มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

The Boundary (เขตแดนพิศวง) - ตอนที่ 3 พิธีรับขันธ์ โดย Cirrus Halo @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค,แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The Boundary (เขตแดนพิศวง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ตำนาน,ความเชื่อ,ผี,วิญญาณ,เหนือธรรมชาติ​

รายละเอียด

The Boundary (เขตแดนพิศวง) โดย Cirrus Halo @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

มูลนิธิเหรียญปราชญ์ซึ่งทำการค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นซึ่งบางครั้งก็ได้รับคำร้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามา นาชาญและเอวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องเดินทางไปตรวจสอบและไขปริศนาเบื้องหลังความเชื่อที่แปลกประหลาดนั้น

ผู้แต่ง

Cirrus Halo

เรื่องย่อ

เอวาและนาชาญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเหรียญปราชญ์ ซึ่งมักได้รับคำร้องเกี่ยวกับความเชื่อท้องถิ่นที่มีความแปลกประหลาด บางครั้งก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทำให้พวกเขาต้องออกไปตรวจสอบและไขปริศนาของสิ่งลึกลับในภพภูมิทั้งสี่ ได้แก่ ยักษ์ กุมภัณฑ์ พญานาคและคนธรรพ์ การเดินทางที่ต้องเผชิญกับความสยองขวัญ ตำนาน ความน่าทึ่งของวัฒนธรรมที่มีประวัติอันยาวนานจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน The Boundary (เขตแดนพิศวง) ค่ะ

เรื่องนี้ใช้ปก AI นะคะ แต่งานนิยายของ Cirrus Halo ไม่ได้ใช้ AI แน่นอน ผู้เขียนไม่เข้าใจการแอนตี้ปก AI เลยค่ะ การป้อนคำสั่งเพื่อให้ AI วาดภาพปกออกมาได้ตามที่นักเขียนต้องการยากกว่าการออกแบบโดยใช้ภาพจากเว็บไซต์ฟรีแล้วนำมาออกแบบเพิ่มเติมมากนะคะ เพียงแต่ภาพจาก AI ไม่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนภาพวาดของนักวาดที่เป็นมนุษย์ ควรพิจารณาจากการวางองค์ประกอบภาพ ความเหมาะสมตรงตามเนื้อหานิยายของภาพมากกว่าค่ะ

และเมื่อไม่นานนี้ยังมีข่าวนักเขียนที่ถูกก๊อปปี้ผลงานโดยนักเขียนที่เป็นมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเป็น AI ก็ก๊อปปี้ได้ค่ะ และยังตรวจสอบยากกว่างาน AI อีกด้วย

สารบัญ

The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 1 คดีประหลาด,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 2 ตำหนักทรงเจ้า,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 3 พิธีรับขันธ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 4 สิ่งที่ปกปิดไว้,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 5 ตำนานนาคา,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 6 เสียงเพรียกยามค่ำคืน,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 7 เจ้าของเสียงเรียก,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 8 ผู้ปกป้องเมือง,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 9 อาถรรพ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์,The Boundary (เขตแดนพิศวง)-ตอนที่ 10 บ้านที่เชียงราย

เนื้อหา

ตอนที่ 3 พิธีรับขันธ์

เอวาและนาชาญถอดรองเท้าวางไว้ที่ชั้นใกล้บันไดก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองของตำหนัก เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องเจ้าพ่อจึงได้ยินเสียงดนตรีวงปี่พาทย์ดังขึ้นเป็นจังหวะ เสียงระนาด ฆ้องและปี่ประสานกันทำให้รู้สึกมีมนต์ขลังจนน่าอัศจรรย์ เอวาเริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศในขณะที่นาชาญจ้องมองไปที่ร่างทรงซึ่งเป็นผู้ชายกำลังฟ้อนดาบท่าทางช่ำชอง แต่ความสนใจของเขาอยู่ตรงนั้นไม่ได้นาน สายตาของเขาก็ย้ายมาจับจ้องที่เด็กสาวคนหนึ่งอายุราวสิบแปดปีน่าจะอยู่ในวัยกำลังเรียนมัธยมปลายซึ่งนั่งพับเพียบคอยช่วยหยิบจับสิ่งของบ้าง วิ่งเก็บของบ้าง เวลาที่เธอคุยกับร่างทรงจะใช้ภาษาท้องถิ่นแบบชาวภาคเหนือ นาชาญรู้ภาษาเหนือเพราะเคยไปอยู่ที่เชียงรายมาก่อน ดูจากวิธีปฏิบัติแล้วเด็กสาวคนนี้คงเป็นควาญซึ่งมีหน้าที่ปรนนิบัติผี

