มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

The Boundary (เขตแดนพิศวง) - ตอนที่ 1 คดีประหลาด โดย Cirrus Halo @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค,แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The Boundary (เขตแดนพิศวง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​

รายละเอียด

มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

ผู้แต่ง

Cirrus Halo

เรื่องย่อ

เอวาและนาชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์ ซึ่งมักได้รับคำร้องเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นที่มีความแปลกประหลาด บางครั้งก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทำให้พวกเขาต้องออกไปตรวจสอบและไขปริศนาของสิ่งลึกลับในภพภูมิทั้งสี่ ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาคและคนธรรพ์ การเดินทางที่ต้องเผชิญกับความสยองขวัญ ตำนาน ความน่าทึ่งของวัฒนธรรมที่มีประวัติอันยาวนานจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน The Boundary (เขตแดนพิศวง) ค่ะ

เรื่องนี้ใช้ปก AI นะคะ แต่งานนิยายของ Cirrus Halo ไม่ได้ใช้ AI แน่นอน ผู้เขียนไม่เข้าใจการแอนตี้ปก AI เลยค่ะ การป้อนคำสั่งเพื่อให้ AI วาดภาพปกออกมาได้ตามที่นักเขียนต้องการยากกว่าการออกแบบโดยใช้ภาพจากเว็บไซต์ฟรีแล้วนำมาออกแบบเพิ่มเติมมากนะคะ เพียงแต่ภาพจาก AI ไม่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนภาพวาดของนักวาดที่เป็นมนุษย์ ควรพิจารณาจากการวางองค์ประกอบภาพ ความเหมาะสมตรงตามเนื้อหานิยายของภาพมากกว่าค่ะ

และเมื่อไม่นานนี้ยังมีข่าวนักเขียนที่ถูกก๊อปปี้ผลงานโดยนักเขียนที่เป็นมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเป็น AI ก็ก๊อปปี้ได้ค่ะ และยังตรวจสอบยากกว่างาน AI อีกด้วย

สารบัญ

The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 1 คดีประหลาด,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 2 ตำหนักทรงเจ้า,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 3 พิธีรับขันธ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 4 สิ่งที่ปกปิดไว้,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 5 ตำนานนาคา,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 6 เสียงเพรียกยามค่ำคืน,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 7 เจ้าของเสียงเรียก,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 8 ผู้ปกป้องเมือง,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 9 อาถรรพ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 10 บ้านที่เชียงราย

เนื้อหา

ตอนที่ 1 คดีประหลาด

กลิ่นหอมของกาแฟดำคุกรุ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วห้องสีขาวทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ท่ามกลางห้องที่มืดมิดมีเพียงแสงสลัวของดวงอาทิตย์ส่องลอดผ่านม่านหน้าต่างซึ่งเปิดแหวกเอาไว้เพียงเล็กน้อย แสงสลัวนั้นเป็นเหมือนกับโคมไฟช่วยให้ชายหนุ่มในชุดโปโลสีดำนั่งพิมพ์รายงานในคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานได้อย่างไม่สะดุด บรรยากาศรอบตัวมืดมนแต่สายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่งานเหมือนจมอยู่ในห้วงความคิด ปกคอเสื้อสีเหลืองเข้มเป็นเพียงสีสันเดียวที่ช่วยให้ใบหน้าขาวซีดของเขาดูไม่มืดหม่นจนเกินไปนัก

เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับแสงไฟในห้องที่ถูกเปิดจนสว่างไสวขัดจังหวะการทำงานของชายหนุ่ม เขาหรี่ตาเพราะยังไม่ชินกับแสงพลางเพ่งมองหญิงสาวที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องก่อนจะก้มหน้ากลับไปสนใจที่จอมอนิเตอร์ต่อ สีหน้าเหนื่อยหน่ายของเธอบ่งบอกว่าสิ่งที่เธอทำอยู่เป็นกิจวัตรประจำวันที่เธอไม่ใคร่อยากทำเท่าไรนัก เธอบ่นเสียงดังจนอีกฝ่ายแทบอยากปิดหู

“นาชาญ บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เปิดไฟเวลาใช้คอมพิวเตอร์ เดี๋ยวก็ตาบอดหรอก”

 ในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์หันมามองดูหญิงสาวที่กำลังเดินใกล้เข้ามา

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“ใช้คำว่ามีเรื่องงั้นหรือ” หญิงสาวยิ้มเย็นก่อนจะยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลวางลงบนโต๊ะทำงานของเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเธอจ้องมองเขาอย่างจริงจัง “งานต่างหาก มูลนิธิได้รับการขอร้องมาลองอ่านดูสิ”

“หวังว่าคงไม่ใช่พวกที่ลุกขึ้นมารำไทยมั่วๆ เรียกร้องความสนใจแล้วอ้างว่าถูกผีสิงหรอกนะ กระแสโซเชียลให้ความสนใจมากแต่คงลืมไปว่ามูลนิธิของเราไม่ได้อยากดังด้วย”

“อยากไม่อยากเราก็ช่วยให้เขาหาทางจบเรื่องแบบสวยๆ ได้แล้วไม่ใช่หรือ เขาก็จ่ายค่าตอบแทนให้เราแล้วด้วย”

“ก็แค่หาข้ออ้างส่งๆ เท่านั้น แต่แรกก็น่าจะให้คนอื่นจัดการไปสิ ส่งเรื่องมาให้ฉันทำไมก็ไม่รู้” ชายหนุ่มกล่าวพลางเปิดซองเอกสารแล้วดึงกระดาษปึกใหญ่ออกมา “เธอก็ด้วยเอวา อย่างน้อยน่าจะช่วยพูดให้หน่อยสิ”

“คนรับเรื่องเขาคิดว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติจริงๆ  ท่าทางเขากลัวด้วยก็เลยไม่อยากถามอะไร”

“ฉันท้วงตั้งแต่แรกแล้ว แค่ได้ยินภาษาที่พูดก็รู้แล้วว่ามั่วเอาเอง พวกนั้นก็ยังยืนกรานให้ฉันไปหาเขาที่บ้าน” สีหน้าของนาชาญเหนื่อยหน่ายพลางกวาดสายตามองดูเอกสาร

“ช่วยไม่ได้นี่นา” เอวาถอนหายใจยาว “ตั้งแต่เกิดเรื่องแปลกๆ อย่างศพที่ปอดเต็มไปด้วยน้ำทั้งที่ไม่มีร่องรอยคนร้ายจับกดน้ำหรืออุบัติเหตุอะไรที่เกี่ยวกับน้ำในที่เกิดเหตุ สันนิษฐานได้แค่ผู้ตายพยายามกดน้ำตัวเองแต่ไม่ตายทันทีซึ่งฟังดูไม่เข้าท่าเลย ต่อมายังมีคนที่ตับไตไส้พุงหายไปภายในคืนเดียวทั้งที่ผู้ตายนอนอยู่กับลูกๆ สามคนและไม่มีร่องรอยว่าร่างกายถูกฉีกหรือกรีดด้วยอาวุธเลยด้วย พอเกิดคดีลักษณะนี้บ่อยๆ เข้าตำรวจก็เริ่มปิดคดีไม่ได้ แถมทั้งสื่อต่างๆ  ญาติผู้ตายหรือแม้แต่คนทั่วไปต่างก็มองว่าเป็นคำสาปเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ สุดท้ายคดีก็ถูกทิ้งค้างเอาไว้แบบนั้น มูลนิธิเราถึงเสนอตัวเข้าไปช่วยเพราะจะได้เข้าไปศึกษาเก็บรวบรวมข้อมูล และยังได้สิทธิในการขอความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐที่จำเป็นในการปิดคดีด้วย”

“ฉันถนัดเรื่องคติความเชื่อก็จริง แต่ไม่ใช่จะรับทุกเรื่องที่อ้างว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหรอกนะ” เสียงของนาชาญแผ่วลงเพราะความสนใจของเขาไปจดจ่ออยู่ที่เอกสาร

“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ ฉันก็แยกไม่ออกหรอกว่าอันไหนโกหกและอันไหนจริง เขาให้มาก็รับมาหมด” เอวาสะบัดผมยาวสีดำขลับยาวถึงกลางหลังก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามนาชาญ

หลังจากพลิกหน้ากระดาษดูอยู่พักใหญ่ นาชาญก็นั่งเอนหลังแล้วเริ่มสรุปเรื่องทั้งหมดแบบออกเสียงให้หญิงสาวฟัง “ผู้ตายทั้งแปดรายวิ่งเข้าไปให้รถชนเอง เกิดเหตุตอนหนึ่งทุ่มกับตีหนึ่งตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาติดกันสี่วันแล้ว ผู้ตายห้ารายมีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิด ส่วนอีกสามรายที่เหลือมีพยานเห็นเหตุการณ์และเจ้าของรถที่ขับชนผู้ตายก็ให้การตรงกันคือไม่มีคนอื่นอยู่ที่นั่น”

“ใช่ พวกเขาพูดตรงกันว่า ก่อนตายผู้ตายจะพึมพำอะไรสักอย่างแล้วเดินลงมาบนถนนเหมือนกำลังตามใครอยู่ คนที่ขับรถมาเบรกไม่ทันทำให้ชนผู้ตายอย่างแรง และทุกรายจะเลือกวิ่งชนรถที่วิ่งมาเร็วๆ ด้วยเหมือนเตรียมจะฆ่าตัวตาย”

“อาจจะเป็นการฆ่าตัวตายถ้าไม่เกิดซ้ำๆ ติดๆ กันทุกวันขนาดนี้” นาชาญหยิบแฟ้มเอกสารชุดหนึ่งยื่นให้เอวา “คดีนี้มีทั้งกล้องวงจรปิดและพยานเห็นเหตุการณ์ ฉันอยากไปดูที่เกิดเหตุจริงสักหน่อย”

เอวาย่นคิ้วรับเอกสารมาเปิดดูก่อนทิ้งไว้บนโต๊ะ ท่าทางของเธอเตรียมจะท้วงเต็มที่ “จะไปดูทำไม ยังไงก็ไม่เห็นอะไรหรอก ตำรวจเขาเก็บหลักฐานไปหมดแล้ว”

นาชาญเงียบพลางมองดูรูปภาพในหน้าเอกสารที่ถูกเปิดทิ้งไว้ มันเป็นรูปของรถเก๋งสี่ประตูสีดำที่มีร่องรอยเบรกจนถนนเป็นรอย เลือดไหลนองออกจากบริเวณศีรษะของศพที่นอนแน่นิ่งอยู่หน้ารถ บรรยากาศรอบตัวของนาชาญเปลี่ยนไปจนเอวารู้สึกได้ มันทำให้ขนแขนของเธอตั้งชันเหมือนมีลมเย็นเยียบพัดผ่านสันหลังวูบหนึ่ง ราวกับว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้เป็นคนแปลกหน้าหรืออะไรสักอย่างที่เธอไม่เคยรู้จัก เธอกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอก่อนเผยอปากจะเรียกชื่ออีกฝ่าย แต่นาชาญกลับเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นเสียก่อน

“อยู่แค่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ตรงนี้เอง ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร”

น้ำเสียงเรียบนิ่งเป็นปกติของเขาทำให้เอวาคลายความระแวงสงสัยลงได้บ้าง เธอยอมตอบตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “ก็ได้ แต่ยังไงก็เสียเที่ยว เชื่อฉันสิ”

รถเก๋งสี่ประตูสีเทาวิ่งออกจากลานจอดรถหน้าอาคารสามชั้นในโครงการอาคารสำนักงานแถวพระโขนงอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานมูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งเป็นมูลนิธิเพื่อศึกษาความเชื่อและวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศไทย ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเป็นนักธุรกิจใหญ่ทำธุรกิจหลายประเภทแต่ความเชื่อและวัฒนธรรมเป็นความชอบส่วนตัวของเขา เขาเป็นนักสะสมของโบราณและบางครั้งก็เสียเงินซื้อสมบัติชาติกลับมาคืนพิพิธภัณฑ์ด้วยทำให้ได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐในการศึกษาวิจัยเรื่องต่างๆ  แต่ปัจจุบันเกิดคดีต่อเนื่องที่คล้ายกับจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความเชื่อท้องถิ่นบางประการทำให้มูลนิธิเสนอความช่วยเหลือในการสืบคดีดังกล่าวด้วย

เมื่อขับรถเข้าไปจอดในปั๊มน้ำมันได้แล้วนาชาญกับเอวาก็ลงจากรถก่อนจะเดินไปตามฟุตบาตกลางแดดจ้ายามสาย เสื้อโปโลสีดำปกเหลืองเป็นเครื่องแบบของมูลนิธิซึ่งทั้งสองใส่เดินมาสำรวจสถานที่เกิดเหตุ อากาศช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ร้อนเป็นปกติ อาจกล่าวได้ว่าอากาศทั้งสามฤดูในประเทศไทยนอกจากฤดูฝนแล้วก็แทบนับเป็นฤดูร้อนได้หมด เอวาใช้กระดาษทิชชูซับเหงื่อที่หน้าผาก เธอรวบผมเป็นหางม้าไว้ข้างหลังแต่ก็ไม่ช่วยให้ร้อนน้อยลงเท่าไรนัก เธอมองดูนาชาญที่กำลังเทียบรูปภาพซึ่งถ่ายสำเนามาจากแฟ้มเอกสารคดีกับสถานที่เกิดเหตุจริง ท่าทางของเขาเหมือนไม่รับรู้ถึงไอแดดร้อนระอุรอบๆ ตัวเลย เอวาเห็นเขาหยุดนิ่งน่าจะหามุมที่อยู่ในรูปภาพเจอแล้ว เธอจึงวิ่งเข้าไปหาเขา

“เป็นไงบ้าง เจออะไรมั้ย”

นาชาญไม่ได้สำรวจบนพื้นหรือรอบๆ สถานที่เกิดเหตุอย่างที่นักสืบหรือตำรวจทำกัน เขาเพียงแค่กวาดสายตาไปบนถนนซึ่งรถวิ่งสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ยามสายแบบนี้ทำให้การจราจรยังไม่ถึงขั้นติดขัดจนแน่นขนัดไม่เหมือนช่วงเช้าที่ผู้คนต่างเร่งรีบแข่งกันออกไปทำงานและช่วงเย็นที่คนกำลังเลิกงาน

“เวลาเกิดเหตุที่นี่คือตีหนึ่งใช่มั้ย” นาชาญหันไปถามเอวา

“ใช่ ตีหนึ่งรถไม่เยอะขนาดนี้หรอก รถก็เลยวิ่งเร็ว”

 นาชาญมองไปยังตึกร้างรอบๆ บริเวณที่เกิดเหตุ “แถวนี้กลางคืนก็ไม่น่าจะมีร้านค้าเปิดหรอกมั้ง”

“ไม่มี เพราะงั้นถึงไม่ควรมีคนเดินข้ามถนนมาให้รถชนได้ไง ทั้งสองฝั่งมีแต่ตึกเปล่าๆ ไม่มีคนขายของด้วยซ้ำ”

“พยานเห็นเหตุการณ์คือคนขับรถคันหลังรถที่ขับชนคนตายใช่มั้ย”

“ใช่ เขาเห็นคนตายยืนพูดอะไรสักอย่างเหมือนคุยกับใครอยู่ แต่พอมองไปบนถนนก็ไม่เห็นใครเลย เขายังคิดว่าคุยกับ…”

“ผีน่ะหรือ”

“เรื่องแบบนี้เขาไม่ให้ทัก ไม่รู้หรือไง”

“นั่นน่ะสินะ” นาชาญกล่าวพลางมองดูสถานที่เกิดเหตุเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะละสายตาเดินนำเอวากลับไปที่รถ “ฉันหมดธุระกับที่นี่แล้ว เรากลับไปดูภาพจากกล้องวงจรที่แนบมากับแฟ้มคดีกันดีกว่า”

“ก็บอกแล้วไงว่ามาที่นี่ก็ไม่ได้อะไรหรอก ทำไมถึงอยากมาดูนักล่ะ”

“ก็เผื่อจะมีวิญญาณสักสองสามตนอยู่ให้ถามได้ไง”

“พูดจาแบบนี้ระวังเขาตามติดกลับมาด้วยหรอก นายนี่ปากเสียจริงๆ ”

หลังจากขับรถกลับมายังสำนักงานของมูลนิธิเหรียญปราชญ์ นาชาญก็กลับขึ้นไปยังห้องทำงานที่ชั้นสองในขณะที่เอวาเดินเข้าไปชงกาแฟในครัว ในขณะที่รอกาแฟไหลจากเครื่องลงในแก้ว หญิงสาวผมสีน้ำตาลทองยาวปะบ่าท่าทางทะมัดทะแมงเดินเข้ามาทักทายเธออย่างเป็นกันเอง เธอเป็นผู้ประสานงานโครงการที่ดูแลรับงานต่างๆ ของมูลนิธิและเป็นผู้จัดสรรงานให้ผู้รับผิดชอบแต่ละทีมซึ่งในมูลนิธิมีอยู่เพียงสามทีมทีมละสองคน เอวากล่าวตอบอย่างสุภาพ

“สวัสดีค่ะ พี่เอ็มม่า”

“เรื่องคราวก่อนขอโทษทีนะ ฉันคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อก็เลยส่งให้ทีมเธอ”

เอวานึกถึงนาชาญที่อารมณ์บูดเมื่อเช้า “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ครั้งหน้าถ้านาชาญปฏิเสธก็ให้ทีมของนิรุธกับแอนที่ถนัดรับมือสื่อทำดีกว่าค่ะ ไม่งั้นเขาอาจจะพูดขวานผ่าซากทำให้เสียเรื่องได้นะคะ”

“ฉันเห็นสีหน้าเขาแล้วล่ะ ยังไงฝากขอโทษเขาด้วยก็แล้วกัน” เอ็มม่ายิ้มเจื่อนพอจะเข้าใจสถานการณ์อยู่บ้างก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่คดีที่ให้ไปล่าสุดเป็นยังไงบ้าง”

“รอบนี้ดูเขาจะสนใจนะคะ เมื่อครู่ก็พึ่งไปที่เกิดเหตุมาแต่ยังไม่เห็นเขาออกความเห็นอะไรเพิ่มเติมเลย”

“งั้นหรือ” เอ็มม่ากล่าวอย่างผิดหวังนิดๆ “คิดว่าจะปิดคดีได้ไวเหมือนครั้งก่อนเสียอีก”

“ครั้งก่อนคนร้ายใช้วิธีโน้มน้าวญาติของคนตายให้เชื่อว่าคนตายดวงตก ญาติของคนตายก็พูดซ้ำๆ ทุกวันจนคนตายเกิดอาการหวาดวิตกแล้วสุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย คนร้ายเป็นหมอผีที่คนในหมู่บ้านให้ความไว้ใจก็เลยมีอิทธิพลมาก เป็นเรื่องของความเชื่อโดยตรงเลย แต่ครั้งนี้คงยังหาจุดเชื่อมโยงที่ชัดเจนไม่ได้ขนาดนั้นมั้งคะ”

“ครั้งก่อนมีคนตายแค่สามคน แต่ครั้งนี้แปดคนนะ ไม่รู้จะมีตายอีกหรือเปล่า”

“ถ้ามีอีกก็คงเกิดเหตุตอนตีหนึ่งวันนี้ เห็นนาชาญสรุปว่าเวลาเกิดเหตุคือหนึ่งทุ่มกับตีหนึ่งน่ะค่ะ”

“ตีหนึ่งเนี่ยนะ” สีหน้าของเอ็มม่าบูดบึ้งพลางบ่นไปเรื่อย “วันนี้วันศุกร์นะ ไม่อยากให้เกิดเรื่องร้ายๆ เลย”

“เราไม่รู้หรอกค่ะว่าจะเกิดเรื่องจริงหรือเปล่า ต่อให้รู้ก็ไม่รู้สถานที่เกิดเหตุอยู่ดี” เอวานึกถึงสีหน้าของนาชาญตอนไปดูสถานที่เกิดเหตุพลางกล่าวอย่างไม่มั่นใจ “หรือว่าจะรู้นะ”

“พูดถึงอะไรหรือ” เอ็มม่าสังเกตเห็นนัยน์ตาของเอวาเหม่อลอยเหมือนจมอยู่ในห้วงความคิดก็แตะไหล่เธอเบาๆ

“นี่ ได้ยินมั้ย”

