ชินกับการอยู่คนเดียวเป็นครั้งแรก
หญิงสาวไม่ได้ล้มตัวลงนอนตามเดิม เธอเพียงแค่เอนหลังลงไปกับผนักพิง และได้เพียงไม่นานนักเธอก็สะดุ้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง
เธอรู้สึกเหมือนได้กลิ่นหอมบางอย่าง มันค่อย ๆ ลอยมาแตะจมูกของเธอจากที่ใดสักที่ มันเป็นกลิ่นของเครื่องหอมบางอย่างที่เธอไม่คุ้นเคย
เธอเดินตามหาที่มาของกลิ่นหอมในบ้านที่ไม่ได้ใหญ่นักอย่างเงียบเชียบ
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ค่อย ๆ แรงขึ้น แรงขึ้น และ...
ตุบ
เบเรนส์หมดสติ ล้มพับลงไปนอนกับพื้น ทันใดนั้น เงามืดบางอย่างก็คลืบคลาดเข้ามา
“เอาตัวไป ทำให้เงียบที่สุด อย่าให้ใครสังเกต”
“ครับ”
เบเรนส์รู้สึกตัวในที่สุด แต่หญิงสาวยังลืมตาไม่ขึ้น และยังประมวลผลในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
“ผมจะ...เลือด...ก่อน”
“ได้...ถ้า...ด้วย”
เธอได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ไม่ไกล แต่จับใจความไม่ได้ เนื่องด้วยสติยังเลือนลางนัก เธอฝืนเปิดเปลือกตาจนได้ ดวงตาดำสนิทค่อย ๆ รับแสง ภาพตรงหน้าที่เบลอก็ค่อย ๆ ชัดขึ้นตามลำดับ
เบเรนส์พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงแข็งในห้อง ๆ หนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่นัก ผนังและพื้นทั้งหมดเป็นปูนเปลือย มีประตูเป็นเหล็กหนา ไม่มีหน้าต่างหรือช่องทางที่สามารถมองออกไปภายนอกได้
นี่มันอะไรกัน...
หญิงสาวคิดไม่ออกว่าอย่างไรเธอถึงมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ทั้งที่เธอจำว่าตัวเองอยู่ในบ้านของตัวเองแท้ ๆ
จริงสิ เธอนึกได้ว่าเธอได้กลิ่นหอมบางอย่าง... ก่อนจะจำอะไรไม่ได้อีก
กลิ่นหอมนั่นเธอไม่คุ้นเลย มันไม่ใช่ของในบ้านเธออย่างแน่นอน มันคงต้องเป็นเครื่องหอมที่ทำให้หมดสติเป็นแน่ เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำเช่นนี้ เข้ามาทำแบบนี้ในบ้านเธอได้อย่างไร และทำเพื่ออะไร ในเมื่อที่ผ่านมาเธอก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับใคร หรือศัตรูที่จะเล่นพิเรนทร์กันได้ถึงเพียงนี้
เธอใช้ความคิดทั้งที่หัวยังคงรู้สึกมึนอยู่ พลางลุกขึ้นนั่งได้สำเร็จ บังคับร่างกายให้ขยับหมายจะลุกขึ้นยืน แต่เมื่อเท้าสัมผัสถึงพื้นก็ถึงกับสะดุ้ง เพราะมันเย็นเฉียบเกินกว่าที่มันควรจะเป็น
เบเรนส์สำรวจตัวเอง นอกจากมึนหัวแล้ว ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองบุบสลายตรงไหน ท้องไม่มีรอยผ่า ผิวหนังไม่มีรอยกรีด นิ้วเท้า นิ้วมือยังอยู่ครบ ขา และแขนยังขยับได้ดี
แต่เมื่อไล่ดูไปจนถึงแขนก็พบว่าตรงข้อพับข้างซ้ายมีรอยถูกเจาะ เป็นรอยขนาดเล็กคล้ายรอยถูกเจาะด้วยเข็ม อาจเป็นเข็มฉีดยา แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าถูกฉีดอะไรเข้ามา หรือถูกดูดอะไรออกไป
นอกจากนี้เธอยังพบว่าตัวเองที่ควรอยู่ชุดกระโปรงยาวสีดำ บัดนี้กลับอยู่ในชุดสีขาว จับดูแล้วคงทำมาจากผ้าดิบ สัมผัสของมันออกจะแข็งและสากเล็กน้อย ทรงมันเรียบทื่อ คล้ายเสื้อกล้ามแต่ยาวถึงเข่า ราวกับนำถุงกระสอบมาตัดเป็นรูพอให้ศีรษะและแขนทั้งสองข้างออกมาได้
เมื่อลูบคลำทั้งเนื้อทั้งตัวแล้วก็รู้ว่ามีเพียงเสื้อผ้าชิ้นนี้ชิ้นเดียวบนร่างกายเธอ
ใครมาทำกันได้ถึงเพียงนี้!