เอวาดึงให้นาชาญนั่งลงหลังกลุ่มคนราวสี่คนที่มานั่งพนมมือร่วมพิธีกรรมอยู่ก่อนแล้ว ในจำนวนสี่คนนั้นมีเด็กสาวคนหนึ่งน่าจะอายุราวยี่สิบปีกำลังนั่งก้มหน้าใบหน้าซีดเผือด เธอนั่งอยู่ข้างหน้าสุดถูกเจ้าพ่อใช้ดาบวางบนบ่าครั้งแล้วครั้งเล่าในระหว่างฟ้อนรำ เอวาเห็นแต่ละคนที่มาล้วนสีหน้าอมทุกข์ตั้งใจมองดูพิธีกรรมราวกับคาดหวังบางอย่างก็นึกถึงตนเองในอดีต เธออดไม่ได้ที่จะสะกิดถามหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เธอ

“เด็กคนนั้นเป็นอะไรหรือคะ”

หญิงวัยกลางคนหันมามองเอวาท่าทางกระอักอ่วนก่อนจะยอมตอบคำถาม “เธอเป็นหลานฉัน ที่นั่งกันอยู่เนี่ยเป็นญาติกัน เราพาเธอมาหาเจ้าพ่อเพราะช่วงนี้เธอชอบบอกว่าอยากตาย เธอพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้งแล้ว”

“แล้วได้พาไปพบนักจิตวิทยาบ้างหรือเปล่าคะ”

“ไม่หายหรอก รู้มั้ยว่าเผลอไม่ได้เลย เธอจะเอามีดกรีดข้อมือบ้างกระโดดตึกบ้าง ทำให้พวกเราต้องผลัดกันเฝ้าทุกวัน พวกฉันว่าเธอถูกผีเข้าแน่ๆ ”

“แล้วนี่เจ้าพ่อกำลังทำอะไรอยู่หรือคะ”

“เจ้าพ่อบอกว่าจะฟ้อนดาบไล่ผีในตัวเธอ แล้วหลังจากนั้นจะให้เธอรับขันธ์ฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าพ่อ เธอจะได้ไม่ถูกผีสิงอีก”

เอวาจะหันไปถามความเห็นนาชาญแต่กลับเห็นเขาจ้องมองเด็กสาวที่เป็นควาญปรนนิบัติผีอย่างไม่วางตา เธอจึงกระทุ้งแขนใส่เขาเบาๆ  “นี่ พรากผู้เยาว์มันผิดกฎหมายนะ เตือนไว้ก่อน”

“พรากผู้เยาว์เรื่องอะไร” นาชาญเลิกคิ้วเหมือนกำลังคุยกันคนละเรื่อง “เธอดูท่ารำของผู้ชายสิว่าเหมือนท่ารำในพิธีกรรมทางเหนือมั้ย แล้วลองดูสิว่าคนที่กำกับให้ทำโน่นทำนี่มันใครกันแน่ เด็กคนนั้นรู้เรื่องประเพณีฟ้อนผีมดผีเม็ง”

เอวาได้ยินก็เริ่มสังเกตดูจึงเห็นว่าทุกครั้งที่เด็กสาวส่งมอบสิ่งของต่างๆ ให้เจ้าพ่อก็จะคอยบอกใบ้กรายๆ ว่าต้องทำยังไงต่อ เธอแอบกระซิบกับนาชาญ “แหกตาชัดๆ เลย ฉันเชื่อเข้าไปได้ไงเนี่ย”

