มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารฉันใด แวมไพร์ก็เลี้ยงมนุษย์ไว้เป็นอาหารฉันนั้น เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?

Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์ - บทที่ 3 หมูในอวย (2) โดย hischool @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,นิยายรัก,แฟนตาซี,โรแมนติก,แวมไพร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายรัก,แฟนตาซี,โรแมนติก,แวมไพร์

รายละเอียด

มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารฉันใด แวมไพร์ก็เลี้ยงมนุษย์ไว้เป็นอาหารฉันนั้น เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?

ผู้แต่ง

hischool

เรื่องย่อ


|


“หยุดให้หมดทุกคน...แม่ของนางอุตส่าห์ดูแลเก็บซ่อนนางไว้อย่างดี เราก็ควรทำเช่นเดียวกัน” อาโนฟาลิสกล่าว


“เห็นว่ามนุษย์เปิดเพลงให้วัวฟังแล้วทำให้มันอร่อยขึ้นหนิ...ดังนั้นหากเลี้ยงนางดี ๆ หน่อย เลือดของนางอาจจะอร่อยขึ้นก็ได้” อาอีดีสเสริม


“จะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้นางเพ่นพ่านเกินไปนัก...ผมไม่ชอบเห็นอาหารที่ยังไม่ตาย” และนี่คำพูดจากปากอาร์มีกริซ




“นี่คือข้อเสนอที่เราจะให้ และเธอไม่ควรปฏิเสธนะ...เบเรนส์”


|


*นิยายเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ใดที่มีอยู่จริงทั้งสิ้น เป็นเพียงจิตนาการของผู้เขียน*


**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน**


|




#ต่อชีวิตแวมไพร์




|


*** ถ้าชอบผลงานของเราคอมเมนท์บอกกันได้ตามสะดวก จะสติ๊กเกอร์ จะกดหัวใจได้หมดเลยนะคะ


หากจะกันติเตือนกันได้โปรดเป็นคำสุภาพนะคะ ถึงเราจะเป็นคนหยาบช้า แต่จิตใจลิตเติ้ลโพนี่ค่ะ ***


|




twitter : hischool.b


@bhischools

สารบัญ

Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-0 บทนำ,Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (1),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 1 เจอตัว,Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (2),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 2 หมูในอวย (1),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (3),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 3 หมูในอวย (2),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (4),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 4 เปลี่ยนกรง,Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (5),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 5 คู่ค้าสัญญาเลือด

เนื้อหา

บทที่ 3 หมูในอวย (2)


ตอนนี้น่าจะเข้าวันที่สี่แล้ว


เวลาที่ผ่านไปแบบเปล่าประโยชน์มันน่าเบื่อยิ่งนัก ทำให้เธอคิดฟุ้งซ่านถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ นา ๆ เช่น ที่เธอไม่ได้ถูกบังคับให้ทำอะไร อาจเพราะถูกทำไปแล้วตั้งแต่ตอนที่เธอไม่ได้สติ เธออาจถูกจับมาทำการทดลองอะไรสักอย่าง และตอนนี้พวกเขากำลังรอดูผลข้างเคียงก็เป็นได้


เบเรนส์ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอต้องหาทางหนี


แต่จะทำอย่างไร?


หญิงสาวเริ่มสำรวจห้องอีกครั้ง พยายามไม่แสดงสีหน้าท่าทางความรู้สึกว่ากำลังหาหนทางหลบหนี ทำให้ดูเหมือนเธอกำลังเดินไปเดินมาแก้เบื่อ เพราะเธอรู้สึกว่ามีคนจับตามองเธออยู่ แม้จะไม่รู้ว่าทำได้อย่างไรก็ตาม


เธอใช้มือลูบไปที่ผนังทั่ว ๆ ด้วยความคิดว่าอาจมีกลไกบางอย่างซ่อนอยู่ก็เป็นได้


ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกอีกครั้ง


ปัง!