เบเรนส์คิดอย่างโกรธแค้น แต่ก็ไม่รู้จะแค้นใคร ความคิดสับสนตีกันไปหมด แต่ระหว่างที่หญิงสาวคิดว่าเธอควรทำอย่างไรต่อในสถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้ ควรไปทุบประตูบอกใครก็ตามที่น่าจะอยู่ข้างนอกว่าเธอรู้สึกตัวแล้วดีหรือไม่
ก็ไม่รู้ว่าหากส่งเสียงไปจะเป็นการเรียกหาคนช่วย หรือเรียกคนมาจัดการเธอกันแน่
ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นขัดความคิดของหญิงสาว
ปัง!
เธอสะดุ้งตัวโยน ก่อนประตูเหล็กที่เป็นช่องทางเปิดเพียงทางเดียวจะเปิดออก หญิงสาวตัวแข็งทื่อโดยพลัน
แม้สิ่งที่เห็นกลับต่างจากที่คิดไปมาก เพราะผู้ที่เข้ามาไม่ใช่ชายร่างยักษ์ท่าทางดุร้าย หรือแม่มดแก่หน้าตาน่ากลัวแต่อย่างใด เป็นเพียงหญิงสาวสองคนในชุดเครื่องแบบเหมือนแม่บ้านในบ้านคนร่ำรวย ผมถูกรวบตึงเป็นมวยอยู่ข้างหลัง คนหนึ่งเปิดประตูและยืนขวางทางออกไว้ ส่วนอีกคนถือถาดอาหารเข้ามาวางไว้บนเตียงข้างตัวเบเรนส์ แล้วก็เดินออกไป ปิดประตูดังปัง...และก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ห้องสี่เหลี่ยมตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่เบเรนส์จะได้ถามอะไร และก็ไม่มีใครพูดอะไรกับเธอ พวกนางไม่ได้มองเธอด้วยซ้ำ ราวกับเธอไม่ได้อยู่ที่นี่
“มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน...” นี่เป็นประโยคแรกที่หญิงสาวเปล่งเสียงพูดออกมา ก่อนจะหันไปมองสิ่งที่ถูกนำเข้ามาใหม่เมื่อสักครู่
เป็นถาดอาหารที่ประกอบไปด้วยแก้วน้ำที่บรรจุน้ำเปล่าใส ส่วนอาหารในชามคล้ายข้าวต้ม ที่มีผักสามสี แครอท บล็อกโคลี่ และดอกกะหล่ำ มีเม็ดถั่วทั้งสีแดง สีดำ เมื่อใช้ช้อนเขี่ย ๆ ก็เจอชิ้นเนื้อคล้ายเนื้อหมูสองสามชิ้น และคล้ายเครื่องในที่ไม่น่าใจว่าส่วนไหนบ้าง ซึ่งดูแล้วเหมือนทั้งหมดถูกต้มรวมกันในหม้อเดียว ก่อนจะตักใส่ชามโดยไม่ปรุงรสใด ๆ
เธอไม่รู้สึกอยากอาหารสักนิด และถึงหิวก็ไม่กล้าที่จะกินมันลงไปอยู่ดี
เบเรนส์ยกมันลงไปไว้ที่พื้น ก่อนจะลุกขึ้น เธอค่อย ๆ เดินไปที่ประตูเหล็ก และสัมผัสมัน เพียงสัมผัสก็รู้ว่ามันแข็งแรงมาก อีกทั้งความเย็นแล่นผ่านเข้ามายังปลายนิ้วมือ ทำให้เธอคิดว่าสภาพอากาศมันหนาวเย็นผิดปกติ ในเมื่อเมืองตะวันออกยังอยู่ในฤดูร้อน ที่นี่อาจห่างออกไปทางเหนือที่มีอากาศเย็นกว่า
หญิงสาวลองออกแรงดึงดันประตู และแน่นอนมันไม่ขยับ
