มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารฉันใด แวมไพร์ก็เลี้ยงมนุษย์ไว้เป็นอาหารฉันนั้น เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?

Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์ - บทที่ 4 เปลี่ยนกรง โดย hischool @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,นิยายรัก,แฟนตาซี,โรแมนติก,แวมไพร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายรัก,แฟนตาซี,โรแมนติก,แวมไพร์

รายละเอียด

มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารฉันใด แวมไพร์ก็เลี้ยงมนุษย์ไว้เป็นอาหารฉันนั้น เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?

ผู้แต่ง

hischool

เรื่องย่อ


|


“หยุดให้หมดทุกคน...แม่ของนางอุตส่าห์ดูแลเก็บซ่อนนางไว้อย่างดี เราก็ควรทำเช่นเดียวกัน” อาโนฟาลิสกล่าว


“เห็นว่ามนุษย์เปิดเพลงให้วัวฟังแล้วทำให้มันอร่อยขึ้นหนิ...ดังนั้นหากเลี้ยงนางดี ๆ หน่อย เลือดของนางอาจจะอร่อยขึ้นก็ได้” อาอีดีสเสริม


“จะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้นางเพ่นพ่านเกินไปนัก...ผมไม่ชอบเห็นอาหารที่ยังไม่ตาย” และนี่คำพูดจากปากอาร์มีกริซ




“นี่คือข้อเสนอที่เราจะให้ และเธอไม่ควรปฏิเสธนะ...เบเรนส์”


|


*นิยายเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ใดที่มีอยู่จริงทั้งสิ้น เป็นเพียงจิตนาการของผู้เขียน*


**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน**


|




#ต่อชีวิตแวมไพร์




|


*** ถ้าชอบผลงานของเราคอมเมนท์บอกกันได้ตามสะดวก จะสติ๊กเกอร์ จะกดหัวใจได้หมดเลยนะคะ


หากจะกันติเตือนกันได้โปรดเป็นคำสุภาพนะคะ ถึงเราจะเป็นคนหยาบช้า แต่จิตใจลิตเติ้ลโพนี่ค่ะ ***


|




twitter : hischool.b


@bhischools

สารบัญ

Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-0 บทนำ,Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (1),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 1 เจอตัว,Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (2),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 2 หมูในอวย (1),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (3),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 3 หมูในอวย (2),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (4),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 4 เปลี่ยนกรง,Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทความว่าด้วยเรื่อง ‘แวมไพร์’ (5),Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์-บทที่ 5 คู่ค้าสัญญาเลือด

เนื้อหา

บทที่ 4 เปลี่ยนกรง


เบเรนส์ลืมตาขึ้นมาหลังจากการนอนหลับที่ไม่สนิทนัก ในเวลาเช้าที่แสงแดดอ่อนส่องผ่านมายังหน้าต่างทรงสวยสะท้อนภาพบรรยากาศภายนอกที่เป็นแนวต้นไม้ใบเขียนสด นาฬิกาชีวิตของหญิงสาวค่อย ๆ เริ่มเข้าที่ตามกลไกร่างกาย เมื่อได้มาเห็นแสงเดือนแสงตะวันตามปกติ


เธอยกศีรษะออกจากหมอนใบใหญ่ขึ้นมานั่งบนเตียงนุ่ม ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องกว้างโอ่อ่า


ทุกอย่างที่นี่แตกต่างจากคุกใต้ดินราวฟ้ากับเหว


หลังจากที่เธอหาทางหนี (ไม่สำเร็จ) เธอก็ได้ขยับขึ้นมาหนึ่งขั้น ได้อยู่ในห้องหรูหราห้องหนึ่งท่ามกลางห้องมากมายที่เธอเคยหลงวิ่งผ่าน


หญิงสาวมองตัวเองในกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นชุดสีขาวล้วนที่สวมใส่อยู่ ส่วนบนเป็นเสื้อคอเต่าปิดลำคอมิด แขนยาวถึงมือ ส่วนล่างเป็นกระโปรงยาวถึงข้อเท้า ทั้งสองส่วนตัดเย็บต่อกันเป็นชุดเดียวด้วยผ้าชั้นดีเนื้อละเอียด สัมผัสนุ่มไม่บาดผิว มันเป็นทรงเรียบไม่มีลูกเล่นหรือแต่งระบายใด ๆ ชายผ้าทิ้งตัวไม่รัดรูป