เบเรนส์สะดุ้งสุดตัว ตาเบิกกว้าง คิดว่าเธอหาทางเปิดประตูได้แล้ว


แต่ไม่ใช่ คนที่เปิดประตูเข้ามาเป็นสาวใช้ไร้วิญญาณสองคนเช่นทุกครั้ง


เบเรนส์คอตก พลางคิดในใจว่า


พวกนางรู้หรือว่าฉันกำลังทำอะไร อ่านใจได้รึไงกัน!


แล้วเธอก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นตามหลังสาวใช้เข้ามาด้วย เป็นผู้หญิงวัยกลางคนในชุดสีขาวสะอาด มีผ้าคาดเก็บผมเหมือนชุดนางพยาบาล ในมือถือถาดที่มีอุปกรณ์อะไรบางอย่าง


นางให้บรรยากาศต่างจากพวกที่เบเรนส์เจอมาสามสี่วันอย่างสิ้นเชิง นางดูเหมือนคนปกติ


“ขออภัยค่ะ ดิฉันมาเจาะเลือดคุณ”


เบเรนส์ตาเบิกกว้างอีกครั้ง ไม่ได้ทันฟังสิ่งที่เธอคนนั้นพูดออกมา หญิงสาวก็พุ่งตัวไปเขย่าตัวคนที่มาใหม่ทันที


“คุณพูด!”


หญิงในชุดสาวใช้สองคนเข้ามารวบตัวเบเรนส์ด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด


“จับฉันมาทำไม! ฉันไปทำอะไรให้! ปล่อยนะ!”


“ดิฉันมีหน้าที่แค่มาเจาะเลือดเท่านั้น ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วยค่ะ” นางพยาบาลกล่าวอย่างสงบ


“เจาะเลือดหรือ” เบเรนส์ถามทั้งที่ยังโดนสาวใช้หน้าตาจับตัวไว้แน่น


“ค่ะ”


“ทำไม”


“คุณหมอให้ดิฉันมาเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปตรวจค่ะ”


“ตรวจอะไร”


“ไม่ทราบค่ะ”


“หมอไหน”


“คุณหมอเฟร็ด คลินตันค่ะ”


“คุณหมอเฟร็ดเหรอ!” เบเรนส์พูดอย่างตกใจ


ทำไมหมอเฟร็ดถึงมาตรวจเลือดเธอล่ะ... เขาอาจถูกจ้างมาโดยไม่รู้ว่าต้องตรวจใครก็ได้ แต่ถ้าเขารู้ว่าเป็นเธอเขาต้องช่วยเธอแน่


“เขามาที่นี่ไหม”


“ดิฉันมีหน้าที่เพียงเจาะเลือด และเก็บเลือดไปเล็กน้อยเท่านั้น จะไม่มีการทำอะไรเกินกว่านี้ ไม่เป็นอันตรายแน่นอน ดิฉันรับรอง” พยาบาลบอก


“เพราะฉะนั้นดิฉันคิดว่าคุณควรให้ความร่วมดีแต่โดยดีจะดีกว่า จะได้ไม่บาดเจ็บ”


เบเรนส์นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะสะบัดตัวออกจากการจับกุม


“ก็ได้”


หญิงสาวใช้ปล่อยตัวเธอและถอยไปยืนที่หน้าประตู


“นอนลงค่ะ” นางพยาบาลกล่าว มองเบเรนส์ที่ทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะวางถาดในมือลงบนเตียงข้างตัวหญิงสาว


เบเรนส์เหลือบมองของในถาด เห็นถุงมือยางสีขาว ยางเส้นยาว ๆ หนึ่งเส้น สำลีก้อน หลอดเล็กหนึ่งหลอด และเข็มฉีดยา


พยาบาลหญิงจับมือเบเรนส์ให้ราบไปกับเตียง ก่อนจะใส่ถุงมือ นางใช้นิ้วจับ ๆ คลำ ๆ บริเวณข้อพับด้านซ้ายของเบเรนส์ และหยิบสายยางมารัดเหนือข้อพับ ใช้สำลีเช็ดผิวหนังเล็กน้อย