ห้องสี่เหลี่ยมนี้ไม่มีอะไรมาก มันไม่ได้สกปรก แต่ก็ไม่ได้ดูดีนัก มันไม่มีอะไรเลยก็ว่าได้ เป็นเพียงห้องปูนเปลือยเปล่า ๆ ที่มีเตียงตั้งชิดผนังด้านหนึ่งเท่านั้น แม้แต่ไฟดวงเดียวบนเพดาน ก็ยังไม่มีที่ปิดเลย
เบเรนส์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ
เธอพึ่งเสียแม่ไปอย่างไม่ทันได้เตรียมใจ พ้นงานศพไม่ถึงวันเธอก็ถูกจับมาขังที่ไหนไม่รู้ พ่อเธอก็เสียไปนานแล้ว ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใหญ่โตกับใคร คิดไม่ออกเลยว่าใครเป็นคนทำเช่นนี้กับเธอ
อาจเป็นโจร...แต่เงินทองเธอก็ไม่ได้มีมากมาย บ้านช่องก็ไม่ได้ใหญ่โตเตะตาใคร
หรือเป็นพวกโรคจิต...ก็ไม่น่าส่งคนที่ดูเหมือนสาวใช้มาดูแลเช่นนี้
หรืออาจเป็นพวกค้ามนุษย์...น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด คงเพราะพวกมันเห็นเธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว จะทำอะไรก็ไม่มีใครมาตามเอาผิดเป็นแน่
แล้วเธอจะทำอย่างไร มองซ้ายขวาหน้าหลังก็ไม่เห็นหนทาง แต่จะให้นั่งรอเวลาถูกเฉือดแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่
หญิงสาวลุกไปที่ประตูอีกครั้ง
ปัง ๆ ๆ!
“มีใครอยู่ข้างนอกไหม! ฉันถูกจับมา! ช่วยด้วย! จับฉันมาทำไม! ขอร้องล่ะ! ปล่อยฉันไปเถอะ! ได้โปรด!!!”
หญิงสาวยังคงถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน และไม่มีใครบอกอะไรกับเธอ
ที่ทำให้สับสนไปกว่านั้นคือ เธอไม่ได้ถูกบังคับให้ทำอะไร นอกจากให้กินอาหารเมนูเดิม ๆ ซึ่งหากเบเรนส์ไม่กิน ผู้หญิงในชุดสาวใช้สีขาวดำจะกลับเข้ามายืนจ้องเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ จนกว่าเธอจะกินหมดถึงจะเก็บชามและเดินออกไป
เบเรนส์พยายามสุดความสามารถในการถามพวกนางถึงสาเหตุที่จับเธอมา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ตะคอกก็แล้ว อ้อนวอนก็แล้ว ก็ยังไม่มีใครปริปากอะไรราวกับเป็นใบ้ และเมื่อเข้าไปจับตัวนางก็พบว่าร่างกายนางเย็นเฉียบ ลองสังเกตดูใบหน้าทุกคนนั้นไร้ความรู้สึก ผิวหนังขาวซีดจนน่ากลัว พวกนางเงียบเชียบ ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีแม้กระทั้งเสียงลมหายใจ
แต่หญิงสาวยังไม่ยอมแพ้ เธอยังพยายามถามพวกนางซ้ำ ๆ ด้วยคำถามเดิม ๆ ก็มาดูกันว่าใครจะหมดความอดทนก่อนกัน
เบเรนส์ไม่รู้แน่ชัดว่าวันเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ตอนนี้เป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ไม่อาจทราบได้ เพราะในนี้ไม่มีนาฬิกา และไม่มีแสงจากภายนอกส่องเข้ามาแม้แต่น้อย จนเธอคิดไปว่า ที่นี่อาจเป็นห้องใต้ดิน
