มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารฉันใด แวมไพร์ก็เลี้ยงมนุษย์ไว้เป็นอาหารฉันนั้น เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?
รัก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,นิยายรัก,แฟนตาซี,โรแมนติก,แวมไพร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Vampires per Day #ต่อชีวิตแวมไพร์มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารฉันใด แวมไพร์ก็เลี้ยงมนุษย์ไว้เป็นอาหารฉันนั้น เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?
|
“หยุดให้หมดทุกคน...แม่ของนางอุตส่าห์ดูแลเก็บซ่อนนางไว้อย่างดี เราก็ควรทำเช่นเดียวกัน” อาโนฟาลิสกล่าว
“เห็นว่ามนุษย์เปิดเพลงให้วัวฟังแล้วทำให้มันอร่อยขึ้นหนิ...ดังนั้นหากเลี้ยงนางดี ๆ หน่อย เลือดของนางอาจจะอร่อยขึ้นก็ได้” อาอีดีสเสริม
“จะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้นางเพ่นพ่านเกินไปนัก...ผมไม่ชอบเห็นอาหารที่ยังไม่ตาย” และนี่คำพูดจากปากอาร์มีกริซ
“นี่คือข้อเสนอที่เราจะให้ และเธอไม่ควรปฏิเสธนะ...เบเรนส์”
|
*นิยายเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ใดที่มีอยู่จริงทั้งสิ้น เป็นเพียงจิตนาการของผู้เขียน*
**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน**
|
#ต่อชีวิตแวมไพร์
|
*** ถ้าชอบผลงานของเราคอมเมนท์บอกกันได้ตามสะดวก จะสติ๊กเกอร์ จะกดหัวใจได้หมดเลยนะคะ
หากจะกันติเตือนกันได้โปรดเป็นคำสุภาพนะคะ ถึงเราจะเป็นคนหยาบช้า แต่จิตใจลิตเติ้ลโพนี่ค่ะ ***
|
twitter : hischool.b
@bhischools
ในห้องกว้างฟากหนึ่งของคฤหาสน์ที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง เป็นพื้นที่ที่อาโนฟาลิสชอบมานั่งทำงานเป็นประจำ อย่างวันนี้ก็เช่นกัน ชายหนุ่มภายใต้เชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสั้นสีดำกำลังไล่อ่านเอกสารคำสั่งซื้อจากคู่ค้าหลายราย
“ดอกช็อกโกแลตคอสมอส...” เขาอ่านออกเสียงเบา ๆ ขณะอ่านกระดาษในมือ มันเป็นคำสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ชนิดหนึ่งจำนวนมาก มีข้อความเพิ่มเติมว่าเป็นดอกไม้ที่คนนิยมปลูกในกันมากในช่วงนี้ เนื่องจากมีกลิ่นหอมคล้ายช็อกโกแลต อีกทั้งยังแนบรูปวาดมาให้ด้วย
เป็นรูปดอกไม้เล็ก ๆ ลงสีน้ำตาลแดงเข้มที่กลีบดอก
สีของดอกช็อกโกแลตคอสมอสทำให้ชายหนุ่มนึกถึงบางอย่าง
คล้ายจะเป็นเรือนผมสีน้ำตาลแดงของใครบางคนที่เขาพึ่งได้เจอเมื่อไม่กี่วันก่อน
“มีกลิ่นคล้ายช็อกโกแลตรึ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง
เขาเคยได้กลิ่นมัน แม้เขาจะไม่เคยกินก็ตาม
จะว่าไปกลิ่นของนางก็หอมหวานคล้ายช็อกโกแลตร้อนที่เขาเคยได้กลิ่นอยู่หลายส่วนทีเดียว...