“ฉันถูกจับมาทดลองอะไรบางอย่างใช่ไหม” เบเรนส์เอ่ยถามเบา ๆ


“ดิฉันไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับคุณหรอกค่ะ” หญิงในชุดพยาบาลสีขาวกล่าว “แต่อย่ากังวลไปเลย ดิฉันไม่ได้จะทำร้ายคุณแน่นอน”


ภาพตรงหน้าที่พยาบาลกำลังถือเข็มฉีดยาแหลมในมือ ไม่ชวนให้คนฟังสงบจิตใจได้เลย


“ไม่ต้องเกร็งนะคะ” นางพยาบาลกดปลายแหลมของเข็มฉีดยาลงบนแขนเธออย่างเบามือ


เบเรนส์มองตามเลือดสีแดงเข้มของตนที่ค่อย ๆ ไหลขึ้นไปในหลอดฉีดยา


ครู่เดียวเท่านั้นพยาบาลก็ปลดสายยางที่รัดแขนให้คลาย ก่อนจะถอดเข็มฉีดยาออกในที่สุด


หญิงวัยกลางคนนำเลือดที่ได้ใส่ลงในหลอดเล็ก ๆ ที่เตรียมมา อละหันมาพูดกับคนที่นอนอยู่บนเตียง


“แค่นี้ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้วค่ะ เอาสำลีกด...”


เคล้ง!


เสียงของถาดอุปกรณ์ตกกระทบพื้นปูนดังลั่น ตามด้วยเสียงกุก ๆ กัก ๆ ที่เตียง เพราะคนที่พึ่งถูกเข็มจิ้มเมื่อครู่กำลังชักดิ้นชักงออยู่บนเตียง


หญิงสาวในชุดพยาบาลตกใจถึงขีดสุด


“คุณคะ! คุณ!” นางโผเข้ามาพยายามจับตัวเบเรนส์แต่ไม่ง่ายนัก เพราะแขนขาของหญิงสาวแข็งเกร็ง สะบัดไปมาอย่างรุนแรง นิ้วมือนิ้วเท้างองุ้ม ตาเหลือกขึ้น และปากก็ยังบูดเบี้ยว


แม้คุณพยาบาลจะไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ ทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการเจาะเลือดเท่านั้น แต่ปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ดีแน่ จึงหันไปตะโกนบอกสาวใช้สองคนที่พาเธอมา


“ไปตามคุณหมอมาเร็ว!” พยาบาลพยายามจับตัวเบเรนส์ที่ยังดิ้นทุรนทุรานอยู่


สาวใช้ทั้งสองจ้องมายังเหตุการณ์ตรงหน้า พวกนางขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมทำตามคำสั่ง


“ไปเร็วสิ ไปตามหมอเฟร็ดมา! จะปล่อยให้นางชักอยู่อย่างนี้รึไง เดี๋ยวนางก็ตายหรอก!”


สาวใช้มองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะยอมเปิดประตูออกไป


“คุณคะ คุณได้ยินดิฉันไหม!”


เบเรนส์ยังคงชักเกร็ง สายตาเหลือบมองไปทางประตูที่เปิดค้างอยู่


เธอใช้แรงทั้งหมดผลักนางพยาบาลออกไปทันทีจนนางล้มไปกับพื้น


“โอ๊ย! ...!”


ไม่รอให้ได้ตั้งตัว เบเรนส์หยิบถาดหวดไปที่หน้าอีกฝ่ายสุดแรงจนแน่นิ่งไป หญิงสาวคว้าเข็มฉีดยาแหลมขึ้นมา และวิ่งออกไปทันที


เธอหอบหายใจอยู่ในโถงกว้างที่แสงไฟน้อยนิด และพยายามคิดหาหนทางรอดอย่างรวดเร็ว


เธอกำลังคิดว่า เธอทำเช่นนี้ดีแล้วหรือไม่ หรือควรแกล้งป่วยรอให้หมอเฟร็ดมาก่อนแล้วค่อยขอให้เขาช่วยเหลือ เพราะเธอไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรรออยู่บ้าง