“เหมือนหนูในห้องทดลองจริง ๆ ...” เธอพึมพำกับตัวเอง


ตอนนี้เธออยู่กับแวมไพร์ที่แน่ ๆ อย่างน้อยสามตน รู้แค่ว่า คนแรกที่ชื่อ อาโนฟาสิส เป็นพี่คนโต อาอีดีส เป็นคนรอง ส่วนอาร์มีกริซเป็นน้องคนเล็ก ตระกูลอะไรสักอย่างที่เธอไม่เคนได้ยินมาก่อน และไม่รู้ว่าพ่อบ้านกับพวกสาวใช้เป็นแวมไพร์ด้วยไหม เพราะคนพวกนี้ดูเหมือนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเลยมากกว่า


เบเรนส์ทำกิจวัตรในห้องน้ำอยู่พักนึง เปลี่ยนชุดตัวใหม่ที่เหมือนตัวเดิมทุกกระเบียดนิ้ว แล้วก็ออกมาเดินไปเดินมาในห้องกว้าง ก่อนจะหยุดมองออกไปนอกหน้าต่าง


ข้างนอกเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่เธอไม่รู้สายพันธุ์ มันถูกดูแลตัดตกแต่งอย่างดีแสดงว่าคงเป็นต้นไม้ของที่นี่


“บ้านนี่...ไม่สิ เป็นคฤหาสน์ที่มีเนื้อที่กว้างทีเดียว...”


เธอไม่ได้รับอนุญาติให้ออกไปไหน และเธอเองรู้สึกไม่ค่อยกล้าออกไปด้วย


เพราะบางครั้งเธอก็ได้ยินเสียงที่หน้าห้อง เหมือนเสียงชายที่ชื่ออาอีดีสมาหาเธอ แต่ก็มีพ่อบ้านฟลูมาห้ามไว้ทุกทีราวกับยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องเธอตลอดเวลา


ถึงกระนั้น อีกใจหนึ่งก็จะอยากออกไปดูลู่ทางเผื่อเป็นทางหนีที่ไล่ไว้ก็เถอะ


สรุปตอนนี้เธอก็อยู่แต่ในห้องนี้มาได้สี่วัน รวมแล้วก็อยู่ที่นี่ราวหนึ่งอาทิตย์โดยประมาณ และยังไม่ได้ถูกเจาะเลือดเพิ่มอีก


หญิงสาวเดินไปเดินมาอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะออกมานั่งที่โต๊ะกลมตัวใหญ่มีลายแกะสลักงดงาม และถอนหายใจเฮือกใหญ่


ก๊อก ๆ ๆ


เสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่ไม่รอในคนในห้องอนุญาตก็เปิดเข้ามาแล้ว


สาวใช้สองคนที่ยังคงทำหน้าไร้วิญญาณ ไม่พูดไม่จาเข้ามาพร้อมอาหารเช้าและผลไม้ในมือ ที่ไม่ต้องเห็นก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นเมนูอะไร เพราะมันเป็นเมนูเดิมมาตลอด


ข้าวต้มผักรวม เปลี่ยนแค่เนื้อสัตว์ หมูบ้าง ไก่บ้าง ปลาบ้าง และเครื่องในมากมายที่เธอไม่ชอบเลยสักนิด ส่วนผลไม้มักจะเป็นองุ่น เกรปฟรุต และมัลเบอร์รี


นางเพียงวางถาดที่ถือมาบนโต๊ะและเดินออกไปเงียบ ๆ


เบเรนส์มองตามแม่บ้านที่มาดูแลเธอไม่ซ้ำหน้าทีละสองคนทุกวัน วันละสามเวลาแล้วก็ได้แต่คิดว่าที่นี่มีคนใช้กี่คนกัน


หญิงสาวคิดว่าเธอควรรู้จำนวนคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ เพราะถ้าต้องหนีขึ้นมา เธอจะต้องสู้กับคนกี่คน


เหล่าสาวใช้ยังออกไปไม่พ้นประตูห้อง คุณพ่อบ้านก็เดินสวนเข้ามา


“ไม่ต้องมายืนกดดันก็ได้ค่ะ ฉันกินอยู่แล้วแม้มันจะไม่อร่อยก็เถอะ” เธอว่าพลางตักอาหารที่จืดสนิทในชามเข้าปาก “คุณไม่คิดจะปรุงรสมันเลยหรือ”