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดความคิดของคนในห้อง
“ขออนุญาตครับ” คนมาใหม่เอ่ย
“หมอเฟร็ดมาถึงแล้วใช่ไหม...ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“ครับ เขาบอกว่าเลือดนางปลอดภัย สามารถใช้ได้ ตอนนี้เขากำลังตรวจร่างกายนางอยู่ครับ” พ่อบ้านฟลูรายงาน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะทำยังไงกับนางต่อไป”
“ยังไม่ทำอะไร ให้เวลานางสักหน่อย” เขาว่า “เอาเป็นว่าถ้านางตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็ให้มาพบฉันทันทีก็แล้วกัน”
“ถึงอย่างนั้นอย่าวางใจไป ยังคงเร่งตามหามนุษย์คนอื่นเหมือนเดิม”
“รับทราบครับ”
เบเรนส์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แม้การสนทนากับหมอเฟร็ดจะจบไปนานพอสมควร จนถึงเวลาอาหารมื้อที่สองแล้ว
หญิงสาวมองอาหารที่ถูกยกมาวางตรงหน้าแล้วยิ่งละเหี่ยใจ เพราะมันเป็นเมนูเดิมกับเมื่อเช้า
“หมอเฟร็ดไม่ได้บอกอะไรเลยรึไง” เธอว่า “ฉันจะถือว่าวันนี้เธอทำหม้อใหญ่ไว้แล้วจะทนกินให้ แต่พรุ่งนี้ไม่เอาแล้วนะ”
เหล่าสาวใช้ไม่ตอบอะไรเช่นเคย
“เดี๋ยวก่อน” เบเรนส์เรียกแม่บ้านที่กำลังจะเดินออกไป “ฉันอยากพบคุณ...เอ่ย...อโน...อาโนฟาลิสใช่ไหม ที่เป็นหัวหน้า ฉันอยากคุยเกี่ยวกับข้อตกลง...”
ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดจบประโยค เงาดำบางอย่างก็แวบผ่านทางหางตา
“อุ๊ยแม่ร่วง! ผีคุณพ่อบ้าน!” เธอตกใจ
เขาไม่สนใจอาการของหญิงสาว
“ตามมา ฉันจะพาไปพบคุณอาโนฟาลิส” พ่อบ้านฟลูเดินออกไปทันทีที่พูดจบ เบเรนส์เลยรีบวิ่งตามไปทันที
เขาเดินนำทางไปเรื่อย ๆ เธอที่เดินตามหลังสอดส่องสายตามองซ้ายมองขวา พยายามจดจำเส้นทางให้ได้มากที่สุด
“คุณพ่อบ้านคะ ไว้เอากระดาษกับปากกามาให้ฉันด้วยนะคะ”
พ่อบ้านฟลูไม่ได้ตอบ
เบเรนส์เดินอยู่หลายอึดใจถึงจะหลุดออกมาภายนอก และกำลังผ่านทางเชื่อมระหว่างตึก สองข้างทางเป็นลานกว้างมีรูปปั้นมังกรขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ทั้งสองเดินผ่านทางเชื่อมอีกหลายรอบ ได้เห็นทั้งรูปปั้นเสือ สิงโต และกวาง
“ที่นี่กว้างจริง ๆ เลยนะคะ กินพื้นที่เท่าไหร่เนี่ย” เธอถามไปอย่างนั้น ไม่คาดหวังจะได้คำตอบกลับมาอยู่แล้ว
พ่อบ้านฟลูพาเบเรนส์เข้ามาในตัวคฤหาสน์ที่อยู่ปีกซ้าย เขาก้าวขึ้นบันไดโดยมีเบเรนส์ที่เริ่มเหนื่อยจะจำทางเดินตามเงียบ ๆ
ผ่านชั้นแล้วชั้นเล่า ขั้นแล้วขั้นเล่า
“ยังไม่ถึงอีกหรือคะ” เบเรนส์เอ่ยถามในที่สุด “ที่นี่อยู่กันกี่คนเหรอ”
หญิงสาวไม่เดินแล้ว เธอนั่งลงพักที่ขั้นบันได
พ่อบ้านเหล่ตามามองเธอด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ถึงแล้ว”
“โอเค ชั้นเจ็ด ฉันจะจำไว้ แต่ถามหน่อยชั้นหนึ่งถึงหกมาคนอยู่ไหมคะ”
ในที่สุดทั้งสองก็มาหยุดที่หน้าห้อง ๆ หนึ่ง เป็นการเดินทางที่เรียกเหงื่อใช้ได้ทีเดียว และทำให้เบเรนส์เริ่มเชื่อคำพูดของหมอเฟร็ดที่ว่า อาจหลงตายในคฤหาสน์ได้
พ่อบ้านที่ไม่มีทีท่าว่าเหนื่อยยกมือขึ้นเคาะประตูสองสามทีก่อนทีคนข้างในจะขานรับ
“เข้ามาได้”
เขาเปิดประตูออกและเดินนำเธอเข้าไปภายใน
“พ่อบ้านฟลูออกไปก่อน” เจ้าของห้องเอ่ย
“ครับ” เขาก้มตัวเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินออกไป
เบเรนส์แอบดึงรั้งชายเสื้อพ่อบ้านไว้ พลางกระซิบ
“คุณจะเข้ามาทันทีเมื่อเขามีท่าทีว่าจะกินฉันใช่ไหม”
เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นพ่อบ้านขมวดคิ้วเชิงตำหนิ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าทีหนึ่ง หญิงสาวจึงปล่อยเขาไป
ทันทีที่ประตูปิดลง ความเงียบเย็นก็เข้ามาแทนที่ ไม่อึดอัดเท่าที่คิด อาจเพราะเธอเจอแบบนี้จนเริ่มจะชินเสียแล้ว
เบเรนส์พึ่งได้พิจารณาคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าดี ๆเขาเป็นชายหนุ่มรูปงามทีเดียว ตัวกว้างเท่าความกว้างของบานหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของเขา ถ้าเป็นมนุษย์ก็คงมีอายุไม่เกินสามสิบ ผมเขาสีดำเงางามจริง ๆ แต่ดวงตากลับเป็นสีเทาออกหม่น ๆ...