“ก็ไม่เชิงหรอก” นาชาญกล่าวก่อนจะมองดูการฟ้อนรำที่สิ้นสุดลงแล้วและเด็กสาวที่มาให้รักษามีสีหน้าดีขึ้นจนเห็นได้ชัด คราวนี้เด็กสาวที่เป็นควาญค่อยๆ คลานเข่ายกพานที่ประดับด้วยใบไผ่สานเป็นรูปกลีบดอกไม้วางซ้อนกันคล้ายรูปทรงดอกบัวบาน ภายในพานวางเครื่องมงคลห้าอย่างซึ่งมีดอกมะลิขาวที่ร้อยเป็นพวงมาลัยพวงใหญ่คล้องธูปและเทียนขาวเอาไว้ ผ้าขาวจัดวางอยู่ข้างๆ กรวยใบตองที่พับเป็นลวดลายอย่างปราณีต เธอมอบพานนั้นให้กับเด็กสาวที่มาเข้ารับการรักษา

ในขณะที่เด็กสาวกำลังรับพานมา นาชาญก็เกิดอาการลงไปชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น เอวาตกใจรีบเขย่าตัวเขาในขณะที่สายตาของคนทั้งหมดในห้องเจ้าพ่อหันมาจับจ้องที่เขาคนเดียว เด็กสาวที่เป็นควาญรีบวางพานขันธ์ครูลงบนพื้นให้ห่างจากบริเวณเกิดเหตุแล้ววิ่งไปสะกิดร่างทรงเจ้าพ่อก่อนจะกระซิบบอกบางอย่าง เจ้าพ่อสูดหายใจเดินถือดาบเข้าไปแตะเบาๆ ที่กลางลำตัวของนาชาญแล้วสวดท่องคาถาอาคมที่ฟังจับใจความไม่ได้ เขาถลึงตาตะคอกใส่นาชาญ

“บังอาจมาก เจ้ากล้าดียังไงมาสิงคนที่ไม่เกี่ยวข้องแทน”

นาชาญตาแข็งตอบกลับเสียงเข้มเช่นกัน “ข้าก็ไม่ได้อยากสิง แต่หาทางทำมาหากินไม่ได้ถึงต้องมาตามสิงคนอยู่นี่ไง”

เอวาแอบยิ้มขำนิดๆ แต่พยายามกลั้นไว้แล้วรีบทำสีหน้าวิตกกังวล “เจ้าพ่อช่วยด้วยค่ะ แบบนี้จะทำยังไงดี”

“ออกไปจากร่างเจ้าหนุ่มนี่ซะ ก่อนที่ข้าจะใช้ไม้แข็งกับเจ้า”

“ท่านจะไม่ถามชื่อข้าหน่อยหรือ ว่าข้าเป็นใครมาเข้าสิงเขาทำไม” นาชาญกล่าวแม้น้ำเสียงยังแข็งแต่ไม่ได้ก้าวร้าว เขาจับคมดาบของเจ้าพ่อเอาไว้ทำให้เอวาเสียววาบแทน ถึงจะดูเป็นมีดทื่อๆ แต่ถ้าโดนบาดก็น่าจะเจ็บไม่น้อย

เจ้าพ่อหัวเราะก่อนจะตอบคำถามด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “เพราะข้ารู้ว่าเจ้าแค่แกล้งโดนผีสิงไง เจ้ามาลองดีกับข้าทำไม”

เจ้าพ่อจะดึงดาบมาเก็บเข้าฝักแต่กลับดึงออกจากมือของนาชาญไม่ได้ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ออกแรงจับแน่นขึ้น

“ข้าลองดีกับเจ้างั้นหรือ” นาชาญลุกขึ้นยืนพลางแย่งเอาดาบมาวางทิ้งลงพื้น “ผู้ที่ลองดีไม่ใช่เจ้าหรือ การทำพิธีรับขันธ์แบบนี้ไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ผีบรรพบุรุษตามประเพณีดีงามที่ทำกันมา แต่เจ้ากำลังหลอกให้คนรับขันธ์ผีตายโหง เจ้าทำให้คนตายไปตั้งเท่าไรแล้วรู้ตัวหรือไม่”