“เครื่องปรุงไม่ดีกับร่างกายมนุษย์”


“อ๋อ งี้เองสินะ” หญิงสาวเบ้ปาก “แต่ถ้ามันรสชาติแย่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ฉันจะไม่รู้สึกอยากอาหาร แล้วก็จะกินได้น้อย แล้วก็จะขาดสารอาหาร จิตใจก็ห่อเหี่ยว ร่างกายก็จะทรุดโทรมได้เหมือนกันนะคะ”


พ่อบ้านนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า


“รีบกินซะ อีกเดี๋ยวคุณหมอเฟร็ดจะเข้ามาพบ”






“สวัสดีเบเรนส์...ฉันนึกว่าเธอจะดีใจที่เจอฉันซะอีก” คุณหมอเฟร็ดเอ่ยทักหญิงสาวที่นั่งรอเขาด้วยใบหน้าเฉยชา


สาวเจ้าของชื่อเลิกคิ้ว “หนูควรรู้สึกอย่างนั้นหรือคะ จากการเจอกันล่าสุดมันไม่ชวนให้รู้สึกงั้นเลย”


คุณหมอวัยสี่สิบปลาย ๆ หัวเราะ เขาวางกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ใบใหญ่ลงบนโต๊ะและนั่งลงข้างเธอ


“เอาเถอะ ๆ ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัวหรอกนะ” เขาหยิบอุปกรณ์ฟังเสียงหัวใจขึ้นมา “ไหน ขอฉันตรวจสุขภาพเบื้องต้นหน่อย”


หมอเฟร็ดเริ่มจากฟังจังหวะการเต้นของหัวใจ ดูภายในช่องปากโดยเอาแผ่นเหล็กมากดลิ้นไว้แล้วใช้ไฟฉายส่อง และก็ตรวจอื่น ๆ อีกเล็กน้อยโดยที่เบเรนส์ไม่ได้ขัดขืนอะไร


“อื้อ โดยรวมก็ปกติดีนะ” เขาว่า ขณะวางเครื่องมือตรวจลง “หรือเธอรู้สึกไม่สบายตรงไหนอยากจะบอกฉันไหม”


“บอกพวกเขาทีว่าหนูมีอาการเบื่ออาหาร ถ้าไม่หาของที่มีรสชาติอร่อยอย่างมนุษย์มาให้กินเลือดหนูจะเน่าตาย”


“งั้นรึ ฉันบอกเขาไปแล้วนะว่าควรจัดอหารอะไรให้เธอที่จะช่วยบำรุงเลือด อย่างพวกเนื้อสัตว์ ตับ ไข่ ปลา ผักใบเขียวเข้ม ธัญพืชอย่างถั่ว...”


“อ๋อค่ะ เขาต้มทุกอย่างที่คุณพูดเมื่อครู่ลงในหม้อเดียวแล้วตักมาใช้กินวันละสามมื้อทุกวัน หนูว่าคุณคงลืมบอกวิธีปรุงให้เขาด้วยนะ”


“โอ้ตายจริง”


เบเรนส์ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับท่าทางตกใจปลอม ๆ นั่น


“และบอกตามตรง ถ้าคุณยังเห็นถึงความสัมพันธ์อันดีของเราในอดีต คุณควรบอกอะไรหนูมากกว่านี้”


“ไอ้ฉันมันก็สร้างสัมพันธ์ไปทั่วนั่นแหละ ทั้งคน แวมไพร์ และผีดิบ เป็นต้น เธออย่าถือสาเลย”


“ผีดิบ?”


“ก็คุณพ่อบ้านฟลูไง เขาเป็นคนของตระกูลผีดิบเก่าแก่ ทำหน้าที่รับใช้พวกแวมไพร์จากรุ่นสู่รุ่น แต่เพราะด้วยเหตุผลอะไรฉันก็ไม่รู้นักหรอก” เขาเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบ “เธอก็เห็น พ่อบ้านน่ะ เขาไม่ได้ช่างพูดสักเท่าไร”


เบเรนส์ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “แล้วพวกสาวใช้...”