แต่ถึงกระนั้นเธอก็วิ่งฝ่าความมืดสลัวไปยังอีกฟากของห้องโถง ที่ที่เธอเห็นเหมือนมีคนเดินลงมา ซึ่งมันก็เป็นบันไดจริง ๆ โดยปลายสุดของบันไดมีประตูที่ปิดอยู่


เบเรนส์ไม่รอช้าวิ่งขึ้นไปลองเปิดประตูดู ด้วยความคิดที่ว่าถ้าหากมันล็อคก็แค่กลับเข้าไปห้องขัง แกล้งชักต่อรอหมอเฟร็ดมาก็ไม่สาย


มันเปิดได้!


หญิงสาวค่อย ๆ แง้มประตูออกอย่างระมัดระวัง แสงแดดจ้าค่อย ๆ สาดส่องมาจนดวงตาที่ไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์มาหลายวันต้องหลี่ตาแทบไม่ทัน


เธอก้าวออกมาจากหลังประตูราวกับเหมือนคนละโลก เพราะที่เธอเหยียบอยู่ตอนนี้เป็นห้องกว้างห้องหนึ่งคล้ายห้องเก็บของของเหล่าผู้ดีมีเงิน เธอคว้าเชิงเทียนทองเหลืองลายวิจิตรที่อยู่ไม่ไกลติดมือมาด้วย ดูจะใช้ป้องกันตัวได้มากกว่าเข็มฉีดยา


เบเรนส์เดินไปยังหน้าตาที่แสงแดดลอดเข้ามา มันเป็นกระจกสีขุ่นมองไม่เห็นภายนอกและเปิดไม่ได้ เธอไม่แน่ใจว่าควรทุบกระจกหรือไม่ นี่จะเป็นการเรียกพวกมันให้แห่มารึเปล่า


หญิงสาวเลือกเดินไปเปิดประตูแทน และโชคเข้าข้างที่มันไม่ได้ล็อคอยู่


สาวใช้เหล่านั้นคงรีบร้อนไปตามหมอน่าดู


เบเรนส์แง้มประตูและชะโงกหน้าออกไปก่อน เบื้องหน้าเป็นผนังบ้านที่มีรูปชายสูงวัยคนหนึ่งแขวนอยู่ เดาว่าคงเป็นเจ้าของบ้านนี่ ซึ่งเธอไม่รู้จักสักนิด ซ้ายแลขวาเป็นทางเดินยาวให้เลือกว่าจะไปทางไหน


หญิงสาวไม่เสียเวลาตัดสินใจนาน เธอเลือกไปทางขวาตามสัญชาตญาณแรก กึ่งเดินกึ่งวิ่ง พยายามเดินให้เบาที่สุด พลางกำเชิงเทียนในมือไว้แน่น


เบเรนส์เดินผ่านห้องหับหลายสิบห้องมาจนสุดทาง ก็มีทางแยกซ้ายขวาอีกราวกับเขาวงกต


ผมสีน้ำตาลแดงยาวถึงกลางหลังที่เคยพลิ้วสวย บัดนี้พันกันยุ่งเป็นหย่อมจากการไม่ได้สระผมมาหลายวัน แถมยังชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทุกย่างก้าวของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไปต่อ เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอีกหลายที จนหลุดออกมายังโถงกว้าง มันเป็นห้องโถงทรงกลมคล้ายไว้สำหรับจัดงานเลี้ยง เครื่องเรือนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ล้วนสวยงาม หรูหรามีราคาแพงยิ่ง แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ


ที่สำคัญคือมันเป็นทางตัน เธอต้องย้อนกลับไป


เบเรนส์ก้าวถอยหลังสองสามก้าวก่อนจะกลับหลังหัน หมายจะย้อนไปทางที่เธอพึ่งผ่านมา แต่ดันชนเข้ากับอะไรบางอย่างจนเซเกือบจะล้ม


“...!”


ทางที่ควรเปิดโล่งบัดนี้ถูกขวางมิดด้วยร่างใหญ่โตราวกับกำแพงมนุษย์


ตาที่เบิกกว้างของหญิงสาวเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นช่วงอกของคนที่สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำเรียบกริบ ต้องเงยหน้าจนสุดคอถึงจะเห็นหน้าอีกฝ่าย


หญิงสาวหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะแทบร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เธอก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ พร้อมใช้สองมือจับเชิงเทียนไว้แน่นและยกขึ้นขู่


“คุณเป็นใคร!” เธอบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น


ชายร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าไม่ตอบอะไร เขาก้าวเข้ามาหาเธอช้า ๆ


เบเรนส์บังคับตัวเองไม่ให้ก้าวหนี เธอยืดตัวชูอาวุธในมือสูงขึ้น และพูดเสียงดังหนักแน่น


“อย่าเข้ามานะ!”


แน่นอน อีกฝ่ายไม่ฟัง


ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าเหมือนแพนด้าแดงที่กำลังพองขนข่มศัตรู ซึ่งไม่ได้น่ากลัวสักนิดเดียว


“กลิ่นของเธอ...” เขาพูดขณะก้าวไปข้างหน้า “กลิ่นเลือดของเธอช่างรุนแรงนัก”


เบเรนส์ก้าวหนี พยายามอยู่ให้พ้นระยะมือของอีกฝ่าย เพราะถ้าเขาจับตัวเธอไว้ เธอคงสู้ไม่ได้แน่


“มันฟุ้งไปทั่ว ติดอยู่ทุกที่ที่เธอผ่าน...เป็นมนุษย์ที่น่ากลัวจริง ๆ”


เธอไม่รู้ว่าเขากำลังพูดเรื่องบ้าอะไร


“คงเพราะนี่...” เขาคว้าแขนซ้ายของเบเรนส์และดึงเข้าหาตัวด้วยความเร็วที่มองตาแทบไม่ทัน จนอาวุธหนึ่งเดียวในมือร่วงลงพื้น ซึ่งก็ตามคาด เธอสู้แรงเขาไม่ได้


แขนซ้ายของเธอเป็นข้างที่พึ่งถูกเจาะเลือดไป เนื่องจากไม่ได้ใช้ลำสีกดห้ามเลือดไว้ จึงมีเลือกไหลออกมาเล็กน้อย


“และนี่...” ชายร่างยักษ์วางมืออีกข้างให้ทาบลงมาที่ต้นคอของเธอ


เบเรนส์ตัวแข็งทื่อ เธอไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรมากเท่านี้ มือของเขานั้นเย็นเฉียบและแทบจะกำรอบคอเธอได้


ชายหนุ่มกดปลายนิ้วหัวแม่มือลงบนต้นคอที่ชุ่มเหงื่อของหญิงสาวตรงหน้า สัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมของเส้นเลือดที่เต้นตุบ ๆ อย่างบ้าคลั่ง


“กลัวรึ” เขาออกแรงกดที่ปลายนิ้วมากขึ้นจนเบเรนส์ต้องใช้มือทั้งสองข้างพยายามดันเขาออกแต่ก็ไม่เป็นผล


“ทำใจให้สงบเถอะ เพราะยิ่งร่างกายเธอสูบฉีดเลือดมากเท่าไหร่ พวกเราจะยิ่งได้กลิ่นของเธอมากขึ้นเท่านั้น”


“ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร...” เบเรนส์เปร่งเสียงอย่างยากเย็นเมื่อถูกกดลำคออยู่แบบนี้ “แต่ได้ปล่อยปล่อยฉันไปเถอะ”


“ฉันไม่รู้ว่าคุณทำแบบนี้ทำไม แต่ถ้าฉันทำอะไรให้คุณโกรธแค้น ฉันขอโทษ...ขอโทษจริง ๆ” หญิงสาวอ้อนวอน ใช้ไม้อ่อนเข้าสู้