เจ้าพ่อตกใจล้มหงายลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ไม่ได้ตกใจเพราะเรื่องรับขันธ์ผีตายโหงแต่คำพูดสุดท้ายของนาชาญสะท้อนก้องออกมาเหมือนมีเสียงคำรามเต็มเปี่ยมด้วยพลังอำนาจซ้อนทับอยู่ แม้แต่ทุกคนในห้องเจ้าพ่อก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบขนหัวลุกไปตามๆ กันเพราะได้ยินเหมือนกันหมดรวมทั้งเอวาด้วย ชั่วครู่หนึ่งเจ้าพ่อมองเห็นนัยน์ตาสีดำมืดราวกับเมฆหมอกมืดดำทะมึนสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของนาชาญเหมือนเป็นคนละคน เขาจึงก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณจนสะดุดล้ม

ญาติๆ ของเด็กสาวเริ่มรู้สึกไม่สบายใจลนลานพนมมือขอลาเจ้าพ่อกลับบ้านแล้วพาเด็กสาวออกจากห้องไป นาชาญมองตามพวกเขาแต่ไม่ได้เข้าไปห้าม เขาเพียงแต่เดินเข้าไปเตะพานสำหรับรับขันธ์จนกระเด็นกระจายไปบนพื้นแล้วหันไปมองหน้าเด็กสาวที่เป็นควาญปรนนิบัติผีด้วยสีหน้าถมึงทึง เขาชี้หน้าเธอพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่กลับเป็นปกติ

“ชื่อของเจ้าคือปลายฟ้า เป็นผู้สืบเชื้อสายผีเม็งบ้านซอมพอ แต่กลับมาหลอกให้คนรับขันธ์ผีตายโหงจนมีคนตาย กรรมของเจ้าจะต้องย้อนกลับเข้าตัวเป็นแน่ เจ้าจำคำของข้าไว้” เด็กสาวที่ชื่อปลายฟ้าหวาดกลัวจนขาแข็งก้าวไปไหนไม่ได้ เธอได้แต่ยืนนิ่งฟังอย่างไม่มีทางเลือกทั้งที่น้ำตาไหลอาบแก้ม

หลังจากกล่าวจบนาชาญก็ลดมือที่ชี้หน้าเด็กสาวลงก่อนจะก้มหน้าก้มตาหันไปดึงมือเอวาให้เดินออกจากห้องไปด้วยกัน ตอนแรกเอวาก็ยังตกใจกลัว เธอขืนมือไว้ไม่กล้าตามนาชาญไป แต่นาชาญกระซิบกับเธอด้วยน้ำเสียงตามปกติของเขา “เดี๋ยวอธิบายให้ฟัง ตอนนี้รีบไปกันก่อนเถอะ”

สีหน้าของเอวางงงวยจับทางไม่ถูกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่จึงปล่อยให้นาชาญพาเดินออกจากตำหนักมาขึ้นรถอย่างเงียบๆ  เขาขึ้นนั่งฝั่งคนขับทำให้เธอรีบร้องห้าม “เดี๋ยว นายขับรถไหวหรือ”

นาชาญโบกมือให้เธอรีบขึ้นรถก่อนที่เขาจะขับออกจากลานจอดรถเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักงาน

ระหว่างทางที่นั่งรถกลับบ้านเอวาลอบมองนาชาญเป็นระยะเพราะกลัวเขาจะเกิดอาการแปลกๆ ขึ้นอีกซึ่งนาชาญก็รู้ตัว เขาจึงอธิบายให้อีกฝ่ายฟังด้วยน้ำเสียงเรียบ “เมื่อกี้ฉันแค่แสดงละครน่ะ ฉันลองสืบประวัติสองคนนั่นมานิดหน่อยก็เลยรู้ว่าเด็กสาวคนนั้นชื่ออะไร”

“แสดงเหมือนไปมั้ย ฉันเห็นสองคนนั่นตัวสั่นไปเลยนะ ขนาดฉันที่ไม่ได้เจอตรงๆ ยังขนหัวลุกเลย”

“ฉันแค่อยากให้สองคนนั่นเลิกหากินด้วยวิธีนี้เท่านั้นเอง”