“เหมือนจะเป็นดวงวิญญาณที่พ่อบ้านทำพิธีเรียกมารับใช้จากโลกหลังความตายนะ พวกนางไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไร จะฟังแต่คนที่ทำพิธีปลุกมันมาเท่านั้น...นั่นก็คือคุณพ่อบ้านนั่นแหละ”


หญิงสาวอ้าปากค้าง


“คุณคงไม่ได้หลอกหนูเล่นใช่ไหม”


“ฉันจะทำอย่างนั้นไปทำไมกัน...เอาเถอะ ๆ เห็นแก่แม่ของเธอ ถ้าอยากรู้อะไรก็ถามมาได้เลย ตอบได้ฉันจะตอบ”


เบเรนส์หรี่ตาบอกคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะไว้ใจนัก แต่เขาก็เป็นคนเดียวในตอนนี้ที่เธอพูดคุยด้วยได้


อย่างน้อยที่สุดก็ถือว่าแก้เหงาแล้วกัน


“ที่นี่ที่ไหนคะ”


“เธอคงไม่ได้คิดหนีอีกใช่ไหม”


“ไม่หรอกค่ะ แต่หนูคิดว่าหนูควรรู้ไว้”


“นี่เป็นคฤหาสน์ตระกูลดิฟเทอร์แรน ตระกลูแวมไพร์เก่าแก่ที่แสร้งตัวปะปนกับมนุษย์ มีอำนาจทางการค้าระหว่างเมืองมากพอตัว บางตนในรุ่นก่อน ๆ เป็นถึงขุนนางในราชสำนักก็มี ฉันเองไม่แน่ใจว่านี่รุ่นที่เท่าไหร่แล้ว แต่ตอนนี้ อาโนฟาลิสเป็นหัวหน้าตระกลู เขาเอาดีทางการค้า แต่ฉันแอบได้ยินมาว่าเขายังมีเส้นสายอยู่ในกรมราชการเยอะทีเดียว”


“คุณได้ยินมาเยอะเลยนะ”


“ก็ฉันรักษาคนไข้ทุกประเภท”


“ยังมีแวมไพร์เหลืออยู่เยอะหรือคะ หนูนึกว่าทางการไล่กวาดล้างอย่างจริงจังเสียอีก”


“ไม่เยอะหรอก เท่าที่ยังพอได้ยินนอกจากตระกูลนี้ ก็ตระกูลคูลิเซียม แต่ทางนั้นจะเป็นฝั่งการค้าใต้ดิน อย่างสินค้าเถื่อนหนีภาษี อาวุธสงคราม ยาเสพติด ปล่อยเงินกู้ อะไรทำนองนี้...” เขาว่า


“และที่นี่ตั้งอยู่ในป่ารกร้างแถบชานเมืองตะวันออกทางฝั่งเหนือ จะเข้าออกที่นี่ได้ทางเดียวเท่านั้นโดยคนขับรถของตระกูล นอกนั้นหลง ไม่หลงตายในป่า ก็หลงตายในคฤหาสน์...เข้าใจที่ฉันสื่อใช่ไหม”


เบเรนส์พยักหน้าเล็กน้อย


“จริงสิ ฉันบอกรึยังว่าฉันมีข่าวดีมาบอก” คุณหมอบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และคาดหวังจะให้หญิงสาวมีท่าทางตื่นเต้นด้วย


แน่นอนว่าไม่ เบเรนส์เพียงทำหน้านิ่งรอฟังเท่านั้น หมอเฟร็ดจึงยอมเฉลยในที่สุด


“ข่าวดีก็คือ เลือดของเธอใช้ได้ ไม่เป็นพิษกับแวมไพร์”


“นี่เรียกข่าวดีหรือคะ”


“ดีสิ เธอจะได้เรียกเงินได้เยอะ ๆ ผู้หญิงคนเดียวมีเงินไว้อุ่นใจกว่า ถือว่านี่เป็นอีกหนึ่งช่องทางทำเงินก็แล้วกัน...นะ”


หญิงสาวถอนหายใจ


“คุณตรวจสอบยังไงเหรอ”


“วิธีที่ง่ายและเร็วที่สุดก็คือเอาเลือดเธอให้แวมไพร์เร่ร่อนที่หิวโซตนหนึ่งกิน และรอดูอาการ ซึ่งเขาไม่มีอาการอะไร ไม่ตายแถมยังชมว่าเลือดเธออร่อยมาก อร่อยกว่าเลือดหมูเยอะเลย”


เบเรนส์เบ้ปากทันทีที่ได้ยิน


“แต่ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ ในเมื่อหนูเองก็ได้รับวัคซีนเหมือนคนอื่น ๆ”


“ฉันเองก็ยังไม่รู้เหตุผลแน่ชัด เธอเป็นกรณีศึกษาแรกของฉัน เราคงต้องดูกันต่อไป แต่ฉันคิดว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับเสี้ยวแวมไพร์ในตัวเธอ”


“เสี้ยวแวมไพร์?” หญิงสาวทวนคำ “หมายความว่ายังไง”


“กะไว้แล้วว่าบาเมดคงไม่ได้บอกเธอ”


“แม่...”


“ใช่ นางเป็นลูกครึ่งแวมไพร์”


แม้วันนี้เธอจะได้ยินเรื่องน่าเหลือเชื่อมากมาย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธอไม่อยากเชื่อมากที่สุด


“แต่หนูไม่เคยเห็นแม่กินเลือดหรือแสดงอาการอะไรเลย แม่กินอาหารเหมือนเราทุกอย่าง...”


“พวกลูกครึ่งแวมไพร์น่ะ ร้อยทั้งร้อยมักจะเป็นแวมไพร์ มีพละกำลังแข็งแรง ต้องการเลือดเป็นอาหาร น้อยมากที่จะเป็นมนุษย์” เขาว่า “แต่ถึงอย่างนั้นมนุษย์ลูกครึ่งแวมไพร์จะมีประสาทสัมผัสของแวมไพร์อยู่บ้าง แต่ไม่ต้องการเลือดเป็นอาหาร และอ่อนแอ จาการศึกษาของฉัน ส่วนมากมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปีเท่านั้น...ยกเว้นแม่ของเธอ”


นี่คงเป็นเหตุผลที่หลังได้รับวัคซีนแม่ไม่ยอมให้เธอออกไปไหน แต่ต้องรู้เรื่องนี้แน่


แม่ทำเพื่อปกป้องเธอ


แม่...


เฟร็ดลูบศีรษะหญิงสาว “แม่เธอเก่งมากเลยนะ ที่มีเธอแถมอยู่กับเธอมาได้ถึงยี่สิบกว่าปี...นางเก่งจริง ๆ”


เบเรนส์ยิ้มรับ


“เราคุยกันนานทีเดียว หมดหน้าที่ฉันแล้ววันนี้ เธอมีอะไรจะถามฉันอีกไหม”


“มีค่ะ” หญิงสาวว่า


“อะไรอีกรึ”


“ทำไมคุณพ่อบ้านถึงต้องคุมขังฉันขนาดนี้ แถมเขาดูไม่อยากให้ ‘พวกนั้น’ เจอฉัน” เบเรนส์รีบกล่าวต่อ “ไม่ได้หมายความว่าฉันอยากเข้าใกล้พวกแวมไพร์หรอกนะคะ! ฉันแค่สงสัย”


คุณหมอเฟร็ดตอบ “ธรรมชาติของแวมไพร์น่ะ ต้องการเลือดต่อมื้อไม่เยอะหรอก และการกินหนึ่งครั้งอยู่ได้เป็นอาทิตย์ กล่าวคือ แวมไพร์จะออกล่าอาทิตย์ละครั้ง”


“มนุษย์เราเวลามีอาหารอร่อยมากมายอยู่ตรงหน้า แม้กินอิ่มจนท้องจะแตกแล้วก็ยังอยากกินต่อใช่ไหมล่ะ แวมไพร์เองก็เช่นกัน การกินเลือดจากเหยื่อโดยตรงนั้น ถ้ากินให้พออิ่ม ไม่ทำให้เหยื่อนั้นตายหรอก แต่มันยากที่จะห้ามตัวเองให้หยุดกินน่ะสิ”


“ยิ่งตอนนี้กลิ่นเลือดของเธอกลายเป็นกลิ่นน่ากินสุด ๆ แถมแพร่กระจายฟุ้งไปในอากาศราวกับขนมปังอบใหม่จากเตา พ่อบ้านฟลูเขาคงกลัวเธอจะตัวแห้งตายก่อนวัยอันควรนั่นสิ”


เบเรนส์พยักหน้าอีกครั้ง


“ว่าแต่เธอเคยบริจาคเลือดไหม” คุณหมอถามขึ้น


เบเรนส์ส่ายหน้า


“โอเค ทางการเชิญชวนให้คนเราจะบริจาคเลือดทุก ๆ สี่เดือน ครั้งหนึ่งจะเอาเลือดไปประมาณสี่ร้อยห้าสิบมิลลิลิตร”


หญิงสาวนิ่งฟัง แต่ยังไม่เข้าใจว่าหมอพูดเรื่องนี้ทำไม


“ในเมื่อเลือดของเธอใช้ได้ ฉันจะขอเก็บเลือดเธอเดือนละครั้ง ครั้งละประมาณร้อยยี่สิบมิลลิลิตร”


“...”