“โกรธแค้นหรือ” น้ำเสียงเขาดูขบขัน “ฉันไม่ได้โกรธแค้นอะไรนะ”


เขาน้อมตัวลงมาหาเธอ หญิงสาวอยากดิ้นหนีแต่ร่างกายมันไม่ขยับ ขาทั้งสองรู้สึกอ่อนแรง ควบคุมให้ยังยืนอยู่โดยไม่สั่นยังยากเลย


“ถึงว่า ทำไมพ่อบ้านถึงกังวลนัก” เขาสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดราวกับกำลังได้กลิ่นอาหารจานโปรด ตรงข้ามกับเบเรนส์ที่ลืมวิธีหายใจไปแล้ว


ริมฝีปากเขาอยู่ห่างจากช่วงคอของหญิงสาวไปไม่กี่คืบ ก่อนจะเอ่ยว่า


“เธออันตรายจริง ๆ”


ไม่รู้ว่าใครควรพูดประโยคนี้กันแน่


“คุณต้องการอะไรจากฉัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


แต่ยังไม่ทันได้ที่ชายตรงหน้าจะได้ตอบอะไรก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง


“เล่นสนุกอยู่คนเดียวเลยนะครับพี่ชาย”


คนที่ถูกเรียกว่าพี่ชายยืดตัวขึ้นออกห่างจากและปล่อยมือจากเบเรนส์ในที่สุด หญิงสาวถอยกรูดไปข้างหลังทันที


“ไอ้ผมก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่จะชวนให้เข้าไปร่วงวงสักที...ใช่ไหมอาร์มีกริซ”


“อย่าเหมารวม ฉันได้ไม่ชอบเล่นกับอาหารเหมือนพวกนายหรอกนะ”


“งั้นนายตามกลิ่นมาทำไมน้องชาย”


คนที่ถูกเรียกว่าน้องชายไม่ตอบอะไร ห้องโถงกว้างนี้ก็ตกอยู่ในความเงียบ


ตอนนี้มีชายสามคนที่เธอมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักมาก่อนยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอ คนที่พึ่งมาคนหนึ่งฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เธอ ส่วนอีกคนหน้าตาบึ้งตึงราวกับไม่สบอารมณ์ทุกอย่างบนโลก


“นี่มันอะไรกัน พวกคุณจับฉันมาทำไม ฉันไปทำอะไรให้”


ชายที่มีใบหน้าเจ้าเล่ห์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง พลางหันไปหาคนที่เมื่อกี้นี้เขาเรียกว่าพี่ชาย “นางไม่รู้เรื่องเลยหรือ พ่อบ้านฟลูไม่ได้บอกอะไรนางเลยรึไง”


เขาไม่รอคำตอบเขาก็เอ่ยเพิ่มว่า “ก็อย่างว่า จะเสียเวลาพูดกับหมูที่รอเฉือดทำไม”


หมู? เขาว่าฉันเป็นหมูหรือ!


“ไม่พอใจรึ” ชายคนนั้นพูดเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาว “ก็เหมือนหมูในอวยไม่ใช่หรือไง แต่ถ้าฟังแล้วไม่ชอบใจงั้นเปลี่ยนหนูแทนดีไหม มนุษย์ที่ถูกฉีดวัคซีนอย่างเธอก็ไม่ต่างอะไรกับหนูทดลองอยู่แล้วนี่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันก่อนจะหันไปหาคนใกล้ตัว


“นายล่ะ คิดว่าไงไอ้น้องชาย”


“ผมไม่คุยกับอาหาร ฟังภาษาหมูไม่ออก”


คำตอบของน้องชายเรียกเสียงหัวเราะลั่นจากพี่ชายเจ้าของคำถาม


เบเรนส์ยังไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น


“พวกแกต้องการอะไรกันแน่!”


“ขออภัยครับคุณ ๆ ทั้งสาม”


มีบุคคลใหม่เข้ามาขัดจังหวะอีกครั้ง แต่ครานี้ทำให้เบเรนส์ขมวดคิ้วเมื่อได้เห็นชายร่างสูงผอมในชุดสูททางการสีดำ เพราะเขาคนนี้ช่างทำให้คุ้นตานัก


“...”


และคนที่ตามมาสบทบเพิ่มอีกคนยิ่งช่วยกระตุ้นความทรงจำของเธอ


เขาทั้งสอง...ในงานศพแม่ของเธอ


“หมอเฟร็ด!” เธอโผไปหาเขา “ช่วยด้วยค่ะ! คุณช่วยหนูด้วย คนพวกนี้มันจับหนูมา!”


“ใจเย็น ๆ เบเรนส์” คุณหมอจับมือเธอ “จะไม่มีใครทำอะไรเธอทั้งนั้น พวกเราต้องการเธอนะ”


“หมายความว่ายังไง”


คุณหมอหันไปหาเหล่าชายร่างสูงทั้งหลาย


“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเหล่าคุณชายตระกูลดิฟเทอร์แรน อาโนฟาลิส อาอีดิส และอาร์มีกริซ ผมตกใจนิดหน่อยที่เราต้องมาทักทายในในสถานการณ์เช่นนี้” เขายิ้ม พลางกล่าวต่อว่า


“ว่าแต่ให้ผมเป็นคนอธิบายเรื่องนี้กับเธอดีไหม...ว่ายังไงพ่อบ้านฟลู”


พ่อบ้านฟลูก้มหัวให้ชายหนุ่มเจ้าของชื่ออาโนฟาลิสเป็นเชิงขอโทษ


“ขออภัย กระผมจัดการไม่ดีเอง ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น” เขาดีดนิ้วหนึ่งที จากนั้นเพียงอึดใจเดียวก็มีสาวใช้สองคนโผล่มาจากไหนไม่รู้ราวกับหายตัวได้


“เอาตัวนางไป”


สาวใช้เหล่านั้นเข้ามาดึงตัวเบเรนส์ทันที


“ปล่อยนะ! หยุดเดี๋ยวนี้!”


“ว้า...งี้หมดสนุกแล้วสิ” ชายหนุ่มเจ้าของชื่ออาอีดิสว่า เขาก้มตัวลงมากระซิบข้างหูหญิงสาว “ไว้ฉันจะลงไปเล่นด้วยบ่อย ๆ นะ”


แม้แขนทั้งสองขาของเธอจะถึงจับอยู่ แต่ขายังเป็นอิสระ


“ดุจริง ๆ หนูตัวนี้” อาอีดิสหลบขาเล็ก ๆ ที่หมายจะโดนตัวเขาได้อย่างรวดเร็ว


“ปล่อยฉันนะ!” เบเรนส์ดิ้นรนสุดกำลัง


“หยุดให้หมดทุกคน” น้ำเสียงดังกังวานเปี่ยมไปด้วยอำนาจเอ่ยออกมาจากชายนามอาโนฟาลิส


สาวใช้หยุดยื้อยุดฉุดกระชากเบเรนส์ทันที


“แม่ของนางอุตส่าห์ดูแลเก็บซ่อนนางไว้อย่างดี เราก็ควรทำเช่นเดียวกัน” อาโนฟาลิส กล่าว


“รบกวนด้วยหมอเฟร็ด”


คุณหมอยิ้มรับ


“คืออย่างนี้นะเบเรนส์ที่รัก...เธอรู้ใช่ไหมว่าวัคซีนที่ทางการบังคับฉีดให้กับประชาชนทุกคนมีผลอย่างไร”


“...ทำให้...พวกแวมไพร์เหม็นกลิ่นเลือด และเป็นพิษสำหรับพวกมัน”


“แล้วเธอว่าเลือดของเธอเหม็นไหม”


“ไม่รู้”


“แต่แวมไพร์รู้ พวกเขาได้กลิ่นเลือดของเธอ ได้กลิ่นเลือดมนุษย์ทุกคนว่าเหม็นหรือหอม”


“หมายความว่า...” หญิงสาวมองไปที่เหล่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอ


พวกเขาเป็นแวมไพร์


หมอเฟร็ดไม่ได้สนใจท่าทางนิ่งค้างของเบเรนส์ เขายังคงเล่าต่อ “แต่ใช่ว่าวัคซีนจะได้ผลกับคนทุกคน อย่างเธอเป็นต้น”


“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่”


หญิงสาวนิ่งฟังสิ่งที่คุณหมอพูด


“แต่ไม่ต้องห่วง พวกเขาจะไม่รุมกัดเธอ ดูดเลือดเธอจนหมดตัวตายหรอก และฉันก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อรีดเลือดจากเธอในคราวเดียวหรอกนะ เธอมีค่ามากกว่านั้น” เขาว่า


“เพราะเธอเป็นคนแรกที่เราเจอ ฉันต้องตรวจเลือดของเธอจนแน่ใจเสียก่อนว่ามันไม่เป็นพิษต่อแวมไพร์จริง ๆ”


“อ้า อยากลิ้มรสเลือดเธอเร็ว ๆ จังน้า ว่าจะหวานหอมเหมือนกลิ่นรึเปล่า” อาอีดิสพูด


“แหวะ” แน่นอนว่าเป็นเสียงของอาร์มีกริซ


“พอได้แล้วพวกนาย”


อาโนฟาลิสหันมาพูดกับเบเรนส์ “ถ้าเช่นนี้ล่ะเป็นไง ระหว่างที่หมอเฟร็ดตรวจสอบเลือดของเธอว่าใช้ได้รึไม่ ให้เธออยู่ที่นี่ในฐานะแขกพิเศษ เราจะดูแลเธออย่างดี...”


“ถ้าผลออกมาว่าเลือดฉันเป็นพิษล่ะ”


“ถามได้ดี...เราก็จะปล่อยเธอไปอย่างไร้รอยขีดข่วน พร้อมเงินก้อนโต เธอต้องการเท่าไหร่ว่ามาได้เลย”


“แต่ถ้าผลออกมาว่า...”


“ถ้าผลออกมาว่าเลือดเธอใช้ได้ เมื่อนั้นเราค่อยมาทำข้อตกลงกันอีกที”


“...”


“ระหว่างนี้ถ้าเธอต้องการอะไรเราจะจัดหาให้ทั้งหมด...พ่อบ้านฟลูจัดห้องพักแขกให้นางด้วย ห้องไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ห้องใต้ดิน”


“แต่คุณชายครับ กระผมว่า...”


“ฉันไม่ติดอะไรนะ เห็นว่ามนุษย์เปิดเพลงให้วัวฟังแล้วทำให้มันอร่อยขึ้นนี่...ดังนั้นหากเลี้ยงนางดี ๆ หน่อย เลือดของนางอาจจะอร่อยขึ้นก็ได้” อาอีดีสเสริม


“จะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้นางเพ่นพ่านเกินไปนัก...ผมไม่ชอบเห็นอาหารที่ยังไม่ตาย” และนี่คำพูดจากปากอาร์มีกริซก่อนจะเดินหันหลังออกไป


“แล้วถ้าฉันไม่ตกลง?” เบเรนส์ถาม


“เธอก็จะถูกจับไปไว้ห้องใต้ดินเหมือนเดิม เพิ่มด้วยมัดมือมัดเท้าไว้แน่น ๆ ไม่ให้มีทางหนีได้อย่างวันนี้อีก และรอเวลาจำกัดทิ้งเมื่อเราเจอมนุษย์คนอื่นที่มีประโยชน์กว่า”


“...”


“นี่คือข้อเสนอที่เราจะให้ และเธอไม่ควรปฏิเสธนะ...เบเรนส์”


“ไม่ควรหรือไม่มีสิทธิปฏิเสธกันแน่” เธอโพล่งออกไป


“นั่นสินะ มนุษย์อย่างเธอฉลาดอยู่แล้วนี่...คิดดูให้ดีก็แล้วกัน”