“แล้วที่บอกว่าสืบประวัติมาหมายความว่ายังไง ในสำนวนคดีไม่มีประวัติของคนในตำหนักสิริล้านนานี่”

“ก็แค่ความสงสัยส่วนตัว ฉันก็เลยลองถามเพื่อนที่เป็นนักข่าวถึงได้ข้อมูลมาว่าเจ้าตำหนักที่เป็นผู้ชายชื่ออินทร์เฟือนเป็นลุงของเด็กผู้หญิงที่ชื่อปลายฟ้า ปลายฟ้าย้ายมาอยู่กับลุงที่กรุงเทพเพราะอยากเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพแต่ติดเรื่องค่าเล่าเรียน ทางบ้านของปลายฟ้าเป็นตระกูลของร่างทรงที่สืบทอดพิธีกรรมฟ้อนผีเม็ง เธอก็เลยใช้ความรู้นิดหน่อยที่มีมาร่วมมือกับลุงเพื่อหาเงินน่ะ”

“แล้วที่บอกว่าหลอกให้รับขันธ์ผีตายโหงหมายความว่ายังไง”

“พิธีรับขันธ์ผีเม็งไม่ได้ทำกันง่ายๆ แบบนี้ การใช้ของถวายแบบมั่วๆ และไม่รู้วิธีอัญเชิญที่ถูกต้องไม่มีทางที่จะอัญเชิญผีเม็งมาได้หรอก แต่มีบางอย่างที่จะตอบรับการอัญเชิญแบบนี้แทน”

“บางอย่างที่ว่า อย่าบอกนะ…”

“วิญญาณผีตายโหงไง” น้ำเสียงของนาชาญจริงจังจนเอวาขนลุกเสียวสันหลังขึ้นมาอีก แต่อยู่ๆ เขาก็หัวเราะเบาๆ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดรอบตัวที่คุกรุ่นจนถึงเมื่อครู่หายไป นาชาญอธิบายต่อ “ก็ว่าไปตามความเชื่อล่ะนะ เขาว่ากันว่าหากรับขันธ์ผีตายโหงก็เท่ากับให้วิญญาณผีตายโหงทำอะไรกับร่างกายของผู้รับขันธ์ก็ได้ อย่างเช่นการยอมให้บงการร่างกายและจิตใจทำให้คิดฆ่าตัวตายเพื่อไปเป็นตัวตายตัวแทนของผีตายโหงนั่น”

“ตายล่ะ แล้วฉันจะโดนไปด้วยมั้ยเนี่ย”

“คนที่น่าห่วงคือเด็กผู้หญิงที่มาให้รักษาคนนั้นต่างหาก เพราะเธอรับพานไปแล้ว”

“แต่ว่าเธอยังไม่ได้ทำพิธีรับขันธ์กับเจ้าพ่อเลยนะ”

“เธอคิดว่าวิญญาณผีตายโหงอยู่กับเจ้าพ่อหรือ” นาชาญกล่าวพึมพำจนเหมือนเป็นแค่เสียงบ่นกับตัวเอง “ตอนที่เธอสัมผัสถูกพานรับขันธ์นั่น สัญญาก็มีผลไปแล้ว”

“หมายความว่าหนึ่งทุ่มวันนี้เธออาจจะเป็นคนที่คิดฆ่าตัวตายรายต่อไปหรือ”

“ถ้ามันเป็นไปตามความเชื่อจริงๆ ล่ะก็นะ เธอก็เห็นว่าเมื่อวานไม่มีใครตายเลยไม่ใช่หรือ บางทีเรื่องมันอาจจะจบแล้วไม่มีอะไรก็ได้”

“ฉันว่าน่าจะลองสืบหาที่อยู่ของเด็กคนนั้นดูดีกว่า เผื่อว่าเธอจะคิดสั้นจริงๆ ”

“แล้วจะสืบหายังไง เธอจะลองกลับไปขอรายชื่อลูกศิษย์ที่มาหาเจ้าพ่อที่ตำหนักน่ะหรือ เขาคงยอมให้หรอก”