“เชิญนั่ง” เขากล่าวขณะสบตากับเธอ
เบเรนส์ทรุดตัวลงนั่งหลังยืดตรง
เธอเคยทำสัญญาการค้าอยู่ครั้งหนึ่ง กับเจ้าของร้านค้าส่ง ให้ส่งผงทำความสะอาดผ้าให้ครอบครัวเธอในราคาถูก
เธอกำลังคิดว่าครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันนัก
“หมอเฟร็ดคงบอกทั้งหมดกับเธอแล้ว งั้นก็เข้าประเด็นเลยแล้วกัน” เขาว่า “เธอจะอยู่ที่นี่ มีหน้าที่เพียงแค่ถ่ายเลือดเดือนละครั้ง ต้องการอะไรให้บอกพ่อบ้านฟลูได้ทันที ซึ่งทั้งหมดไม่รวมอยู่ในค่าตอบแทนที่เธอจะได้รับ...ต้องการเท่าไหร่ว่ามาได้เลย”
“คุณคิดว่าฉันควรได้เท่าไหร่คะ คุณคงรู้ราคาตลาดมากกว่าฉัน”
“หึ” เขาหัวเราะ “หนึ่งแสนเหรียญเป็นไง”
“งั้นฉันของสองแสนเหรียญ” เธอว่า “ขอตอนนี้เลยแสนเหรียญ อีกแสนเหรียญไว้ให้อีกทีหลังจบงาน นั่นคือทันทีที่คุณหาคนอื่นได้ และใครคนนั้นต้องได้ข้อเสนอแบบเดียวกันหรือไม่น้อยไปกว่านี้ ตกลงไหม”
เขาหัวเราะร่วน จนเธอคิดว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปรึเปล่า
“เป็นข้อเสนอที่แปลกดี แต่ฉันตกลง” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้น เดินหายเข้าไปยังห้องข้าง ๆ สักพักหนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมกระดาษและถุงเงินในมือ
“ข้างในเป็นธนบัตรใบละห้าร้อยเหรียญ สองร้อยใบ” เขาวางมันตรงหน้าเธอ แต่แทนทีเขาจะกลับไปนั่งที่เดิม เขากลับยืนพิงที่โต๊ะด้านข้างเธอแทน “ไม่ต้องรีบนับตอนนี้ เอากลับไปค่อย ๆ นับที่ห้องก็ได้”
ชายหนุ่มวางกระดาษสองใบไว้ตรงหน้าเบเรนส์ เมื่ออ่านดูแล้วมีข้อความตามที่เธอบอกไปครบถ้วน ด้านล่างมีลายเซ็นของเขารอไว้แล้ว
“เซ็นซะ แล้วเธอก็เก็บไปฉบับหนึ่ง”
หญิงสาวอ่านมาอย่างถี่ถ้วนอีกรอบถึงจะจรดปากกาเซ็น แล้วยื่นใบหนึ่งให้เขา
อาโนฟาลิสเอื้อมมือไปรับ ก่อนจะสังเกตรอยเข็มจาง ๆ ที่ข้อพับของหญิงสาว และแทนที่เขาจะรับหนังสือสัญญา กลับเลื่อนมือไปจับแขนของเบเรนส์แทน
“...!” เธอสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายนิ้วเย็นเฉียบของเขาสัมผัสที่รอยเข็มฉีดยาบนแขนซ้ายของเธอ ออกแรงชักมือหนี แต่เขาจับไว้แน่น
“ฉันอยากจะลองลิ้มรสมันไว ๆ เสียที ว่าจะรสชาติดีคุ้มกับราคาที่จ่ายไปหรือไม่”
“คุณเลือกได้หรือคะ จะอร่อยหรือไม่ คุณก็ต้องกินมันประทังชีวิตอยู่ดี”
“ก็จริง...”