“ไว้เป็นอาหารให้ ‘พวกนั้น’ น่ะ”


เบเรนส์นิ่งค้าง พยายามประมวลผลข้อมูลที่พึ่งได้รับ


แวมไพร์กินเลือดอาทิตย์ละครั้ง หนึ่งเดือนก็สี่ครั้ง ‘พวกนั้น’ มีสามคน เดือนหนึ่งก็เท่ากับสิบสองครั้ง


“แวมไพร์นี่กินเลือดครั้งนึงมากน้อยเท่าไหร่นะคะ”


“ก็ประมาณ...หกสิบถึงหนึ่งร้อยมิลลิลิตรเห็นจะได้”


หนึ่งมื้ออย่างต่ำหกสิบ สามคนก็เท่ากับหนึ่งร้อยแปดสิบต่ออาทิตย์ ก็เท่ากับเจ็ดร้อยยี่สิบต่อเดือน!


“เอาล่ะ หมดคำถามแล้วสินะ” คนเป็นหมอลุกขึ้น พลางหันมากระซิบ “ฉันขอแนะนำว่าให้เธอเรียกเงินกับอาโนฟาลิสสักหลักแสนเหรียญ [*] ...”


“งั้นหรือคะ แล้วหนูจะได้ออกไปใช้เงินเมื่อไหร่”


“...”


“สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์อาหารแวมไพร์ขาดแคลนเลยไม่ใช่หรือไง...พวกนั้นจะปล่อยฉันไปหรือ”


“นั่นสินะ...” หมอทำหน้าครุ่นคิด “อาจจะจนกว่าเราจะหาคนใหม่มาแทนเธอล่ะมั้ง”


“ต้องหาอีกกี่คนถึงจะพอ จากที่ฟังมาเหมือนจะหาไม่ได้ง่าย ๆ ใช่ไหม”


“ก็ใช่...” ว่าแล้วหมอก็ถอนหลายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “ฉันยอมแล้ว...จนปัญญาจะตอบเธอแล้วจริง ๆ”


“ได้เงินแล้วยังไง ในเมื่อออกไปใช้ที่ไหนไม่ได้”


“เอาน่า ๆ อย่างน้อยก็ได้อะไรตอบแทนไม่ใช่หรือไง หนทางภายหน้าอาจเป็นในทางดีก็ได้ใครจะรู้”


“ไหนคุณเคยบอกว่าจะช่วยหนู”


“ฉันเคยพูดรึ?”


“ต่อหน้าหลุมศพของแม่” เบเรนส์พูดเสียงแข็ง


“นั่นสิ เอาเป็นว่าฉันจะช่วยเธอเท่าที่ทำได้แล้วกัน” เขาว่าอย่างไม่ยี่หระ “ฉันจะไปบอกให้พวกสาวใช้ปรับเปลี่ยนฝีมือทำอาหารให้นะ”


คราวนี้คุณหมอเฟร็ดสะพายกระเป๋าขึ้นเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ฟังคำถามของเธอแล้ว


“เดี๋ยวค่ะ” เธอเรียกไล่หลัง


“อะไรอีก ปล่อยฉันไปเถอะน่า” น้ำเสียงเขาเบื่อหน่าย


“คุณก็ได้กลิ่นเลือดมนุษย์ใช่ไหม ถึงพาพวกเขามาจับหนู”


“ไม่นี่ ฉันจะได้กลิ่นได้อย่างไร ฉันไม่ใช่แวมไพร์หรือผีดิบสักหน่อย”


“งั้นคุณ...”


“ฉันเป็นมนุษย์...”


เขาว่าทั้งที่หันหลังทำให้เบเรนส์ไม่เห็นสีหน้าของเขา


“ที่ขายวิญญาณให้ซาตานไปแล้วเท่านั้นเอง”



_____________________________

[*] กำหนดให้ 1 เหรียญของเมืองตะวันออกในรัชสมัยของพระเจ้าอุนัสเท่ากับ 100 บาท