“ฉันมีวิธีก็แล้วกัน นายนั่นแหละอย่าเล่นละครว่าผีเข้าที่สำนักงานก็แล้วกัน เดี๋ยวได้ถูกพาไปพบจิตแพทย์แน่” เอวาถอนหายใจยาวก่อนจะถามย้ำให้มั่นใจ “นายไม่ได้ดื่มเหล้าหรือโดนยาตัวไหนมาใช่มั้ย หยุดสองวันไม่ได้นอนนี่ไปทำอะไรมา”

“ฉันปกติดี เมื่อคืนแค่อ่านหนังสือดึกจริงๆ ” นาชาญอธิบายพลางขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของสำนักงาน “เย็นนี้ฉันกลับเร็วนะ เหมือนวันศุกร์ที่แล้ว”

“นายกลับเร็วแต่กลับไม่ได้นอนเนี่ยนะ เชื่อเขาเลย”

“นี่ก็บ่ายสองแล้ว ถ้าเธอมีวิธีเอาข้อมูลของเด็กที่ไปเข้ารับการรักษาจากเจ้าพ่อที่ตำหนักสิริล้านนามาได้ ก็ช่วยแบ่งข้อมูลให้ฉันด้วย”

“แล้วนายล่ะ”

“ฉันก็จะลองหาข้อมูลในส่วนนี้เพิ่มเติมด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ จะได้หาทางเก็บหลักฐานที่เชื่อมโยงกันได้” นาชาญกล่าวจบก็เดินกลับเข้าสำนักงานไปในขณะที่เอวาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์โทรไปหาเพื่อนที่เป็นเจ้าของช่องออนไลน์

“หวัดดีจ้ะเอิญ ฉันมีหัวข้อคอนเทนต์มาให้เธอด้วยแต่ขอข้อมูลเป็นการแลกเปลี่ยนนะ”

หลังจากต่างคนต่างแยกย้ายกันสืบหาข้อมูลของเด็กสาวที่ไปรักษาตัวที่ตำหนักสิริล้านนาในช่วงเวลาสามชั่วโมงที่เหลือก็ได้เวลาเลิกงาน เอวาเดินมาขึ้นรถกับนาชาญเพื่อกลับบ้านเหมือนเช่นเคย ระหว่างทางเธอจึงพูดถึงข้อมูลที่ได้รับมาจากเพื่อนซึ่งเข้าไปทำทีขอถ่ายภาพบางส่วนของตำหนักลงโซเชียลเพื่อเป็นการโฆษณาให้ ซึ่งทางตำหนักก็ตกลงและยอมให้ถามข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่เคยมารักษา แต่ได้มาเพียงข้อมูลบางส่วนเท่านั้น

“เขาบอกว่าเด็กสาวคนนั้นชื่อมณฑาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง ตอนแรกเธอพักอยู่ที่หอพักของมหาวิทยาลัยแล้วก็เริ่มมีปัญหาเรื่องการเรียนเรื่องเพื่อนแล้วก็คนรักก็เลยพยายามกระโดดตึก บางทีก็ทำท่าจะกรีดข้อมือเพื่อฆ่าตัวตาย ญาติก็เลยให้เธอมาพักอยู่ด้วยกันที่บ้านแถวเอกมัยแล้วผลัดกันคอยดูแลเธอ”

“อยู่ตรงไหนของเอกมัยพอรู้มั้ย”

“เขาไม่ได้บอกรายละเอียดขนาดนั้นหรอกก็เลยค้นหาในแผนที่จีพีเอสไม่ได้” เอวาหยุดก่อนจะเลิกคิ้ว “แล้วทางนายได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง คิดจะมาหลอกถามฉันหรือ”

“บ้านของเด็กที่ชื่อมณฑาเป็นตึกแถวอยู่ติดถนนเปิดร้านขายรองเท้า เพื่อนฉันไม่ยอมบอกชื่อร้านเพราะเป็นข้อมูลส่วนตัวเกินไป”

“แบบนี้ต้องเกิดเหตุก่อนถึงจะรู้ได้ใช่มั้ยเนี่ย”

“ก็ต้องแบบนั้น หรือเธอจะไปนั่งเฝ้าแถวบ้านเขาเผื่อจะเข้าไปห้ามตอนเกิดเรื่องทันล่ะ”

เอวาไม่ตอบเมื่อเห็นว่ารถของนาชาญวิ่งมาจอดหน้าบ้านของเธอแล้ว เธอเปิดประตูลงจากรถก่อนยืนมองจนกระทั่งรถของนาชาญวิ่งลับสายตาไปเธอจึงค่อยเดินไปขึ้นรถเก๋งสี่ประตูสีน้ำเงินซึ่งจอดอยู่ในบ้านของตนเองแล้วขับออกจากหมู่บ้านมุ่งหน้าไปแถวเอกมัยที่ซึ่งบ้านของเด็กสาวที่ชื่อมณฑาตั้งอยู่ เธอขับรถวนไปมาอยู่นานแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นบ้านหลังไหน จึงเข้าไปจอดในปั๊มแล้วโทรถามเพื่อนของเธออีกครั้งเผื่อว่าจะมีข้อมูลที่ตกหล่นไป

“เอิญ แกพอจะบอกอะไรเพิ่มเติมได้มั้ย อย่างเช่นใกล้ๆ บ้านเด็กคนนั้นมีอะไรเป็นจุดสังเกตบ้างหรือเปล่า”

“ก็บอกแล้วไงว่าเขาไม่ได้ให้ข้อมูลละเอียดขนาดนั้น”

“อะไรก็ได้ แบบว่าอยู่ติดร้านอะไรหรือว่าอยู่ตรงข้ามปั๊มน้ำมันหรือเปล่า”

“จุดสังเกตหรือ” เสียงของอีกฝ่ายเงียบไปครู่ใหญ่แล้วเริ่มกล่าวต่อ “เห็นเจ้าพ่อบอกว่าเคยไปเยี่ยมบ้านของมณฑาที่อยู่เอกมัยแล้วก็แวะดื่มกาแฟที่ร้านติดกันด้วย”

“อยู่ติดร้านกาแฟหรือ” เอวานึกได้ว่าพึ่งขับรถผ่านร้านรองเท้าที่อยู่ใกล้ร้านกาแฟก่อนมาถึงปั๊ม “ขอบใจนะ”

เอวากล่าวกับเพื่อนแล้วกดปิดโทรศัพท์พลางออกรถมุ่งหน้าไปยังทางกลับรถเพื่อกลับไปยังร้านรองเท้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถนนแถบนี้แบ่งเป็นฝั่งขาเข้าสองเลนส์และขาออกสองเลนส์ จากถนนใหญ่เลี้ยวเข้าแยกมาค่อนข้างลึกจึงมาถึงบริเวณนี้ได้ ทำให้ไม่ค่อยมีรถวิ่งสัญจรมากเท่าไรนักในช่วงเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม

เอวากำลังขับช้าๆ หันซ้ายทีขวาทีมองหาร้านเป้าหมาย ไม่นานนักเธอก็เริ่มรู้สึกว่ารถของเธอกำลังแล่นด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เธอไม่ได้เหยียบคันเร่ง เอวาใจหายพยายามเหยียบเบรกแต่รถก็ไม่ผ่อนความเร็วลงเลย ทันใดหางตาของเธอเหลือบเห็นร้านเป้าหมายผ่านด้านข้างไปทำให้เธอยิ่งลนลานกว่าเดิมและในที่สุดสิ่งที่เธอกลัวก็เกิดขึ้น ห่างไปข้างหน้าอีกราวหนึ่งกิโลเมตรร่างของเด็กสาวที่ชื่อมณฑากำลังเดินข้ามถนน นัยน์ตาของเด็กสาวว่างเปล่ามองตรงไปยังฝั่งตรงข้ามพลางยกมือขึ้นคล้ายกับกำลังไขว่คว้าหาอะไรอยู่โดยไม่หันมาสนใจรถของเธอที่กำลังจะวิ่งเข้าไปชนในอีกไม่กี่อึดใจนี้ เอวาหลับตาแน่นไม่อยากเห็นหรือคิดถึงเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้อีก