ก่อนที่ทั้งคู่จะได้เถียงกันต่อ อยู่ ๆ ประตูก็ถูกเปิดโพล่งเข้ามา
“แปลกใจนะที่นายไม่เคาะประตูก่อนพ่อบ้านฟลู” อาโนฟาลิสเสียงเรียบก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากเบเรนส์
“ขออภัยครับ”
“พานางกลับไปที่ห้องซะ”
อีกฟากของเมืองตะวันออกฝั่งเหนือ เป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกลูคูลิเซียม ที่นี่อาจไม่ได้ใหญ่โตเท่าของตระกูลแวมไพร์เก่าแก่ แต่การตกแต่งประดับประดานั้นสวยงามหรูหราไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แต่ถึงแม้จะสวยงายเพียงใดก็ไม่ได้ชวนให้มองนัก เพราะบรรยากาศภายในที่นี้มันช่างอึมครึมน่าขนหัวลุกมากเสียจนชายสองตนที่กำลังเดินเข้ามาเสียวสันหลังวาบ
เขาทั้งสองดูไม่ดีเท่าไหร่ ผมเผ้าและหนวดเครายาวรกรุงรัง เสื้อผ้าที่ใส่บางส่วนมีรอยปะอีกทั้งยังดูเหมือนไม่ได้เปลี่ยนมาแล้วหลายวันอีกด้วย
พวกเขาเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าพื้นต่างระดับที่ยกเก้าอี้ลายวิจิตรให้อยู่สูง
“ได้เรื่องอะไรรึยัง”
น้ำเสียงเรียบนิ่งจับอารมณ์ไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั่น เขาผู้นี้ต่างจากเหล่าชายที่พึ่งเข้ามาลิบลับ
เขาดูสะอาดสะอ้าน ผมที่ดำเงาเรียบเป็นทรง ใบหน้าหมดจดไร้ที่ติ ชุดที่เขาสวมไม่ต้องสัมผัสก็รู้สึกได้เลยว่าถูกตัดเย็บอย่างละเอียดจากผ้าชั้นดี ในมือของเขาข้างหนึ่งถือแก้วไวน์บอร์โดซ์ที่บรรจุของเหลวสีแดงสด
“ยะ...ยังหาพวกมนุษย์ที่พอกินได้ไม่เจอเลยขอรับท่านแอลนูล” ชายเบื้องล่างคนหนึ่งก้มหน้าตอบ
“พวกแกจะบอกว่า...แกรับเงินฉันไปผลาญเล่นโดยไม่มีอะไรติดมือมาให้ฉันเลยงั้นสิ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเดิม พลางหมุนแก้วในมือเบา ๆ “แกเห็นฉันเป็นนักบุญรึไง”
“ขออภัยจริง ๆ ขอรับ พวกเราพยามเต็มที่แล้ว แต่...”
“เอาเถอะ ฉันเข้าใจ” เขาว่า “แต่ให้ไวหน่อยก็ดี...ฉันเบื่อจะกินเลือดสัตว์เดรัจฉานนี่เต็มทน”
พูดจบชายนามแอนนูลก็ปล่อยแก้วไวน์ในมือ ชายทั้งสองที่ยืนอยู่ต่ำกว่าเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปแย่งกันรับจนของเหลวหกกระจายไปทั่ว ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สนใจ กลับเลียกินน้ำสีแดงข้นที่เปื้อนบนมืออย่างหิวกระหาย
หนุ่มรูปงามบนเก้าอี้สูงสง่าปลายตามองอย่างสมเพช
“แล้วก็ส่งคนไปจับตาดูพวกดิฟเทอร์แรนด้วย...ฉันอยากรู้ว่าพวกมันมีแผนจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง”