มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น
ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค,แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Boundary (เขตแดนพิศวง)มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น
เอวาและนาชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์ ซึ่งมักได้รับคำร้องเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นที่มีความแปลกประหลาด บางครั้งก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทำให้พวกเขาต้องออกไปตรวจสอบและไขปริศนาของสิ่งลึกลับในภพภูมิทั้งสี่ ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาคและคนธรรพ์ การเดินทางที่ต้องเผชิญกับความสยองขวัญ ตำนาน ความน่าทึ่งของวัฒนธรรมที่มีประวัติอันยาวนานจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน The Boundary (เขตแดนพิศวง) ค่ะ
เรื่องนี้ใช้ปก AI นะคะ แต่งานนิยายของ Cirrus Halo ไม่ได้ใช้ AI แน่นอน ผู้เขียนไม่เข้าใจการแอนตี้ปก AI เลยค่ะ การป้อนคำสั่งเพื่อให้ AI วาดภาพปกออกมาได้ตามที่นักเขียนต้องการยากกว่าการออกแบบโดยใช้ภาพจากเว็บไซต์ฟรีแล้วนำมาออกแบบเพิ่มเติมมากนะคะ เพียงแต่ภาพจาก AI ไม่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนภาพวาดของนักวาดที่เป็นมนุษย์ ควรพิจารณาจากการวางองค์ประกอบภาพ ความเหมาะสมตรงตามเนื้อหานิยายของภาพมากกว่าค่ะ
และเมื่อไม่นานนี้ยังมีข่าวนักเขียนที่ถูกก๊อปปี้ผลงานโดยนักเขียนที่เป็นมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเป็น AI ก็ก๊อปปี้ได้ค่ะ และยังตรวจสอบยากกว่างาน AI อีกด้วย
นาชาญเปิดเอกสารประวัติส่วนตัวของผู้ตายแต่ละคนและเริ่มกวาดสายตาอ่านไปเรื่อยๆ เอวายกแก้วกาแฟขึ้นเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนเอง เธอเหลือบมองนาฬิกาจึงเห็นว่าเที่ยงครึ่งแล้วก่อนจะหันไปเตือนนาชาญให้ออกไปทานอาหารกลางวันแต่ท่าทางของนาชาญบ่งบอกว่าไม่อยากให้ใครรบกวนทำให้เอวาต้องเปิดมือถือเพื่อสั่งอาหารให้มาส่งที่สำนักงานแทน ในระหว่างที่รออาหารมาส่งนาชาญเรียกเอวามาที่โต๊ะพร้อมกับหยิบมือถือซึ่งเปิดภาพของสถานที่แห่งหนึ่งยื่นให้เธอดู
“รู้จักที่นี่มั้ย” เขากล่าวน้ำเสียงเรียบพลางมองหน้าเอวาเหมือนต้องการคำตอบ หญิงสาวเดินมาชะโงกดูมือถือก่อนจะเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ตำหนักที่พึ่งเปิดใหม่ไม่นานนี่นา มีชื่อเรื่องทายแม่นแล้วก็ให้รับขันธ์เพื่อสะเดาะเคราะห์ด้วย” กล่าวจบเธอก็ย่นคิ้ว “เดี๋ยวสิ แล้วทำไมถึงคิดว่าฉันจะรู้ว่ามันเป็นที่ไหน”
“ก็เธอชอบหาหมอดูดูดวงให้บ่อยๆ ไม่ใช่หรือ ก็เลยคิดว่าถ้าเป็นเธอต้องรู้แน่”