เอวาสะดุ้งเผลอโพล่งเสียงดัง

“ก็นาชาญน่ะสิคะ” เธอยกมือขึ้นปิดปากรู้สึกเขินนิดๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “บางทีท่าทางของเขาก็แปลกๆ เหมือนเป็นคนไม่เคยรู้จักกันอย่างนั้นแหละ พี่เอ็มม่าไปรับเขาเข้ามาทำงานได้ยังไงคะ”

“มหาวิทยาลัยที่ฉันจบมาแนะนำเขาให้มาทำงานน่ะ เขาพึ่งกลับจากบ้านที่ต่างจังหวัดกำลังหางานทำอยู่พอดี”

“บ้านเขาอยู่ต่างจังหวัดหรือคะ”

“เขามีบ้านทั้งที่กรุงเทพและต่างจังหวัด ที่จริงฉันต่างหากที่ต้องถามว่าเธอยังไม่ชินกับเขาอีกหรือ ทำงานร่วมกับเขามาปีนึงแล้วนะ”

“เวลาปกติก็ชินอยู่หรอกค่ะแต่จะมีบางช่วงเวลาที่บอกไม่ถูก มันรู้สึกขนลุกแปลกๆ ”

“ได้ยินว่าหมู่บ้านที่เขาอยู่ก็มีทำพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่ออะไรสักอย่าง ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน บางทีเขาอาจเลือกเรียนทางสายคติชนวิทยาเพราะเหตุนี้ล่ะมั้ง”

“ได้ยินอะไรน่าสนใจเข้าแล้วสิ” เอวายิ้มเจ้าเล่ห์พลางหยิบถ้วยกาแฟออกจากเครื่องชงกาแฟ “ฉันขอตัวกลับขึ้นไปทำงานก่อนนะคะ เดี๋ยวคนข้างบนจะบ่นเอา”

“มีอะไรคืบหน้าก็มาบอกกันบ้างนะ ฉันรับงานนี้มาเพราะความสนใจส่วนตัวเลยล่ะ”

“ถ้ามีเวลาจะมาเล่าสู่กันฟังค่ะ” เอวากล่าวทิ้งท้ายพลางสาวเท้าไวๆ เดินขึ้นบันไดไป เอ็มม่ามองตามอีกฝ่ายรู้สึกผิดหวังนิดๆ ที่ไม่ได้คำตอบก่อนจะหันไปหยิบถ้วยกาแฟเตรียมชงแก้วของตัวเองบ้าง

เอวาเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานเห็นนาชาญกำลังเสียบแฟลตไดร์ฟเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ เธอเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามที่โต๊ะทำงานของเขาแทนที่จะเดินไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง นาชาญเหลือบตามองเธอสลับกับเลือกเล่นภาพจากกล้องวงจรในแฟลตไดร์ฟ เขาเปิดผ่านๆ จนเจอภาพสถานที่ที่เหมือนกับที่เกิดเหตุซึ่งเขากับเอวาพึ่งออกไปสำรวจมา

“นี่นายหาไฟล์ภาพกล้องวงจรปิดจากแฟลตไดร์ฟพวกนี้ทั้งหมดเลยหรือ” เอวาเหลือบดูแฟลตไดร์ฟสีสันต่างๆ ทั้งแปดอันที่วางอยู่บนโต๊ะ “คนที่เก็บแฟ้มทำไมไม่แยกให้นะ”

“ไม่เป็นไรหรอก หาเจอแล้ว”

เอวาเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ “ยิ่งหนักเลย ฉันก็ไม่ได้ชงกาแฟนานขนาดนั้นนะ นายหาเจอไวเกินไปแล้ว”

“ฉันใช้ทริคนิดหน่อย” นาชาญกล่าวแต่ตาของเขาจ้องมองไปที่ไฟล์กล้องวงจรปิดในหน้าจอคอมพิวเตอร์แทน เอวาลุกขึ้นเดินไปยืนข้างๆ เขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“แล้วนายกำลังดูอะไรอยู่ ภาพในเอกสารน่าจะละเอียดพอแล้วนะ”

“รายละเอียดของคดีน่ะพอแล้ว ฉันแค่อยากตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมหน่อย”