แต่เธอคาดเดาว่าน่าจะผ่านมาเป็นเวลาสามวัน
เพราะหากนับจากมื้ออาหารที่หญิงสาวเหล่านั้นเอามาให้ทั้งหมดตั้งแต่ที่เธอได้สติจนถึงตอนนี้ก็เป็นจำนวนเก้ามื้อ
และอีกอย่างที่ช่วยให้เธอเดาได้คือ การเปิดปิดของไฟ เพราะหลังจากพวกเขาเข้ามาเก็บจานอาหารในครั้งที่สาม ไฟก็จะถูกปิดลงในเวลาไม่นาน แม้เธอจะไม่กล้าหลับ แต่ก็ฝืนกลไกร่างกายไม่ไหวหลับไป ถึงกระนั้นก็สะดุ้งตื่นเป็นระยะ
เรื่องที่น่าแปลกมาก ๆ อีกเรื่อง คือ พวกเขารู้ทุกการเคลื่อนไหวของเธอ
เมื่อเธอไม่กินข้าว สาวใช้สองคนจะเข้ามา
เมื่อกินข้าวเสร็จ วางช้อนลงบนถาดอาหาร สาวใช้สองคนจะเข้ามาเก็บทันที
แม้กระทั่งเธอพึมพำว่าอยากเข้าห้องน้ำ ยังไม่ทันจะทุบประตูเรียก สาวใช้สองคนจะเข้ามาจับแขนเธอด้วยมือที่เย็นเฉียบไว้คนละข้าง ก่อนจะกึ่งดึงกึ่งลากเธอให้เดินไป
และนี่เป็นหนทางเดียวที่เธอจะออกไปข้างนอกได้
ภายนอกห้องขังเล็กเป็นโถงกว้าง แสงไฟสลัวแทบจะมองอะไรไม่เห็น โดยทันทีที่ก้าวเท้าพ้นขอบประตู เบเรนส์ก็ถูกดึงให้เดินไปทางขวาทันที เธอพยายามเพ่งมองรอบข้างและเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด หญิงสาวพบว่าถัดจากห้องที่ขังเธอมีห้องแบบเดียวกันนี้อีกหลายห้อง แต่คาดว่าน่าจะไม่มีใครถูกขังอยู่ ด้วยเหตุที่ว่า หนึ่ง เบเรนส์ไม่เคยได้ยินเสียงร้อง หรือเสียงของสิ่งมีชีวิตอะไรเลย และสอง ประตูห้องขังเมื่อเปิดปิดจะมีเสียงดังมาก ถ้ามีคนถูกขังอยู่ก็น่าจะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูห้องอื่นเล็ดลอดมาให้ได้ยินบ้าง แต่ที่ผ่านมานั้นไม่มีเลย
นับได้ประมาณสามสิบก้าวหญิงสาวทั้งสองก็ผลักเบเรนส์เข้าไปในห้องน้ำและปิดประตูให้เสร็จสรรพ ขนาดมันพอ ๆ กับห้องของเธอ ภายในมีอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ครบครัน และมีเสื้อผ้าแบบเดียวกับที่เธอใส่อยู่อีกหลายชุดไว้ให้เปลี่ยน
เบเรนส์ใช้เวลาสำรวจห้องน้ำและทำธุระส่วนตัวอยู่พักหนึ่ง เมื่อเสร็จก็ทุบประตูสองสามครั้งประตูก็เปิดออก ปล่อยให้พวกสาวใช้ไร้วิญญาณที่รออยู่ลากเธอไปอีกครั้ง
มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่หญิงสาวขอเข้าห้องน้ำ แต่ในครั้งล่าสุด ขากลับก่อนที่เธอจะถูกผลักเข้าห้องขัง เบเรนส์แอบเห็นว่าห่างออกไปมากกว่าสามสิบก้าวเหมือนมีคนกำลังเดินลงบันไดมา
ตรงนั้นเป็นประตูทางออกสินะ...