เอวาเบ้ปากหมดหนทางโต้แย้งเพราะเธอมีนิสัยชอบหันหาความเชื่อเป็นที่พึ่งเวลามีปัญหา แต่ก็ยังพยายามพูดหาทางแก้เขิน “คนไทยส่วนใหญ่เขาก็ทำกันไม่ใช่หรือไง แล้วทีนายล่ะ ชื่อนาชาญนี่มายังไง ตั้งจากความเชื่อเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
นาชาญยักคิ้วนิดหนึ่งเหมือนนึกไม่ถึง “นั่นน่ะสิ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าชื่อตัวเองแปลว่าอะไร”
เอวาหรี่ตากับความไม่ใส่ใจอันน่าเหลือเชื่อของอีกฝ่ายก่อนจะพูดติดตลก “อย่าบอกนะว่าตอนแรกชื่อชำนาญ แต่ดันชำนาญไม่จริงเลยเรียกเป็นนาชาญแทน”
“ก่อนจะชำนาญก็ต้องเริ่มจากไม่ชำนาญก่อนนั่นแหละ ขนาดพวกไอคิวสูงยังไม่รู้ทุกเรื่องตั้งแต่เกิดเลย”
เอวาแอบยิ้มชอบใจกับท่าทางเก้ๆ กังๆ ของเขา “ก็เพราะไม่รู้ทุกเรื่องไงบางอย่างถึงต้องพึ่งพาสิ่งที่อธิบายไม่ได้ และถึงจะชอบหาหมอดูแต่ฉันก็เลือกนะ ตำหนักที่ว่านี่อ้างว่าเป็นร่างทรงของผีเม็งที่เป็นผีบรรพบุรุษของชาวเหนือตามความเชื่อล้านนา พอได้ไปเห็นจริงๆ มันก็คล้ายกับพิธีกรรมของทางนั้นอยู่แหละแต่บางอย่างมันขาดๆ เกินๆ ที่สำคัญเรียกเงินเกินพอดีด้วยก็เลยลาขาด”
“แล้วทายแม่นจริงมั้ยล่ะ หรือเธอไปตกลงรับขันธ์กับเขามาเรียบร้อยแล้ว” น้ำเสียงของนาชาญกลั้วหัวเราะแต่เอวากลับหยุดใช้ความคิดครู่หนึ่งพลางเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเก้อเขิน
“ก็ตอนแรกเขาทำเหมือนน่าเชื่อถือแถมยังทักซะฉันกลุ้มใจหนักมาก ช่วงนั้นมีปัญหาเรื่องเงินกับงานจริงๆ เลยยิ่งหลงเชื่อง่ายไปกันใหญ่” เธอถอนหายใจยาว “แต่มาผิดสังเกตเอาตอนเห็นเครื่องแต่งกายที่จัดถวายผีตอนเข้าทรงนี่แหละ ดันมีกางเกงสมัยนี้หลงไปให้นุ่งซะงั้น กำลังจะจับพานสำหรับรับขันธ์มาแล้วเชียวแต่แกล้งปัดตกไปเสียก่อน”
“ปัดตกเลยหรือ รู้มั้ยว่ามันอาจจะมีผลไปแล้วก็ได้นะ”
“อย่ามาอำกันสิ” เอวากล่าวรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมากะทันหัน “ว่าแต่ทำไมถามถึงตำหนักนี้ล่ะ”
“เพราะเท่าที่อ่านประวัติ ผู้ตายทุกคนมีปัญหาเรื่องการเงินหรือไม่ก็ปัญหาครอบครัวทำให้หันไปพึ่งหมอดูหลายเจ้า แต่เจ้าที่ถูกระบุว่าผู้ตายทุกคนเคยไปและเสียเงินไปจำนวนมากด้วยก็คือตำหนักสิริล้านนา ที่นี่แหละ”
“ไม่จริงน่า งั้นที่มีคนตายติดๆ กันก็อาจเป็นเพราะไปรับขันธ์ที่นี่งั้นหรือ”
“เป็นไปได้ เงินที่เสียไปก็คือค่าพานสำหรับรับขันธ์เหมือนที่เธอเคยโดนน่ะ” นาชาญกล่าวพร้อมรอยยิ้มย่นมุมปาก เอวาไม่ชอบเลยที่เห็นรอยยิ้มแบบนี้เพราะเป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้ เขาเคยยิ้มแบบนี้ก่อนจะเปิดโปงหมอผีในคดีที่แล้ว มันคงไม่มีอะไรแปลกถ้าหลังถูกเปิดโปงแล้วหมอผีคนนี้ไม่เก็บเอาคำพูดของนาชาญที่ทิ้งท้ายไว้ไปคิดจนเสียสติไป ทุกวันนี้ยังต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลโรคประสาทอยู่ทั้งที่คำพูดนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษแต่ราวกับวาจาสิทธิ์
“แล้วฉันจะวิ่งเข้าไปให้รถชนด้วยมั้ยล่ะเนี่ย”
นาชาญเอนหลังพิงเก้าอี้นวมพลางกวาดสายตาสำรวจเอวาซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามกับเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ “เมื่อเช้าตอนไปสำรวจที่เกิดเหตุ รู้สึกอยากวิ่งออกไปบนถนนมั้ยล่ะ”
“ไม่มี” หญิงสาวตอบทันควันแม้ว่าในใจจะแอบหวั่นไหวนิดๆ ไม่มั่นใจว่าตัวเองมีความคิดชั่ววูบแบบนั้นขึ้นมาหรือไม่ “ขอให้ไม่มีทีเถอะ ยังไงก็ไม่ใช่ร่างทรงผีเม็ง[1]ของจริงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“ผีเม็งยังไงก็เป็นผีบรรพบุรุษ เชื่อกันว่าสมัยก่อนขุนนางชาวมอญอพยพเข้ามาอยู่ในล้านนาและเมื่อตายไปก็กลายเป็นผีคอยปกปักรักษาลูกหลานในปกครองของตน ไม่ใช่ผีหรือวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป” น้ำเสียงของนาชาญเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “ถ้าเป็นผีเม็งจริงๆ ไม่น่าห่วงหรอก แต่ถ้าไม่ใช่… อันนี้แหละที่ต้องดูว่าแล้วเป็นผีอะไร”
เอวาคิดตามในที่สุดเธอก็เริ่มสะกิดใจ “เดี๋ยวนะ นายจะบอกว่าสรุปคดีนี้เป็นฝีมือผีหรือ มันฟังดูมีเหตุผลมั้ยเนี่ย”
“มันมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวน่ะสิ” นาชาญเบือนสายตาไปยังเอกสารบนโต๊ะก่อนกล่าวตอบ “ตำหนักสิริล้านนาได้เงินจากผู้ตายคนนึงเป็นแสน หลังจากนั้นผู้ตายก็วิ่งเข้าไปให้รถชนตาย คิดว่ายังไงล่ะ”
“หลอกเอาเงินแล้วฆ่าก่อนจะถูกเปิดโปงน่ะหรือ”
“เหมือนจะเป็นอย่างนั้นแต่ไม่มีหลักฐานว่าใช้วิธีไหน เพราะเขาเอาเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องไง”
“จะว่าไปก็ใช่ แล้วทำยังไงคนถึงวิ่งเข้าไปให้รถชนตายตอนหนึ่งทุ่มกับตีหนึ่งพอดีได้ล่ะ บังเอิญจนไม่น่าจะเป็นการฆาตกรรม”
“เลขหนึ่งตามความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับความตายก็น่าจะเป็น… ธูปหนึ่งดอกหมายถึงจุดไหว้ศพหรือวิญญาณเร่ร่อน”
เอวายกมือขึ้นเกาหัวเพราะยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนกลับไปเข้าเรื่องไสยศาสตร์ “ถ้าสงสัยขนาดนั้นวันจันทร์ลองไปดูที่ตำหนักสิริล้านนามั้ยล่ะ ฉันพาไปถูกอยู่นะ”
เอวาอาสาซึ่งเข้าทางนาชาญอยู่แล้ว เสียงโทรศัพท์ของเอวาดังขัดจังหวะบทสนทนาของทั้งสองคน เมื่อกดเปิดดูหน้าจอจึงพบว่าเป็นเสียงเตือนจากแอพพลิเคชั่นส่งอาหาร
“ถ้างั้นวันนี้ช่วยทานข้าวเป็นเพื่อนฉันก่อน วันจันทร์ค่อยไปสืบเรื่องนี้ต่อได้มั้ย”
“ตามนั้นเลย ฉันก็พึ่งนึกได้ว่าหิว” คำพูดของนาชาญทำให้เอวาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจว่าในโลกใบนี้มีคนที่ลืมหิวได้ด้วย เธอหัวเราะแห้งๆ พลางเดินลงไปรับอาหารจากรถจักรยานยนต์ที่วิ่งมาจอดรออยู่ชั้นล่างบริเวณหน้าอาคารสำนักงาน
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำบอกเวลาห้าโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงานแล้ว นาชาญกับเอวาเดินออกจากอาคารมุ่งหน้ามาทางลานจอดรถซึ่งรถห้าประตูสีเทาดำของนาชาญจอดสนิทอยู่ เอวามักจะติดรถนาชาญกลับบ้านด้วยเพราะไปทางเดียวกัน ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นทำให้นาชาญหันไปสนใจเจ้าของเสียงแทน
“รีบกลับบ้านทุกวันเลยนะ ว่างหรือ”
“ออลันด์กับธนันต์นี่” เอวากล่าวพลางมองตามนาชาญ ทั้งสองเป็นชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนาชาญและอยู่ทีมเดียวกัน ออลันด์รูปร่างผอมสูงส่วนธนันต์รูปร่างเล็กดูปราดเปรียว สองคนนี้ถนัดเรื่องประวัติศาสตร์และวัตถุโบราณ
“ก็ไม่ว่างขนาดตามไปทักทายคนได้ทั่วหรอก มีธุระอะไรหรือเปล่า หรือไม่มีอะไรทำ” การทักตอบของนาชาญทำให้เอวาแอบยิ้มขำในขณะที่สองคนที่ถูกทักหน้าเจื่อนยกมือขึ้นปราม
“ล้อเล่นน่า ทำไมเครียดตลอดเวลาเลยนะแกเนี่ย” ออลันด์กล่าวพลางหยิบใบปลิวมาขึ้นมายื่นให้นาชาญ “พอดีฉันไปเจอร้านกาแฟน่าสนใจเปิดอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ร้านของเขาเป็นแบบกึ่งเรือนไทยบรรยากาศดีมาก ว่างๆ ก็ลองแวะไปนะ”
“ร้านของนายเองหรือเปล่า” เอวาแทรกขึ้นเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่แนะนำอะไรแบบนี้ถ้าไม่มีผลประโยชน์ เธอรู้จักกับออลันด์นานสองปีแล้วนับแต่เขาเริ่มทำงานที่นี่ แต่ไม่นานเท่ากับนาชาญที่รู้จักกับออลันด์มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
“ก็แค่ร่วมลงทุนนิดหน่อย เธอน่ะถ้าอยากเปลี่ยนทีมก็มาบอกนะ ฉันยินดีต้อนรับ” เอวาเม้มปากไม่ตอบ เธอรู้ว่าออลันด์เป็นลูกชายของผู้ก่อตั้งมูลนิธิเหรียญปราชญ์แต่นิสัยของเขาค่อนข้างเอาแต่ใจ และเธอไม่ได้ถนัดเอาใจคนเสียด้วย
“ฉันพอใจกับสภาพตอนนี้ ขอบคุณนะ” เอวากล่าวพลางหันไปมองธนันต์ที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จามาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว “แล้วพูดแบบนั้นไม่เกรงใจคนในทีมตัวเองบ้างหรือ”
“ทีมไม่ได้กำหนดว่าต้องมีสองคนนี่ ใช่มั้ยธนันต์”
“ฉันไม่ได้มีปัญหาถ้าจะมีคนเพิ่มหรือสลับทีม” ธนันต์กล่าวก่อนจะชี้ไปที่รถห้าประตูคันใหญ่สีขาวซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ “ฉันไปรอที่รถนะ”
ออลันด์เลิกคิ้วรู้สึกขัดใจแต่ก็รู้จักนิสัยเพื่อนดี “ทำไมฉันมีแต่เพื่อนมนุษยสัมพันธ์แย่นะ”
“ก็พอเจอคนพูดมากแกก็ไม่สบอารมณ์ อย่ามาบ่นเลย กลับบ้านเหอะ” นาชาญกล่าวตอบก่อนจะเปิดประตูขึ้นรถ เอวาโบกมือลาอีกฝ่ายแล้วเปิดประตูขึ้นนั่งฝั่งข้างคนขับ ออลันด์สีหน้าผิดหวังมองตามหลังรถของทั้งคู่ที่ขับออกไปแล้วก่อนเดินไปหาธนันต์
นาชาญไม่ค่อยชวนคุยในระหว่างขับรถ ถ้าเอวาไม่เป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาก่อนเขาก็สามารถที่จะนั่งเงียบตลอดทางจนกระทั่งเธอลงจากรถได้เลย ทุกครั้งเธอจึงต้องเป็นคนชวนคุยก่อนเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียดในรถ แต่วันนี้พิเศษนิดหน่อยเพราะเธอบังเอิญได้ยินเรื่องที่บ้านของนาชาญมาจากคุณเอ็มม่าด้วย เธอชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่จึงตัดสินใจลองถามเขา
“บ้านของนายอยู่ต่างจังหวัดหรือ”
นาชาญเหลือบตามองเธอนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวตอบ “ที่จริงพ่อแม่ฉันอยู่กรุงเทพแต่มีเหตุให้ย้ายไปอยู่ที่เชียงราย ตอนขึ้นชั้นประถมปีที่สี่แม่ก็พาฉันย้ายกลับมาอยู่ที่กรุงเทพ”
“เอ๊ะ แต่นายได้กลับไปที่บ้านที่เชียงรายอีกรอบด้วยไม่ใช่หรือก่อนจะมาทำงานที่นี่น่ะ”
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยหลังฉันเรียนจบ เธอไปได้ยินเรื่องบ้านที่เชียงรายของฉันมาจากไหนล่ะ”
เอวาหน้าตาเลิ่กลั่กพูดไม่ถูก “ก็คนในสำนักงานคุยๆ กัน เขาสงสัยว่านายกลับไปทำอะไรที่บ้านโน้นน่ะสิ”
“แค่กลับไปเยี่ยมบ้านที่โน่นไม่ได้หรือ ยังไงพ่อของฉันก็ตายที่นั่น”
เอวาเม้มปากรีบยกมือปิดปากซ้ำอีกรอบเพราะกลัวเสียมารยาท ถ้าอย่างนั้นเรื่องพิธีกรรมที่เอ็มม่าบอกก็อาจจะหมายถึงพิธีในงานศพก็เป็นได้ เธอพูดเสียงแผ่วเหมือนเสียงกระซิบ “ขอโทษนะ”
“ไม่มีอะไรต้องขอโทษนี่ ก็แค่คำถามทั่วไป” นาชาญหยุดพูดเมื่อขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านของเอวาในหมู่บ้านใกล้ถนนใหญ่ เธอลงจากรถซึ่งนาชาญก็ไม่ลืมที่จะเตือนเธอ “วันจันทร์เราจะไปตำหนักสิริล้านนากัน พวกนั้นอาจจะยังไม่ลืมหน้าเธอก็ได้ ลองคิดหาข้อแก้ตัวดีๆ ไว้หน่อย”
“ลืมไปเลยว่าเคยปัดพานรับขันธ์เขาทิ้ง” เอวาบ่นพึมพำก่อนโบกมืออำลาเขา ชายหนุ่มขับรถออกจากหมู่บ้านในขณะที่เอวาเดินเข้าบ้านมา
บ้านของเอวาเป็นแบบบ้านสองชั้นทั่วๆ ไปที่เห็นได้ในหมู่บ้านจัดสรรต่างๆ พ่อแม่ของเธอเป็นข้าราชการไม่ได้มีฐานะมั่งคั่งเท่าใดนักแต่ก็พอจะเลี้ยงเธอให้เติบโตมาได้โดยไม่เดือดร้อน หลังเกษียณแล้วพ่อกับแม่ของเธอมักจะออกไปเที่ยวต่างจังหวัดค้างคืนกันทำให้บ้านเงียบเหงาอยู่บ่อยครั้ง เอวาจึงต้องสั่งอาหารเย็นจากแอพลิเคชั่นในมือถือแทน
หลังอาบน้ำสระผมเสร็จแล้วเอวาเดินเช็ดผมออกมาลงนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานในห้องนอนของตนเอง ห้องนอนของเธอตกแต่งด้วยสีม่วงอ่อนสลับขาวดูแล้วสบายตา เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ล้วนเรียบง่ายไม่ได้ออกแบบให้มีความหรูหราเป็นพิเศษ ตุ๊กตาผ้ารูปตัวการ์ตูนต่างๆ บ่งบอกความชอบและนิสัยที่ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่บ้าง หนังสือไม่กี่เล่มซึ่งวางอยู่บนชั้นส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการดูดวงและความเชื่อต่างๆ
เอวากำลังหาข้อมูลในคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการรับขันธ์ เธอไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไรแต่ถูกร่างทรงในตำหนักยุยงให้รับ เธอก็เลยเกือบรับใส่ตัวมา เธออ่านข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่พึ่งค้นหามาได้
“การรับขันธ์คือการสร้างพันธสัญญายินยอมให้ผู้ใดก็ตามมีสิทธิ์ในขันธ์ห้าของผู้รับขันธ์ โดยมีสิทธิ์จะทำกรรมอย่างไรก็ได้ต่อขันธ์ห้าได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ รวมถึงการให้ผู้รับขันธ์รับเคราะห์กรรมต่างๆ แทนก็ได้ ฮะ…” เอวาอ้าปากค้างไม่คิดว่าจะมีความหมายอันตรายขนาดนี้ “ถึงจะพิสูจน์ไม่ได้ก็เถอะว่าเป็นความจริงหรือเปล่า แต่หลอกให้จ่ายเงินแล้วหาเรื่องใส่ตัวเนี่ยนะ จะบ้าตาย”
เอวาปิดคอมพิวเตอร์แล้วล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มสบายก่อนจะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันจันทร์เอวาเป็นคนขับรถเก๋งสีเทาของสำนักงานมุ่งหน้าไปยังตำหนักสิริล้านนาซึ่งอยู่แถวอ่อนนุช แสงอาทิตย์ในฤดูร้อนยังคงร้อนระอุแม้ในยามเช้าซึ่งต่างจากอากาศภายในรถที่เย็นกำลังดีเพราะเครื่องปรับอากาศ นาฬิกาบอกเวลาแปดโมงกว่าๆ แต่นาชาญเริ่มหาวและนั่งสัปหงกอยู่ที่เบาะข้างคนขับ เอวาหันมองเขาเป็นระยะสลับกับมองกระจกหน้ารถเพราะสงสัยว่าเขาน่าจะนอนไม่พอ
“นายเป็นอะไรน่ะ หยุดตั้งสองวันไม่ได้นอนหรือ”
“พอดีอ่านหนังสือดึกไปหน่อย” นาชาญพึมพำตอบเบาๆ แต่ตายังลืมไม่ขึ้น “แล้วก็ไม่ได้ข่าวว่ามีคนตายเพิ่มจากคดีนี้นะ”
“ใช่ ฉันยังลุ้นอยู่เลย แต่ยังไงก็มีคนตายแปดคนแล้ว เราต้องสืบคดีนี้ต่อ” เอวาเห็นนาชาญเงียบไปก็ชวนคุย “แล้วก็ฉันรู้ความหมายของการรับขันธ์แล้วนะ แย่สุดๆ เลย ถ้ารู้แล้วใครมันจะไปยอมทำสัญญาบ้าๆ บอๆ แบบนั้นกัน”
“มีสิ คนที่สิ้นหวังหรือป่วยจนหาทางรักษาแบบอื่นไม่ได้แล้วถึงได้ยอมทำสัญญาแบบนั้นเพื่อถวายตัวเป็นศิษย์กับผู้ที่ตนทำพิธีรับขันธ์เพื่อเรียนวิชาเป็นร่างทรง และผู้ที่เป็นครูหรืออาจารย์ที่ว่าก็คือร่างทรงที่อ้างตนว่ามีเทพหรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาเข้าร่างซึ่งให้แต่คุณไม่ได้ให้โทษ บางคนถึงได้ยอมทำสัญญาเพราะคิดว่าเทพไม่ทำร้ายตนเองไง”
“สรุปง่ายๆ ก็คือถวายตัวเป็นศิษย์กับร่างทรงเทพเพื่อให้เทพเข้าร่างว่างั้น”
“ถึงจะไม่รู้ว่ามีจริงมั้ย แต่เธอก็ไม่ควรยอมทำอะไรทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายตั้งแต่แรก” นาชาญลุกขึ้นนั่งตัวตรงเหมือนจะเริ่มตาสว่าง
“รู้ซึ้งเลยล่ะ ตอนร่างทรงมาทักเขาทำเหมือนเรื่องมันใหญ่โตมากและฉันอาจจะต้องโชคร้ายจนถึงตายจริงๆ ฉันก็เลยยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้เขา เหมือนโดนหลอกให้โชคร้ายกว่าเดิม”
“แล้วทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายจนถึงตายล่ะ”
“ก็มันทำอะไรก็แย่ไปหมด งานก็ทำไม่สำเร็จสักงาน เงินก็ขาดมือ แถมยังทะเลาะกับเพื่อนกับครอบครัวอีก”
“เธอเคยมีปัญหาขนาดนั้นเลยหรือ”
“เป็นเรื่องก่อนที่นายจะเข้ามาทำงานน่ะ พอทำลายพิธีไปแล้วหลังจากนั้นฉันก็ต้องอดทนอยู่พักใหญ่กว่าชีวิตจะกลับเป็นปกติสุข แล้วสองหรือสามเดือนหลังจากนั้นนายก็เข้ามาเริ่มงานที่มูลนิธิ”
“รู้มั้ยว่าผู้ตายทั้งแปดรายก็มีปัญหาเหมือนเธอเลย คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญมั้ย”
“คนส่วนใหญ่ที่ไปหาหมอดูหรือร่างทรงก็เพราะมีปัญหาชีวิตอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรหรอกมั้ง” เอวากล่าวพลางนึกย้อนถึงช่วงเวลาที่เกิดเรื่อง “มาคิดๆ ดู บางเรื่องก็เหมือนมีคนจงใจทำให้เกิดยังไงก็ไม่รู้”
“ที่จริงบางตำหนักก็ใช้วิธีส่งคนไปก่อเรื่องให้คนที่ไม่มีปัญหามีปัญหาขึ้นมาจะได้มาเสียเงินให้ตัวเองไง แต่ตำหนักนี้อาจจะมีอะไรพิเศษกว่านั้น…” นาชาญกล่าวพลางมองกระจกหน้ารถ “เลี้ยวเข้าซอยข้างหน้านั่นก็ถึงแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ จำได้ว่าอยู่ลึกจนไม่ค่อยอยากเข้ามาสักเท่าไร”
เอวาเลี้ยวรถทำให้มองเห็นบ้านหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ท้ายซอย ดูภายนอกก็เหมือนบ้านที่สร้างขึ้นตามแบบบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไปไม่ได้ตกแต่งเป็นพิเศษให้ดูเหมือนตำหนักร่างทรง รอบตำหนักเป็นลานว่างสำหรับจอดรถได้หลายคัน เมื่อเดินผ่านที่จอดรถเข้าประตูรั้วไม้จึงมองเห็นประตูทางเข้าตำหนัก เอวาเดินนำนาชาญซึ่งกำลังมองไปรอบๆ อย่างพินิจผ่านประตูเข้ามาด้านในตำหนัก แม้แต่ภายในก็ยังเป็นเหมือนบ้านคนธรรมดา มีของใช้ต่างๆ วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะและเก้าอี้ ไม่นานนักหญิงวัยกลางคนก็เดินเข้ามาต้อนรับทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม
“พวกคุณมาหาเจ้าพ่อหรือคะ”
“ใช่ค่ะ มีคนแนะนำมาว่าที่นี่ดูดวงแม่นและสะเดาะเคราะห์ได้ผลด้วย”
“ห้องเจ้าพ่ออยู่ชั้นสองค่ะ ตอนนี้มีคนมาให้ทำพิธีพอดี สามารถถอดรองเท้าเข้าไปร่วมชมพิธีกรรมได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
----------------------------------------------------------------------------------
[1] ผีเม็ง โดยมากจะเรียกรวมกันว่าผีมดผีเม็ง ใช้เรียกประเพณีการฟ้อนผีล้านนาจัดขึ้นในช่วงฤดูแล้งก่อนเข้าพรรษาหรือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงก่อนย่างเข้าฤดูฝน อาจจัดทุกปีหรือทุกสองสามปีแล้วแต่กำหนดขึ้นในกลุ่มตระกูลเดียวกัน ผีเม็งใช้เรียกผีบรรพบุรุษชาวมอญในชนชั้นปกครองที่อพยพเข้ามาในล้านนาสมัยก่อน ส่วนผีมดใช้เรียกผีบรรพบุรุษสามัญชนทั่วไปของชาวลัวะ