เอวามองดูจอคอมพิวเตอร์อย่างสนใจ นาชาญกำลังดูภาพที่ผู้ตายยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนฟุตบาตหันหน้าไปทางถนน ปากบ่นพึมพำอะไรสักอย่างในขณะที่สายตาจับจ้องไปที่กลางถนนราวกับกำลังคุยกับใครอยู่ ไม่นานนักรถคันที่ก่อเหตุก็วิ่งอย่างรวดเร็วตรงเข้ามา ผู้ตายยกแขนทั้งสองข้างขึ้นราวกับกำลังเรียกหาอะไรบางอย่างแล้วก้าวเท้าไปข้างหน้าบนถนนที่รถวิ่งผ่านเข้ามาพอดี ร่างของเขาถูกลากไปไกลอีกราวหนึ่งกิโลเมตร เลือดไหลออกจากศีรษะที่กระแทกไถลไปตามพื้น เขากระอักเลือดออกมาก่อนจะนอนหลับแน่นิ่งบนพื้นอันเย็นเยียบท่ามกลางความมืดมิดยามกลางคืนที่มีเพียงแสงสลัวจากไฟถนนให้ความสว่างบนเส้นทางที่ทอดยาวไปข้างหน้าอย่างไม่มีสิ้นสุด

เอวายกมือขึ้นปิดปากรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกที่คอจนพูดไม่ออกในขณะที่นาชาญกดหยุดภาพวีดีโอแล้วย้อนภาพกลับไปตอนที่ผู้ตายยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหมือนเรียกหาอะไรบางอย่าง สายตาของเขาจับจ้องไปยังถนนฝั่งตรงข้ามที่ผู้ตายจ้องมองอยู่ก่อนจะเดินลงมาให้รถชนตายราวกับว่าที่ว่างเปล่าตรงนั้นมีอะไรอยู่ ไม่ว่าจะมองยังไงเอวาก็ไม่เห็นใครอื่นในภาพกล้องวงจรปิดนอกจากผู้ตายและรถที่วิ่งผ่านมาเท่านั้น เธอลอบมองนาชาญอย่างสงสัยเพราะเขาย้อนภาพอีกครั้งแล้วกดหยุดภาพเอาไว้ตรงนั้น หญิงสาวฝืนกล่าวถามทั้งที่ในใจก้ำกึ่งไม่อยากได้ยินคำตอบสักเท่าใดนัก

“นายดูอะไรอยู่น่ะ”

นาชาญเพียงเหลือบหางตามองเธอนิดหนึ่งแล้วกลับไปจ้องจอคอมพิวเตอร์ “เธอไม่เห็นหรือ”

“เห็นอะไร”

นาชาญเลื่อนลูกศรเมาส์ลากเป็นรูปวงรีตรงบริเวณที่ว่างซึ่งผู้ตายจ้องมองก่อนตาย “เห็นหรือยัง”

เอวาพยายามเพ่งมองตรงจุดที่ลูกศรเมาส์ชี้อยู่ เมื่อจ้องมากๆ เข้าเธอก็มองเห็นร่างเลือนรางสีขาวและผมยาวสยายสีดำขลับก้มหน้าหันไปทางผู้ตาย เธอผงะถอยหลังก่อนที่เงาร่างนั้นจะหายไปจากจอคอมพิวเตอร์ หญิงสาวขนลุกไปทั่วร่างราวกับมีลมเย็นเยียบปะทะเข้าทุกส่วนของร่างกายจนเธอต้องยกมือกอดอกเพราะรู้สึกหนาวขึ้นมา เธอหันขวับไปมองชายหนุ่มที่ยังคงนิ่งเงียบมองดูจอคอมพิวเตอร์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงสาวกล่าวขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือ

“อย่าบอกนะว่านายเห็นน่ะ”

“เห็นอะไรล่ะ” นาชาญหันมาตอบเธอด้วยสีหน้าท่าทางปกติจนเธอเริ่มทำตัวไม่ถูก บรรยากาศรอบๆ ตัวของเขาก็กลับสู่ความสงบไม่น่าขนหัวลุกเหมือนเมื่อสักครู่นี้

“สรุปนายเห็นหรือไม่เห็นกันแน่”

“ฉันก็เห็นเท่าที่เธอเห็นนั่นแหละ เอาเป็นว่าคงต้องตรวจสอบประวัติผู้ตายแต่ละคนเพิ่มแล้วล่ะ”